วัน 130

จะเก็บเกี่ยวมากกว่าที่หว่านอย่างไร

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 58:1-11
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 6:1-24
พันธสัญญาเดิม ผู้วินิจฉัย 9:1-57

เกริ่นนำ

วอลเตอร์ นิชิโอกะ รู้ดีว่าการบริการของโรงแรมฮาวายที่ซึ่งเค้ามารับประทานมื้อสายในวันพุธนั้นดีมาก แต่เขาพบว่ามันดีเยี่ยมแค่ไหนเมื่อเขาได้รับสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในเมนู นั่นคือ ไตข้างหนึ่งของพนักงานเสิร์ฟ

คุณนิชิโอกะ อายุเจ็ดสิบปี เป็นนักธุรกิจท้องถิ่น เขาป่วยหนักด้วยโรคไต และได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าเขาจำเป็นต้องปลูกถ่ายไตโดยด่วน เขาเกือบจะหมดความหวังที่จะหาผู้บริจาคไตที่เข้าคู่กันได้ จนกระทั่งมีพนักงานเสิร์ฟ ชื่อ โจเซ่ โรคาซาอายุห้าสิบสองเป็นผู้อาสาบริจาคไตข้างหนึ่งของตนให้ นิชิโอกะกล่าวว่า ‘ผมอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และหมอบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะพบอวัยวะที่สามารถเข้าคู่กันได้ทันเวลา แต่โดยชายที่แสนดีคนนี้และความช่วยเหลือมากมายจากเบื้องบน ทำให้ตอนนี้ผมยังมีชีวิตอยู่และสบายดี’

เป็นเวลากว่ายี่สิบสองปีที่คุณนิชิโอกะมาใช้บริการที่โรงแรมบ่อย ๆ และ โจเซ่ โรคาซา ก็เป็นพนักงานเสิร์ฟคอยให้การบริการและจำได้เสมอว่าคุณนิชิโอกะ ใจดีและเป็นกันเองมาโดยตลอด ทั้งยังให้ทิปอย่างไม่เห็นแก่ตัว เขากล่าวว่า ‘ผมแค่อยากช่วยเขา’ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน เขามารับประทานอาหารกลางวันส่วนผมก็พยายามบริการให้ดีที่สุดเพื่อให้เขามีความสุข ซึ่งเขาก็ดีกับผมมาตลอด และเพื่อเป็นการตอบแทน แน่นอนผมพูดได้เลยว่า “ไม่ต้องกังวล ผมสามารถให้ไตคุณได้”'

คุณนิชิโอกะหว่านใจที่กว้างขวางและเขาก็เก็บเกี่ยวใจที่กว้างขวางกลับมา!

วันนี้เราจะได้เห็นว่า:

  • คุณจะได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณหว่าน
  • คุณจะเก็บเกี่ยวช้ากว่าที่คุณหว่าน
  • คุณจะได้เก็บเกี่ยวมากกว่าที่คุณหว่าน
ปัญญานิพนธ์

สดุดี 58:1-11

คำอธิษฐานขอทรงลงโทษคนอธรรม

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองอย่าทำลาย มิคทามบทหนึ่งของดาวิด

1ท่านทั้งหลายผู้ทรงอำนาจ ท่านพูดอย่างชอบธรรมหรือ?
 ท่านพิพากษาประชาชนอย่างเที่ยงธรรมหรือ?
2เปล่าเลย ใจของท่านคิดแผนชั่ว
 มือของท่านทำความทารุณบนแผ่นดินโลก
3คนอธรรมหลงเจิ่นไปตั้งแต่ออกจากครรภ์
 เขาหลงเตลิดและพูดมุสามาตั้งแต่เกิด
4เขามีพิษเหมือนพิษงู
 เหมือนงูเห่าหูหนวกที่อุดหูของมัน
5มันจึงไม่ได้ยินเสียงของหมองู
 หรือเสียงของผู้มีมนต์ขลัง
6ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงหักฟันในปากมันเสีย
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงถอนเขี้ยวสิงห์หนุ่มออกเสีย
7ขอให้เขาทั้งหลายหายไปเหมือนน้ำไหล
 เมื่อเขาเล็งธนู ก็ให้ลูกธนูทื่อ
8ขอให้เขาเหมือนหอยทากที่ละลายเป็นเมือกเมื่อเคลื่อนตัวไป
 เหมือนทารกแท้งที่ไม่เคยเห็นดวงตะวัน
9เร็วยิ่งกว่าหม้อจะรู้สึกร้อน ด้วยไฟจากต้นหนาม
 ไม่ว่าสดหรือไหม้เป็นเปลว ก็ขอพระองค์ทรงกวาดเขาไปเสีย
10คนชอบธรรมจะยินดี เมื่อเขาเห็นการแก้แค้น
 เขาจะเอาโลหิตของคนอธรรมล้างเท้าของเขา
11จะมีคนกล่าวว่า “แน่ทีเดียว มีบำเหน็จให้แก่คนชอบธรรม
 แน่ทีเดียว มีพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาในโลก”

อรรถาธิบาย

หว่านความยุติธรรม

ผู้คนหลายแสน (ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก) ถูกค้าประเวณีในทุก ๆ ปี นี่ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจการค้าที่ชั่วร้ายที่สุด ทั้งยังมีผู้คนนับล้านตกเป็นทาสของยุคสมัยของโลกทุกวันนี้ เกือบทุกวันเราอ่านข่าวเรื่องความโหดร้ายที่กระทำโดยการเผด็จการที่โหดเหี้ยม และระบอบการปกครองที่ชั่วร้าย

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีประกาศต่อต้านความอยุติธรรมแบบนี้ ‘นี่เป็นวิธีปกครองบ้านเมืองหรือ? มีผู้ทรงอำนาจที่สัตย์ซื่ออยู่ในบ้านเมืองบ้างหรือไม่?’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เขาคร่ำครวญต่อพวกผู้ทรงอำนาจที่พิพากษาอย่างไม่ยุติธรรม (ข้อ 1) ในหัวของพวกเขาเหล่านั้นคิดแต่เรื่องอยุติธรรมและมือของพวกเขาเหล่านั้นก็ ‘ทำความทารุณ’ (ข้อ 2) พวกเขาคือ ‘ภาชนะแห่งความชั่วร้าย’ ที่กำลังทำ ‘ข้อตกลงกับซาตาน’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และพวกเขายังกล่าวเท็จ (ข้อ 3) และเพิกเฉยต่อเสียงร้องของผู้ที่ปรารถนาความยุติธรรมทั้งมนุษย์และพระเจ้าเอง พวกเขาเป็นเหมือนดั่ง ‘งูเห่าหูหนวกที่อุดหู มันจึงไม่ได้ยินเสียงของหมองู หรือเสียงของผู้มีมนต์ขลัง’ (ข้อ 4ข–5)

ความเป็นผู้นำเป็นสิ่งสำคัญในทุก ๆ บริบทสังคม ผู้นำที่หว่านความอยุติธรรมจะเก็บเกี่ยวผลที่เลวร้ายตามมา พวกเขากำลังหว่านพิษ ‘เขามีพิษเหมือนพิษงู’ (ข้อ 4) พวกเขาสร้างสังคมที่สั่นคลอนและท้ายที่สุดจะถูก ‘กวาด’ ล้างออกไป (ข้อ 9) เป็นที่น่าโล่งใจมากเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาหว่าน ในทำนองเดียวกันก็ ‘มีบำเหน็จให้แก่คนชอบธรรม’ (ข้อ 11ก) เมื่อเราตระหนักได้ถึงหลักการนี้ในกิจการงานของเรา เราก็พูดได้ว่า ‘มีพระเจ้า’ (ข้อ 11)

แต่บ่อยครั้งการเก็บเกี่ยวเกิดขึ้นช้ากว่าการหว่านมาก แม้ว่าเราต้องรอจนถึงวันพิพากษาก็ตาม พระธรรมสดุดีนี้ย้ำเตือนให้เราระลึกว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้นแน่นอน การพิพากษาของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี มันเกิดจากความรักของพระองค์ พระเจ้าเห็นคุณค่าของเราแต่ละคนมากจนพระองค์ทรงห่วงใยว่าเราจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร ในที่สุดความอยุติธรรมจะไม่ได้รับชัยชนะ แต่ความยุติธรรมจะมีชัย และผู้ชอบธรรมจะ ‘ยินดี’ (ข้อ 10)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ทำทุกอย่างเพื่อหว่านความยุติธรรมในโลกนี้ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ต่อสู้กับความอยุติธรรมทุกที่ที่ประสบพบเจอ

พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 6:1-24

การทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

 1หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือที่เรียกว่าทะเลทิเบเรียส 2มหาชนก็ตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาเห็นหมายสำคัญต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำต่อบรรดาคนป่วย 3พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับอยู่กับพวกสาวกของพระองค์ 4ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลของพวกยิว 5พระเยซูเงยพระพักตร์ขึ้นและทอดพระเนตรเห็นมหาชนพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “พวกเราจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ที่ไหน?” 6พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะทดสอบฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าพระองค์จะทรงทำอย่างไร 7ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเดนาริอันหนึ่งเหรียญเดนาริอัน เท่ากับค่าจ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่ง ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขากินกันคนละเล็กละน้อย” 8สาวกคนหนึ่งของพระองค์คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า 9“ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?” 10พระเยซูตรัสว่า “ให้ทุกคนนั่งลงเถิด” (ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน 11แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงแจกจ่ายให้บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาต้องการ 12เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” 13พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม 14เมื่อคนทั้งหลายเห็นหมายสำคัญที่พระองค์ทรงทำ พวกเขาจึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นที่จะมาในโลก”
 15เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาอีกตามลำพัง

พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ

 16พอค่ำลงพวกสาวกของพระองค์ก็ไปที่ทะเลสาบ 17แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้วและพระเยซูก็ยังไม่เสด็จไปหาพวกเขา 18ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดแรง 19เมื่อพวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูทรงดำเนินมาบนทะเล กำลังเข้ามาใกล้เรือ พวกเขาต่างตกใจกลัว 20แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 21พวกเขาจึงเต็มใจรับพระองค์ขึ้นเรือ ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น

พระเยซูคืออาหารแห่งชีวิต

 22วันรุ่งขึ้นฝูงชนที่เหลืออยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่า ก่อนนั้นมีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูไม่ได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับพวกสาวก พวกสาวกของพระองค์ไปกันตามลำพังเท่านั้น 23เวลานั้นมีเรือลำอื่นๆ จากทิเบเรียส ผ่านมาใกล้ตำบลที่พวกเขากินขนมปังหลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าขอบพระคุณแล้ว 24ดังนั้นเมื่อฝูงชนเห็นว่าพระเยซูและพวกสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม

อรรถาธิบาย

หว่านใจที่กว้างขวาง

มีบทเรียนมากมายให้เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของพระเยซู หนึ่งในนั้นคือ หลักการที่ว่า คนที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยวใจที่กว้างขวางกลับมาเช่นกัน

พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์และทอดพระเนตรเห็นฝูงชนจำนวนมากที่เข้ามาหาพระองค์ ‘พระองค์ตรัสกับฟิลิปว่า “เราจะซื้อขนมปังเพื่อเลี้ยงคนเหล่านี้ได้ที่ไหน” พระองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อขยายความเชื่อของฟีลิป’ (ข้อ 5–6ก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความเชื่อก็เหมือนกล้ามเนื้อ เติบโตได้ด้วยการหมั่นบริหาร

แม้ว่าพระเยซูทรงตั้งคำถามแต่อันที่จริง ‘พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าพระองค์จะทรงทำอย่างไร’ (ข้อ 6ข) นี่แสดงว่าเป็นเรื่องปกติที่จะถามคำถามที่คุณรู้คำตอบอยู่แล้ว (อันที่จริง ตอนที่ผมเป็นทนายความฝึกหัด ผมถูกสอนให้ถามแต่คำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วเท่านั้น!)

‘ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเดนาริอัน ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขากินกันคนละเล็กละน้อย” สาวกคนหนึ่งของพระองค์… ทูลพระองค์ว่า “ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?”’ (ข้อ 7–8)

การแสดงออกถึงใจที่กว้างขวางของเด็กคนนี้จะไม่มีวันถูกลืมเลย พระเยซูทรงสามารถกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ผ่านสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ เด็กชายมอบทุกสิ่งที่เขามีอย่างไม่เห็นแก่ตัว ถึงแม้มันเป็นจำนวนเพียงน้อยนิด คือ ‘มีเพียงแค่หยิบมือในกระบุงเท่านั้นสำหรับฝูงชนที่มากมายเช่นนี้’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อย่างไรก็ตาม มันกลับถูกทวีคูณขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเยซูที่ทรงเลี้ยงดูผู้คนอย่างน้อย 5,000 คน และมีอาหารเหลืออยู่อีกมาก พระเยซูตรัสว่า ‘จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น’ (ข้อ 12) หากจำเป็นต้องมีหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์ นี่คือหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์สำหรับดูแลไม่ให้อาหารสิ้นเปลือง ดูเหมือนจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุอยู่เสมอหากอาหารถูกทิ้งโดยไม่จำเป็น

โลกได้ผลิตอาหารที่เพียงพอกับมนุษย์ทุกคน แต่กระนั้นกลับมีผู้คนกว่าครึ่งพันล้านกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานจากภาวะขาดสารอาหารเรื้อรัง ในเวลาเดียวกัน ทุก ๆ ปีประมาณหนึ่งในสามของอาหารที่ผลิตเพื่อการบริโภคของมนุษย์จะสูญหายหรือสูญเปล่าไป เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซูโดยด่วนทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวมคือ ‘อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น’ (ข้อ 12)

สิ่งใดก็ตามที่คุณถวายแด่พระเยซู พระองค์ทรงทวีคูณขึ้น อัครสาวกเปาโลบรรยายไว้ว่า ‘นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก’ (2 โครินธ์ 9:6)

ตั้งเป้าให้ตัวคุณเองเป็นคนที่มีจิตใจที่กว้างขวางที่สุดคนหนึ่ง ให้เราเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทั้งทรัพย์สิน เงินทอง เวลาและความรักของตัวคุณเอง คุณไม่สามารถมอบสิ่งใด ๆ ได้เท่ากับที่พระเจ้าประทานให้ได้ แต่ยิ่งคุณให้มากเท่าไหร่ คุณก็จะเก็บเกี่ยวได้มากขึ้นเท่านั้น และคุณก็จะได้รับความโปรดปรานที่มาจากพระเจ้ามากขึ้นด้วย

หลังจากการอัศจรรย์อันน่าทึ่งในการเลี้ยงอาหารแก่คน 5,000 คน เหล่าสาวกพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางพายุ (ยอห์น 6:18) พระเยซูทรงเรียกสาวกของพระองค์ให้ก้าวผ่านจากความเชื่อ ที่อาศัยการอัศจรรย์ ที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ที่คอยตอบสนองความต้องการทางร่างกายไปสู่ความเชื่อซึ่งเป็นความวางใจในพระองค์และพระวจนะของพระองค์

ช่างน่าอัศจรรย์ พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำไปหาพวกเขา ที่กำลัง ‘กลัวอย่างไร้สติ’ (ข้อ19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ‘เราเอง ไม่เป็นไร อย่ากลัวเลย’ (ข้อ20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การติดตามพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป มีทั้งมรสุมและความท้าทายมากมายเข้ามาในชีวิต แต่การที่พระเยซูทรงสถิตอยู่กับเรานั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่น่าแปลกใจที่ฝูงชนมากมายต่าง ‘ตามหาพระเยซู’ (ข้อ 24)

คำอธิษฐาน

ขอบพระคุณพระเยซู ที่พระองค์ทรงทวีคูณสิ่งที่ข้าพระองค์มอบให้แด่พระองค์ ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้มีหัวใจที่กว้างขวางกับทุกสิ่ง ผ่านเงิน ทรัพย์สมบัติ ความเมตตากรุณา และเวลาที่มี

พันธสัญญาเดิม

ผู้วินิจฉัย 9:1-57

อาบีเมเลคพยายามสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์

 1ส่วนอาบีเมเลคบุตรเยรุบบาอัลก็ไปหาญาติของมารดาที่เมืองเชเคม แล้วพูดกับเขาทั้งหลายและกับวงศาคณาญาติมารดาของตนว่า 2“ขอบอกความนี้ให้เข้าหูชาวเมืองเชเคมเถิดว่า ‘จะให้บุตรเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนครอบครองท่านทั้งหลายดี หรือจะให้ผู้เดียวปกครองดี’ ขอระลึกไว้ด้วยว่า ตัวข้าพเจ้านี้เป็นเลือดเนื้อเดียวกับท่านทั้งหลาย” 3ฝ่ายญาติของมารดาของเขาก็กล่าวคำเหล่านี้ให้เข้าหูชาวเชเคม จิตใจของชาวเมืองก็เอนเอียงเข้าข้างอาบีเมเลค ด้วยพวกเขากล่าวกันว่า “เขาเป็นญาติของเรา” 4เขาทั้งหลายจึงเอาเงิน 70 แผ่นออกจากวิหารพระบาอัลเบรีทดูเชิงอรรถ วนฉ.8:33มอบให้อาบีเมเลค อาบีเมเลคก็เอาเงินนั้นไปจ้างพวกนักเลงไว้ติดตามตน 5เขาจึงไปที่บ้านบิดาของเขาที่เมืองโอฟราห์ ฆ่าพี่น้องของตน คือบุตรเยรุบบาอัลทั้ง 70 คนที่ศิลาแผ่นเดียว เหลือแต่โยธามบุตรสุดท้องของเยรุบบาอัลเพราะเขาซ่อนตัวเสีย 6ชาวเมืองเชเคมและชาวเบธมิลโลทั้งสิ้นก็มาประชุมพร้อมกัน ตั้งอาบีเมเลคให้เป็นกษัตริย์ที่ข้างต้นโอ๊กแห่งเสาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองเชเคม

อุปมาเรื่องต้นไม้ต่างๆ

 7เมื่อโยธามทราบเรื่อง เขาก็ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดภูเขาเกริซิม ตะเบ็งเสียงตะโกนบอกเขาทั้งหลายว่า “ชาวเมืองเชเคมเอ๋ย ขอจงฟังข้า เพื่อพระเจ้าจะทรงฟังเสียงของเจ้าทั้งหลาย 8ครั้งหนึ่งต้นไม้ต่างๆ ได้ออกไปเจิมตั้งต้นไม้ต้นหนึ่งไว้เป็นราชา พวกมันไปเชิญต้นมะกอกว่า ‘เชิญท่านปกครองเราเถิด’ 9แต่ต้นมะกอกตอบว่า ‘จะให้ฉันหยุดผลิตน้ำมันซึ่งเขาใช้ถวายเกียรติแด่พระและแก่มนุษย์ เพื่อไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ?’ 10แล้วต้นไม้เหล่านั้นจึงไปพูดกับต้นมะเดื่อว่า ‘เชิญท่านมาปกครองเราเถิด’ 11แต่ต้นมะเดื่อตอบว่า ‘จะให้ฉันหยุดผลิตรสหวานและผลดีของฉัน และไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ?’ 12ต้นไม้เหล่านั้นก็ไปพูดกับเถาองุ่นว่า ‘เชิญท่านมาปกครองเราเถิด’ 13แต่เถาองุ่นตอบว่า ‘จะให้ฉันหยุดผลิตเหล้าองุ่นอันเป็นที่ชื่นใจพระและมนุษย์ไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ?’ 14ต้นไม้ทั้งสิ้นก็ไปพูดกับต้นหนามว่า ‘เชิญท่านมาปกครองเราเถิด’ 15ต้นหนามจึงตอบต้นไม้ทั้งหลายว่า ‘ถ้าท่านทั้งหลายจะเจิมตั้งฉันให้เป็นราชาของท่านจริงๆ จงมาอาศัยใต้ร่มเงาของฉันเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟเกิดจากต้นหนามเผาผลาญต้นสนสีดาร์เลบานอนเสีย’ 16“เวลานี้เจ้าทั้งหลายตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์ ถ้าทำด้วยความจริงใจและเที่ยงธรรม และถ้าได้ทำดีต่อเยรุบบาอัลและครอบครัวของท่านสมกับความดีที่มือท่านได้ทำไว้ 17(เพราะว่าบิดาของเราได้สู้รบเพื่อเจ้าทั้งหลาย และเสี่ยงชีวิตช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากมือพวกมีเดียน 18แต่ในวันนี้เจ้าทั้งหลายได้ลุกขึ้นทำร้ายเชื้อสายบิดาของข้า ได้ฆ่าบุตรชายทั้งเจ็ดสิบคนของท่านเสียบนศิลาแผ่นเดียว แล้วตั้งอาบีเมเลคลูกหญิงคนใช้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ปกครองชาวเชเคม เพราะว่าเขาเป็นญาติของเจ้าทั้งหลาย) 19ถ้าเจ้าทั้งหลายได้ทำด้วยความจริงใจและเที่ยงธรรมต่อเยรุบบาอัล และครอบครัวของท่านในวันนี้ ก็จงชื่นชมในอาบีเมเลคเถิด และให้เขามีความชื่นชมยินดีในเจ้าทั้งหลาย 20แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็ขอให้ไฟออกมาจากอาบีเมเลค เผาผลาญชาวเมืองเชเคมและเบธมิลโล และให้ไฟออกมาจากชาวเมืองเชเคม และจากเบธมิลโลเผาผลาญอาบีเมเลคเสีย” 21โยธามก็รีบหนีไปยังเบเออร์อาศัยอยู่ที่นั่น เพราะกลัวอาบีเมเลคพี่ชายของตน

ความพินาศของอาบีเมเลค

 22อาบีเมเลคครอบครองอิสราเอลอยู่ได้ 3 ปี 23พระเจ้าทรงใช้วิญญาณชั่วเข้าแทรกระหว่างอาบีเมเลคกับชาวเมืองเชเคม ชาวเมืองเชเคมก็กบฏต่ออาบีเมเลค 24เพื่อทารุณกรรมที่ได้ทำแก่บุตร 70 คนของเยรุบบาอัลจะถูกสนองตอบ และโลหิตของเขาเหล่านั้นจะตกบนอาบีเมเลค พี่น้องผู้ได้ประหารพวกเขาและตกแก่ชาวเมืองเชเคม ผู้สนับสนุนอาบีเมเลคให้ฆ่าพี่น้องของตน 25ชาวเมืองเชเคมได้วางคนซุ่มซ่อนไว้ต่อสู้อาบีเมเลคที่บนยอดภูเขา พวกเขาก็ปล้นทุกคนที่ผ่านไปมาทางนั้น และมีคนบอกอาบีเมเลคให้ทราบ
 26กาอัลบุตรเอเบดกับญาติๆ ของเขาเข้าไปในเมืองเชเคม และชาวเชเคมไว้เนื้อเชื่อใจเขา 27เขาทั้งหลายพากันออกไปในสวนภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ท้องทุ่งเก็บผลองุ่นมาย่ำ ทำการเลี้ยงรื่นเริงและเข้าไปในวิหารแห่งพระของพวกเขา เขาทั้งหลายกินและดื่ม และแช่งด่าอาบีเมเลค 28กาอัลบุตรเอเบดจึงกล่าวว่า “อาบีเมเลคคือใคร? และเชเคมเป็นใครกันที่เราต้องปรนนิบัติเขา? เขาไม่ใช่บุตรของเยรุบบาอัลหรือ? และเศบุลไม่ใช่เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยของเขาหรือ? จงปรนนิบัติแปลได้อีกว่า พวกเขาปรนนิบัติคนฮาโมร์ บิดาของเชเคม ทำไมเราต้องปรนนิบัติอาบีเมเลคด้วย? 29ถ้าคนเมืองนี้อยู่ใต้ปกครองของข้านะ ข้าจะถอดอาบีเมเลคเสีย ข้าจะท้าเอบีเมเลคว่า ‘จงเพิ่มกองทัพของเจ้าขึ้น แล้วออกมาเถิด’ ”
 30พอเศบุลเจ้าเมืองได้ยินถ้อยคำของกาอัลบุตรเอเบดก็โกรธ 31จึงส่งผู้สื่อสารไปยังอาบีเมเลคที่อารูมาห์ฉบับฮีบรูว่า โทรมาห์กล่าวว่า “นี่แน่ะ กาอัลบุตรเอเบดและญาติๆ ของเขามาที่เมืองเชเคม ยุแหย่เมืองนั้นให้ต่อสู้กับท่าน 32บัดนี้ขอท่านจงลุกขึ้นในเวลากลางคืน ทั้งท่านและกองทัพที่อยู่กับท่านไปซุ่มคอยอยู่ในทุ่งนา 33รุ่งเช้าพอดวงอาทิตย์ขึ้น ท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ รีบรุกเข้าเมือง และนี่แน่ะ เมื่อกาอัลกับกองทัพที่อยู่กับเขาออกมาต่อสู้ท่าน ท่านจงทำแก่พวกเขาตามแต่โอกาสจะอำนวย”
 34อาบีเมเลค และกองทัพทั้งสิ้นที่อยู่กับเขาก็ลุกขึ้นในเวลากลางคืน แบ่งออกเป็นสี่กองไปซุ่มคอยสู้เมืองเชเคม 35กาอัลบุตรเอเบดก็ออกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง อาบีเมเลคก็ลุกขึ้นพร้อมกับกองทัพที่อยู่กับเขา ออกมาจากที่ซุ่มซ่อน 36และเมื่อกาอัลเห็นฝูงชน จึงพูดกับเศบุลว่า “ดูซิ ฝูงชนกำลังเคลื่อนลงมาจากยอดภูเขา” เศบุลตอบเขาว่า “ท่านเห็นเงาภูเขาเป็นคนไป” 37กาอัลพูดขึ้นอีกว่า “ดูซิ ฝูงชนกำลังออกมาจากทับบูร์ฮาอาเรสภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ตอนกลางของแผ่นดิน กลุ่มหนึ่งกำลังออกมาจากทางต้นโอ๊กของผู้ทำนาย” 38เศบุลก็กล่าวแก่กาอัลว่า “ปากของท่านอยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้ ท่านผู้ที่กล่าวว่า ‘อาบีเมเลคเป็นใครที่เราต้องปรนนิบัติ?’ คนเหล่านี้เป็นคนที่ท่านหมิ่นประมาทไม่ใช่หรือ? จงยกออกไปรบกับเขาเถิด” 39กาอัลก็เดินนำหน้าชาวเมืองเชเคมออกไปต่อสู้กับอาบีเมเลค 40อาบีเมเลคก็ขับไล่กาอัลหนีไป มีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากจนถึงทางเข้าประตูเมือง 41ส่วนอาบีเมเลคก็อาศัยอยู่ที่อารูมาห์ และเศบุลก็ขับไล่กาอัลกับญาติๆ ของเขาออกไป ไม่ให้อยู่ที่เมืองเชเคมต่อไป
 42รุ่งขึ้น ชาวเมืองนั้นออกไปที่ทุ่งนา อาบีเมเลคก็ทราบเรื่อง 43เขาจึงแบ่งคนของเขาออกเป็นสามกอง ซุ่มคอยที่ทุ่งนา เขามองดู เมื่อคนออกจากเมือง เขาจึงลุกขึ้นประหารเสีย 44อาบีเมเลคกับกองทหารที่อยู่ด้วยก็รุกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง ฝ่ายทหารอีกสองกองก็รุกเข้าโจมตีคนทั้งหมดที่ในทุ่งนาและประหารเสีย 45อาบีเมเลคโจมตีเมืองนั้นตลอดวันจนยึดเมืองได้ และฆ่าฟันประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นเสีย อีกทั้งทำลายเมืองนั้นด้วย แล้วก็หว่านเกลือลงไป
 46เมื่อพวกผู้นำทั้งสิ้นที่หอรบเมืองเชเคมได้ยินเช่นนั้น ก็หนีเข้าไปอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินในวิหารของพระเอลเบรีทแปลว่า พระแห่งพันธสัญญาเหมือนกับบาอัลแห่งพันธสัญญา 47มีคนไปเรียนอาบีเมเลคว่า ชาวเมืองทั้งสิ้นที่หอรบเมืองเชเคมมาชุมนุมกันอยู่ 48อาบีเมเลคก็ขึ้นไปบนภูเขาศัลโมน ทั้งตัวเขากับกองทัพทั้งสิ้น อาบีเมเลคถือขวานตัดกิ่งไม้ใส่บ่าแบกมา เขาบอกคนที่อยู่ด้วยว่า “เจ้าเห็นข้าทำอะไร จงรีบไปทำอย่างข้าเถิด” 49คนทั้งปวงก็ตัดกิ่งไม้แบกตามอาบีเมเลคไปสุมไว้ที่อุโมงค์ใต้ดิน แล้วก็จุดไฟเผา ดังนั้นคนที่หอรบเมืองเชเคมก็ตายหมดทั้งชายและหญิงประมาณ 1,000 คน
 50อาบีเมเลคไปยังเมืองเธเบศตั้งค่ายประชิดเมืองเธเบศไว้ และยึดเมืองนั้นได้ 51แต่ในเมืองแปลได้อีกว่า แต่ตรงใจกลางเมืองมีหอรบแข็งแกร่งแห่งหนึ่ง ชาวเมืองนั้นทั้งหมดทั้งชายและหญิงก็หนีเข้าไปที่นั่นปิดประตูขังตนเองเสีย แล้วก็ขึ้นไปบนหลังคาหอรบ 52อาบีเมเลคยกมาถึงหอรบนี้ ก็เข้าโจมตีจนเข้ามาใกล้ประตูหอรบได้ เพื่อจะเอาไฟเผา 53แต่หญิงคนหนึ่งเอาหินโม่แป้งชิ้นบนทุ่มศีรษะอาบีเมเลค ทำให้กะโหลกศีรษะของเขาแตก 54เขาจึงรีบร้องบอกคนหนุ่มที่ถืออาวุธของเขาว่า “จงชักดาบออกแล้วฆ่าเราเสียเพื่อคนจะไม่พูดว่า ‘ผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าเขาตาย’ ” คนหนุ่มนั้นก็แทงเขาทะลุถึงแก่ความตาย 55เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่าอาบีเมเลคสิ้นชีวิตแล้ว ต่างคนก็กลับไปยังที่ของตน 56ดังนี้แหละพระเจ้าทรงตอบสนองความชั่ว ที่อาบีเมเลคได้ทำต่อบิดาของตน ที่ได้ฆ่าพี่น้อง 70 คนของตนเสีย 57และพระเจ้าทรงตอบสนองกรรมชั่วทั้งสิ้นของชาวเชเคมบนศีรษะของพวกเขาเอง และคำสาปแช่งของโยธามบุตรเยรุบบาอัลก็ตกอยู่กับเขาทั้งหลาย

อรรถาธิบาย

หว่านความจงรักภักดี

หลายปีที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็นว่าผู้ที่หว่านความภักดีต่อผู้นำของตนจะเก็บเกี่ยวความภักดีอย่างสูงได้อย่างไร เมื่อตนเองได้กลายเป็นผู้นำ ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่ปฏิเสธที่จะอยู่ภายใต้การนำของผู้อื่นและก่อปัญหา มักจะเก็บเกี่ยวทัศนคติที่ไม่จงรักภักดีแบบเดียวกันเสมอหากพวกเขาเองได้เป็นผู้นำ

เนื้อหาตอนนี้เราได้เห็นหายนะของการไม่จงรักภักดีของอาบีเมเลคต่อบิดาและพี่น้องของเขา อาบีเมเลคเป็นผู้นำที่กระตือรือร้น เป็นนักสื่อสารที่ดี และเป็นนักวางกลยุทธ์ที่มีทักษะ แต่เขาก็เย่อหยิ่งและยกยอตนเองเช่นกัน เขาไม่ต้องการมีคู่แข่ง อาบีเมเลคหว่านความรุนแรง ‘เขาจ้างพวกนักเลง กองโจร... และฆ่าพี่น้องของเขา... เจ็ดสิบคน!’ (ข้อ 4–5 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) โดยมีน้องคนสุดท้องเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากการซ่อนตัว

อีกครั้งที่เราเห็นหลักการในพระคัมภีร์นี้ในกิจการงานที่ทำ เราเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราหว่าน อาบีเมเลคหว่านความไม่ซื่อสัตย์และความรุนแรง เขาเก็บเกี่ยวความไม่ซื่อสัตย์และความรุนแรงนี้ด้วย ในตอนแรกเขาไปอยู่กับชาวเมืองเชเคม (ข้อ 2 เป็นต้นไป) แต่สามปีต่อมาได้เกิดความขุ่นเคืองใจกันขึ้นระหว่างอาบีเมเลคกับชาวเมืองเชเคมผู้ได้กบฏต่ออาบีเมเลคในภายหลัง

อาบีเมเลคเก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่าน พวก​ผู้​นำ​ของชาวเมือง​เชเคม 'ก่อการกบฏลับหลัง ความทารุณสะท้อนกลับมา คือความโหดร้ายจากการสังหารพี่น้องเจ็ดสิบคนบุตรชายของเยรุบ-บาอัล บัดนี้ล่องลอยไปอยู่ท่ามกลางอาบีเมเลคและผู้นำของชาวเมืองเชเคม ผู้ซึ่งเคยอยู่ข้างความโหดร้ายนั้น’ (ข้อ 23–24 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อาบีเมเลคไม่แสดงความจงรักภักดีต่อชาวเมืองเชเคม เขาหลอกใช้คนเหล่านั้นเมื่อเขาต้องการ (ข้อ 2) อย่างไรก็ตาม เขาไม่ลังเลเลยที่จะกำจัดคนนั้นออกไป (ข้อ 42–49)

ในท้ายที่สุด พวกเขาทั้งหมดก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่หว่านออกไป และหลังจากนั้นเองอาบีเมเลคก็ถูกฆ่าตายอย่างน่าละอาย (ข้อ 53–54) ผู้เขียนสรุปทั้งหมดไว้ว่า ‘พระเจ้าทรงแก้แค้นอาบีเมเลคผู้ทำการชั่วต่อบิดาและสังหารพี่น้องเจ็ดสิบคนของเขา และพระเจ้าได้ทรงสนองกรรมชั่วทั้งหมดลงมาบนศีรษะของชาวเชเคม’ (ข้อ 56–57 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยให้เราทั้งหลายจงรักภักดีต่อกันในคริสตจักร ในที่ทำงาน ในครอบครัวของเรา และในความสัมพันธ์ของเรา โปรดช่วยเราในฐานะชุมชนที่จะหว่านความจริงและความยุติธรรม ความเมตตาและความจงรักภักดีออกไป

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ผู้วินิจฉัย 9:1–57

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราได้เห็นความพินาศของครอบครัวกิเดโอน (เยรุบ-บาอัล) ฉันคิดว่าเขาควรอ่านคู่มือชีวิตสมรสและคู่มือการอบรมเลี้ยงดูบุตรของนิคกี้และซีล่า ลี และต้องจดจ่อกับเรื่องเหล่านั้นในชีวิตของเขาให้มากขึ้น ครอบครัวของเรามีความสำคัญมากและเราจำเป็นต้องใช้เวลากับพวกเขา

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม