วัน 137

เรื่องราวของคุณนั้นทรงพลัง

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 12:8-17
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 9:1-34
พันธสัญญาเดิม รูธ 1:-2:23

เกริ่นนำ

พ่อแม่ของ มาร์ค ฮีทเธอร์ แยกทางกันตอนที่เขายังเด็ก และเขาถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่ที่ติดเหล้าและทุบตีเขาเป็นประจำ เมื่อเขาอายุสิบสี่ปี เขาได้ยืนประจันหน้ากับแม่ และบอกว่าเขาจะไม่ยอมถูกเฆี่ยนตีอีกต่อไป วันรุ่งขึ้นแม่ของเขาก็ฆ่าตัวตาย

จากช่วงเวลานั้น เขาถูกเลี้ยงดูแลและได้กลายเป็น ‘คนบ้าเอามากๆ’ จากคำพูดของเขาเอง ที่มักจะมีปัญหากับตำรวจ เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีวิถีชีวิตที่ย่ำแย่คอยทำลายตัวเองอยู่เรื่อยๆ

มาร์ค (ตอนนี้ในช่วงวัย 30 ปี) ได้รับเชิญจากแฟนสาวของเขาให้เข้าร่วมหลักสูตรอัลฟ่าที่คริสตจักร โฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตั้น ในช่วงสุดสัปดาห์นั่นเองเขาได้เผชิญหน้ากับพระเจ้าอย่างทรงพลัง เขากล่าวว่า ‘หัวหน้ากลุ่มของผม โทบี้ วางมืออธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเหนือชีวิตของผม และผมสัมผัสได้ว่ามันกำลังเกิดขึ้น ประสบการณ์นั้นทำให้ผมร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เลยล่ะ

‘ผมวิ่งไปที่ผับริมถนน หยิบเบียร์ขึ้นมา เดินกลับไปนั่งในมุมมืดที่สุดข้างนอกที่ผมพอจะหาได้ หลังจากนั่งเงียบ ๆ สักพัก สันติสุขก็โอบล้อมชีวิตผมไว้ ผมสัมผัสได้ถึงแต่ความรัก รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย

‘ผมร้องไห้ออกมาและอธิษฐานขออีกหนึ่งสัญญาณจากพระเจ้า ผมขอให้โทบี้ออกมาจากประตู และขณะที่ผมร้องทูล โทบี้ก็เดินผ่านประตูบานนั้นมาเพื่อตามหาผม

‘พระเจ้ามีจริงและพระองค์ทรงรักผมอย่างไม่มีเงื่อนไข พระองค์ทรงอ่อนโยน พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยชีวิตผมไว้ หลักสูตรอัลฟ่าสุดสัปดาห์ช่วยให้ผมพบกับพระองค์ ทรงรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน และเมื่อผมอยู่ในที่ที่ใช่ ที่นั่นพระองค์กำลังรอผมอยู่’

เรื่องราวส่วนตัวของมาร์คมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของผู้คนมากมาย เรื่องราวของคุณอาจไม่ได้ดราม่าเท่าของมาร์ค แต่ทุกคนล้วนมีเรื่องราว ไม่ว่าคุณจะถูกเลี้ยงดูมาในฐานะคริสเตียนหรือว่าคุณเป็นคริสเตียนเพียงไม่กี่ชั่วโมง เรื่องราวของคุณก็ล้วนแต่มีพลังทั้งสิ้น

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 12:8-17

8คนจะได้คำชมตามความฉลาดของเขา
 แต่คนที่ใจตลบตะแลงก็เป็นที่ดูหมิ่น
9การเป็นคนธรรมดาแต่มีทาสคนหนึ่งรับใช้
 ก็ดีกว่าการทำทีว่าใหญ่โตแต่ไม่มีอาหารกิน
10คนชอบธรรมย่อมห่วงใย
 แต่ความสงสารของคนอธรรมคือความดุร้าย
11คนที่ไถนาของตนจะมีอาหารบริบูรณ์
 แต่คนที่ติดตามสิ่งไร้ค่าย่อมไม่มีสามัญสำนึก
12คนอธรรมอยากได้ทรัพย์สิน
 แต่รากของคนชอบธรรมจะเกิดผล
13คนชั่วย่อมติดบ่วงโดยการละเมิดแห่งปากของตน
 แต่คนชอบธรรมหนีพ้นจากความลำบาก
14คนเราอิ่มใจด้วยสิ่งดีจากผลแห่งปากของตน
 และผลงานแห่งมือของมนุษย์ก็กลับมาหาเขา
15ทางของคนโง่นั้นถูกต้องในสายตาของเขาเอง
 แต่คนมีปัญญาย่อมฟังคำแนะนำ
16คนโง่ย่อมแสดงความฉุนเฉียวของตนทันที
 แต่คนสุขุมย่อมไม่ใส่ใจต่อการสบประมาท
17คนที่พูดความจริงก็ให้การอย่างซื่อสัตย์
 แต่พยานเท็จกล่าวคำหลอกลวง

อรรถาธิบาย

เล่าเรื่องราวของคุณอย่างแท้จริง

พระธรรมสุภาษิตสำหรับวันนี้ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ มากมาย ตั้งแต่การดูแลสัตว์ (ข้อ 10) ไปจนถึงการมองข้ามการดูหมิ่นแทนที่การตอบสนองอย่างฉุนเฉียวโดยทันที ‘คนโง่มีชนวนที่สั้นและระเบิดได้รวดเร็ว แต่ผู้มีปัญญาจะไม่ใส่ใจ’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มีสุภาษิตตอนหนึ่งที่กล่าวถึงหัวข้อของวันนี้โดยเฉพาะ: ‘คนที่พูดความจริงก็ให้การอย่างซื่อสัตย์’ (ข้อ 17ก) แน่นอนว่าสิ่งนี้มีผลต่อการเป็นพยานในชั้นศาล แต่เราทุกคนต่างก็สามารถเป็นพยานในแง่ที่ว่าเราทุกคนอยู่ในฐานะที่จะเป็นพยานเกี่ยวกับพระเยซูได้

ไม่ว่าคุณจะไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนหรือพูดต่อหน้าผู้คนในคริสตจักรหรือที่อื่นๆ มีบางอย่างที่ทรงพลังมากเกี่ยวกับการที่คนคนหนึ่งบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาตามความจริง ตรงไปตรงมา และจากใจจริง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เล่าคำพยานจากใจ ด้วยความซื่อสัตย์ และเป็นจริง

พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 9:1-34

การทรงรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด

 1ขณะพระองค์เสด็จไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด 2พวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป คนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาถึงเกิดมาตาบอด?” 3พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา 4เราต้องทำพระราชกิจของผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ กลางคืนอันเป็นเวลาที่ไม่มีใครทำงานนั้นกำลังใกล้เข้ามา 5ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็เป็นความสว่างของโลก” 6เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด 7แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างโคลนออกในสระสิโลอัม” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็มองเห็น 8เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า “คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน?” 9บางคนก็พูดว่า “ใช่คนนั้นแหละ” คนอื่นว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น” ตัวเขาเองพูดว่า “ข้าพเจ้าคือคนนั้น” 10พวกเขาจึงถามเขาว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร?” 11เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซูทำโคลนทาตาของข้าพเจ้าและบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออก’ ข้าพเจ้าก็ไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” 12พวกเขาจึงถามว่า “เขาอยู่ไหน?” คนนั้นบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ” พวกฟาริสีสอบสวนเรื่องการรักษาคนตาบอด
 13พวกเขาจึงพาคนที่เคยตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี 14วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็นวันสะบาโต 15พวกฟาริสีถามเขาว่าตาของเขามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่า “ท่านเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ไปล้างออกแล้วก็มองเห็น” 16พวกฟาริสีบางคนพูดว่า “ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ได้รักษาวันสะบาโต” แต่คนอื่นพูดว่า “คนบาปจะทำหมายสำคัญอย่างนั้นได้อย่างไร?” พวกเขาก็ขัดแย้งกัน 17พวกเขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด?” ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” 18พวกยิวไม่เชื่อว่าชายคนนั้นตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งพวกเขาเรียกบิดามารดาของคนนั้นมา 19แล้วถามว่า “ชายคนนี้เป็นลูกของเจ้าที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาตั้งแต่เกิดหรือ? แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น?” 20บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า “เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และรู้ว่าเขาเกิดมาตาบอด 21แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงมองเห็นหรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด ถามเขาเอาเองเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเล่าเรื่องเองได้” 22การที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าใครยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนนั้นจะถูกขับออกจากธรรมศาลา 23เพราะเหตุนี้บิดามารดาของเขาจึงพูดว่า “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามเขาเอาเองเถิด”
 24พวกเขาจึงเรียกคนที่เคยตาบอดให้มาหาเป็นครั้งที่สองและบอกเขาว่า “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าแปลได้อีกว่า จงพูดความจริง เรารู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป” 25เขาตอบว่า “ชายคนนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบคือข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว” 26พวกเขาจึงถามเขาว่า “คนนั้นทำอะไรกับเจ้า? เขาทำอย่างไรตาของเจ้าถึงหายบอด?” 27คนนั้นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วแต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านถึงอยากฟังอีก? อยากเป็นศิษย์ของคนนั้นด้วยหรือ?” 28คนเหล่านั้นจึงเยาะเย้ยเขาว่า “เอ็งเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส 29เรารู้ว่าพระเจ้าตรัสกับโมเสส แต่สำหรับคนนั้นเราไม่รู้ว่ามาจากไหน” 30ชายคนนั้นตอบว่า “เออ ประหลาดจริงๆ นะที่พวกท่านไม่รู้ว่าคนนั้นมาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอดได้ 31เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์และทำตามพระทัยของพระองค์ 32ตั้งแต่สมัยไหนๆ ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีคนสามารถทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้ 33ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาจะไม่สามารถทำได้” 34พวกเขาตอบว่า “เอ็งมันบาปมาตั้งแต่เกิดแล้วยังจะมาสอนเราหรือ?” แล้วพวกเขาก็ไล่เขาออกไป

อรรถาธิบาย

เล่าเรื่องราวของคุณอย่างต่อเนื่อง

ผมชอบเรื่องราวในวันนี้เกี่ยวกับชายที่ตาบอดแต่กำเนิด ประการแรก พระเยซูทรงปฏิเสธความเชื่อมโยงโดยอัตโนมัติระหว่างความบาปกับความทุกข์ (ข้อ 1–3) พวกฟาริสีสันนิษฐานว่าชายคนนั้นตาบอดเพราะเขา ‘บาปมาตั้งแต่เกิด’ (ข้อ 34)

แม้แต่สาวกของพระเยซูก็ยังถามคำถามที่ทุกวัฒนธรรมถามกันว่า ‘ใครทำบาป คนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาถึงเกิดมาตาบอด?’ (ข้อ 2) พระเยซูตรัสว่าพวกเขาถามคำถามผิด ทรงตรัสตอบว่า ‘ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา’ (ข้อ 3)

พระเยซูทรงรักษาชายคนนี้ด้วยพระดำรัสและการสัมผัสของพระองค์ ทรงแตะต้องเขาด้วยความรักและการให้เกียรติอย่างสุดซึ้ง การอัศจรรย์ทำให้เกิดความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก บรรดาผู้ที่รู้จักชายตาบอดเริ่มอภิปรายถึงเรื่องนี้กัน

เราเห็นว่ามันเป็นไปได้เสมอที่ผู้คนจะพยายามหาคำอธิบายถึงการอัศจรรย์ในการรักษานี้ เมื่อชายตาบอดมองเห็น ‘เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า “คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน?” บางคนก็บอกว่าเป็นคนเดียวกัน แต่บางคนก็พูดว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น”’ (ข้อ 8–9 ก)

เราเห็นอันตรายจากการจมอยู่กับบริบทยิบย่อยทางความเชื่อจนพลาดประเด็นสำคัญทั้งหมดไป เมื่อชายคนนั้นเป็นพยานในการรักษา บางคนตอบว่า ‘ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ได้รักษาวันสะบาโต’ (ข้อ 16)

ชายคนนี้แค่เล่าเรื่องของเขาซ้ำไปซ้ำมา เขาไม่ได้มีคำตอบสำหรับคำถามที่ซับซ้อนเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาให้คำตอบที่ดีที่สุดที่คุณสามารถให้ได้เมื่อคุณถูกถามคำถามที่คุณไม่รู้คำตอบ ชายคนนั้นพูดง่าย ๆ ว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ทราบ’ (ข้อ 12)

สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดคือคำตอบของชายคนนั้น เมื่อในที่สุดเขาก็รู้สึกหงุดหงิดกับความสงสัย และคำถามถากถางของพวกเขาเหล่านั้น ชายคนนั้นบอกกับบรรดาชนเหล่านั้นว่า เขาไม่รู้คำตอบสำหรับคำถามทั้งหมด ‘แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้คือเมื่อก่อนข้าพเจ้าเคยตาบอด ตอนนี้ข้าพเจ้าเห็นแล้ว’ (ข้อ 25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible)

เมื่อตาของเขาเปิด หัวใจและความคิดของเขาก็เป็นเช่นกัน เขาเริ่มต้นด้วยการรู้จัก ‘ชายคนหนึ่งชื่อเยซู’ (ข้อ 11) จากนั้นเขาก็เห็นพระองค์เป็นดั่ง ‘ผู้เผยพระวจนะ’ (ข้อ 17) ‘มาจากพระเจ้า’ (ข้อ 33) ในที่สุด เขาเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็น ‘บุตรมนุษย์”’ และนมัสการพระองค์ (ข้อ 38)

นี่แหละคือคำพยานที่ทรงพลัง มันเป็นวิธีจัดการกับข้อโต้แย้งได้อย่างแทบจะหมดทางโต้ตอบได้เลย ‘เมื่อก่อนฉันเป็นอย่างนี้… และตอนนี้ฉันก็เป็นแบบนี้… นี่คือความแตกต่างที่พระเยซูทำให้ชีวิตฉัน'

การบอกเล่าเรื่องราวของคุณยังคงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการสื่อสารความเชื่อของคุณไปยังโลกยุคใหม่นี้ ดังที่เคยเป็นมาแล้วในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับพลังเรื่องราวของบรรดาผู้ที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว’ (ข้อ 25) ขอให้มีอีกหลายคนที่สามารถเป็นพยานได้เกี่ยวกับพระองค์ ที่เขามองเห็นแล้วและได้รับการรักษา

พันธสัญญาเดิม

รูธ 1:-2:23

ครอบครัวเอลีเมเลคไปที่โมอับ

 1ในสมัยที่พวกผู้วินิจฉัยครอบครองอยู่นั้น เกิดกันดารอาหารขึ้นในแผ่นดิน มีชายคนหนึ่งเป็นชาวเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ ไปอาศัยอยู่ในดินแดนโมอับพร้อมกับภรรยาและบุตรชายสองคน 2ชายคนนั้นชื่อเอลีเมเลค ภรรยาชื่อนาโอมี บุตรสองคนชื่อมาห์โลนและคิลิโอน เป็นชาวเอฟราธาห์จากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ พวกเขาเดินทางเข้าไปในดินแดนโมอับและอาศัยอยู่ที่นั่น 3แต่เอลีเมเลค สามีของนางนาโอมีตาย ทิ้งนางไว้กับบุตรชายทั้งสอง 4บุตรชายสองคนนี้ แต่งงานกับหญิงชาวโมอับ คนหนึ่งชื่อว่าโอรปาห์ และอีกคนหนึ่งชื่อรูธ เขาทั้งหลายอยู่ที่นั่นประมาณสิบปี 5แล้วมาห์โลนและคิลิโอนก็ตาย เหลือแต่นาโอมีที่ต้องอยู่อย่างไม่มีสามีและบุตรชายทั้งสอง

นาโอมีกับบุตรสะใภ้ชาวโมอับสองคน

 6แล้วนางพร้อมกับบุตรสะใภ้ทั้งสอง ก็ลุกขึ้นเดินทางกลับจากดินแดนโมอับ เพราะว่าเมื่ออยู่ที่โมอับนั้น นางได้ยินว่า พระยาห์เวห์ได้ทรงเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์ และประทานอาหารแก่เขาทั้งหลาย 7นางจึงออกจากที่ซึ่งนางอยู่ พร้อมกับบุตรสะใภ้ทั้งสอง เดินตามทางกลับไปยังแผ่นดินยูดาห์ 8แต่นาโอมีกล่าวแก่บุตรสะใภ้ทั้งสองว่า “ไปเถอะ ขอให้ต่างคนต่างกลับไปบ้านแม่ของตน ขอพระยาห์เวห์ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อเจ้า ดังที่เจ้าได้ทำต่อผู้ตายและต่อแม่ 9ขอพระยาห์เวห์ทรงให้เจ้าพบที่พักพิง ในบ้านของสามีคนใหม่” แล้วนาโอมีก็จูบพวกนาง ต่างก็ร้องไห้เสียงดัง 10พวกนางจึงพูดกับแม่สามีว่า “อย่าเลย เราจะกลับไปกับแม่ ไปยังชนชาติของแม่” 11แต่นาโอมีตอบว่า “กลับไปเถอะ ลูกเอ๋ย จะไปกับแม่ทำไมเล่า? แม่ยังจะมีบุตรชายในครรภ์ให้เป็นสามีของเจ้าหรือ? 12กลับไปเถอะ ลูกเอ๋ย กลับไป เพราะแม่แก่เกินกว่าจะมีสามีแล้ว หากแม่ว่าแม่ยังมีความหวังว่า แม่จะมีสามีคืนนี้ได้และมีบุตรชายหลายคน 13แล้วพวกเจ้าจะรออยู่จนบุตรชายเหล่านั้นโตได้หรือ? เจ้าจะอดใจไม่แต่งงานก่อนได้หรือ? อย่าเลย ลูกเอ๋ย ชีวิตแม่ขมขื่นกว่าชีวิตของพวกเจ้า ที่พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ทรงทำกับแม่ถึงเพียงนี้” 14แล้วต่างก็ร้องไห้เสียงดังอีก โอรปาห์ก็จูบลาแม่สามี แต่รูธยังเกาะแม่สามีอยู่
 15นาโอมีจึงว่า “ดูซิ พี่สะใภ้ของเจ้ากลับไปหาชนชาติ และหาพระของเขาแล้ว จงตามพี่สะใภ้ของเจ้ากลับไปเถอะ” 16แต่รูธตอบว่า “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ลูกจากแม่หรือเลิกตามแม่กลับไปเลย เพราะแม่จะไปไหนลูกจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนลูกก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ชนชาติของแม่จะเป็นชนชาติของลูก และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของลูก 17แม่ตายที่ไหนลูกจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังลูกไว้ที่นั่นด้วย ขอพระยาห์เวห์ทรงลงโทษลูก และทรงเพิ่มโทษนั้น ถ้ามีอะไรมาพรากลูกจากแม่นอกจากความตาย” 18เมื่อนาโอมีเห็นว่ารูธตั้งใจไปด้วยจริงๆ นางก็ไม่พูดอะไรอีก
 19ดังนั้นทั้งสองจึงเดินทางต่อไปจนถึงเมืองเบธเลเฮม เมื่อมาถึงเบธเลเฮมแล้ว ชาวเมืองก็พากันประหลาดใจเพราะนางทั้งสอง พวกผู้หญิงพูดขึ้นว่า “นี่น่ะหรือนาโอมี?” 20นาโอมีตอบเขาว่า “ขออย่าเรียกฉันว่านาโอมีแปลว่า สุขสบายเลย ขอเรียกฉันว่า มาราแปลว่า ขมขื่นเถอะ เพราะว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงทำให้ชีวิตฉันขมขื่นยิ่งนัก 21เมื่อฉันจากเมืองนี้ไป ฉันมีทุกอย่างครบบริบูรณ์ พระยาห์เวห์ทรงพาฉันกลับมาตัวเปล่า จะเรียกฉันว่านาโอมีทำไมเล่า? ในเมื่อพระยาห์เวห์ทรงให้ฉันทุกข์ใจ และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงให้ฉันต้องประสบเหตุร้ายเช่นนี้”
 22ดังนั้นนาโอมีพร้อมกับรูธบุตรสะใภ้ชาวโมอับก็กลับมาจากดินแดนโมอับ และเขาทั้งสองมายังเมืองเบธเลเฮมในต้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์

นางรูธ 2

รูธพบโบอาส

 1ฝ่ายนาโอมีนั้นมีญาติข้างสามีคนหนึ่งเป็นคนมีชื่อเสียงและมั่งมี ตระกูลเดียวกับเอลีเมเลค ชื่อโบอาส 2และรูธชาวโมอับพูดกับนาโอมีว่า “ขอให้ลูกไปที่ทุ่งนาเพื่อเก็บรวงข้าวตก ตามแต่ใครจะมีใจกรุณา” นาโอมีตอบนางว่า “ลูกเอ๋ย จงไปเถิด” 3เธอก็ออกเดินตามหลังคนเกี่ยวเพื่อคอยเก็บข้าวตก เผอิญเข้าไปในนาของโบอาส ซึ่งเป็นคนตระกูลเดียวกับเอลีเมเลค 4ในเวลานั้นเอง โบอาสมาจากเบธเลเฮม พูดกับพวกคนเกี่ยวข้าวว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอยู่ด้วยกับพวกท่านเถิด” พวกเขาตอบว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่านเถิด” 5โบอาสจึงถามคนใช้ผู้คอยควบคุมคนเกี่ยวข้าวนั้นว่า “หญิงสาวคนนี้เป็นคนของใคร?” 6คนใช้ซึ่งเป็นผู้ควบคุมคนเกี่ยวข้าวจึงตอบว่า “เธอเป็นหญิงชาวโมอับ กลับมาจากดินแดนโมอับพร้อมกับนาโอมี 7นางพูดว่า ‘ขอให้ดิฉันเก็บและรวบรวมข้าวที่ตกจากฟ่อนข้าวตามหลังพวกคนเกี่ยวข้าวเถอะค่ะ’ นางก็มาเก็บข้าวตกตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานี้ เพิ่งได้พักหน่อยที่บ้าน”
 8แล้วโบอาสจึงพูดกับรูธว่า “ลูกเอ๋ย ขอฟังหน่อย อย่าไปเก็บข้าวตกที่นาอื่น หรือทิ้งนานี้ไป จงอยู่ใกล้ๆ พวกสาวใช้ของฉัน 9ให้ดูทุ่งนาที่พวกเขากำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ แล้วก็จงติดตามเขาไป ฉันได้สั่งพวกหนุ่มๆ ไม่ให้แตะต้องตัวเจ้า เมื่อเจ้ากระหายน้ำก็ให้ไปที่หม้อน้ำ ดื่มน้ำซึ่งคนหนุ่มๆ ตักไว้” 10รูธก็ก้มตัวลงซบหน้าลงถึงดินและพูดว่า “ทำไมดิฉันจึงได้รับความโปรดปรานจากท่าน? ที่ท่านเอาใจใส่ดิฉัน ทั้งๆ ที่ดิฉันเป็นเพียงคนต่างด้าว” 11แต่โบอาสตอบนางว่า “ทุกอย่างที่เจ้าได้ปฏิบัติต่อแม่สามีของเจ้า ตั้งแต่สามีของเจ้าสิ้นชีวิตแล้วนั้น มีคนมาเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว เจ้ายอมจากบิดามารดาและบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้า มาอยู่กับชนชาติที่เจ้าไม่รู้จักมาก่อน 12ขอพระยาห์เวห์ทรงตอบแทนการกระทำของเจ้า และขอให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล ซึ่งเจ้าเข้ามาพึ่งพระบารมีของพระองค์นั้น ประทานบำเหน็จบริบูรณ์แก่เจ้า” 13รูธจึงตอบว่า “ดิฉันได้รับความโปรดปรานจากเจ้านายของดิฉันแล้ว เพราะท่านได้ปลอบใจดิฉัน และพูดคำที่เมตตาต่อสาวใช้ของท่าน ทั้งๆ ที่ดิฉันเองก็ไม่ได้เป็นสาวใช้คนหนึ่งของท่าน”
 14พอถึงเวลารับประทานอาหาร โบอาสก็บอกนางว่า “มานี่เถอะ มารับประทานขนมปังบ้าง และเอาขนมปังมาจิ้มน้ำส้มเถิด” นางจึงนั่งลงข้างๆ พวกคนเกี่ยวข้าว โบอาสส่งข้าวคั่วให้ และนางก็รับประทานจนอิ่ม และยังมีเหลือบ้าง 15เมื่อนางลุกขึ้นไปเก็บข้าวตก โบอาสก็สั่งพวกชายหนุ่มของท่านว่า “จงให้นางเก็บข้าวตกระหว่างฟ่อนข้าวเถอะ อย่าได้ตำหนินางเลย 16จงพยายามดึงข้าวออกจากฟ่อนทิ้งไว้ให้นางเก็บบ้าง อย่าว่านางเลย”
 17นางก็เที่ยวเก็บข้าวที่ตกในนาจนถึงเวลาเย็น แล้วก็ฟาดข้าวที่เก็บมาได้นั้น ได้ข้าวบาร์เลย์ประมาณ 10 กิโลกรัม 18นางยกข้าวนั้นขึ้นและเข้าไปในเมือง แม่สามีเห็นข้าวที่นางได้เก็บมานั้น และนางเอาอาหารที่เหลือเมื่อนางรับประทานอิ่มแล้วนั้นให้แม่สามีด้วย 19แม่สามีจึงกล่าวแก่นางว่า “วันนี้เจ้าไปเก็บข้าวตกที่ไหนมา? เจ้าไปทำงานที่ไหน? ขอให้ชายที่เอาใจใส่เจ้าได้รับพระพรเถิด” นางจึงบอกแก่แม่สามีว่า นางไปทำงานกับใคร นางว่า “ชายเจ้าของนาที่ลูกไปทำงานวันนี้ชื่อโบอาส” 20นาโอมีจึงพูดกับบุตรสะใภ้ว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเขาเถิด ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่ขาดจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือผู้ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว” นาโอมีกล่าวแก่นางด้วยว่า “ชายคนนั้นเป็นญาติของเรา เขาเป็นญาติสนิทคนหนึ่งของเรา” 21รูธชาวโมอับกล่าวว่า “นอกจากนั้นเขายังพูดกับลูกว่า ‘เจ้าจงตามพวกคนงานของฉันไปใกล้ๆ จนกว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้าวของฉันเสร็จทั้งหมด’ ” 22นาโอมีพูดกับรูธบุตรสะใภ้ว่า “ดีแล้ว ลูกเอ๋ย ที่เจ้าจะไปทำงานกับพวกสาวใช้ของเขา เกรงว่าถ้าเจ้าไปในนาอื่นจะถูกเขารังแก” 23ดังนั้นนางจึงอยู่ใกล้ๆ พวกสาวใช้ของโบอาส เพื่อเก็บข้าวตกจนสิ้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี และนางอยู่กับแม่สามี

อรรถาธิบาย

เล่าเรื่องของคุณด้วยความถ่อมใจ

รักแท้มักมีอุปสรรค ความยากลำบากและต้องจ่ายราคาสูง แต่ความสุขที่แท้จริงจะมาถึงผู้ที่ให้ความสำคัญต่อผู้อื่นเหมือนกับที่เขาได้ให้ความสำคัญกับตัวเองในระดับเดียวกันเท่านั้น

หนังสือพระธรรมนางรูธเป็นเรื่องราวของหญิงม่ายสองคนและเจ้าของนาในหมู่บ้านอันไกลโพ้น ถือเป็นเรื่องตรงกันข้ามอย่างน่าวิเศษกับหนังสือพระธรรมผู้วินิจฉัยก่อนหน้านั้น แม้ว่าบริบทของหนังสือทั้งสองเล่มจะเหมือนกัน (เรื่องราวนางรูธเกิดขึ้น ‘ในสมัยที่พวกผู้วินิจฉัยครอบครอง’ 1:1) แต่เนื้อหาของหนังสือทั้งสองเล่มนั้นแตกต่างกันมาก

ขณะที่ผู้วินิจฉัยบรรยายถึงรายการความชั่วร้ายและความโกลาหลเพราะทุกคน ‘ต่างก็ทำตามที่ตนเองเห็นชอบ’ (ผู้วินิจฉัย 21:25) หนังสือพระธรรมนางรูธเป็นเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมของความภักดี ความซื่อสัตย์ และความเมตตา ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าประทับใจยิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงความขัดแย้งนี้ นอกจากนั้น ขณะที่พระธรรมผู้วินิจฉัยมองภาพใหญ่ของชนชาติอิสราเอล แต่ในพระธรรมรูธเน้นไปที่ครอบครัวเป็นหลัก

เป็นการย้ำเตือนเราว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง และประวัติศาสตร์ยังเป็นพระเจ้าแห่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหมดในชีวิตของคุณด้วย พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงฤทธานุภาพและทรงฤทธิ์เดชเท่านั้น แต่ยังเป็นพระบิดาของคุณ ผู้ทรงห่วงใยคุณอย่างใกล้ชิด ชีวิตและรายละเอียดทั้งหมดของคุณมีความสำคัญต่อพระเจ้า ชีวิตของคุณนั้นมีค่ามาก

หนังสือพระธรรมนางรูธเตือนเราถึงความเอาใจใส่ การจัดเตรียม และความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตเรา

นาโอมีเป็นห่วงนางรูธมากกว่าตัวของเธอเอง นาโอมีต้องการให้นางรูธกลับบ้านเพื่อที่เธอจะได้มีโอกาสแต่งงานใหม่ และนาโอมีพร้อมที่จะสูญเสียนางรูธเพื่อเห็นแก่ความสุขของนางรูธเอง (นางรูธ 1:8–13) ความรักที่นางรูธมีต่อนาโอมีนั้นก็ต่างไม่เห็นแก่ตัวและเสียสละพอ ๆ กัน

เธอตั้งใจที่จะไม่แต่งงานอีก และแสดงความจงรักภักดีต่อแม่สามีเป็นพิเศษ เธอกล่าวว่า ‘อย่าบังคับให้ลูกทิ้งแม่ไปเลย อย่าปล่อยลูกกลับบ้าน ไม่ว่าแม่จะไปที่ไหนลูกจะไปด้วย และที่ที่แม่อาศัยอยู่ ลูกจะอยู่ ชนชาติของแม่คือชนชาติของลูก พระเจ้าของแม่คือพระเจ้าของลูก แม่จะตายที่ไหน ลูกจะตายที่นั่น และนั่นคือที่ที่ลูกจะถูกฝัง ขอพระยาห์เวห์โปรดเมตตา จะมีอะไรมาพรากลูกจากแม่นอกจากความตาย’ (ข้อ 16–17 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

โบอาสก็เป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าเช่นกัน เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของนางรูธ เธอไม่เพียงแต่จงรักภักดีและสัตย์ซื่อเท่านั้น เธอยังเป็นคนขยันทำงานอย่างหนัก (2:7) ต้องมีใครบางคนเป็นพยานเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอ โบอาสจึงกล่าวว่า ‘ฉันได้ยินมาหมดแล้ว ทุกอย่างที่เธอปฏิบัติกับแม่สามีหลังจากสามีของเธอเสียชีวิต และวิธีที่เธอละจากบิดามารดาและบ้านเกิด และมาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จัก’ (ข้อ 11 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มากกว่านั้น นางรูธเป็นคำพยานอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อของเธอในพระเจ้า เพราะโบอาสรู้ว่าเธอมุ่งมั่นใน ‘พระเจ้า ซึ่งเธอมาแสวงหาการปกป้องภายใต้ปีกของพระองค์’ (ข้อ 12 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

โบอาสแสดงความเมตตาเป็นพิเศษต่อนางรูธ และนางรูธพูดกับแม่สามีของเธอว่า ‘ชายเจ้าของนาที่ลูกไปทำงานวันนี้ชื่อโบอาส… ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่ขาดจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือผู้ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว’ (ข้อ 19–20)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับตัวอย่างของความจงรักภักดี ความเมตตา และความสัตย์ซื่อ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้มีชีวิตเช่นนั้น โปรดช่วยเราในฐานะชุมชนของพระเจ้าให้เป็นคนที่รู้จักความจงรักภักดี ความเมตตา และความสัตย์ซื่อของเรา

เพิ่มเติมโดยพิพพา

นางรูธ 1:1–2:23

ช่างโล่งใจเสียจริงที่ได้อ่านเรื่องราวของนางรูธหลังจากเจอพฤติกรรมอันเลวร้ายของผู้คนในบทสุดท้ายของหนังสือผู้วินิจฉัย เรื่องราวตอนนี้เราได้พบกับชีวิตที่เรียบง่าย ค่อนข้างไม่วุ่นวาย ซึ่งแต่ละคนต่างมีความซื่อสัตย์ ใจดี และไว้วางใจได้ ความสัมพันธ์ระหว่างนาโอมีกับนางรูธเป็นความรักและความภักดีที่ไม่ธรรมดา เป็นการตั้งมาตรฐานไว้สูงมากสำหรับความสัมพันธ์แบบแม่สามีและลูกสะใภ้

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม