วัน 117

ความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 10:21-30
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 23:26-56
พันธสัญญาเดิม โยชูวา 9:16-10:43

เกริ่นนำ

ในการประชุมสัมมนาอัลฟ่าที่ได้จัดขึ้นที่มาเลเซียตะวันออก มีผู้คนจากทั่วเอเชีย หลายคนถูกข่มเหงเพราะความเชื่อของพวกเขา ชายคนหนึ่งบอกผมว่าพ่อของเขาถูกจำคุกเป็นเวลาหกปี เพียงเพราะว่าเขาเป็นศิษยาภิบาลคริสเตียน ตัวเขาเองก็ถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีเมื่อตอนอายุสิบเก้า เพราะเขาเรียกร้องแทนพ่อของเขา

ถือเป็นความอยุติธรรมอย่างยิ่งเมื่อผู้บริสุทธิ์ถูกตัดสินว่า มีความผิด และถูกคุมขัง สิ่งนี้เลวร้ายยิ่งกว่าการถูกประหารชีวิต

เนื้อหาในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่วันนี้ เราจะได้อ่านเรื่องความอยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงเป็น ‘คนชอบธรรม’ (ลูกา 23:47) แต่ทรงถูกประหารโดยการตรึงกางเขน อัครสาวกเปโตรอธิบายดังนี้ ‘เพราะพระคริสต์ทรงทนทุกข์ครั้งเดียวเป็นพอเพราะบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะนำพวกท่านไปถึงพระเจ้า’ (1 เปโตร 3:18)

คำว่า ‘ชอบธรรม’ มักเกี่ยวข้องกับ ‘ความชอบธรรมในตนเอง’ และเกือบจะกลายเป็นเงื่อนไขของการล่วงละเมิด อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘ชอบธรรม’ ในพระคัมภีร์เป็นคำที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจพระคัมภีร์ทั้งหมดของเรา ในที่สุด ‘ความชอบธรรม’ นั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง เป็นความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าและความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับผู้อื่น ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เราได้เข้าใจว่าความชอบธรรมนั้นเกิดขึ้นโดยผ่านความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น (ดู โรม 3:21-4:25)

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 10:21-30

21ปากของคนชอบธรรมเลี้ยงคนมากมาย
 แต่คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก
22พระพรของพระยาห์เวห์ทำให้มั่งคั่ง
 และพระองค์ไม่ได้ทรงเพิ่มความโศกเศร้าเข้ากับพระพร
23คนโง่ทำความผิดเหมือนการเล่นสนุก
 แต่คนที่มีความเข้าใจก็เพลิดเพลินกับปัญญา
24สิ่งที่คนอธรรมกลัว มันจะมาถึงเขา
 แต่สิ่งที่คนชอบธรรมปรารถนา พระองค์จะประทานให้
25เมื่อพายุหมุนผ่านไปแล้ว ก็ไม่มีคนอธรรมอีก
 แต่คนชอบธรรมจะตั้งมั่นเป็นนิตย์
26น้ำส้มสายชูกับฟัน และควันกับตา เป็นฉันใด
 คนเกียจคร้านกับผู้ที่ใช้เขา ก็เป็นฉันนั้น
27ความยำเกรงพระยาห์เวห์นั้นยืดชีวิตให้ยาว
 แต่ปีเดือนของคนอธรรมจะสั้นเข้า
28ความหวังของคนชอบธรรมคือความยินดี
 แต่ความมุ่งหวังของคนอธรรมก็สูญเปล่า
29ทางของพระยาห์เวห์เป็นที่กำบังแข็งแกร่งแก่คนซื่อสัตย์
 แต่เป็นความหายนะแก่คนประพฤติชั่ว
30คนชอบธรรมจะไม่มีวันสั่นคลอน
 แต่คนอธรรมจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดิน

อรรถาธิบาย

พระพรของผู้ชอบธรรม

หนังสือสุภาษิตเปรียบเทียบชีวิตของ ‘คนโง่’ กับชีวิตของ ‘คนมีปัญญา’ นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบชีวิตของ ‘คนชอบธรรม’ กับชีวิตของ ‘คนอธรรม’ นี่คือพระพรบางประการที่สัญญาไว้กับ ‘คนชอบธรรม’:

  1. แตกต่างจากผู้อื่น
    ‘ปากของคนชอบธรรมเลี้ยงคนมากมาย’ (ข้อ 21ก) เราไม่สามารถเป็นคนชอบธรรมโดยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความชอบธรรมเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเรา เป็นการนำพระพรไปสู่ผู้อื่น วันนี้คุณได้ ‘หล่อเลี้ยง’ (ให้อาหาร นำทาง หนุนจิตชูใจ) ให้ใครบ้างหรือยัง?

  2. เพลิดเพลินในปัญญา
    ‘คนที่มีความเข้าใจก็เพลิดเพลินกับปัญญา’ (ข้อ 23ข) สิ่งหนึ่งที่มาจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าคือการหิวกระหายความรู้และสติปัญญา ทูลขอสติปัญญาในวันนี้ พระเจ้าสัญญาว่าจะให้สติปัญญาเมื่อคุณทูลขอ (ยากอบ 1:5)

  3. ความปรารถนาได้รับการเติมเต็ม
    ‘สิ่งที่คนชอบธรรมปรารถนา พระองค์จะประทานให้’ (สุภาษิต 10:24ข) พระวิญญาณของพระเจ้าเริ่มเปลี่ยนเจตจำนงของคุณเพื่อให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ (ฟีลิปปี 2:13) และเมื่อสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานตามใจปรารถนาของท่าน (สดุดี 37:4)

  4. ปลายทางแห่งความชื่นชมยินดี
    ‘ความหวังของคนชอบธรรมคือความยินดี’ (สุภาษิต 10:28ก) ‘คนชอบธรรมจะตั้งมั่นเป็นนิตย์’ (ข้อ 25ข) ‘ความยำเกรงพระยาห์เวห์นั้นยืดชีวิตให้ยาว’ (ข้อ 27ก) และ ‘คนชอบธรรมจะไม่มีวันสั่นคลอน’ (ข้อ 30ก) ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องเป็นแหล่งของความชื่นชมยินดีที่ยิ่งใหญ่ ความชื่นชมยินดีของคุณถูกทำให้ ‘สมบูรณ์’ ในความสัมพันธ์กับพระเยซู (ยอห์น 15:11) ปลายทางของคุณคือความชื่นชมยินดีนิรันดร์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทูลขอสติปัญญาจากพระองค์ และขอพระองค์ทรงให้ปากของข้าพระองค์ได้ใช้เลี้ยงดู และชี้แนะผู้อื่น

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 23:26-56

การตรึงพระเยซูที่กางเขน

 26เมื่อกำลังพาพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ซีโมนชาวไซรีนที่มาจากบ้านนอก แล้วเอากางเขนวางบนตัวเขา ให้แบกตามพระเยซูไป 27มีคนจำนวนมากตามพระองค์ไปด้วย ทั้งพวกผู้หญิงที่กำลังทุกข์โศกและคร่ำครวญเพราะพระองค์ 28พระเยซูทรงหันมาทางพวกเขาตรัสว่า “ธิดาทั้งหลายแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูกๆ เถิด 29เพราะว่าจะมีเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะกล่าวว่า ‘พวกผู้หญิงที่เป็นหมัน และครรภ์ที่ไม่ได้ปฏิสนธิ และเต้านมที่ไม่เคยเลี้ยงลูก ก็เป็นสุข’

30ในเวลานั้นเขาจะเริ่มพูดกับภูเขาทั้งหลายว่า
‘จงพังลงมาทับเรา’
 และพูดกับเนินเขาว่า
 ‘จงปกคลุมเราไว้’

31เพราะว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้ยังสดอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้ว?”
 32มีอีกสองคนที่เป็นผู้ร้าย ซึ่งเขาพาไปประหารชีวิตพร้อมกับพระองค์ 33เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่ากะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่นั่นบนกางเขนพร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง 34พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” แล้วพวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน 35ประชาชนก็ยืนมองดูอยู่ พวกผู้นำก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยซิ ถ้าหากเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้” 36พวกทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย และเข้ามาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งให้พระองค์ 37แล้วกล่าวว่า “ถ้าเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวก็จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด” 38เหนือพระองค์มีคำจารึกไว้ด้วยว่า “คนนี้เป็นกษัตริย์ของพวกยิว”
 39ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหมิ่นประมาทพระองค์ว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด” 40แต่อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขาว่า “เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้าก็ถูกลงโทษเหมือนกัน 41และเราทั้งสองก็สมควรกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับผลสมกับการกระทำ แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย” 42แล้วคนนั้นจึงทูลว่า “พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์” 43พระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู

 44เวลานั้นประมาณเที่ยงวัน เกิดมืดมัวทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 45ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง 46พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์ 47เมื่อนายร้อยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นคนชอบธรรม” 48ฝูงชนทั้งหมดที่มาชุมนุมกันเพื่อจะดูเหตุการณ์นั้น เมื่อเห็นแล้วก็พากันตีอกชกตัวกลับไป 49ทุกคนที่รู้จักพระองค์ รวมทั้งพวกผู้หญิงซึ่งตามพระองค์มาจากกาลิลี ก็ยืนอยู่แต่ไกลมองเห็นสิ่งเหล่านี้

การฝังพระศพพระเยซู

 50มีชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ท่านเป็นสมาชิกสภา เป็นคนดีและชอบธรรม 51ท่านไม่เห็นด้วยกับมติและการกระทำของสภานั้น ท่านเป็นชาวอาริมาเธียซึ่งเป็นเมืองของพวกยิว และเป็นคนที่คอยแผ่นดินของพระเจ้า 52ชายคนนี้เข้าไปหาปีลาตขอพระศพของพระเยซู 53เมื่อเขาเอาพระศพลงแล้ว จึงเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วนำพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ซึ่งเจาะไว้ในศิลา อุโมงค์นั้นยังไม่เคยวางศพของใครเลย 54วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม และใกล้จะถึงวันสะบาโตแล้ว 55พวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและเห็นอุโมงค์นั้น ทั้งเห็นว่าเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย 56แล้วพวกนางก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม
 ในวันสะบาโตนั้นพวกเขาก็หยุดพักตามบัญญัติ

อรรถาธิบาย

พระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม

พระธรรมตอนนี้ให้ความหวังแก่เราทุกคน เราเห็นจากตัวอย่างของผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกประหารพร้อมกับพระเยซู ทันทีที่คุณรับรู้ถึงความบาปของตัวคุณและหันไปหาพระเยซู คุณจะได้รับการอภัยโทษทั้งหมดและมี ‘ความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง’ กับพระเจ้า ชายคนนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อให้ได้ของประทานนี้ เขาไม่มีโอกาสรับบัพติศมาด้วยซ้ำ แต่ผู้ร้ายรายนี้ได้รับพระสัญญาว่าเขาจะอยู่กับพระเยซูในสวรรค์ในทันที (ข้อ 43) สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร?

  1. ความชอบธรรมของพระเยซู
    มีใครบ้างหรือไม่ที่ทำให้คุณเจ็บปวด และคุณต้องการให้อภัยในวันนี้?

พระเยซูทรงกำหนดมาตรฐานไว้สูงมากในแง่ของความท้าทายในการรักศัตรูหรือคนที่วิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงคนเหล่านั้นที่เยาะเย้ยและดูหมิ่นเรา บททดสอบของท่าทีเราก็คือการตอบสนองเมื่อเรามีความทุกข์และความเจ็บปวด ในขณะที่พระเยซูถูกทรมานบนไม้กางเขน พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อผู้ที่ทรมานพระองค์: ‘พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร’ (ข้อ 34)

พระเยซูทรงดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ถ้อยคำสุดท้ายของพระองค์ที่บันทึกไว้ในพระกิตติคุณของลูกาคือ ‘ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’ (ข้อ 46)

แม้แต่นายร้อยชาวโรมันก็ ‘เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นคนชอบธรรม”’ (ข้อ 47)

  1. ความอธรรมของเราทุกคน
    ความชอบธรรมของพระเยซูแตกต่างไปพวกฝูงชนที่กำลังยืนดูอยู่ คือพวกผู้นำที่เยาะเย้ยพระองค์ (ข้อ 35) พวกทหารที่เยาะเย้ยพระองค์ (ข้อ 36) และผู้ร้ายที่ถูก ‘ลงโทษอย่างยุติธรรม’ และ ‘ได้รับผลสมกับการกระทำ’ (ข้อ 41)

หนึ่งในผู้ร้ายนั้นหมิ่นประมาทพระเยซู อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขา และหันไปหาพระเยซู เขาตระหนักถึงบาปของตนเอง (‘เราทั้งสองก็สมควรกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับผลสมกับการกระทำ’ , ข้อ 41ก) และความชอบธรรมของพระเยซู (‘แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย’, ข้อ 41ข) แล้วคนนั้นจึงทูลว่า ‘พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์’ (ข้อ 42) พระเยซูทรงตอบเขาว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม’ (ข้อ 43)

  1. คนชอบธรรมตายเพื่อเหล่าคนอธรรม
    ข้อความนี้เต็มไปด้วยการประชดประชัน พวกผู้นำก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า ‘เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยซิ ถ้าหากเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้’ (ข้อ 35) พวกทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า ‘ถ้าเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวก็จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด’ (ข้อ 37)

หนึ่งในผู้ร้ายพูดกับพระเยซูว่า ‘เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด!’ (ข้อ 39) อันที่จริงพระองค์กำลังจะตายเพื่อช่วยพวกเขาและพวกเรา แต่ในการกระทำเช่นนั้นพระองค์ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ พระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ในฐานะ ‘ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะนำพวกท่านไปถึงพระเจ้า’ (1 เปโตร 3:18)

ม่านในพระวิหารก็ขาดออก (ลูกา 23:45) เป็นสัญลักษณ์ว่า ทุกคนสามารถเข้าไปในที่ประทับของพระเจ้าได้ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู พระเยซูทรงทำให้คุณและผมสามารถมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้

  1. ‘ชอบธรรม’ หรือ ‘ไม่ชอบธรรม’?
    ความแตกต่างในปฏิกิริยาที่ผู้ร้ายทั้งสองนั้นมีต่อพระเยซู ลูกาได้วางให้เห็นว่าการตัดสินใจเป็นสิ่งที่เราต้องทำ คุณสามารถปฏิเสธพระเยซูได้เช่นเดียวกับที่หนึ่งในนั้นทำหรือคุณจะไว้วางใจในพระองค์เหมือนที่ผู้ร้ายอีกคนหนึ่งได้ทำ เขาหันมาหาพระเยซูและกล่าวว่า ‘ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์’ (ข้อ 42)

แม้ว่าหลายคนในสมัยนั้นได้ปฏิเสธพระเยซู แต่อีกหลายคนก็เชื่อในพระองค์ ตัวอย่างเช่น โยเซฟแห่งอาริมาเธีย ‘เป็นคนดีและชอบธรรม’ (ข้อ 50) ได้มาเชื่อในพระเยซู ท่านไม่เห็นด้วยกับมติและการกระทำของสภานั้น (ข้อ 51) เป็นคนที่คอยแผ่นดินของพระเจ้า (ข้อ 51) และเป็นคนจัดการฝังพระศพให้พระเยซูอย่างสง่างาม

พวกผู้หญิงที่มากับพระเยซูก็วางใจในพระองค์เช่นกัน ‘พวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและเห็นอุโมงค์นั้น ทั้งเห็นว่าเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย แล้วพวกนางก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นพวกเขาก็หยุดพักตามบัญญัติ’ (ข้อ 55–56)

คุณเองก็สามารถเลือกได้ เมื่อคุณเชื่อในพระเยซู พระองค์ทรงสัญญากับคุณเช่นเดียวกันกับที่ทรงสัญญากับผู้ร้ายคนนั้นที่หันมาหาพระองค์ คุณจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์เช่นเดียวกัน

หากคุณเคยรู้สึกว่าเป็นภาระหนักที่ต้องพยายามทำเพื่อจะได้รับความรักจากพระเจ้า คุณสบายใจได้เลยจากข้อพระธรรมนี้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่คุณสามารถทำเพื่อทำให้พระเจ้ารักคุณมากขึ้นได้ และไม่มีสิ่งใดที่คุณสามารถทำเพื่อทำให้พระเจ้ารักคุณน้อยลงได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงประทานความชอบธรรมแก่ข้าพระองค์โดยความเชื่อและทำให้ข้าพระองค์มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์

พันธสัญญาเดิม

โยชูวา 9:16-10:43

 16เมื่อได้ทำพันธสัญญากับเขาผ่านมาสามวัน ก็ได้ยินว่าพวกเหล่านั้นเป็นเพื่อนบ้านอยู่ท่ามกลางพวกตน 17และคนอิสราเอลก็ออกเดินไปถึงเมืองของเขาในวันที่สาม เมืองของเขานั้นคือเมืองกิเบโอน เคฟีราห์ เบเอโรท และคีริยาทเยอาริม 18แต่คนอิสราเอลไม่ได้ฆ่าเขา เพราะว่าพวกผู้นำของชุมนุมชน ได้สาบานต่อพวกเขาในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลแล้ว ชุมนุมชนก็บ่นต่อว่าพวกผู้นำ 19แต่พวกผู้นำได้กล่าวแก่ชุมนุมชนทั้งปวงว่า “เราได้สาบานต่อพวกเขาในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ดังนั้น เราจะแตะต้องเขาไม่ได้ 20เราต้องทำต่อพวกเขาอย่างนี้โดยให้เขามีชีวิตอยู่ เพื่อไม่ให้พระพิโรธตกลงเหนือเรา ตามคำสาบานซึ่งเราได้สาบานต่อพวกเขานั้น” 21และพวกผู้นำก็กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ให้พวกเขามีชีวิตอยู่เถิด” พวกเขาจึงเป็นคนตัดฟืนและเป็นคนตักน้ำให้ชุมนุมชนทั้งหมด ดังที่พวกผู้นำได้บอกพวกเขาไว้
 22โยชูวาจึงเรียกคนเหล่านั้นมาและท่านกล่าวแก่เขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงหลอกลวงเราโดยกล่าวว่า ‘เราอยู่ห่างไกลจากท่านมาก’ ในเมื่อพวกเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา? 23เจ้าทั้งหลายจึงถูกสาปแช่งและพวกเจ้าจะไม่ขาดจากการเป็นทาส คือเป็นคนตัดฟืนและเป็นคนตักน้ำสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรา” 24เขาทั้งหลายตอบโยชูวาว่า “เพราะผู้รับใช้ของท่านได้ทราบมาอย่างแน่นอนว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ให้มอบแผ่นดินนี้ทั้งหมดแก่ท่าน และให้ทำลายชาวแผ่นดินให้พ้นหน้าท่าน ดังนั้น เราจึงกลัวมากว่าพวกท่านจะทำอันตรายต่อชีวิตของเรา เราจึงทำอย่างนี้ 25นี่แน่ะ บัดนี้เราอยู่ในมือของท่าน จงทำต่อเราตามที่ท่านเห็นดีเห็นชอบเถิด” 26โยชูวาจึงทำเช่นนั้น คือให้พวกเขารอดจากมือประชาชนอิสราเอล ไม่ให้ประหารชีวิตเขาเสีย 27ในวันนั้นโยชูวาได้ตั้งพวกเขาให้เป็นคนตัดฟืนและคนตักน้ำสำหรับชุมนุมชน และสำหรับแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ณ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกสืบมาจนทุกวันนี้

โยชูวา 10

ดวงอาทิตย์หยุดนิ่ง

 1เมื่ออาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มทรงได้ยินว่า โยชูวาได้ยึดเมืองอัย และทำลายเมืองนั้นเสียอย่างสิ้นเชิงแล้ว (ท่านได้ทำต่อเมืองอัยและกษัตริย์ของเมืองนี้ อย่างเดียวกับที่ได้ทำต่อเมืองเยรีโคและกษัตริย์ของเมืองนั้น) และทรงทราบด้วยว่าชาวเมืองกิเบโอนได้ทำสันติภาพกับอิสราเอลแล้วและอยู่ท่ามกลางพวกเขา 2พวกเขาก็กลัวมาก เพราะว่ากิเบโอนเป็นเมืองใหญ่เสมอเมืองหลวง และใหญ่กว่าเมืองอัย และบุรุษชาวเมืองนั้นก็ล้วนเป็นนักรบกล้าหาญ 3ด้วยเหตุนี้อาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มจึงทรงให้ไปหาโฮฮัมกษัตริย์แห่งเฮโบรน และปิรามกษัตริย์แห่งยารมูท และยาเฟียกษัตริย์แห่งลาคีช และเดบีร์กษัตริย์แห่งเอกโลน ทูลว่า 4“ขอเชิญท่านมาหาข้าพเจ้า และช่วยข้าพเจ้าตีเมืองกิเบโอนเถิด เพราะว่าเมืองนั้นได้ทำสันติภาพกับโยชูวา และประชาชนอิสราเอล” 5กษัตริย์คนอาโมไรต์ทั้งห้าพระองค์ คือกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยารมูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์แห่งเอกโลน ก็ทรงรวบรวมกำลังของตน และทรงยกขึ้นไปพร้อมกับกองทัพทั้งหลายตั้งค่ายต่อสู้เมืองกิเบโอน
 6ชาวเมืองกิเบโอนจึงใช้คนไปหาโยชูวาที่ค่ายในกิลกาล กล่าวว่า “ขอท่านอย่าได้ปล่อยมือจากผู้รับใช้ของท่านเลย ขอเร่งขึ้นมาช่วยพวกเราให้รอดและช่วยเหลือเรา เพราะว่าบรรดากษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในแดนเทือกเขา ได้รวมกำลังกันต่อสู้เรา” 7โยชูวาจึงขึ้นไปจากกิลกาล ทั้งท่านและพวกทหารและนักรบกล้าหาญทุกคน 8พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวเขาเลยเพราะเราได้มอบเขาไว้ในมือเจ้าแล้ว จะไม่มีใครในพวกเขาสักคนเดียวที่จะยืนหยัดต่อสู้เจ้าได้” 9โยชูวาจึงยกเข้าโจมตีพวกนั้นทันที โดยเดินทางตลอดคืนจากกิลกาล 10พระยาห์เวห์ทรงทำให้พวกเขาสะดุ้งแตกตื่นต่อหน้าอิสราเอลซึ่งได้ฆ่าพวกเขาเสียมากมายที่กิเบโอน และไล่ติดตามพวกเขาไปตามทางที่ขึ้นไปถึงเบธโฮโรน และตามฆ่าพวกเขาไปจนถึงเมืองอาเซคาห์ และเมืองมักเคดาห์ 11ขณะเมื่อพวกเขาหนีไปข้างหน้าอิสราเอล ไปตามทางเบธโฮโรนนั้น พระยาห์เวห์ทรงโยนหินใหญ่ๆ ลงมาจากฟ้า ตลอดถึงเมืองอาเซคาห์ เขาทั้งหลายก็ตาย ผู้ที่ตายด้วยลูกเห็บนั้นก็มากกว่าผู้ที่ประชาชนอิสราเอลฆ่าเสียด้วยดาบ
 12แล้วโยชูวาก็ทูลพระยาห์เวห์ในวันที่พระยาห์เวห์ทรงมอบคนอาโมไรต์แก่ประชาชนอิสราเอลนั้น และท่านได้กล่าวต่อหน้าอิสราเอลว่า
“ดวงอาทิตย์เอ๋ย จงหยุดนิ่งตรงเมืองกิเบโอน
และดวงจันทร์เอ๋ย ตรงหุบเขาอัยยาโลน”
13ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่ง และดวงจันทร์ก็นิ่งอยู่
จนชนชาตินี้ได้แก้แค้นศัตรูของเขาเสร็จ
เรื่องนี้มีจารึกไว้ในหนังสือยาชาร์ไม่ใช่หรือ? ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า ไม่ได้รีบตกไปตามเวลาประมาณหนึ่งวันเต็ม 14ทั้งในสมัยก่อนหรือในสมัยต่อมา ไม่มีวันอย่างนั้นอีกแล้วที่พระยาห์เวห์ทรงสดับฟังเสียงของมนุษย์ เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงต่อสู้เพื่ออิสราเอล
 15แล้วโยชูวากับอิสราเอลทั้งหมดก็กลับมาสู่ค่ายที่กิลกาล

กษัตริย์ทั้งห้าพ่ายแพ้

 16กษัตริย์ทั้งห้านั้นทรงหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมักเคดาห์ 17มีคนไปบอกโยชูวาว่า “มีคนพบกษัตริย์ทั้งห้าทรงซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์” 18โยชูวาจึงกล่าวว่า “จงกลิ้งหินใหญ่ๆ ปิดปากถ้ำเสีย และวางยามเฝ้าพวกเขาไว้ 19แต่พวกท่านอย่าคอยอยู่เลยจงติดตามศัตรูของท่านไปเถิด จงเข้าโจมตีกองระวังหลังอย่าให้กลับเข้าในเมืองของเขาได้ เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่านแล้ว” 20เมื่อโยชูวากับประชาชนอิสราเอลเสร็จจากการฆ่าคนเหล่านั้นเสียเป็นอันมากแล้ว ผู้ที่เหลืออยู่ก็หนีเข้าไปในเมืองที่มีกำแพงล้อม 21ประชาชนก็กลับมาหาโยชูวา ณ ค่ายที่มักเคดาห์โดยสวัสดิภาพทุกคน ไม่มีใครกล้ากล่าวร้ายพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกต่อไป
 22แล้วโยชูวาจึงกล่าวว่า “จงเปิดปากถ้ำนำกษัตริย์ทั้งห้านั้นออกจากถ้ำมาหาเรา” 23พวกเขาก็ทำตาม นำกษัตริย์ทั้งห้าออกจากถ้ำมาหาท่าน มีกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยารมูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์แห่งเอกโลน 24เมื่อพวกเขานำกษัตริย์เหล่านั้นมาหาโยชูวา โยชูวาจึงเรียกคนอิสราเอลทั้งหมดมาและสั่งหัวหน้าของทหารที่ออกไปรบพร้อมกับท่านว่า “จงเข้ามาใกล้เถิด เอาเท้าเหยียบคอกษัตริย์เหล่านี้” แล้วพวกเขาก็เข้ามาใกล้และเอาเท้าเหยียบที่คอ 25และโยชูวากล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวหรือตกใจเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะว่าพระยาห์เวห์จะทรงทำต่อศัตรูทั้งหมดของท่านซึ่งท่านสู้รบด้วยอย่างนี้แหละ” 26ภายหลังโยชูวาได้ประหารชีวิตกษัตริย์ทั้งห้าเสีย แล้วแขวนไว้ที่ต้นไม้ห้าต้น แขวนอยู่บนต้นไม้เช่นนั้นจนเวลาเย็น 27แต่เมื่อถึงเวลาดวงอาทิตย์ตก โยชูวาได้บัญชาและเขาก็ปลดพระศพลงจากต้นไม้และทิ้งไว้ในถ้ำ ซึ่งกษัตริย์เหล่านั้นได้ซ่อนตัวอยู่ และเอาหินใหญ่ๆ ปิดปากถ้ำนั้นไว้ ซึ่งยังอยู่จนกระทั่งวันนี้
 28ในวันนั้นโยชูวายึดเมืองมักเคดาห์ได้ และประหารเมืองนั้นเสียด้วยคมดาบ ทั้งกษัตริย์ของเมืองนั้นด้วย ท่านได้ทำลายพวกเขาเสียอย่างสิ้นเชิง ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองไม่มีเหลือสักคนเดียว และท่านได้ทำต่อกษัตริย์แห่งมักเคดาห์อย่างที่ท่านได้ทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค
 29แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเมืองมักเคดาห์มาถึงลิบนาห์ และเข้าสู้รบกับเมืองลิบนาห์ 30พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบเมืองนั้นกับกษัตริย์ไว้ในมือคนอิสราเอล และท่านได้ประหารเมืองนั้นกับทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นด้วยคมดาบ ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียวในเมืองนั้น และท่านได้ทำต่อกษัตริย์ของเมืองนั้นอย่างที่ท่านได้ทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค
 31แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเมืองลิบนาห์มาถึงลาคีช แล้วล้อมเมืองไว้และเข้าโจมตีเมืองนั้น 32พระยาห์เวห์ทรงมอบเมืองลาคีชไว้ในมืออิสราเอล และท่านก็ได้ยึดเมืองนั้นในวันที่สอง และประหารทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นด้วยคมดาบ ดังทุกสิ่งที่ท่านได้ทำต่อเมืองลิบนาห์
 33ครั้งนั้นโฮรามกษัตริย์แห่งเกเซอร์ได้ขึ้นมาช่วยเมืองลาคีช และโยชูวาได้ประหารพระองค์กับคนของพระองค์ จนไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลย
 34แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเมืองลาคีชมาถึงเอกโลน ได้เข้าล้อมและโจมตีเมืองนั้น 35และเขาก็ตีได้ในวันที่สองและฆ่าทุกคนด้วยคมดาบจนทำลายเขาเสียสิ้นในวันนั้น ดังทุกสิ่งที่ท่านได้ทำต่อเมืองลาคีช
 36แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ขึ้นไปจากเมืองเอกโลนมาถึงเฮโบรน และเข้าโจมตีเมืองนั้น 37ยึดเมืองนั้นแล้วก็ประหารกษัตริย์และหมู่บ้านโดยรอบทั้งหมด กับทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นเสียด้วยคมดาบ ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียวดังที่ท่านได้ทำต่อเมืองเอกโลน และได้ทำลายเมืองนั้นกับทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นเสียสิ้น
 38แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็กลับมายังเมืองเดบีร์ เข้าโจมตีเมืองนั้น 39ท่านได้ยึดเมืองนั้นรวมทั้งกษัตริย์และหมู่บ้านโดยรอบทั้งหมด และได้ประหารพวกเขาเสียด้วยคมดาบ และได้ทำลายทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นเสียอย่างสิ้นเชิง ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียว ท่านทำต่อเมืองเฮโบรนอย่างไร ท่านก็ทำต่อเมืองเดบีร์และต่อกษัตริย์ของเขาอย่างนั้น ดังที่ทำต่อเมืองลิบนาห์และต่อกษัตริย์ของเขาเช่นกัน
 40โยชูวาก็โจมตีแผ่นดินนั้นได้ทั้งหมด คือแดนเทือกเขา เนเกบทางทิศใต้ ที่แห้งแล้ง ที่ลุ่ม และที่ลาด ทั้งกษัตริย์ทั้งหมดของเมืองเหล่านั้นด้วย ท่านไม่ให้เหลือสักคนเดียว แต่ได้ทำลายทุกสิ่งที่หายใจเสีย ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้ทรงบัญชาไว้ 41โยชูวาโจมตีพวกเขาได้ตั้งแต่เมืองคาเดชบารเนียจนถึงเมืองกาซา และทั่วแผ่นดินโกเชนจนถึงเมืองกิเบโอน 42กษัตริย์เหล่านี้ทั้งหมดพร้อมทั้งแผ่นดินของพระองค์ โยชูวายึดได้ในคราวเดียว เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้ทรงสู้รบเพื่ออิสราเอล 43แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็กลับมายังค่ายที่กิลกาล

อรรถาธิบาย

ชอบธรรมโดยความเชื่อ

โยชูวาพูดกับผู้นำของเขาตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสกับโยชูวาในช่วงต้นของการเป็นผู้นำของเขา (โยชูวา 1:6,9,18) ว่า ‘อย่ากลัวหรือตกใจเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด’ (10:25) ขอให้คุณได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ด้วยตัวคุณเองวันนี้แล้วส่งต่อให้ผู้อื่น

ชื่อของกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มคืออาโดนีเซเดก (ข้อ 1) คำว่า ‘เซเดก (Zedek)’ หมายถึง ‘ชอบธรรม’ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าเขาอยู่ห่างไกลจากความชอบธรรม ผู้คนที่อาศัยอยู่ในคานาอันในเวลานั้นเกี่ยวข้องกับการบูชายันและการกระทำที่ชั่วร้ายอื่น ๆ

ในทางกลับกัน โยชูวากำลังดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เปิดเผยชัดเจนว่าความชอบธรรมของโยชูวาเป็นเช่นเดียวกับอับราฮัมและคนอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ซึ่งมาจาก ‘ความเชื่อ’ (โรม 3:21-4:25) โยชูวาเป็นคนมีความเชื่อ (ฮีบรู 11:30)

ผลของการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้ที่มีชีวิตอยู่หลังจากพระองค์ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูได้ส่งผลต่อผู้ที่มีชีวิตอยู่ก่อนหน้าพระองค์เช่นกัน พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่ออับราฮัม โมเสส และโยชูวา พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อผู้ร้ายบนไม้กางเขน พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อผมและเพื่อคุณ เราถูกทำให้เป็นคนชอบธรรม ‘ความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน’ (โรม 3:22)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ทรงเป็นผู้ชอบธรรมที่กระทำเพื่อคนอธรรม ขอทรงโปรดช่วยให้ข้าพระองค์ได้ดำเนินชีวิตในวันนี้ด้วยความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ และมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับผู้อื่นด้วย

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 23:55-56ก

พวกผู้หญิงเหล่านั้นมีความภักดี กล้าหาญ และลงมือทำ พวกเธอพบว่าพระศพของพระเยซูถูกวางที่ไหน จากนั้นจึงไปและทำในสิ่งที่ทำได้ พวกเธอได้สนับสนุนพระเยซู ทั้งในด้านการเงิน และพระราชกิจตลอดช่วงชีวิตของพระองค์ และพวกเธอยังคงดูแลพระองค์ต่อไปจนถึงที่สุด

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม