วัน 10

เผชิญหน้ากับพายุแห่งชีวิต

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 7:10-17
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 8:23-9:13
พันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 21:-23:20

เกริ่นนำ

ในวันที่ 31 กรกฎาคม ปี 2003 แบร์ กริลล์นักผจญภัย นำทีมงานอีกห้าคนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือด้วยเรือยาง พวกเขาออกเดินทางจากเมืองแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชียมุ่งหน้าไปสู่เมืองจอห์นโอกรูทส์ประเทศสกอตแลนด์ ในวันที่ 5 สิงหาคม เกิดลมมรสุมขนาดใหญ่ ขนาดคลื่น 100 ฟุต ทำให้พวกเขาสูญเสียการติดต่อกับดาวเทียม และแน่นอนพวกเขา (รวมถึงเรา) ต่างกลัวตายเป็นอย่างมากในตอนนั้น แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเขารอดชีวิตกลับมาเพื่อเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังได้ (ดูได้ใน Facing The Frozen Ocean by Bear Grylls)

ใช่ว่าเราทุกคนเผชิญกับลมพายุอะไรแบบนี้ แต่พระเยซูตรัสว่าเราทุกคนจะต้องเผชิญกับพายุแห่งชีวิต (มัทธิว 7:25–27) ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย พายุเหล่านั้นพัดเข้ามามากมายและหลากหลายรูปแบบ อับราฮัม ดาวิด และสาวกของพระเยซูต่างต้องเผชิญกับพายุแห่งชีวิตด้วยเช่นกัน แล้วเราเรียนรู้อะไรจากตัวอย่างของพวกเขาได้บ้าง

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 7:10-17

10พระเจ้าทรงเป็นโล่ของข้าพเจ้า
 พระองค์ทรงช่วยคนใจซื่อให้รอด
11พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม
 และทรงลงโทษคนอธรรม ทุกวัน
12ถ้าคนไม่กลับใจ พระองค์จะทรงลับดาบของพระองค์ให้คม
 พระองค์ทรงโก่งธนูเตรียมพร้อม
13พระองค์ทรงเตรียมอาวุธร้ายแรงไว้ใช้กับเขา
 ทรงทำลูกธนูของพระองค์เป็นศรเพลิง
14ดูสิ เขาก่อกรรมชั่วขึ้นแล้ว
 กำลังตั้งครรภ์ความชั่วช้า
 และคลอดการมุสาออกมา
15เขาขุดหลุมไว้
 และตกลงไปในหลุมพรางที่เขาทำไว้นั้น
16ความชั่วช้าของเขาจะกลับมาสุมศีรษะเขา
 และความทารุณของเขาจะลงมาบนหัวของเขาเอง
17ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระยาห์เวห์เนื่องด้วยความชอบธรรมของพระองค์
 และข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีพระนามของพระยาห์เวห์ผู้สูงสุด

อรรถาธิบาย

หยิบเอาโล่แห่งความเชื่อ

ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำดาวิดกล่าวว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นโล่ของข้าพเจ้า…ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระยาห์เวห์เนื่องด้วยความชอบธรรมของพระองค์ และข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีพระนามของพระยาห์เวห์ผู้สูงสุด’ (ข้อ 10ก, 17)

หากเราล้มลงในการทดลองและเริ่มเพลิดเพลินจนถึงขั้นหล่อเลี้ยงมันไว้ ดาวิดเตือนว่า ‘ดูสิ เขาก่อกรรมชั่วขึ้นแล้วกำลังตั้งครรภ์ความชั่วช้าและคลอดการมุสาออกมา’ (ข้อ 14) อีกมุมหนึ่งคือ เขาขุดหลุมไว้และตกลงไปในหลุมพรางที่เขาทำไว้นั้นเอง (ข้อ 15)

อัครทูตเปาโลกล่าวว่าคุณต้องใช้โล่ที่สามารถดับศรเพลิงอันชั่วร้ายนี้ได้ (เอเฟซัส 6:16) โล่ที่ว่านี้คือ ‘โล่แห่งความเชื่อ’ หรืออย่างที่ดาวิดกล่าวไว้ที่นี้ โล่ของเขาคือ ‘พระเจ้า’ (สดุดี 7:10) นี่เป็นอาวุธป้องกันการโจมตีของศัตรูที่ดีที่สุดที่เคยมีมา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์สามารถพูดได้ว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นโล่ของข้าพระองค์’

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 8:23-9:13

การทรงห้ามพายุ

 23เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ พวกสาวกของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป 24นี่แน่ะ เกิดพายุใหญ่ในทะเลสาบจนคลื่นซัดท่วมเรือ แต่พระองค์บรรทมอยู่ 25และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์โปรดช่วยเถิด เรากำลังจะจมอยู่แล้ว” 26พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมจึงกลัวนัก? คนศรัทธาน้อย” แล้วพระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบเงียบทั่วไป 27คนเหล่านั้นก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครกันแน่ แม้แต่ลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน?”

การทรงรักษาคนผีเข้าที่แดนกาดารา

 28เมื่อพระองค์ทรงข้ามฟากไปถึงเขตแดนกาดาราแล้ว มีคนถูกผีสิงสองคนออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ มาพบพระองค์ เขาทั้งสองดูน่ากลัวมาก จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านทางนั้น 29พวกเขาร้องตะโกนว่า “ท่านผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านจะมายุ่งกับเราทำไม จะมาทรมานเราก่อนเวลาหรือ?” 30ห่างจากที่นั่นออกไปมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ 31ผีเหล่านั้นอ้อนวอนพระองค์ว่า “ถ้าท่านขับเราออกก็ขอให้เข้าไปอยู่ในฝูงสุกรนั้นเถิด” 32พระองค์จึงตรัสกับผีเหล่านั้นว่า “จงไป” ผีเหล่านั้นก็ออกไปสิงอยู่ในฝูงสุกร ดูซิ สุกรทั้งฝูงนั้นก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเล และจมน้ำตายหมด 33พวกคนเลี้ยงสุกรต่างก็หนีเข้าไปในเมือง และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่มีผีสิงสองคนนั้น 34นี่แน่ะ คนทั้งเมืองพากันออกมาหาพระเยซู เมื่อพบพระองค์แล้ว พวกเขาจึงอ้อนวอนขอให้พระองค์เสด็จไปเสียจากเขตแดนของพวกเขา

มัทธิว 9

การทรงรักษาคนง่อย

 1พระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ 2นี่แน่ะ เขาทั้งหลายหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” 3เมื่อได้ยินดังนั้น พวกธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้หมิ่นประมาทพระเจ้า” 4พระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา จึงตรัสว่า “ทำไมพวกท่านจึงคิดการชั่วอยู่ในใจ? 5การที่พูดว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน? 6ทั้งนี้เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน” 7เขาจึงลุกขึ้นไปบ้าน 8เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้น พวกเขาก็เกรงกลัว แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์

การทรงเรียกมัทธิว

 9เมื่อพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็ทอดพระเนตรเห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป  10เมื่อพระองค์ประทับและเสวยอาหารอยู่ในบ้าน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ หลายคน เข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซู และกับบรรดาสาวกของพระองค์ 11เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของพวกท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับพวกคนเก็บภาษี และพวกคนบาป?” 12เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ตรัสว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ 13ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”

อรรถาธิบาย

วางใจในพระเยซูองค์พระผู้ช่วยให้รอด

บางครั้งพายุที่พัดเข้าในชีวิตของเราก็ปรากฏขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า พระเยซูอยู่ในเรือพร้อมกับเหล่าสาวกที่กำลังนอนหลับเมื่อ 'นี่แน่ะ เกิดพายุใหญ่ในทะเลสาบจนคลื่นซัดท่วมเรือ’ (8:24)

สันนิษฐานว่าเหล่าสาวกน่าจะคุ้นชินกับพายุที่ทะเลสาบกาลิลีเป็นอย่างดี เป็นที่ล่ำลือเรื่องการเกิดพายุฉับพลันทำให้มีคลื่นขนาด 20 ฟุต อย่างไรก็ตาม**พายุนี้จะต้องร้ายแรงมากเป็นพิเศษถึงขนาดทำให้เหล่าสาวกถึงกับปลุกพระเยซูให้ตื่นขึ้นและร้องว่า ‘เรากำลังจะจมอยู่แล้ว!’ (ข้อ 25)

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะตื่นตระหนกเมื่อเผชิญพายุแห่งชีวิต (แน่นอนผมเองก็เป็นเช่นนั้น) บางครั้งดูเหมือนว่าพระเยซูกำลัง ‘บรรทมอยู่’ (ข้อ 24) และดูเหมือนพระองค์จะไม่ทำอะไรกับปัญหาของเราเลย แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เราทุกคนสามารถร้องทูลออกมาได้เช่นเดียวกันว่า ‘ขอพระองค์โปรดช่วยเถิด!’ (ข้อ 25)

เมื่อชีวิตต้องเผชิญพายุเรามักจะตอบสนองโดยธรรมชาติด้วยความสงสัยและความกลัว แต่พระเยซูตรัสกับพวกเหล่าสาวกให้ตอบสนองต่อพายุด้วยความวางใจ (‘คนศรัทธาน้อย’ ข้อ 26ก) และไม่หวาดกลัว (‘ทำไมจึงกลัวนัก?’ ข้อ 26ก) พระเยซูสามารถทำให้พายุสงบลงได้และนั่นคือสิ่งที่พระองค์ทำ เลือกวางใจพระเจ้าและไม่กลัว

หลังจากฤทธานุภาพของพระองค์เหนือสิ่งต่าง ๆ ได้ปรากฏ(‘แม้แต่ลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน!’ ข้อ 27) พระองค์ก็ได้แสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพที่มีอำนาจเหนือผีมารซาตานโดยการปลดปล่อยชายที่ถูกผีสิงสองคนให้เป็นอิสระ (ข้อ 28–34) พระเยซูทรงห่วงใยผู้คนมากกว่าทรัพย์สมบัติซึ่งแตกต่างจากผู้คนเหล่านั้นที่อ้อนวอนขอให้พระองค์เสด็จไปเสียจากเขตแดนของพวกเขา (ข้อ 34)

พระเยซูกล่าวต่อไปเพื่อชี้ให้เห็นว่าการให้อภัยสำคัญกว่าการเยียวยารักษา แต่การเยียวยารักษาไม่ใช่ไม่สำคัญ พระเยซูทรงกระทำทั้งสองอย่าง พระองค์สำแดงฤทธิ์อำนาจเหนือความเจ็บป่วยและความพิการ โดยการรักษาชายที่เป็นง่อย (9:1–2) ‘ฝูงชนต่างตื่นตระหนก ประหลาดใจและปลาบปลื้มที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานสิทธิอำนาจให้พระเยซูทรงกระทำสิ่งนี้ท่ามกลางพวกเขา’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำนี้ก็ยังมีช่วงเวลาแห่งความสงบ ข้อพระธรรมวันนี้สิ้นสุดลงด้วยช่วงเวลาที่พระเยซูเรียกให้มัทธิวติดตามพระองค์ไป ในขณะที่พระเยซูได้รับเชิญร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่บ้านของมัทธิว

พวกฟาริสีต่างประหลาดใจที่เห็นพระเยซูร่วมโต๊ะอาหารกับ ‘พวกคนบาปไม่น่าไว้ใจ’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และพูดว่า ‘นี่หรืออาจารย์ของพวกท่าน ทำตัวเป็นกันเองกับพวกคดโกงและพวกขอทาน’ (ข้อ 11 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

‘เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นก็ตรัสว่า “ใครกันที่ต้องการหมอ คนที่แข็งแรงหรือคนป่วย? ลองดูว่าพระคัมภีร์ให้ความหมายว่าอย่างไร ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่สักแต่เรียกศาสนา ด้วยว่าเรามาเพื่อเรียกคนบาป ไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม”’ (ข้อ 12–13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

‘พระเมตตา’ ของพระเจ้าคือความเมตตาและการให้อภัยต่อคนที่ไม่สมควรได้รับ วันนี้ให้เรารับเอาและชื่นชมยินดีไปกับพระเมตตาของพระองค์และส่งต่อความเมตตาให้ผู้อื่น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอขอบคุณพระองค์ที่ในทุกพายุแห่งชีวิตข้าพระองค์สามารถร้องทูลว่า ‘ขอพระองค์โปรดช่วยเถิด!’ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ไว้วางใจในพระองค์และไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด

พันธสัญญาเดิม

ปฐมกาล 21:-23:20

ปฐมกาล 21

กำเนิดของอิสอัค

 1พระยาห์เวห์ทรงเยี่ยมซาราห์ตามที่พระองค์ตรัสไว้ และพระยาห์เวห์ทรงทำแก่ซาราห์ ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้ 2ซาราห์ก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัมเมื่อท่านชรา ตามเวลาซึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับท่าน 3อับราฮัมตั้งชื่อบุตรชายที่เกิดมา ผู้ซึ่งซาราห์คลอดให้ท่านนั้นว่า อิสอัค 4แล้วอับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัตให้แก่อิสอัคบุตรชายของท่านเมื่อมีอายุแปดวัน ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่ท่าน 5อับราฮัมมีอายุ 100 ปี เมื่ออิสอัคบุตรชายเกิดแก่ท่าน 6นางซาราห์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงทำให้ฉันหัวเราะ ทุกคนที่ฟังจะพลอยหัวเราะด้วย” 7นางกล่าวอีกว่า “ใครจะพูดกับอับราฮัมได้ว่า ‘ซาราห์จะให้ลูกกินนม’ แต่ฉันก็ได้คลอดบุตรชายคนหนึ่งให้ท่านเมื่อท่านชราแล้ว”

ฮาการ์และอิชมาเอลถูกขับไล่

 8เด็กนั้นก็เติบโตขึ้นและหย่านม อับราฮัมจัดงานเลี้ยงใหญ่ในวันนั้นเมื่ออิสอัคหย่านม 9แต่ซาราห์เห็นบุตรชายของฮาการ์คนอียิปต์ซึ่งนางคลอดให้อับราฮัม กำลังเล่นกับอิสอัคบุตรชาย 10นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า “ไล่ทาสหญิงคนนี้กับลูกชายของนางไป เพราะว่าลูกชายของทาสหญิงคนนี้จะเป็นทายาทมรดกร่วมกับอิสอัคลูกชายของฉันไม่ได้” 11อับราฮัมกลุ้มใจมากเรื่องบุตรชายของท่าน 12แต่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “อย่ากลุ้มใจเพราะเรื่องเด็กนั้นและทาสหญิงของเจ้า ทุกสิ่งที่ซาราห์ขอก็จงทำตามที่นางขอ เพราะชื่อของเจ้าจะสืบต่อไปทางเชื้อสายของอิสอัค 13ส่วนบุตรชายของทาสหญิงนั้น เราจะทำให้เป็นชนชาติหนึ่งด้วย เพราะเขาเป็นเชื้อสายของเจ้า” 14อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด เอาขนมปังและน้ำหนึ่งถุงหนังให้แก่ฮาการ์ ใส่บ่านางไปพร้อมกับเด็กนั้น แล้วให้นางออกจากบ้านไป นางก็ไปและพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เชบา
 15เมื่อน้ำในถุงหนังนั้นหมดแล้ว นางก็ทิ้งเด็กนั้นไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง 16แล้วนางก็ไปนั่งตรงข้ามห่างออกไป ประมาณระยะลูกธนูตก เพราะนางพูดว่า “อย่าให้ฉันเห็นความตายของลูกเลย” ขณะที่นางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นางก็ร้องไห้เสียงดังฉบับกรีกว่า เด็กนั้นก็ร้องไห้ 17พระเจ้าทรงสดับเสียงร้องของเด็กนั้น และทูตของพระเจ้าจึงเรียกฮาการ์จากฟ้า กล่าวกับนางว่า “ฮาการ์ เจ้าเป็นอะไรไป อย่ากลัวเลยเพราะว่าพระเจ้าทรงสดับเสียงของเด็ก ณ ที่เขาอยู่นั้นแล้ว 18ลุกขึ้นพยุงเด็กนั้นขึ้น เอามือจับเขาไว้ให้แน่น เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ชาติหนึ่ง” 19แล้วพระเจ้าทรงเปิดตาของนาง นางก็เห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่ง จึงไปเติมน้ำเต็มถุงหนัง และให้เด็กนั้นดื่ม 20พระเจ้าทรงอยู่กับเด็กนั้น เขาเติบโตขึ้น อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเป็นนักธนู 21เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งปาราน มารดาก็หาภรรยาคนหนึ่งจากแผ่นดินอียิปต์ให้เขา

พันธสัญญาระหว่างอับราฮัมกับอาบีเมเลค

 22ครั้งนั้น อาบีเมเลคและฟีโคล์ผู้บัญชาการทหารของพระองค์พูดกับอับราฮัมว่า “พระเจ้าสถิตกับท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ 23เพราะฉะนั้น บัดนี้จงปฏิญาณต่อพระเจ้าให้แก่เราที่นี่ว่า ท่านจะไม่ทำผิดต่อเรา ต่อลูกหลานของเรา หรือต่อชาติพันธุ์ในอนาคตของเรา แต่ตามความซื่อสัตย์ดังที่เราทำต่อคนของท่าน ให้ท่านซื่อสัตย์ต่อคนของเราและต่อแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่นี้” 24อับราฮัมก็ทูลว่า “ข้าพระบาทขอปฏิญาณ”
 25เมื่ออับราฮัมร้องทุกข์ต่ออาบีเมเลค เรื่องบ่อน้ำที่ข้าราชการของอาบีเมเลคยึดไป 26อาบีเมเลคตรัสว่า “เราไม่รู้ว่าใครทำอย่างนี้ ถ้าท่านไม่ได้บอกเรา เราก็ไม่รู้เรื่องจนวันนี้” 27อับราฮัมจึงนำแกะและโคมาถวายแก่อาบีเมเลค ทั้งสองฝ่ายก็ทำพันธสัญญากัน 28อับราฮัมได้แยกลูกแกะตัวเมียจากฝูงไว้ต่างหากเจ็ดตัว 29อาบีเมเลคตรัสถามอับราฮัมว่า “ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวที่ท่านแยกไว้ต่างหากนั้น หมายความว่าอะไร?” 30อับราฮัมทูลว่า “ขอฝ่าพระบาทรับลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวนี้จากมือข้าพระบาท เพื่อจะได้เป็นพยานแก่ข้าพระบาทว่า ข้าพระบาทได้ขุดบ่อน้ำนี้” 31ดังนั้นเขาจึงเรียกที่นั้นว่า เบเออร์เชบา เพราะว่าทั้งสองได้ปฏิญาณกันที่นั่น 32เมื่อทำพันธสัญญากันที่เบเออร์เชบาแล้ว อาบีเมเลคและฟีโคล์ผู้บัญชาการทหารของพระองค์ก็ลุกขึ้นกลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย 33อับราฮัมปลูกต้นสนหมอกไว้ที่เบเออร์เชบา และนมัสการออกพระนามพระยาห์เวห์ว่า “พระเจ้านิรันดร์” ที่นั่น 34อับราฮัมอาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตียหลายวัน

ปฐมกาล 22

พระบัญชาให้ถวายอิสอัค

 1ต่อมาพระเจ้าทรงทดลองอับราฮัม และตรัสกับท่านว่า “อับราฮัม” ท่านทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 2พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า” 3อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องบูชา แล้วเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน 4พอถึงวันที่สามอับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองเห็นที่นั้นแต่ไกล 5อับราฮัมจึงพูดกับคนใช้ทั้งสองของท่านว่า “อยู่กับลาที่นี่เถิด เรากับลูกจะเดินไปที่โน้นนมัสการพระเจ้า แล้วจะกลับมาหาพวกเจ้า” 6อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเครื่องบูชาใส่บ่าอิสอัคบุตรชาย มือถือไฟและมีด แล้วพ่อลูกไปด้วยกัน 7อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า “พ่อ” และท่านตอบว่า “ลูกเอ๋ย พ่ออยู่นี่” ลูกจึงว่า “นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องบูชาอยู่ที่ไหน?” 8อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา” ทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน
 9เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน 10แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย 11แต่ทูตของพระยาห์เวห์เรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า “อับราฮัม อับราฮัม” และท่านตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 12ทูตสวรรค์ว่า “อย่าแตะต้องเด็กนั้น อย่าทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า และเจ้าไม่ได้หวงบุตรชายคือบุตรชายคนเดียวของเจ้าไว้จากเรา” 13อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องบูชาแทนบุตรชาย 14อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ยาห์เวห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า “ทรงจัดไว้ให้บนภูเขาของพระยาห์เวห์”
 15ทูตของพระยาห์เวห์เรียกอับราฮัมครั้งที่สองมาจากฟ้าสวรรค์ว่า 16“พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า 17ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูทั้งหลายของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ 18ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา” 19อับราฮัมจึงกลับไปพบคนใช้ทั้งสองของท่าน แล้วพากันกลับไปยังเบเออร์เชบา อับราฮัมก็อาศัยอยู่ที่เบเออร์เชบา

เชื้อสายของนาโฮร์

 20หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ มีคนมาบอกอับราฮัมว่า “นางมิลคาห์ให้กำเนิดบุตรหลายคนให้แก่นาโฮร์น้องชายของท่านด้วย 21คืออูสบุตรหัวปี บูสน้องของเขา เคมูเอลบิดาของอารัม 22เคเสด ฮาโซ ปิลดาช ยิดลาฟและเบธูเอล” 23เบธูเอลเป็นบิดาของนางเรเบคาห์ ทั้งแปดคนนี้นางมิลคาห์ให้กำเนิดแก่นาโฮร์น้องชายของอับราฮัม 24ยิ่งกว่านั้นอีกภรรยาน้อยของเขาชื่อนางเรอูมาห์ก็ให้กำเนิดบุตรแก่เขาด้วยคือ เทบาห์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์

ปฐมกาล 23

มรณกรรมและการฝังศพของนางซาราห์

 1ซาราห์มีอายุ 127 ปี ซาราห์มีอายุเพียงนี้ 2แล้วซาราห์ก็สิ้นชีวิตที่เมืองคีริยาทอารบา (คือเฮโบรน) ในดินแดนคานาอัน อับราฮัมไว้ทุกข์ให้ซาราห์และร้องไห้คิดถึงนาง 3อับราฮัมยืนขึ้นหน้าศพพูดกับคนฮิตไทต์ว่า 4“ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าวและเป็นคนมาอาศัยอยู่กับพวกท่าน ขอพวกท่านให้ที่ดินสำหรับสุสานท่ามกลางท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฝังผู้ตายของข้าพเจ้าให้พ้นสายตาไป” 5คนฮิตไทต์ตอบอับราฮัมว่า 6“ขอนายข้าพเจ้าฟังพวกเรา ท่านเป็นเจ้านายจากพระเจ้าท่ามกลางเรา ขอให้ฝังผู้ตายของท่านในสุสานที่ดีที่สุดของเราเถิด ไม่มีผู้ใดในพวกเราที่จะหวงสุสานของเขาไว้ไม่ให้ท่าน หรือไม่ให้ฝังผู้ตายของท่าน” 7อับราฮัมก็ลุกขึ้นคำนับคนฮิตไทต์ชาวแผ่นดินนั้น 8และพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านยินยอมให้ข้าพเจ้าฝังผู้ตายของข้าพเจ้าให้พ้นสายตาไปแล้ว ขอท่านฟังข้าพเจ้าเถิด และให้ขอเอโฟรนบุตรโศหาร์เพื่อข้าพเจ้า 9ขอให้เขามอบถ้ำมัคเป-ลาห์ ซึ่งเป็นของเขานั้นแก่ข้าพเจ้า มันอยู่ที่ปลายนาของเขา ขอให้เขาขายให้ข้าพเจ้าเต็มตามราคาต่อหน้าพวกท่าน ให้เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นสุสาน” 10ฝ่ายเอโฟรนนั่งอยู่ท่ามกลางคนฮิตไทต์ เอโฟรนคนฮิตไทต์จึงตอบอับราฮัมให้คนฮิตไทต์ทุกคนที่เข้าไปที่ประตูเมืองฟังว่า 11“อย่าเลย ขอนายของข้าพเจ้าฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้นานั้นแก่ท่านและให้ถ้ำที่อยู่ในนานั้นแก่ท่านด้วย ข้าพเจ้าให้แก่ท่านต่อหน้าคนของข้าพเจ้า ขอเชิญฝังผู้ตายของท่านเถิด” 12อับราฮัมก็โน้มตัวลงคำนับต่อหน้าชาวแผ่นดินนั้น 13และท่านพูดกับเอโฟรนให้ชาวแผ่นดินนั้นฟังว่า “แต่ถ้าท่านยินยอม ขอฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจ่ายค่าของนานั้น ขอท่านรับจากข้าพเจ้าเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฝังผู้ตายของข้าพเจ้าที่นั่น” 14เอโฟรนตอบอับราฮัมว่า 15“ขอนายข้าพเจ้าฟังข้าพเจ้า ที่ดินแปลงนี้มีราคาเป็นเงินหนัก 4.8 กิโลกรัม สำหรับท่านกับข้าพเจ้าก็ไม่เท่าไร ฝังผู้ตายของท่านเถิด” 16อับราฮัมก็ตกลงกับเอโฟรน แล้วอับราฮัมก็ชั่งเงินให้เอโฟรนตามจำนวนที่เขาบอกให้คนฮิตไทต์ได้ยิน คือเงินหนัก 4.8 กิโลกรัม ตามน้ำหนักที่พวกพ่อค้าใช้
 17นาของเอโฟรนในมัคเป-ลาห์ซึ่งอยู่หน้ามัมเร คือนากับถ้ำซึ่งอยู่ในนั้น และต้นไม้ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในนาตลอดทั่วบริเวณนั้น เอโฟรนก็โอน 18ให้แก่อับราฮัมเป็นกรรมสิทธิ์ต่อหน้าคนฮิตไทต์ คือต่อหน้าทุกคนที่เข้าไปที่ประตูเมืองของเขา 19ต่อมาอับราฮัมก็ฝังศพซาราห์ภรรยาของตนในถ้ำที่นามัคเป-ลาห์หน้ามัมเร(คือเฮโบรน) ในดินแดนคานาอัน 20นาและถ้ำซึ่งอยู่ในนั้น คนฮิตไทต์โอนให้แก่อับราฮัมเป็นกรรมสิทธิ์เพื่อใช้เป็นสุสาน

อรรถาธิบาย

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดเตรียมของพระองค์

อับราฮัมเองก็เผชิญกับพายุในแห่งชีวิตเช่นกัน พระธรรมวันนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของการต่อสู้ดิ้นรน แต่มันเริ่มต้นด้วยช่วงเวลาที่เยี่ยมยอดแห่งความสงบท่ามกลางพายุที่ถาโถมเข้ามานี้ ‘พระยาห์เวห์ทรงเยี่ยมซาราห์... และ...ทรงทำแก่ซาราห์ ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้’ (21:1) เฉกเช่นเดียวกับเรา บางครั้งพวกเขาต้องรอคอยบางอย่างเป็นเวลาแสนนาน แต่ที่สุดแล้วพระสัญญาของพระเจ้าก็เป็นจริง ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยนี้สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการดำเนินความไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไป

‘ซาราห์ก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัมเมื่อท่านชรา ตามเวลาซึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับท่าน’ (ข้อ 2) เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขใจอย่างยิ่ง ซาราห์พูดว่า ‘พระเจ้าทรงทำให้ฉันหัวเราะ ทุกคนที่ฟังจะพลอยหัวเราะด้วย’ (ข้อ 6)

แต่ไม่นานพายุก็พัดพาปัญหาเข้ามาในครอบครัวของอับราฮัม เมื่ออิชมาเอลหัวเราะเยาะอิสอัค (ข้อ 9) และสิ่งนี้นำไปสู่ความแตกแยกที่ฝังลึกขึ้นในครอบครัว (ข้อ 10) ฮาการ์และอิชมาเอลต้องระหกระเหินไปอย่างน่าเศร้า (ข้อ 14) ความแตกแยกทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นผลมาจากความบาปก่อนหน้านี้ของอับราฮัมที่เข้าหานางฮาการ์ เนื่องจากเขาขาดความเชื่อในพระสัญญาว่าซาราห์จะมีบุตรชาย

บางครั้งสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตที่ต้องเผชิญอาจเป็นเรื่องของเราเอง ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังคงอยู่กับอับราฮัม (ข้อ 12–13) และพระองค์ยังทรงดูแลและอวยพรฮาการ์และอิชมาเอล (ข้อ 17–18) จากบริบทนี่เองเราได้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่ทำงานท่ามกลางสถานการณ์ที่ผิดบาปอีกด้วย

อับราฮัมกำลังจะเผชิญกับพายุแห่งชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดนั่นคือ ‘พระเจ้าทรงทดลองอับราฮัม’ (22:1)

บางครั้งพระเจ้ายอมให้เราถูกทดลอง โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าพระเจ้าไม่เคยตั้งใจเลยสักครั้งที่ให้อับราฮัมถวายอิสอัคลูกชายของเขาจริง ๆ การถวายเด็กเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเจ้ามาตลอด แต่พระองค์ต้องการจัดลำดับความสำคัญในชีวิตของอับราฮัม

พันธสัญญาใหม่ได้ย้ำเตือนเราว่าการทดสอบนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมเกี่ยวกับอิสอัค (ฮีบรู 11:17–19) ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนการทดสอบความเชื่อและการจัดลำดับความสำคัญของอับราฮัม

นี่เป็นการทดสอบความเชื่อของอับราฮัม ที่ท้าทายให้เขาเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทำตามที่ทรงสัญญาเกี่ยวกับอิสอัคได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าอับราฮัมจะเต็มใจถวายบุตรชายก็ตาม เขาก็ต้องวางใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นว่าอิสอัคจะกลับคืนมาสู่เขา (ข้อ 19)

ทั้งยังเป็นการทดลองการจัดลำดับความสำคัญของอับราฮัมด้วย ในความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า พระองค์ต้องมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของคุณเหนือกว่าความรักอื่นใด เหนือกว่านิมิตที่พระเจ้าประทานให้ในชีวิตและเหนือกว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ใกล้ชิดที่สุด อับราฮัมเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้าไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาเท่าใดก็ตาม จุดแข็งที่ยอดเยี่ยมของเขาคือเขารักพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด

ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเมตตาจัดเตรียมเครื่องเผาบูชา (‘พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เอง’ ปฐมกาล 22:8) สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเสียสละอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา ขณะที่คุณกำลังจินตนาการว่าอับราฮัมต้องรู้สึกอย่างไรที่ต้องถวายบุตรชายเป็นเครื่องเผาบูชา คุณจะได้พบเช่นกันว่าพระเจ้าต้องจ่ายราคามากแค่ไหนในการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้กับคุณและผม (ยอห์น 3:16)

พระเยซูทรงเป็น ‘*พระเมษโปดก (ลูกแกะ)*ของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป’ (ยอห์น 1:29) หากพระเจ้าทรงจัดเตรียมเครื่องเผาบูชาสูงสุดเพื่อตอบสนองความต้องการสูงสุดของคุณ พระองค์จะไม่จัดเตรียมสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดให้คุณด้วยหรือ อับราฮัมเรียกพระเจ้าว่า ‘ยาห์เวห์ยิเรห์’ หรือ ‘พระยาห์เวห์จะทรงจัดหาไว้ให้’ (ปฐมกาล 22:14) เขายอมรับว่าการทรงจัดเตรียมเป็นส่วนหนึ่งของพระลักษณะของพระเจ้า

พระเจ้าเป็นพระผู้ให้ที่หาที่เปรียบมิได้ บ่อยครั้งผมพบว่าสิ่งนี้เป็นจริงในชีวิตของผมและในสังคมของเรา พระเจ้าทรงกระทำจริงตามพระสัญญาของพระองค์ ดังที่อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ว่า ‘และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่พวกท่านจากทรัพย์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์’ (ฟีลิปปี 4:19)

หน้าที่ของเราคือเชื่อฟังพระเจ้า (เพื่อ ‘แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน’, มัทธิว 6:33ก) และพระองค์ทรงสัญญาว่าหากเราทำเช่นนั้นพระองค์จะทรงจัดเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นให้เรา (‘แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้’, ข้อ 33ข)

การจัดเตรียมและพระพรของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่อย่างน่าเหลือเชื่อ (ปฐมกาล 22:16–18) รวมถึงประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า (พระคริสต์) (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเป็นโล่ เป็นพระผู้ช่วยและผู้จัดเตรียมของข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ไว้วางใจในพระองค์และไม่หวาดกลัวสิ่งใดและให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มัทธิว 8:23

พายุแห่งชีวิตมักจะโหมกระหน่ำในช่วงที่ทุกอย่างดูเป็นไปด้วยดี ทันใดนั้นโลกของคุณก็สั่นคลอน เหล่าสาวกและรวมถึงตัวฉันเองก็จะตอบสนองเช่นเดียวกันว่า ‘ขอพระองค์โปรดช่วยเถิด! เรากำลังจะจมอยู่แล้ว!’ ในช่วงเวลานั้นความกลัวเกาะกุมเราไว้และเราอาจรู้สึกว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่พระเยซูอยู่ในเรือตลอดเวลา และเมื่อพระองค์ถูกเรียก พระองค์ทรงทำให้พายุสงบลง นั่นเพราะพระองค์อยู่ที่นั่นตลอด

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม