วัน 126

พระเยซูคอยช่วยกู้เราเสมอ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 56:1-13
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 4:27-42
พันธสัญญาเดิม ผู้วินิจฉัย 2:6-3:31

เกริ่นนำ

ผมกับพิพพาได้พบกับ อา หยิ่น เมื่อเราไปเยี่ยม แจ็กกี้ พูลลินเจอร์ ในฮ่องกง เขากลายเป็นคนติดยาเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น พ่อของเขาก็เป็นคนติดยา เขาถูกเลี้ยงดูมาในเมืองกำแพงเกาลูน (Kawloon Walled City) เขาได้เข้าร่วมแก๊งค์เมื่ออายุสิบเอ็ดปี พวกเขาทั้งกิน ลักขโมย ต่อสู้ และเสพเฮโรอีนในคราวเดียวกัน ตอนอายุสิบสี่ เขาถูกจับได้ว่าลักทรัพย์ และถูกคุมขังครั้งแรก

หลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อเลิกยาแต่ก็ไม่สำเร็จ จากนั้นเขาก็ได้พบกับแจ็กกี้และด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเยซู เขาก็สามารถเลิกเสพยาได้โดยไม่เจ็บปวดเลย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็กลายเป็นหนึ่งในผู้นำพันธกิจของแจ็กกี้ในฮ่องกง เขาได้สอนคนมากมายให้อธิษฐานเผื่อคนป่วย และทำพันธกิจกับคนยากจน เขาเป็นอีกหนึ่งแบบอย่างของผู้คนนับล้านที่พระเยซูทรงปลดปล่อยจากการเสพติด และหลุดจากการเป็นทาส อาหยิ่น ใช้เวลาที่เหลือของชีวิตในการเป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดที่คอยปลดปล่อยเราอยู่เสมอ

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 56:1-13

วางใจพระเจ้าเมื่อถูกกดขี่

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองนกเขาบนต้นเทเรบินธ์โน้น มิคทามบทหนึ่งของดาวิด เมื่อชาวฟีลิสเตียจับท่านในเมืองกัท

1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์ เพราะคนเหยียบย่ำข้าพระองค์
 คู่อริกดขี่ข้าพระองค์วันยังค่ำ
2พวกศัตรูเหยียบย่ำข้าพระองค์วันยังค่ำ
 เพราะหลายคนต่อสู้ข้าพระองค์อยู่
 ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด 3เมื่อข้าพระองค์กลัว
 ข้าพระองค์วางใจในพระองค์
4ในพระเจ้า ผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะ
 ในพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจ ข้าพระองค์จะไม่กลัว
 เนื้อหนังจะทำอะไรข้าพระองค์ได้?
5พวกเขาบิดเบือนถ้อยคำของข้าพระองค์วันยังค่ำ
 ความคิดทั้งสิ้นของพวกเขาล้วนมุ่งร้ายต่อข้าพระองค์
6พวกเขารวมหัวกัน เขาซุ่มอยู่
 เขาเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของข้าพระองค์
 อย่างกับคนที่ซุ่มคอยเอาชีวิตข้าพระองค์
7ขอทรงทิ้งเขาเพราะความผิดของเขา
 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเหวี่ยงชนชาติทั้งหลายลงด้วยความกริ้ว
8พระองค์ทรงนับการระหกระเหินของข้าพระองค์
 ทรงเก็บน้ำตาของข้าพระองค์ใส่ขวดของพระองค์ไว้
 น้ำตานั้นไม่อยู่ในบันทึกของพระองค์หรือพระเจ้าข้า?
9แล้วศัตรูของข้าพระองค์จะหันกลับ
 ในวันที่ข้าพระองค์ร้องทูล
 ข้าพระองค์ทราบเช่นนี้ว่า พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายข้าพระองค์
10ในพระเจ้า ผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะ
 ในพระยาห์เวห์ ผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะ
11ในพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจ ข้าพระองค์จะไม่กลัว
 คนจะทำอะไรข้าพระองค์ได้?
12ข้าแต่พระเจ้า ที่ข้าพระองค์บนไว้ ข้าพระองค์จะแก้
 ข้าพระองค์จะถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณพระองค์
13เพราะพระองค์ทรงช่วยกู้ชีวิตข้าพระองค์จากมัจจุราช
 พระองค์ทรงช่วยกู้เท้าข้าพระองค์ให้พ้นจากการสะดุดมิใช่หรือ?
เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
 ในความสว่างแห่งชีวิต

อรรถาธิบาย

วางใจให้พระเจ้าช่วยกู้คุณ

ความกลัวสามารถเข้ามาครอบครองเราได้ ดาวิดเกรงกลัวต่อชีวิตของเขา (ข้อ 6) และเขาค้นพบว่าคำตอบของความกลัวคือการวางใจในพระเจ้า (ข้อ 6,11)

ดาวิดถูกจับโดยชาวฟิลิสเตียในเมืองกัท (1 ซามูเอล 21) มันคงเป็นประสบการณ์ที่แย่มาก เขาโดน ‘เหยียบย่ำ’ ‘กดขี่ทุกวัน’ และถูกทุบตี (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ทว่าท่ามกลางสิ่งทั้งหมดนี้เขาวางใจในพระเจ้า ‘เมื่อข้าพระองค์หวาดกลัว ข้าพระองค์ก็วางใจในพระองค์ ข้าพระองค์ภูมิใจที่จะสรรเสริญพระเจ้า ข้าพระองค์ไม่กลัว ข้าพเจ้าวางใจในพระเจ้า’ (ข้อ 3–4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มีหลายครั้งในชีวิตที่เราถูกโจมตีอย่างหนัก อาจเป็นการโจมตีทางฝ่ายวิญญาณหรือการโจมตีจากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน จากเพื่อนบ้าน หรือจากที่ไกลออกไป

ไม่ว่าสาเหตุของความกลัวจะเป็นเช่นไร จงวางใจในพระเจ้า เช่นเดียวกับดาวิดที่กล่าวว่า ‘ในพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่กลัว’ (ข้อ11ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

พระธรรมสดุดีนี้จบลงด้วยเรื่องราวแห่งชัยชนะและการช่วยกู้ (‘พระองค์ทรงช่วยกู้ชีวิตข้าพระองค์จากมัจจุราช’ ข้อ 13) ดาวิดขอบคุณพระเจ้าที่ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ‘พระเจ้า พระองค์ทรงทำทุกอย่างที่สัญญาไว้ และข้าพระองค์ขอบพระคุณอย่างสุดใจ ทรงดึงข้าพระองค์ออกจากเหวแห่งความตาย บัดนี้ข้าพระองค์พักสงบกับพระองค์ในท้องทุ่งความสว่างแห่งชีวิต’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่หลายครั้งในชีวิตที่ข้าพระองค์กลัวและทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์ได้ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด วันนี้ข้าพระองค์ทูลร้องต่อพระองค์เพื่อการช่วยกู้ และวางใจพระองค์ในการปลดปล่อยข้าพระองค์

พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 4:27-42

 27เมื่อพวกสาวกของพระองค์กลับมา พวกเขาก็ประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า “พระองค์ทรงต้องการอะไร?” หรือ “ทำไมพระองค์ถึงสนทนากับนาง?” 28ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า 29“มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” 30คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์
 31ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เชิญรับประทานเถิด” 32แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่พวกท่านไม่รู้” 33พวกสาวกจึงถามกันว่า “มีใครเอาอาหารมาให้พระองค์แล้วหรือ?” 34พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ 35พวกท่านบอกว่าอีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้วไม่ใช่หรือ? ส่วนเราบอกพวกท่านว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ทุ่งนาเหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว 36คนเกี่ยวกำลังได้รับค่าจ้างและกำลังรวบรวมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะได้ชื่นชมยินดีด้วยกัน 37คำที่เขาพูดกันก็เป็นความจริงในเรื่องนี้ คือ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ 38เราใช้พวกท่านไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ตรากตรำ แต่คนอื่นตรากตรำและพวกท่านเข้าร่วมในการตรากตรำของเขา”
 39ชาวสะมาเรียจำนวนมากที่มาจากเมืองนั้นก็วางใจในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงคนนั้นที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ” 40ดังนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึง พวกเขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับกับเขา และพระองค์ก็ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน 41และจำนวนคนที่วางใจในพระองค์ก็เพิ่มขึ้นเพราะพระดำรัสของพระองค์ 42พวกเขาพูดกับหญิงคนนั้นว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่เราเชื่อนั้นไม่ใช่เพราะคำพูดของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านผู้นี้เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง”

อรรถาธิบาย

เป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด

คริสเตียนทุกคนมีคำพยาน วิธีที่ทรงพลังที่สุดในการประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ คือการบอกเล่าเรื่องราวของคุณให้คนอื่นฟัง หากพวกเขาสนใจ คุณสามารถพูดเช่นเดียวกับผู้หญิงในเหตุการณ์นี้ว่า ‘มาดู...’ (ข้อ 29 ก)

ประชากรทั้งเมืองได้ข้อสรุปว่าพระเยซู ‘เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง' (ข้อ 42) หญิงชาวสะมาเรียเปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้พบกับพระเยซู เธอเริ่มเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดของเธอทันที เมื่อเธอกลับไปที่หมู่บ้านและประกาศกับผู้คนว่า ‘มาดู ชายคนหนึ่งที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันทำ รู้จักฉันทั้งภายในและภายนอก ท่านคิดว่านี่อาจเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่?’ (ข้อ 29, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มีฤทธิ์อำนาจมหาศาลในคำพยานนั้น หญิงคนนี้ไม่เคยเรียนรู้ด้านศาสนศาสตร์หรือมีความเข้าใจในหลักคำสอนของคริสเตียน เธอไม่ได้มั่นใจในตัวพระเยซูเลยแม้แต่น้อย เธอไม่ได้พูดด้วยความมั่นใจว่า ‘พระเยซูคือพระคริสต์’ ตรงกันข้าม เธอมาถึงจุดที่พูดว่า ‘ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?’ (ข้อ 29ข) ถึงกระนั้นเธอก็ถูกใช้อย่างทรงพลังโดยพระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ

ในแง่นี้ เธอเป็นเหมือนดั่งคำพยานมากมายที่เราได้ยินจากหลักสูตรอัลฟ่า หลายคนไม่มั่นใจในสิ่งที่พวกเขาค้นพบ แต่พวกเขาสามารถกล่าวคำพยานได้อย่างทรงพลังเมื่อจบอัลฟ่า และมักจะพาเพื่อน ๆ เข้าร่วมหลักสูตรครั้งต่อไปด้วย

สิ่งที่พวกเขารับรู้ได้ก็คือพระเยซูได้ทรงสำแดงพระองค์เองแก่พวกเขาในทางใดทางหนึ่ง พวกเขาได้เผชิญกับ ‘การช่วยกู้’ บางอย่างในชีวิตที่ว่างเปล่าออกไป และบอกกับเพื่อน ๆ ของพวกเขาว่า ‘มาดู…’ (ข้อ 29ก)

‘ชาวสะมาเรียจำนวนมากที่มาจากเมืองนั้นก็วางใจในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงคนนั้น’ (ข้อ 39) พระเยซูได้เปลี่ยนชีวิตของเธอ น้ำแห่งชีวิตเทมาเหนือเธอตามที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ ผู้คนต่างอัศจรรย์ใจและประหลาดใจในการเปลี่ยนแปลงของเธอ พวกเขามาและเห็น และ ‘จำนวนคนที่วางใจใน(พระเยซู)ก็เพิ่มขึ้นเพราะพระดำรัสของพระองค์’ (ข้อ 41)

พวกเขาพูดกับหญิงคนนั้นว่า ‘ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่เราเชื่อนั้นไม่ใช่เพราะคำพูดของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้ว่าท่านผู้นี้เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง’ (ข้อ 42) คำสอนของพระเยซูและคำพยานเกี่ยวกับพระเยซู ทั้งสองชี้ให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของโลก

พระองค์ตรัสว่า ‘อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ’ (ข้อ 34) พระเยซูแสดงให้เห็นตัวอย่างในพันธกิจของพระองค์ว่าความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ และชีวิตที่ว่างเปล่าและขาดซึ่งวัตถุประสงค์ สามารถฟื้นฟูได้โดยการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีอะไรจะน่าพอใจไปกว่าการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า คือการได้อยู่ในที่ที่พระองค์ทรงนำให้คุณอยู่และทำในสิ่งที่พระองค์ทรงนำให้คุณทำ

พระเยซูตรัสว่า ‘เราบอกพวกท่านว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ทุ่งนาเหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว’ (ข้อ35) สิ่งนี้สำเร็จได้โดยการเสด็จมาของพระเยซู เหล่าสาวกต่างเห็นว่าถึงเวลาแล้วเพราะคนจากทุกหนทุกแห่งจำเป็นต้องรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซู

พระเยซูตรัสว่า ‘เราใช้พวกท่านไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ตรากตรำ แต่คนอื่นตรากตรำและพวกท่านเข้าร่วมในการตรากตรำของเขา’ (ข้อ 38) แน่นอน พระธรรมตอนนี้ใช้ได้กับการเสด็จมาของพระเยซู อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็เป็นจริงแล้วในรูปแบบที่ต่างออกไปในหลาย ๆ ด้าน

ตัวอย่างเช่น ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมกำลังเก็บเกี่ยวพืชผลจากสิ่งที่คนอื่นหว่านลงไปในฐานะคริสตจักรท้องถิ่นและกับอัลฟ่าด้วย หลายปีที่ผ่านมาผู้คนได้อธิษฐานขอการเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลงมาที่คริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตัน หลายคนทำงานหนักในการพัฒนาหลักสูตรอัลฟ่า และเรากำลังเก็บเกี่ยวสิ่งที่คนอื่นหว่านอยู่ ตอนนี้เราต้องหว่านเพื่อให้คนอื่นเก็บเกี่ยวด้วยเช่นกัน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลขอพระองค์ใช้คำพยานของข้าพระองค์ เพื่อคนอื่น ๆ อีกหลายคนจะเชื่อในพระองค์

พันธสัญญาเดิม

ผู้วินิจฉัย 2:6-3:31

มรณกรรมของโยชูวา

 6เมื่อโยชูวาให้ประชาชนแยกย้ายไป คนอิสราเอลต่างก็เข้าไปยึดครองที่ดินที่เป็นมรดกของตน 7ประชาชนได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของโยชูวา และตลอดชีวิตของพวกผู้ใหญ่ที่มีอายุยืนกว่าโยชูวาและเป็นผู้เห็นพระราชกิจยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ ซึ่งได้ทรงทำเพื่ออิสราเอล 8โยชูวาบุตรนูนผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ สิ้นชีวิตเมื่ออายุได้ 110 ปี 9เขาทั้งหลายก็ฝังท่านไว้ในเขตที่ดินมรดกของท่านที่เมืองทิมนาทเฮเรส ในแดนเทือกเขาเอฟราอิม ทางทิศเหนือของภูเขากาอัช 10และคนรุ่นนั้นทั้งสิ้นก็ถูกรวบไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา แล้วคนอีกรุ่นหนึ่งก็เกิดตามมา พวกเขาไม่รู้จักพระยาห์เวห์อีกทั้งไม่รู้เรื่องพระราชกิจที่ทรงทำเพื่ออิสราเอล

อิสราเอลไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์

 11คนอิสราเอลทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติบรรดาพระบาอัล 12พวกเขาละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ ผู้ทรงนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาไปติดตามพระอื่นซึ่งเป็นพระของชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบ และกราบไหว้พระเหล่านั้น ทำให้พระยาห์เวห์กริ้ว 13เขาทั้งหลายละทิ้งพระยาห์เวห์ไปปรนนิบัติพระบาอัล และพระอัชทาโรท 14ดังนั้นพระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล พระองค์จึงทรงมอบพวกเขาไว้ในมือพวกโจรผู้ปล้นเขา และทรงขายเขาไว้ในมือของบรรดาศัตรูที่อยู่ล้อมรอบ ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่สามารถต่อต้านศัตรูได้ 15เขาทั้งหลายออกไปรบเมื่อไร พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ต่อต้าน ทำให้เขาพ่ายแพ้ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสแล้ว และดังที่พระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณไว้กับเขา และเขาทั้งหลายก็เป็นทุกข์ยิ่งนัก
 16แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้เกิดผู้วินิจฉัย ผู้ช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นมือผู้ที่ปล้นเขา 17แต่เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อฟังบรรดาผู้วินิจฉัยของเขา เพราะพวกเขาเล่นชู้กับพระอื่น และกราบไหว้พระเหล่านั้น ไม่ช้าเขาก็หันไปจากทางซึ่งบรรพบุรุษของเขาผู้ได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ได้ดำเนิน แต่เขาทั้งหลายไม่ได้ทำอย่างนั้น 18พระยาห์เวห์ทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นเมื่อไร พระยาห์เวห์ก็สถิตกับผู้วินิจฉัยเมื่อนั้น และทรงช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัย เพราะพระยาห์เวห์ทรงสงสารเขาทั้งหลาย เมื่อทรงฟังเสียงคร่ำครวญของเขาเนื่องด้วยผู้ข่มเหงและบีบบังคับ 19แต่เมื่อผู้วินิจฉัยนั้นสิ้นชีวิต เขาทั้งหลายก็หันกลับไปทำชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษของเขาโดยติดตามปรนนิบัติ และกราบไหว้พระอื่นๆ เขาไม่เคยละความชั่วที่เคยทำ หรือทิ้งทางดื้อดึงของเขา 20ดังนั้นพระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ตรัสว่า “เพราะชนชาตินี้ได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาไว้กับบรรพบุรุษของเขา และไม่ยอมฟังเสียงของเรา 21ดังนั้นเราจะไม่ขับไล่บรรดาประชาชาติซึ่งโยชูวาทิ้งไว้เมื่อเขาสิ้นชีวิตนั้นไปจากพวกเขาอีกต่อไป 22เพื่อเราจะใช้ประชาชาติเหล่านั้นทดสอบอิสราเอลว่า เขาจะรักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์และดำเนินตามอย่างบรรพบุรุษของเขาหรือไม่” 23ดังนั้นพระยาห์เวห์ทรงปล่อยประชาชาติเหล่านั้นไว้ ไม่ทรงขับไล่ให้ออกไปเสียโดยเร็ว และไม่ได้ทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของโยชูวา

ผู้วินิจฉัย 3

บรรดาประชาชาติที่เหลืออยู่ในคานาอัน

 1ต่อไปนี้เป็นบรรดาประชาชาติที่พระยาห์เวห์ทรงเหลือไว้ เพื่อใช้ทดสอบคนอิสราเอลทุกคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการรบในคานาอัน 2เพื่อให้คนอิสราเอลรุ่นต่อมาที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการรบมาก่อน ได้รู้และเข้าใจเรื่องการรบ 3ประชาชาติเหล่านั้นได้แก่ เจ้านายทั้งห้าของพวกฟีลิสเตีย คนคานาอันทั้งหมด คนไซดอนและคนฮีไวต์ผู้อาศัยอยู่บนภูเขาเลบานอน ตั้งแต่ภูเขาบาอัลเฮอร์โมน จนถึงเลโบฮามัทแปลได้อีกว่า ทางเข้าเมืองฮามัท 4คนเหล่านี้มีอยู่เพื่อทดสอบคนอิสราเอล เพื่อจะทราบว่าคนอิสราเอลเชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้กับบรรพบุรุษของเขาโดยโมเสสนั้นหรือไม่ 5ดังนั้นคนอิสราเอลจึงอาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์และคนเยบุส 6พวกเขาไปรับบุตรหญิงของคนเหล่านั้นมาเป็นภรรยา และยกบุตรหญิงของตนให้แก่บุตรชายของคนเหล่านั้นและได้ปรนนิบัติพระของเขาเหล่านั้น

โอทนีเอล

 7คนอิสราเอลทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของตนเสีย ไปปรนนิบัติพระบาอัลทั้งหลายและบรรดาพระอาเช-ราห์ 8เพราะฉะนั้นพระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงขายพวกเขาไว้ในมือของคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งเมโสโปเตเมีย และคนอิสราเอลได้รับใช้คูชันริชาธาอิม 8 ปี 9แต่เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงให้ผู้ช่วยกู้เกิดแก่คนอิสราเอล ผู้ได้ช่วยกู้เขาทั้งหลาย คือโอทนีเอลบุตรเคนัส น้องชายของคาเลบ 10พระวิญญาณของพระยาห์เวห์สถิตกับโอทนีเอล ท่านจึงวินิจฉัยคนอิสราเอลและออกไปรบ และพระยาห์เวห์ทรงมอบคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งเมโสโปเตเมียไว้ในมือของท่าน และมือของท่านชนะคูชันริชาธาอิม 11ดังนั้นแผ่นดินจึงสงบสุขอยู่ 40 ปี แล้วโอทนีเอลบุตรเคนัสก็สิ้นชีวิต

เอฮูด

 12และคนอิสราเอลทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์อีก พระยาห์เวห์จึงทรงเสริมกำลังเอกโลน กษัตริย์แห่งโมอับเพื่อให้ต่อสู้อิสราเอล เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ 13เอกโลนจึงได้ให้คนอัมโมนและคนอามาเลขมาสมทบ ยกไปโจมตีอิสราเอลและได้ยึดเมืองต้นอินทผลัมไว้ 14ดังนั้นคนอิสราเอลจึงรับใช้เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับอยู่ถึง 18 ปี
 15แต่เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงให้ผู้ช่วยกู้คนหนึ่งเกิดแก่เขาทั้งหลาย ชื่อเอฮูด บุตรเก-ราเผ่าเบนยามิน คนถนัดมือซ้าย คนอิสราเอลให้ท่านเป็นผู้นำเครื่องบรรณาการไปถวายเอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับ 16เอฮูดได้ทำดาบสองคมไว้ประจำตัวเล่มหนึ่ง ยาวราวครึ่งเมตร เหน็บไว้ใต้ผ้าที่ต้นขาขวา 17ท่านก็นำเครื่องบรรณาการไปถวายเอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับ เอกโลนเป็นคนอ้วนมาก 18และเมื่อเอฮูดถวายเครื่องบรรณาการแล้ว ท่านจึงไปส่งคนที่หาบเครื่องบรรณาการนั้น 19แล้วตัวท่านก็กลับจากรูปเคารพสลักที่อยู่ใกล้กิลกาลมาทูลเอกโลนว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระบาทมีข้อราชการลับที่จะทูลให้ทรงทราบ” กษัตริย์จึงทรงบัญชาว่า “เงียบๆ” บรรดามหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ก็ทูลลาออกไปหมด 20และเอฮูดก็เข้าไปเฝ้าพระองค์ ขณะนั้นพระองค์ประทับอยู่ลำพังในห้องเย็นชั้นบนของพระองค์ และเอฮูดทูลว่า “ข้าพระบาทมีพระวจนะจากพระเจ้ามายังฝ่าพระบาท” พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง 21เอฮูดก็ยื่นมือซ้ายชักดาบนั้นออกจากต้นขาขวาแทงเข้าไปในท้องของเอกโลน 22ดาบจมเข้าไปหมดทั้งด้าม ไขมันหุ้มดาบไว้ ท่านก็ไม่ชักดาบออกจากท้องของพระองค์ ของโสโครกไหลออกมา 23แล้วเอฮูดออกไปที่เฉลียงปิดประตูห้องชั้นบน ลั่นกุญแจเสีย
 24เมื่อเอฮูดไปแล้วมหาดเล็กก็เข้ามาดู เมื่อพวกเขาเห็นว่าประตูห้องชั้นบนปิดใส่กุญแจอยู่ เขาทั้งหลายคิดว่า “พระองค์ท่านกำลังทรงพระบังคนหนักอยู่ที่ในห้องเย็น” 25เมื่อคอยอยู่ช้านานจนรำคาญ ไม่เห็นมีใครเปิดประตูห้องชั้นบน พวกเขาจึงเอากุญแจมาไขเปิดออกดู เห็นเจ้านายของตนนอนสิ้นชีวิตอยู่บนพื้น
 26เมื่อเขาทั้งหลายต่างคอยกันอยู่นั้น เอฮูดก็หนีไปพ้นรูปเคารพหินสลัก รอดมาได้ถึงเสอีราห์ 27เมื่อท่านมาถึงแล้วจึงเป่าเขาสัตว์ขึ้นในแดนเทือกเขาเอฟราอิม แล้วคนอิสราเอลก็ยกลงไปกับท่านจากแดนเทือกเขา และท่านนำหน้าพวกเขา 28ท่านจึงสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงมอบศัตรูของพวกท่าน คือโมอับ ไว้ในมือของท่านแล้ว” เขาทั้งหลายจึงลงตามท่านไปและยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน สกัดคนโมอับไว้ไม่ยอมให้ใครข้ามไปได้สักคนเดียว 29ในคราวนั้นเขาประหารคนโมอับเสียประมาณ 10,000 คน ล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ล่ำสันทั้งสิ้น ไม่มีใครหนีรอดไปได้สักคนเดียว 30โมอับจึงพ่ายแพ้ตกอยู่ใต้อำนาจของอิสราเอลในวันนั้น และแผ่นดินอิสราเอลก็สงบสุขอยู่ 80 ปี

ชัมการ์

 31ภายหลังเอฮูด มีชัมการ์บุตรอานาทผู้ใช้ประตักฆ่าคนฟีลิสเตียเสีย 600 คน ท่านก็เป็นผู้ช่วยกู้อิสราเอลด้วย

อรรถาธิบาย

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้นำที่นำการช่วยกู้มาให้

คุณเคยพบว่าความเชื่อของคุณถูกทดสอบหรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นไวรัสโคโรนา ความท้าทายในที่ทำงาน ความสัมพันธ์ที่ยากลำบาก สิ่งล่อใจ ปัญหาสุขภาพ ทั้งหมดนี้คือบททดสอบ บรรดาคนของพระเจ้ามักถูกทดสอบ (2:22; 3:1,4) สิ่งที่สำคัญคือคุณตอบสนองอย่างไรในช่วงเวลาของการทดสอบนี้

เราจะเห็นได้ในเนื้อหาตอนนี้ถึงรูปแบบที่เกิดซ้ำ ๆ ตลอดหนังสือผู้วินิจฉัย:

1. ไม่เชื่อฟัง
‘คนอีกรุ่นหนึ่งก็เกิดตามมา พวกเขาไม่รู้จักพระยาห์เวห์อีกทั้งไม่รู้เรื่องพระราชกิจที่ทรงทำเพื่ออิสราเอล... พวกเขาละทิ้งพระยาห์เวห์... พวกเขาไปติดตามพระอื่นซึ่งเป็นพระของชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบ’ (2:10,12)

2. หายนะ
การตอบสนองของพระเจ้าคือปล่อยให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นเพื่อพวกเขาจะได้หันกลับมาหาพระองค์ ‘พระองค์จึงทรงมอบพวกเขาไว้ในมือพวกโจรผู้ปล้นเขา’ (ข้อ14)

3. ความทุกข์
ไม่แปลกใจสิ่งนี้เองทำให้ผู้คน ‘เป็นทุกข์’ (ข้อ 15)

4. การช่วยกู้
เมื่อพวกเขามีปัญหา พวกเขาร้องทูลต่อพระเจ้า และพระองค์ทรงให้เกิดผู้วินิจฉัยขึ้น ‘ผู้ช่วยเขาทั้งหลาย’ (ข้อ 16) ในภาษาฮีบรูความหมายของคำว่า ‘ผู้วินิจฉัย’ (shophet) นั้นกว้างมาก นอกจากนี้ยังอาจหมายถึง ‘ผู้ช่วยกู้’ หรือใครก็ตามที่นำความยุติธรรมหรือทำทุกอย่างให้ถูกต้อง

บุคคลคนแรก ๆ ของ ‘ผู้วินิจฉัย’ คือโอทนีเอล ‘พระวิญญาณของพระยาห์เวห์สถิตกับโอทนีเอล’ (3:10) โอทนีเอลได้รับการเจิมโดยพระวิญญาณของพระเจ้า และการเจิมนี้เองที่ทำให้พระองค์ช่วยกู้ผู้คนให้รอดและสร้างสงบสุขได้สี่สิบปี (ข้อ 11)

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้คนได้หลงหายจากความเชื่อและเกิดหายนะ (ข้อ 12–14) และได้ร้องทูลพระเจ้าให้ทรงช่วยกู้พวกเขา (ข้อ 15)

พระเจ้าได้ช่วยกู้ผู้คนด้วยวิธีที่น่าทึ่ง แต่อาจจะไม่ถูกใจเรานัก (ข้อ 21) เอฮูดคงเป็นคนที่กล้าหาญและชาญฉลาดอย่างยิ่งที่สามารถเดินเข้าไปในแผ่นดินของศัตรูโดยลำพังโดยมีดาบซ่อนอยู่ มันเป็นเรื่องบ้ามากที่ต้องทำ แต่ความจริงที่ว่าพระเจ้าอยู่กับเขา ทำให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างน่าทึ่ง อีกครั้งที่แผ่นดินมีความสงบสุข คราวนี้เป็นเวลาแปดสิบปี (ข้อ 30)

บางครั้งพระเจ้าก็ใช้คนที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนของพระเจ้าเพื่อปลดปล่อยผู้คนของพระองค์ ชัมการ์อาจเป็นชาวคานาอัน (ดู 5:6) เขาเป็นคนมีอานุภาพมาก เขา ‘ฆ่าคนฟีลิสเตียเสียหกร้อยคน ท่านก็เป็นผู้ช่วยกู้อิสราเอลด้วย’ (3:31)

ทรงให้ผู้คน ‘พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัย’ (2:18) กระนั้นผู้นำเหล่านี้นำมาซึ่งความสงบสุขเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเงาสะท้อนในทางที่ค่อนข้างมืดมนและอาจน้อยนิดถึงงานอันยิ่งใหญ่ของพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยกู้ที่ยิ่งใหญ่ โดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงช่วยกู้ท่าน พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ ทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตเหนือชีวิตของคุณในตอนนี้ (โรม 8:9) พระองค์ประทานกำลังและสติปัญญาแก่คุณ เพื่อที่คุณจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์ร้องทูลขอความรอดจากความยากลำบาก ปัญหาและความกลัวทั้งหมดที่ข้าพระองค์เผชิญ ข้าพระองค์สรรเสริญ และขอบพระคุณสำหรับการช่วยกู้ครั้งยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านทางพระผู้ช่วยให้รอด คือ พระเยซูคริสต์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เมื่อพูดถึงเอฮูดผู้ที่พระเจ้าได้ตั้งให้เป็นผู้ช่วยกู้และเป็นคนถนัด ‘มือซ้าย’ (ผู้วินิจฉัย 3:15) ฉันเองก็เป็นคนถนัดซ้าย ดังนั้นสิ่งนี้ทำให้ฉันยืนยันได้ถึงข้อดีของการถนัดซ้ายและการซุ่มรบแบบนี้มันได้ผลมากเพียงไรเมื่อ ‘เอฮูดเอื้อมมือซ้ายของเขา ชักดาบจากต้นขาขวาของเขาแล้วพุ่งเข้าใส่ท้องของกษัตริย์’ (ข้อ 21) เป็นเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนเล็กน้อยที่ได้อ่านว่าดาบหายเข้าไปในท้องอันมหึมาของกษัตริย์และฆ่าเขาโดยสมบูรณ์ได้อย่างไร (ข้อ 22) อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้คือแปดสิบปีแห่งสันติสุข (ข้อ 30) ดังนั้นมันต้องเป็นเรื่องดีแน่ ๆ

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม