วัน 135

ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ โดยพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 60:5-12
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 8:12-30
พันธสัญญาเดิม ผู้วินิจฉัย 18:1-19:30

เกริ่นนำ

ผมอายุสิบแปดปีเมื่อผมพบพระเยซูเป็นครั้งแรก ผมจำการสนทนาที่พูดคุยกับผู้นำคริสเตียนได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นไม่นาน ผมพูดว่า ผมดีใจที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเร็วกว่านี้ เพราะว่าผมสามารถมีประสบการณ์ในความแตกต่าง ระหว่างชีวิตที่ไม่มีพระเจ้าและชีวิตที่มีพระเจ้า เขาชี้ให้เห็นถึงตรรกะวิบัติของวิธีคิดแบบนั้น และแน่นอนว่า ยิ่งเรามีประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้าเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

ตอนนี้เมื่อมองย้อนไปดูชีวิตของผม ผมเห็นว่าถ้อยคำของเขาเต็มไปด้วยปัญญา ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างยิ่งที่ลูก ๆ ของเราสามารถมองย้อนไปในชีวิตของพวกเขาเอง และพูดว่า พวกเขาไม่เคยต้องมีเวลาในชีวิตที่อยู่โดย ‘ปราศจากพระเจ้า’

หลายปีมานี้ ผมสัมภาษณ์คนไปนับร้อย ๆ คนที่ได้พบพระเยซูในหลักสูตรอัลฟ่า พวกเขาเปรียบเทียบชีวิตของพวกเขาที่ปราศจากพระเจ้ากับชีวิตที่มีพระเจ้า มีความรู้สึกชื่นบานและโล่งใจอย่างยิ่ง และบ่อยครั้งก็นึกเสียใจว่าพวกเขาไม่ได้เริ่มต้นชีวิตกับพระเจ้าเร็วกว่านี้

คุณถูกสร้างมาเพื่อดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์กับพระเจ้า หากปราศจากเรื่องนี้ ชีวิตไม่เคยมีความหมาย การได้อยู่กับพระเจ้ายิ่งสำคัญกว่าสิ่งที่คุณทำเพื่อพระเจ้า โดยพระเจ้าทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 60:5-12

5ขอประทานชัยชนะโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์และขอทรงตอบข้า
  พระองค์ทั้งหลาย
 เพื่อว่าผู้ที่พระองค์ทรงรักจะได้รับการช่วยกู้
6พระเจ้าตรัสในสถานนมัสการของพระองค์ว่า
 “เราจะยินดี เราจะแบ่งเมืองเชเคม
 และแบ่งหุบเขาเมืองสุคคทออก
7กิเลอาดเป็นของเรา และมนัสเสห์เป็นของเรา
 เอฟราอิมเป็นหมวกป้องกันศีรษะของเรา
 ยูดาห์เป็นคทาของเรา
8โมอับเป็นอ่างล้างชำระของเรา
 เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม
 เราโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย”
9ผู้ใดจะนำข้าพเจ้ามายังนครมีป้อม?
 ผู้ใดจะนำข้าพเจ้าไปยังเอโดม?
10ข้าแต่พระเจ้า พระองค์มิได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วหรือ?
 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงออกไปกับกองทัพของข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วหรือ?
11ขอประทานความช่วยเหลือแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเพื่อต่อต้านศัตรู
 เพราะความช่วยเหลือของมนุษย์ก็ไร้ผล
12โดยพึ่งพระเจ้า เราจะสู้อย่างเข้มแข็ง
 พระองค์ทรงเป็นผู้เหยียบศัตรูของเราลง

อรรถาธิบาย

ได้รับชัยชนะ

เมื่อเทียบกับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ความช่วยเหลือของมนุษย์ช่างไร้ค่า ‘โดยพึ่งพระเจ้า’ ดาวิดตรัสว่า ‘เราจะสู้อย่างเข้มแข็ง’ (ข้อ 12) พระองค์ไม่ได้พูดถึงสงครามทางกายภาพ อัครสาวกเปาโลเขียนว่า สงครามหลัก ๆ ของเราไม่ใช่ในทางกายภาพ ไม่ใช่การต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด ‘แต่...ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน’ (เอเฟซัส 6:12)

ดาวิดอธิษฐานว่า ‘ขอประทานชัยชนะโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์และขอทรงตอบข้าพระองค์ทั้งหลาย เพื่อว่าผู้ที่พระองค์ทรงรักจะได้รับการช่วยกู้ … ขอประทานความช่วยเหลือแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเพื่อต่อต้านศัตรู เพราะความช่วยเหลือของมนุษย์ก็ไร้ผล โดยพึ่งพระเจ้า เราจะสู้อย่างเข้มแข็ง ’ (สดุดี 60:5, 11–12ก)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่โดยพระองค์ ข้าพระองค์สามารถมั่นใจได้ ในทุกการศึกที่ข้าพระองค์กำลังเผชิญอยู่ ข้าพระองค์เชื่อวางใจในพระองค์

พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 8:12-30

พระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก

 12พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” 13พวกฟาริสีจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “ท่านเป็นพยานให้ตัวเอง คำพยานของท่านก็ไม่จริง” 14พระเยซูตรัสตอบว่า “ถึงแม้เราเป็นพยานให้ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ยังเป็นจริงอยู่ เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน 15พวกท่านพิพากษาตามมาตรฐานโลกภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ตามเนื้อหนัง เราไม่ได้มาพิพากษาใคร 16แต่ถึงแม้เราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเราไม่ได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา 17ในธรรมบัญญัติของท่านเขียนไว้ว่า คำพยานของคนสองคนย่อมเชื่อถือได้ 18เราเป็นพยานให้ตัวเราเองและพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้เราด้วย” 19พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน?” พระเยซูตรัสตอบว่า “พวกท่านไม่รู้จักตัวเราหรือพระบิดาของเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเรา พวกท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 20พระเยซูตรัสคำเหล่านี้ที่คลังเงินขณะกำลังสั่งสอนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร แต่ไม่มีใครจับกุมพระองค์เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์

ที่ซึ่งเราจะไปนั้นท่านไปไม่ได้

 21พระองค์ตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เราจะจากไป และพวกท่านจะแสวงหาเราและจะตายในการบาปของตัวเอง ที่ที่เราจะไปนั้นท่านไปไม่ได้” 22พวกยิวจึงพูดกันว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ? เพราะเขาพูดว่า ‘ที่ที่เราจะไปนั้นพวกท่านไปไม่ได้’” 23พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านเป็นของเบื้องล่าง เราเป็นของเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24เราบอกพวกท่านว่า ท่านจะตายในการบาปของตัวเอง เพราะว่าถ้าพวกท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านก็จะต้องตายในการบาปของตัว” 25เขาถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร?” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอย่างที่เราบอกพวกท่านตั้งแต่แรกแล้ว 26เรายังมีอีกหลายเรื่องที่อาจพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่ผู้ที่ทรงใช้เรามานั้นสัตย์จริง และเราก็กล่าวต่อโลกในสิ่งที่เราได้ยินจากพระองค์” 27พวกเขาไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสเรื่องพระบิดา 28พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านก็จะรู้ว่าเราเป็นผู้นั้น และรู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระบิดาทรงสอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น 29และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ” 30เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนี้ก็มีคนจำนวนมากวางใจในพระองค์

อรรถาธิบาย

ทำให้พระเจ้าชอบพระทัย

คุณตระหนักมั้ยว่า คุณสามารถทำให้พระเจ้าชอบพระทัยได้? พระเยซูตรัสว่า ​‘เราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ’ (ข้อ 29) นี่ควรเป็นเป้าหมายของคุณในชีวิต ‘ทำให้พระเจ้าชอบพระทัย’

พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างชีวิตกับพระเจ้าให้เราเห็น พระองค์ตรัสว่า ‘เพราะเราไม่ได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา’ (ข้อ 16) พระองค์ตรัสว่า ‘และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง' (ข้อ 29ก) ผ่านทางพระธรรมตอนนี้ เราพบบางสิ่งเรื่องความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระบิดาของพระองค์

พระเยซูตรัสว่า ‘เรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน’ (ข้อ 14) หลายคนดิ้นรนในชีวิต เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขามาจากที่ไหน หรือพวกเขากำลังจะไปไหน พวกเขาดิ้นรนกับการขาดวัตถุประสงค์และทิศทางในชีวิต ในความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า คุณสามารถรู้ว่าคุณมาจากไหน และสุดท้ายแล้วคุณกำลังจะไปที่ไหน

ความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระบิดายังเป็นที่มาของวัตถุประสงค์ และทิศทางของพระองค์แบบวันต่อวัน พระองค์ตรัสว่า ‘เราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระบิดาทรงสอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น’ (ข้อ 28) พระองค์ตรัสว่า ‘และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง’ (ข้อ 29ก)

นี่เป็นแบบอย่างสำหรับเรา พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพระเยซู พระเยซูทรงทราบว่าพระองค์ไม่เคยอยู่ตามลำพัง ไม่มีสักสิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงกระทำโดยปราศจากพระเจ้า ในทุก ๆ ชั่วขณะ ความปรารถนาของพระองค์คือการทำให้พระเจ้าชอบพระทัย: ‘เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ’ (ข้อ 29ข) นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของพระองค์มีพลังและเกิดผลอย่างมาก: ‘เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนี้ก็มีคนจำนวนมากวางใจในพระองค์ ’ (ข้อ 30)

ไม่เพียงแค่พระเยซูทรงอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

พระเยซูตรัสสองครั้งในพระธรรมวันนี้ว่า ‘เราเป็นผู้นั้น’ (8:24, 28) คำที่แปลว่า ‘เราเป็นผู้นั้น’ เป็นคำเดียวกับที่ใช้ในคำแปลภาษากรีกในอพยพ 3:14–16 ที่นั่น…พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองกับโมเสสว่า ‘เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น’ พระนามที่แสดงถึงทั้งพระลักษณะของพระเจ้า และความใกล้ชิดของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์

พระเยซูทรงใช้พระนามนี้ด้วยพระองค์เอง เราไม่ได้ครอบครองการมีอยู่ใด ๆ เราเกิดมาและเราก็ตายไป เราได้รับการมีตัวตนของเรา พระเยซูทรงเป็นอยู่ พระองค์ทรงกำลังบอกผู้คนว่า อีกครั้งที่พระเจ้าเสด็จมาใกล้พวกเขาในพระองค์ พระเยซูทรงเป็นองค์อิมมานูเอล พระเจ้าทรงสถิตกับเรา

เหมือนกับเมื่อคุณมองไปยังกางเขนที่พระเยซูตรัสว่า คุณมีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดถึงอัตลักษณ์ของพระองค์ ‘พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านก็จะรู้ว่าเราเป็นผู้นั้น"’ (ยอห์น 8:28)

พระเยซูทรงมั่นใจเต็มร้อยในอัตลักษณ์ของพระองค์เอง กุญแจของความมั่นใจและอัตลักษณ์พระเยซู วางอยู่บนความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา สิ่งเดียวกันนี้ก็เป็นจริงสำหรับคุณด้วยเช่นกัน เมื่อคุณใช้เวลากับพระบิดาในการอธิษฐาน ในการนมัสการ หรือในการอ่านพระวจนะ ความรู้สึกของคุณถึงอัตลักษณ์และความมั่นใจว่าคุณเป็นใครในพระเจ้าจะเพิ่มมากขึ้น คุณสามารถรู้ได้ว่า คุณมาจากไหน และคุณกำลังไปที่ไหน

ไม่สำคัญว่าคนอื่นพูดถึงคุณว่าอย่างไร คุณสามารถเดินด้วยความมั่นใจ ด้วยการเชิดหน้าขึ้นได้ อัตลักษณ์ของคุณอยู่ในพระคริสต์ มันฝังรากลงในสิ่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับคุณและการทรงสถิตของพระองค์กับคุณ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ พระองค์ไม่ได้ให้ข้าพระองค์อยู่ตามลำพัง ขอทรงช่วยข้าพระองค์เหมือนกับพระเยซู ที่มุ่งทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ และจะกล่าวเฉพาะสิ่งที่พระองค์ทรงสอนข้าพระองค์

พันธสัญญาเดิม

ผู้วินิจฉัย 18:1-19:30

การย้ายถิ่นฐานของเผ่าดาน

 1ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล และในสมัยนั้นคนเผ่าดานยังแสวงหาที่ดินอันจะเป็นมรดกของตนเพื่อจะได้พักอาศัย เพราะจนบัดนั้นแล้วมรดกในเผ่าอิสราเอลยังไม่ตกแก่เขา 2ดังนั้นคนดานจึงส่งคนกล้าหาญ 5 คนจากตระกูลทั้งสิ้นของตนจากเมืองโศราห์ และเมืองเอชทาโอลไปสอดแนมและสำรวจดูแผ่นดินนั้น และคนดานสั่งพวกเขาว่า “จงไปสำรวจดูแผ่นดินนั้น” พวกเขาก็มาถึงแดนเทือกเขาเอฟราอิม ยังบ้านของมีคาห์และค้างแรมที่นั่น 3เมื่อเขาทั้งหลายอยู่ใกล้บ้านของมีคาห์ เขาก็จำเสียงเลวีหนุ่มคนนั้นได้ จึงแวะเข้าไปถามว่า “ใครพาท่านมาที่นี่? ท่านทำอะไรในที่นี้? ท่านมีธุระอะไรที่นี่?” 4เขาตอบคนเหล่านั้นว่า “มีคาห์ทำแก่ข้าพเจ้า อย่างนี้ อย่างนี้ เขาจ้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นปุโรหิตของเขา” 5คนเหล่านั้นก็พูดกับเขาว่า “โปรดทูลถามพระเจ้าให้หน่อยเถิด เพื่อเราจะทราบว่าทางที่เราจะไปนี้จะสำเร็จหรือไม่” 6ปุโรหิตนั้นจึงตอบเขาทั้งหลายว่า “จงไปเป็นสุขเถิด หนทางที่ท่านไปจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์”
 7ชาย 5 คนก็ไปถึงเมืองลาอิช เห็นประชาชนในเมืองนั้น อยู่อย่างสบายตามวิสัยคนไซดอน คืออย่างสงบสุขไร้กังวล ไม่ขาดแคลนอะไรในดินแดนนี้ และมีทรัพย์สมบัติไม่ขาดแคลน ประชาชนนั้นอยู่ห่างไกลจากคนไซดอน อีกทั้งไม่คบค้ากับคนอื่นเลย 8เมื่อคนทั้งห้ากลับมาถึงญาติพี่น้องที่เมืองโศราห์และเมืองเอชทาโอล ญาติพี่น้องจึงถามพวกเขาว่า “เจ้าพบอะไรบ้าง?” 9พวกเขาตอบว่า “จงลุกขึ้น ให้เราขึ้นไปรบกับพวกนั้นเถิด เพราะเราได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว นี่แน่ะ มันดีจริงๆ ท่านทั้งหลายจะเฉยอยู่ทำไม? อย่าชักช้าที่จะไปยึดครองแผ่นดินนั้นเลย 10เมื่อท่านทั้งหลายไปแล้วจะพบประชาชนที่ไม่หวาดระแวงอะไร และแผ่นดินกว้างขวาง เพราะพระเจ้าทรงมอบมันไว้ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว เป็นสถานที่ซึ่งไม่ขาดสิ่งใดในโลก”
 11คนจากเผ่าดาน 600 คน คาดอาวุธสงครามยกออกจากเมืองโศราห์และเมืองเอชทาโอล 12เขาทั้งหลายยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่คีริยาทเยอาริมในยูดาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกที่นั่นว่า มาหะเนห์ดาน จนถึงทุกวันนี้ เมืองนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของคีริยาทเยอาริม 13พวกเขายกผ่านที่นั่นไปยังแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาถึงบ้านของมีคาห์
 14แล้วชาย 5 คนที่ไปสอดแนมดูแผ่นดินลาอิชก็บอกกับพี่น้องของตนว่า “ท่านทราบไหมว่าในบ้านเหล่านี้มีเอโฟด รูปเคารพประจำบ้าน รูปแกะสลัก และรูปหล่อโลหะ ฉะนั้นจงคิดดูว่า ท่านทั้งหลายจะทำอะไร?” 15เขาทั้งหลายก็แวะบ้านของเลวีหนุ่มคนนั้น คือบ้านของมีคาห์ และถามดูทุกข์สุขของเขา 16ส่วนคน 600 คนจากเผ่าดานซึ่งคาดอาวุธสงคราม ยืนอยู่ที่ทางเข้าประตู 17ชาย 5 คนที่ไปสอดแนมดูแผ่นดินนั้น ก็เดินขึ้นไปนำเอารูปแกะสลัก เอโฟด รูปเคารพประจำบ้าน และรูปหล่อโลหะไป ขณะที่ปุโรหิตยืนอยู่ที่ทางเข้าประตู กับทหารคาดอาวุธสงคราม 600 คนนั้น 18เมื่อคนเหล่านี้เข้าไปในบ้านของมีคาห์ นำเอารูปแกะสลัก เอโฟด รูปเคารพประจำบ้าน และรูปหล่อโลหะนั้น ปุโรหิตถามพวกเขาว่า “ท่านกำลังทำอะไรกัน?” 19คนเหล่านั้นจึงตอบเขาว่า “เงียบๆ ไว้ เอามือปิดปากเสีย มากับเราเถิด มาเป็นบิดา และปุโรหิตของเรา ท่านจะเป็นปุโรหิตในบ้านของชายคนเดียวดี หรือจะเป็นปุโรหิตของเผ่าหนึ่งและตระกูลหนึ่งในอิสราเอลดีกว่า” 20ใจของปุโรหิตก็ยินดี เขาจึงเอาเอโฟด รูปเคารพประจำบ้าน และรูปแกะสลัก เดินไปในหมู่ประชาชน
 21แล้วพวกเขาก็กลับออกไปและจัดให้เด็กเล็กๆ ฝูงปศุสัตว์และทรัพย์สินอยู่ข้างหน้า 22เมื่อไปห่างจากบ้านมีคาห์แล้ว คนที่อยู่ในบ้านใกล้เคียงกับบ้านของมีคาห์ก็ร่วมติดตามจนทันคนดาน 23จึงตะโกนเรียกคนดาน พวกเขาก็หันกลับมา พูดกับมีคาห์ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหรือ? จึงยกคนมามากมายอย่างนี้” 24มีคาห์ตอบว่า “ท่านทั้งหลายเอาพระต่างๆ ซึ่งข้าพเจ้าทำขึ้นและเอาปุโรหิตไป ข้าพเจ้าจะมีอะไรเหลืออยู่เล่า? ท่านทั้งหลายยังจะมาถามข้าพเจ้าอีกว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?’ ” 25คนดานจึงตอบเขาว่า “อย่าให้เราได้ยินเสียงของเจ้าเลย เกลือกว่าคนขี้โมโหจะเล่นงานเจ้าเข้า เจ้าและครอบครัวก็จะเสียชีวิตไป” 26ดังนั้นคนดานก็เดินทางต่อไป เมื่อมีคาห์เห็นว่าเขาเหล่านั้นมีกำลังมากกว่า จึงหันกลับไปบ้านของตน

คนเผ่าดานตั้งหลักแหล่งในเมืองลาอิช

 27คนเผ่าดานเอาของที่มีคาห์ทำขึ้น และเอาปุโรหิตซึ่งเป็นของเขาไปด้วย แล้วพวกเขามาถึงเมืองลาอิช มาถึงประชาชนที่อยู่อย่างสงบสุขไร้กังวล พวกเขาได้ประหารคนเหล่านั้น ด้วยคมดาบและเอาไฟเผาเมืองนั้นเสีย 28ไม่มีผู้ใดมาช่วยเหลือ เพราะเมืองลาอิชอยู่ไกลจากเมืองไซดอน และประชาชนก็ไม่ได้คบค้ากับคนอื่น อีกทั้งเมืองนั้นอยู่ในหุบเขาใกล้เมืองเบธเรโหบ คนดานก็สร้างเมืองใหม่ และอาศัยอยู่ที่นั่น 29และตั้งชื่อเมืองนั้นว่าดาน ตามชื่อดานบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้เป็นบุตรของอิสราเอล แต่เมื่อก่อนเมืองนั้นมีชื่อว่า ลาอิช 30คนดานตั้งรูปแกะสลักไว้สำหรับตน ส่วนโยนาธานบุตรเกอร์โชม บุตรของโมเสส ทั้งท่านและบรรดาบุตรชายของท่านก็เป็นปุโรหิตให้แก่คนเผ่าดาน จนถึงสมัยที่แผ่นดินตกไปเป็นเชลย 31พวกเขาตั้งรูปแกะสลักซึ่งมีคาห์ได้ทำไว้นั้น ตลอดเวลาที่พระนิเวศของพระเจ้าอยู่ที่เมืองชิโลห์

ผู้วินิจฉัย 19

ภรรยาน้อยของคนเลวี

 1อยู่มาในสมัยนั้น ไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ยังมีคนเลวีคนหนึ่งอาศัยอยู่ในแดนไกลโพ้นแห่งเทือกเขาเอฟราอิม เขารับหญิงคนหนึ่งจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์มาเป็นภรรยาน้อย 2แต่ภรรยาน้อยนอกใจเขาฉบับกรีกว่า โกรธเคืองเขาและทิ้งเขากลับไปอยู่บ้านบิดาของนางที่เมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ นางอยู่ที่นั่นได้สี่เดือน 3สามีของนางก็ลุกขึ้นไปตามนาง เพื่อพูดกับนางดีๆ ให้นางกลับมา เขาเอาคนใช้คนหนึ่งและลาคู่หนึ่งไปด้วย นางพาเขาเข้าบ้านบิดาของนาง เมื่อบิดาของหญิงสาวนั้นเห็นเข้าก็ยินดีที่พบเขา 4พ่อตาของเขาคือบิดาของหญิงสาวนั้นได้หน่วงเหนี่ยวเขา ดังนั้นเขาพักอยู่ด้วยสามวัน เขากิน ดื่ม และค้างแรมที่นั่น 5พอถึงวันที่สี่ เขาทั้งหลายก็ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด และคนนั้นลุกขึ้นจะไป แต่บิดาของหญิงสาวพูดกับบุตรเขยว่า “กินอาหารสักหน่อยให้มีกำลัง แล้วค่อยไป” 6เขาทั้งคู่ก็นั่งลงกินและดื่มด้วยกัน และบิดาของหญิงสาวก็บอกชายนั้นว่า “ขอค้างอีกสักคืนเถิด ทำใจให้เบิกบาน” 7เมื่อชายนั้นลุกขึ้นจะไป พ่อตาก็ชักชวนไว้ จนเขาต้องค้างคืนที่นั่นอีก 8ในวันที่ห้าเขาก็ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะออกเดินทางไป บิดาของหญิงนั้นพูดว่า “พักให้สดชื่นและคอยจนบ่ายก่อนเถิด” เขาทั้งคู่ก็กินด้วยกัน 9เมื่อชายนั้นและภรรยาน้อยกับคนใช้ลุกขึ้นจะจากไป พ่อตาของเขาคือบิดาของหญิงนั้นก็บอกเขาว่า “นี่แน่ะ นี่ก็บ่ายใกล้ค่ำแล้ว ขอค้างอยู่อีกคืนหนึ่งเถิด ดูสิ จะสิ้นวันอยู่แล้ว ค้างคืนที่นี่เถิด เพื่อใจของเจ้าจะเบิกบาน แล้วพรุ่งนี้พวกเจ้าจะได้ตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทาง เจ้าจะได้ไปบ้าน”
 10แต่ชายนั้นไม่ยอมค้างคืน เขาจึงลุกขึ้นเดินทางไปพร้อมกับภรรยาน้อยและลาคู่หนึ่งที่ผูกอาน จนถึงที่ตรงข้ามเมืองเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) 11เมื่อพวกเขามาใกล้เมืองเยบุสก็บ่ายมากแล้ว คนใช้จึงเรียนนายของเขาว่า “ให้เราแวะเข้าเมืองนี้ของคนเยบุสเถิด และให้เราค้างคืนอยู่ในเมืองนี้แหละ” 12แต่นายของเขาตอบว่า “พวกเราจะไม่แวะเข้าเมืองของคนต่างด้าว ผู้ไม่ใช่คนอิสราเอล แต่จะผ่านไปยังเมืองกิเบอาห์” 13เขาจึงบอกคนใช้ว่า “ไปเถิด ให้พวกเราเข้าไปใกล้ที่เหล่านี้แห่งหนึ่ง และค้างในเมืองกิเบอาห์หรือเมืองรามาห์” 14เขาทั้งหลายจึงผ่านไป เมื่อพวกเขามาใกล้เมืองกิเบอาห์ซึ่งเป็นของคนเบนยามินดวงอาทิตย์ก็ตกแล้ว 15พวกเขาจึงแวะเข้าไปจะค้างคืนในเมืองกิเบอาห์ เขาก็เข้าไปนั่งอยู่ที่ลานเมือง เพราะไม่มีใครเชิญพวกเขาเข้าไปค้างในบ้าน
 16ในเย็นวันนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งเข้ามาเมื่อเลิกงานจากไร่นาแล้ว ชายนั้นมาจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาอาศัยอยู่ในเมืองกิเบอาห์ ส่วนชาวเมืองนั้นเป็นคนเบนยามิน 17เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนเดินทางที่ลานเมือง ผู้อาวุโสจึงถามว่า “ท่านมาจากไหน? และจะไปไหน?” 18เขาตอบว่า “พวกเราเดินทางจากเบธเลเฮมในยูดาห์ จะไปที่แดนไกลโพ้นแห่งเทือกเขาเอฟราอิมซึ่งข้าพเจ้ามาจากที่นั่น ข้าพเจ้าไปเบธเลเฮมในยูดาห์มา และข้าพเจ้ากำลังจะไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ไม่มีใครเชิญข้าพเจ้าเข้าไปพักในบ้านเลย 19พวกเรามีฟางและอาหารสำหรับลา อีกทั้งอาหารและเหล้าองุ่นสำหรับข้าพเจ้าและภรรยากับคนรับใช้ที่อยู่ด้วย พวกเราไม่ขาดสิ่งใดเลย” 20ผู้อาวุโสจึงพูดว่า “สันติสุขจงมีแก่ท่านเถิด ถ้าท่านขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าขอเป็นธุระทั้งสิ้น เพียงแต่อย่าค้างคืนที่ลานเมืองเลย” 21เขาจึงพาชายนั้นเข้าบ้าน เอาอาหารให้ลา ต่างก็ล้างเท้าของตน แล้วก็กินและดื่ม

ความผิดร้ายแรงของชาวเมืองกิเบอาห์

 22ขณะที่พวกเขากำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น นี่แน่ะ คนเมืองนั้นที่เป็นคนอันธพาลมาล้อมบ้านไว้ ทุบประตู ร้องบอกผู้อาวุโสผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า “ส่งชายที่เข้ามาอยู่ในบ้านของแกมาให้เราข่มขืน” 23ชายเจ้าของบ้านก็ออกไปพูดกับพวกเขาว่า “อย่าเลย พี่น้องเอ๋ย ขอทีอย่าทำชั่วเช่นนี้เลย เมื่อชายคนนี้มาอาศัยบ้านของข้าแล้ว อย่าทำเรื่องบัดสีเลย 24นี่แน่ะ นี่คือลูกสาวพรหมจารีของข้าและเมียน้อยของเขา ข้าจะพาออกมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ จงข่มขืนหรือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่อย่าทำเรื่องบัดสีกับชายคนนี้เลย” 25แต่คนเหล่านั้นไม่ยอมฟังเสียง ชายนั้นจึงฉวยภรรยาน้อยของตนผลักนางออกไปให้พวกเขา เขาทั้งหลายก็ข่มขืนนางอย่างทารุณตลอดคืนจนรุ่งเช้า พอรุ่งสาง พวกเขาก็ปล่อยนางไป 26เมื่อฟ้าแจ้ง ผู้หญิงนั้นก็กลับมาล้มลงที่ประตูบ้านของชายนั้นซึ่งสามีของตนพักอยู่นอนที่นั่นจนสว่าง
 27รุ่งเช้า สามีของนางก็ลุกขึ้นเปิดประตูบ้านเพื่อจะออกเดินทาง นี่แน่ะ ภรรยาน้อยของเขานอนอยู่ที่ประตูบ้านโดยมืออยู่ที่ธรณีประตู 28เขาจึงบอกนางว่า “ลุกขึ้นไปกันเถิด” แต่ไม่มีคำตอบ เขาจึงเอานางขึ้นหลังลา ชายนั้นก็ลุกขึ้นเดินทางไปบ้านของตน 29เมื่อถึงบ้านแล้ว ก็เอามีดหั่นศพนางออกเป็นท่อนๆ ได้สิบสองท่อนแล้วจึงส่งไปทั่วเขตแดนอิสราเอล 30ทุกคนที่เห็นก็พูดว่า “เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครเคยพบเคยเห็นตั้งแต่สมัยคนอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงวันนี้ จงตรึกตรองปรึกษากันดูแล้วก็ว่ากันไปเถิด”

อรรถาธิบาย

ฉายแสงของพระเจ้า

ความโหดร้ายที่น่าตกใจที่กระทำโดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิส คือการตัดหัว และตรึงเหยื่อผู้บริสุทธิ์ ทารุณกรรมเด็กในวงกว้าง ความชั่วร้ายอันเลวร้ายของการค้ามนุษย์และการเป็นทาสในยุคปัจจุบัน เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่มืดมิด แต่เราไม่ได้ปราศจากความหวัง โดยพระเจ้า แสงสว่างสามารถขับไล่ความมืดมิดได้

อิสราเอลอยู่ในยุคมืดในประวัติศาสตร์ตอนนี้ ประชาชนถูกเรียกให้เดินในความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า ภายใต้การนำและปกครองโดยตรงของพระเจ้าในฐานะกษัตริย์ของพวกเขา ถ้าพวกเขาดำเนินชีวิตเช่นนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาดำเนินชีวิตในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตภายใต้ความเป็นกษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่แม้กระทั่งกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์เพื่อรักษาระเบียบ และควบคุมความโกลาหล

นี่เป็นวันที่มืดมน ‘ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล’ (18:1, 19:1) พวกเขาหันไปนมัสการรูปเคารพ (18) เราได้อ่านถึงเรื่องราวที่น่าสยดสยองและน่าวิตกเกี่ยวกับความชั่วร้ายในดินแดนที่ไม่มีกฎหมาย การข่มขืน ข่มเหง และชำแหละผู้หญิงอย่างน่าสยดสยอง ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต้องพูดอย่างตกตะลึงว่า ‘เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครเคยพบเคยเห็นตั้งแต่สมัยคนอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงวันนี้ จงตรึกตรองปรึกษากันดูแล้วก็ว่ากันไปเถิด’ (19:30) นี่เป็นช่วงเวลาที่มืดมนสุด ๆ ของชีวิตที่ปราศจากพระเจ้า

ความโหดร้ายนี้สยดสยองดังที่มันเป็น นี่ไม่ใช่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์โลก ความโหดร้ายที่น่าสยดสยองอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อสังคมปฏิเสธพระเจ้าและกฎหมายของพระองค์ บางครั้งก็เข้าสู่ความโกลาหลอย่างที่สุด

พล.ท.โรมิโอ ดัลแลร์ ผู้ซึ่งในปี ค.ศ.1994 เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของสหประชาชาติไปยังประเทศรวันดา และได้เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ถูกถามว่า เขายังคงเชื่อพระเจ้าได้อย่างไร เขาตอบว่า ‘ผมรู้ว่ามีพระเจ้า เพราะว่าในรวันดา ผมได้จับมือกับปีศาจ ผมเห็นเขา ผมได้กลิ่นเขา และผมได้สัมผัสเขา ผมรู้ว่าปีศาจมีอยู่จริง ดังนั้นผมจึงทราบว่า พระเจ้าทรงมีอยู่จริง’

ในภาษาพระคัมภีร์ ‘ความมืด’ ไม่ได้หมายถึงแค่กลางคืน แต่ยังหมายถึงพลังปีศาจที่สามารถล่อลวงเรา และนำเราให้เดินออกไปจากทางที่ถูกต้อง ไปยังแสงแห่งชีวิต พระเยซูผู้ทรงนำเอาแสงสว่างเข้ามาสู่โลกที่มืดมิด

ในการกล่าวอ้างที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง พระเยซูทรงวางพระองค์เองอย่างเป็นธรรมชาติในฐานะพระเจ้า และตรัสว่า พระองค์ทรงเป็น ‘ความสว่างของโลก’ (ยอห์น 8:12) โลกที่ปราศจากพระเจ้าเป็นโลกแห่งความมืด กระนั้น พระเยซูจึงตรัสว่า ‘คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต’ (ข้อ 12)

เมื่อคุณหันไปทางพระเยซู คุณออกจากความมืดมิดแห่งชีวิตซึ่งปราศจากพระเจ้า ไปสู่ความสว่างแห่งชีวิตกับพระองค์ พระองค์ทรงนำเราออกจากความมืด ความขัดแย้ง และความตาย สู่ความสว่างแห่งชีวิตและความรัก พระองค์ทรงให้ความหมายและทิศทางกับชีวิตของคุณ ไม่เพียงแค่นั้น แต่เมื่อคุณดำเนินชีวิตกับพระเจ้า มุ่งทำให้พระองค์ชอบพระทัย คุณรวมตัวกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ ‘ความสว่างแห่งชีวิต’ จะนำแสงสว่างเข้าสู่โลกที่มืดมิดของเรา

คุณสามารถสร้างความแตกต่างให้กับโลกรอบตัวคุณได้จริง ๆ ชีวิตของคุณในพระคริสต์สามารถฉายแสงเหมือนกับแสงสว่างในความมืดมิดฝ่ายวิญญาณในโลกรอบตัวคุณ ตามที่มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ว่าไว้ ‘ความมืดไม่สามารถขับไล่ความมืดได้ มีเพียงความสว่างเท่านั้นที่ทำได้ ความเกลียดชังไม่สามารถขับไล่ความเกลียดชังได้ มีเพียงความรักเท่านั้นที่ทำได้’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เป็นชุมชนที่นำความสว่างของพระองค์เข้าสู่โลกที่มืดมิด ขอทรงช่วยเราในฐานะบุคคล และในฐานะคริสตจักรที่จะดำเนินชีวิตกับพระองค์ เพื่อให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ และนำความสว่างแห่งชีวิต ความรัก และความชื่นบานมาสู่ผู้ที่อยู่รอบตัวเราในวันนี้

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ผู้วินิจฉัย 19

ฉันตกใจโดยวิธีที่ปฏิบัติต่อผู้หญิงในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (และยังคงเกิดขึ้นในบางส่วนของโลกในทุกวันนี้) น่าขอบคุณที่เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ได้รื้อฟื้นศักดิ์ศรีของพวกเธอ และทำลายการกีดกั้นทางเพศในยุคนั้น

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม