ใช้เวลาในการเฉลิมฉลอง
เกริ่นนำ
‘แวบหนึ่งของสวรรค์’ คือ สิ่งที่ผู้หญิงอายุยี่สิบเจ็ดปีคนหนึ่งอธิบายถึงประสบการณ์ของเธอในค่าย (โฟกัส) ประจำปีของคริสตจักรเรา เธอยังพูดถึงปีที่เธอพลาดไปเพื่อไปพักผ่อนต่างประเทศแต่ละวันเธอได้แต่คิดว่า เธอรอคอยที่จะได้อยู่ที่ค่ายโฟกัสมานานแค่ไหน แน่นอนว่า ปีนี้เราต้องเลื่อนการจัดค่ายโฟกัสออกไปเพราะโคโรน่าไวรัส นี่ทำให้ความคาดหวังสำหรับค่ายปีหน้ายิ่งทวีมากขึ้น
นี่เป็นเวลาเมื่อทั้งชุมชนมารวมตัวกันในเทศกาล เพื่อเฉลิมฉลอง นมัสการ ขอบพระคุณ และสรรเสริญ บ่อยครั้งที่เรามีประสบการณ์ในการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เทลงมาอย่างยิ่ง นี่เป็นเวลาแห่งการเติบโตฝ่ายวิญญาณเมื่อเราฟังนิมิต และคำสอนที่ประยุกต์ใช้ได้จริงจากคริสตจักร ถึงวิธีที่เราดำเนินชีวิตของเรา นี่เป็นเวลาหัวเราะ และสนุกเมื่อเราพบกันในงานเลี้ยงตลอดทั้งสัปดาห์ การละเล่น การออกไปปิกนิก การร้องเพลง และเต้นรำ เราได้เพื่อนใหม่พอ ๆ กับที่ได้มีวันพักผ่อนที่ยอดเยี่ยม นี่เป็น ‘แวบหนึ่งของสวรรค์’ จริงๆ
เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา แต่การเฉลิมฉลองเป็นส่วนสำคัญของชีวิต
สดุดี 66:1-12
สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงดีต่ออิสราเอล
ถึงหัวหน้านักร้อง บทเพลงสดุดี
1แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายแด่พระเจ้า
2จงร้องเพลงสดุดีพระสิริแห่งพระนามของพระองค์
จงถวายเพลงสรรเสริญพระสิริของพระองค์
3จงทูลพระเจ้าว่า “พระราชกิจของพระองค์ช่างน่าครั่นคร้าม
ฤทธานุภาพของพระองค์ก็ใหญ่ยิ่ง จนศัตรูจำต้องหมอบราบต่อพระองค์
4แผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะนมัสการพระองค์
เขาทั้งหลายจะร้องเพลงสดุดีพระองค์
ร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์”
5จงมาดูพระราชกิจของพระเจ้า
กิจการของพระองค์น่าครั่นคร้ามท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย
6พระองค์ทรงเปลี่ยนทะเลให้เป็นดินแห้ง
คนเดินข้ามแม่น้ำไป
ที่นั่นเราได้ยินดีในพระองค์
7ผู้ทรงปกครองด้วยพระอานุภาพของพระองค์เป็นนิตย์
พระเนตรของพระองค์เฝ้าจับจ้องบรรดาประชาชาติอยู่
อย่าให้พวกกบฏยกย่องตนเอง
8ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้าของเรา
จงให้เสียงสรรเสริญพระองค์เป็นที่ได้ยิน
9พระองค์ทรงให้เราอยู่ท่ามกลางคนเป็น
และไม่ทรงยอมให้เท้าเราพลาด
10ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระองค์ทรงถลุงพวกข้าพระองค์อย่างถลุงเงิน
11พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายเข้ามาในข่าย
พระองค์ทรงวางความทุกข์ยากไว้บนหลังพวกข้าพระองค์
12พระองค์ทรงให้คนขับรถรบแล่นทับศีรษะของข้าพระองค์ทั้งหลาย
พวกข้าพระองค์ต้องลุยน้ำลุยไฟ
แต่พระองค์ยังทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายมาสู่ที่กว้างใหญ่
อรรถาธิบาย
เฉลิมฉลองความดีงามของพระเจ้า
บางครั้งคุณเคยรู้สึกเหมือน คุณ ‘ผ่านความเป็นความตายและรอดออกมาได้’ ไหม? คุณพบว่าตัวเอง ‘ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง’ ไหม? บางทีพระเจ้าอาจกำลังฝึกฝนคุณ เหมือนกับเงินที่ถูกถลุงให้บริสุทธิ์ผ่านไฟ
พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ผ่านช่วงเวลายากลำบาก
‘พระองค์ทรงฝึกสอนเราก่อน
ทรงถลุงเราอย่างเงินที่ถูกถลุงผ่านไฟ...
ทรงทำให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดของเรา
ทรงทดสอบเราในชีวิตจริงทั้งภายในและภายนอก
ทรงพาเราผ่านความเป็นความตายและรอดออกมาได้
สุดท้ายแล้วพระองค์ทรงพาเรา
ไปยังที่ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำอันอุดม’ (ข้อ 10–12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
อย่าปล่อยให้โอกาสเหล่านี้หมดไป จงเฉลิมฉลอง การเฉลิมฉลองของพวกเขาฟังดูค่อนข้างอึกทึก ‘ทั้งหมด – จงสรรเสริญพระเจ้า!’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญว่า ‘พระราชกิจของพระองค์ช่างน่าครั่นคร้าม ฤทธานุภาพของพระองค์ก็ใหญ่ยิ่ง ’ (ข้อ 3) พวกเขาเฉลิมฉลองสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ (ข้อ 5) พวกเขาชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้าในแบบที่ทุกคนรอบๆ สามารถได้ยิน: ‘ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้าของเรา! จงให้เสียงสรรเสริญพระองค์เป็นที่ได้ยินกึกก้อง!’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เฉลิมฉลองความดีงามของพระองค์ ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ลุยน้ำลุยไฟ และนำข้าพระองค์มาสู่ที่อันอุดมสมบูรณ์
ยอห์น 12:37-13:17
37ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์ 38ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครจะเชื่อสิ่งที่เราประกาศ?
และพระกรของพระเจ้าทรงสำแดงแก่ใคร?”
39เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อวางใจไม่ได้ เพราะอิสยาห์กล่าวไว้อีกว่า
40“พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขา
และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป
เกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา
และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา
ให้เรารักษาเขาให้หาย”
41อิสยาห์กล่าวอย่างนี้ เพราะว่าท่านเห็นพระสิริของพระองค์และกล่าวถึงพระองค์ 42อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา 43เพราะว่าพวกเขารักการชมของมนุษย์ มากกว่าการชมของพระเจ้า
พระดำรัสของพระเยซูเป็นหลักพิพากษา
44และพระเยซูทรงประกาศว่า “คนที่วางใจเรานั้นไม่ได้วางใจในเราเอง แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 45และคนที่เห็นเราก็เห็นผู้ทรงใช้เรามา 46เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด 47เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด 48ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย 49เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร 50เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา”
ยอห์น 13
การทรงล้างเท้าของพวกสาวก
1ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด 2ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น (มารได้ดลใจยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอทให้ทรยศพระองค์แล้ว) 3พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้าและจะไปหาพระเจ้า 4พระองค์ทรงลุกจากการเสวยอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์ 5แล้วทรงเทน้ำลงในอ่างและทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และทรงเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น 6เมื่อพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ?” 7พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ” 8เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้” 9ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” 10พระเยซูตรัสกับเขาว่า “คนที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน” 11เพราะพระองค์ทรงทราบว่าใครจะทรยศพระองค์ เพราะเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนในพวกท่านสะอาด”
12เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าของพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์แล้วประทับลงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับท่านหรือไม่? 13พวกท่านเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้น 14เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย 15เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย 16เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าคนที่ใช้เขาไปก็ไม่ได้ 17เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข
อรรถาธิบาย
เฉลิมฉลองพระเยซู
จะมีช่วงเวลาในชีวิตคุณเมื่อทุกสิ่งเป็นไปด้วยดี และก็มีช่วงเวลาที่ทุกสิ่งเลวร้าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณสามารถเฉลิมฉลองได้เสมอ พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นอีกครั้งเพื่อคุณ พระเยซูตรัสว่า ‘เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด’ (12:47) พระองค์ตรัสว่า ‘เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด’ (ข้อ 46)
บริบทของการที่พระเยซูทรงล้างเท้าเหล่าสาวกของพระองค์เกิดขึ้นก่อนเทศกาลการฉลองปัสกา (13:1) มีความตื่นเต้นอย่างยิ่งในบรรยากาศของคนหลายแสนคนที่มายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อมาฉลองเทศกาลปัสกา ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่เล็งถึงการสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งบัดนี้เราฉลองเป็นพิเศษในเทศกาลอีสเตอร์
เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าพวกเขาเสร็จ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับท่านหรือไม่?’ (ข้อ 12) นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรกันแน่? พวกเขาต้องเข้าใจอะไร? เราสามารถเห็นภาพสี่ภาพจากพระธรรมตอนนี้:
ความรัก
การที่พระเยซูทรงล้างเท้าเหล่าสาวกของพระองค์แสดงให้เห็นถึง ความรักของพระองค์ที่ทรงรักเขาทั้งหลาย ‘จนถึงที่สุด’ (ข้อ 1) นี่เป็นความแตกต่างที่เด่นชัดมากกับสิ่งที่โลกคิด เมื่อผู้คนใช้คำว่า ‘รัก’ นี่มากกว่าแค่ความรู้สึกหรืออารมณ์ นี่เป็นการตัดสินใจที่จะปฏิบัติต่อผู้คนในแบบที่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อพวกเขา (ข้อ 14–15)การปรนนิบัติรับใช้
ถนนปาเลสไตน์นั้นไม่ได้ปูผิวถนน และไม่สะอาด ในสภาพอากาศแห้ง ถนนอาจจมฝุ่นหนาหลายนิ้ว ในสภาพอากาศที่เปียกชื้น ถนนจะเต็มไปด้วยโคลนเหลวๆ
ในบ้านที่มั่งคั่ง เมื่อมาถึงบ้าน จะมีอ่างน้ำวางไว้ข้างประตู ทาสที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองของบ้านจะมาแก้เชือกผูกรองเท้า ทาสที่ต่ำต้อยที่สุดในบ้านจะมาล้างเท้าให้
เมื่อคนอื่นเอนกายลง พระเยซูทรงลุกขึ้น ถอดเสื้อทูนิคที่ไม่มีแขนออก และถอดเสื้อจนเหลือแค่ผ้าเตี่ยว เหมือนกับทาส พระองค์ทรงเริ่มต้นล้างเท้าของพวกเขา พระเยซูทรงรับเอาฐานะของคนที่ต่ำที่สุดในสังคม คนที่อยู่ท้ายสุด ที่ของทาส คนที่ทำงานสกปรกต่ำต้อย นี่เป็นการกลับด้านของรูปแบบการเป็นผู้นำของโลก
พระเยซู ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์’ ของพวกเขา (ข้อ 14) ทรงเปิดเผยพระองค์ในฐานะผู้ที่ด้อยค่าที่สุดในสังคม คนที่ทำงานสกปรกต่ำต้อย คนที่อยู่ท้ายที่สุด
พระเยซูทรงทำให้เราเห็นว่า หากคุณรักผู้คน คุณจะเต็มใจที่จะปรนนิบัติรับใช้พวกเขา และคนที่รับใช้คุณควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
- ความถ่อมใจ พระเยซูทรงผสมผสานอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ระหว่างความรักอันสมบูรณ์ (ข้อ 1) กับฤทธิ์เดชอันสมบูรณ์ ‘พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’ (ข้อ 3ก) ด้วยความรัก พระองค์ทรงเลือกที่จะกระทำกิจในความถ่อมใจ และปรนนิบัติรับใช้สาวกของพระองค์
ผู้ที่แสวงหาเกียรติยศให้แก่ตนเอง (เหมือนกับยูดาส ข้อ 2) ก็จะถูกลดค่าลงจนไม่เหลืออะไรเลย ผู้ที่ยกย่องตัวเองจะถูกทำให้ถ่อมใจลง ผู้ที่ถ่อมใจลง พระเจ้าจะทรงยกชู
พระเยซูทรงเปิดเผยถึงวิธีใหม่ที่จะใช้สิทธิอำนาจผ่านทางความรัก การปรนนิบัติรับใช้ และความถ่อมใจ ด้วยวิธีที่น่าทึ่งนี้ พระองค์ทรงเชื่อมช่องว่างระหว่างผู้นำและผู้อยู่ภายใต้การนำของพวกเขา
- การให้อภัย การล้างและชำระเป็นสัญลักษณ์ของการให้อภัย คือการชำระจากความบาป การล้างเท้าเป็นภาพของสิ่งที่พระเยซูกำลังจะทำบนไม้กางเขนเพื่อพวกเขา (ข้อ 7) ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อคุณ คุณได้รับการอภัยหมดแล้ว เหตุใดจากนั้นพระเยซูจึงทรงสอนเราให้อธิษฐานเป็นประจำเพื่อการทรงอภัย?
ผมพบว่าการเปรียบเทียบและภาพที่เป็นประโยชน์มากที่สุดและภาพ เป็นอันซึ่งได้ให้ไว้ที่นี่ เมื่อพระเยซูทรงเคลื่อนไปล้างเท้าให้กับเปโตร เปโตรทูลพระองค์ว่า ‘พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้” ”’ (ข้อ 8) ผลก็คือ ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” 10พระเยซูตรัสกับเขาว่า “คนที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว’ (ข้อ 9-10)
นี่เป็นภาพของการทรงอภัย เมื่อคุณเชื่อในพระเยซู คุณได้ถูกทำให้สะอาดหมดแล้ว และคุณได้รับการทรงอภัย ทุกอย่างถูกจัดการหมดแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องทำการกลับใจและเชื่อวางใจ ซึ่งนำไปสู่การทรงอภัยทั้งหมดซ้ำอีก นี่เท่ากับการอาบน้ำชำระกาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราใช้ชีวิตในโลก เราทำสิ่งที่แปดเปื้อนความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ความสัมพันธ์ของเรายังมั่นคงเสมอ แต่มิตรภาพเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่คุณเหยียบติดเท้าของคุณ แต่ละวันให้อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงอภัยให้ลูกด้วย ขอทรงชำระลูกให้พ้นจากสิ่งสกปรกต่างๆ’ คุณไม่จำเป็นต้องอาบน้ำอีกครั้ง พระเยซูได้ทรงกระทำสิ่งนั้นแล้วเพื่อคุณ แต่มาตรการชำระให้สะอาดอาจจำเป็นในแต่ละวัน
นอกจากการเฉลิมฉลองอีสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ของเราแล้ว ทุกสัปดาห์เมื่อเรารวมตัวกันในวันฟื้นคืนพระชนม์ (วันอาทิตย์) เราระลึกและเฉลิมฉลองเหตุการณ์อันน่าทึ่งเหล่านี้ ยิ่งกว่า ทุกครั้งที่คุณรับมหาสนิท คุณกำลังฉลองการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นมาจาความตายของพระเยซูเพื่อคุณ
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยเราให้ดำเนินตามแบบอย่างของพระเยซู ไม่เพียงแค่คำพูด แต่ยังรวมทั้งการกระทำด้วย ขอบพระคุณที่พระองค์ประทานสิ่งมากมายให้เราได้เฉลิมฉลอง
1 ซามูเอล 10:9-12:25
ซาอูลเผยพระวจนะ
9เมื่อซาอูลหันหลังไปจากซามูเอล พระเจ้าทรงเปลี่ยนจิตใจของซาอูลเป็นอีกแบบ และหมายสำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น 10เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ นี่แน่ะ ผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งพบกับท่านและพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสวมทับท่าน และท่านก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่พวกเขา 11และเมื่อคนทั้งปวงที่รู้จักท่านมาก่อนเห็นท่านเผยพระวจนะอยู่กับพวกผู้เผยพระวจนะ ประชาชนเหล่านั้นก็พูดกันและกันว่า “อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช? ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?” 12ชายคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นตอบว่า “และบิดาของพวกเขาคือใคร?” ดังนั้นจึงเป็นคำภาษิตว่า “ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?” 13เมื่อท่านเผยพระวจนะเสร็จแล้วท่านก็มายังปูชนียสถานสูง
14ลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับคนใช้ว่า “พวกเจ้าไปไหนมา?” และเขาตอบว่า “ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่าเราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล” 15ลุงของซาอูลกล่าวว่า “ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้าง? ขอเล่าให้ฟัง” 16และซาอูลตอบลุงของเขาว่า “ท่านบอกเราชัดเจนว่าพบลาแล้ว” แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย
แต่งตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์
17ซามูเอลจึงเรียกประชาชนมาชุมนุมต่อพระยาห์เวห์ที่มิสปาห์ 18และท่านกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และเราได้ช่วยกู้พวกเจ้าจากมือของชาวอียิปต์ และจากมือของราชอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับเจ้า’ 19แต่วันนี้พวกเจ้าละทิ้งพระเจ้า ผู้ซึ่งช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากความยากลำบากและความทุกข์ร้อน และพวกเจ้ากล่าวว่า ‘เราไม่ยอม แต่ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา’ เพราะฉะนั้นบัดนี้พวกเจ้าจงเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ตามเผ่าและตามตระกูลของพวกเจ้า”
20แล้วซามูเอลก็นำเผ่าอิสราเอลทุกเผ่าเข้ามาใกล้ และจับฉลากได้เผ่าเบนยามิน 21ท่านก็นำเผ่าเบนยามินเข้ามาใกล้ตามตระกูล จับฉลากได้ตระกูลมัตรี และจับฉลากได้ซาอูลบุตรคีช แต่เมื่อพวกเขาหาซาอูลก็หาไม่พบ 22เขาจึงทูลถามพระยาห์เวห์ต่อไปว่า “ชายคนนั้นมาที่นี่หรือยัง?” และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “ดูสิ เขาซ่อนตัวอยู่ที่กองสัมภาระ” 23เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพาเขามาจากที่นั่น และเมื่อเขายืนอยู่ท่ามกลางประชาชน เขาก็สูงกว่าประชาชนทุกคนจากบ่าขึ้นไป 24ซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “พวกเจ้าเห็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกไว้แล้วหรือ? ในท่ามกลางประชาชนไม่มีใครเหมือนเขา” และประชาชนจึงร้องเสียงดังว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญ”
25แล้วซามูเอลจึงบอกกับประชาชนให้ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตำแหน่งพระราชา และท่านบันทึกไว้ในหนังสือและวางถวายแด่พระยาห์เวห์ แล้วซามูเอลก็ให้ประชาชนกลับไปยังบ้านของตนทุกคน 26ซาอูลก็กลับไปยังบ้านของท่านที่กิเบอาห์ด้วย และมีนักรบซึ่งพระเจ้าทรงดลจิตใจไปกับท่านด้วย 27แต่มีคนอันธพาลบางคนกล่าวว่า “ชายคนนี้จะช่วยเราได้อย่างไร?” และเขาทั้งหลายก็ดูหมิ่นท่าน ไม่นำเครื่องบรรณาการมาถวาย แต่ท่านก็นิ่งเสีย
1 ซามูเอล 11
ซาอูลรบชนะคนอัมโมน
1นาหาชคนอัมโมนได้ยกขึ้นไปตั้งค่ายสู้เมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชาวเมืองยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า “ขอทำพันธสัญญากับพวกเราและพวกเราจะยอมปรนนิบัติท่าน” 2แต่นาหาชคนอัมโมนพูดกับพวกเขาว่า “เราจะทำพันธสัญญากับพวกเจ้าตามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือเราจะทะลวงตาขวาของเจ้าเสียทุกคนให้เป็นที่อัปยศแก่คนอิสราเอลทั้งปวง” 3ส่วนพวกผู้ใหญ่แห่งเมืองยาเบชพูดกับท่านว่า “ขอผ่อนผันให้พวกเราสักเจ็ดวัน เพื่อพวกเราจะได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปให้ทั่วเขตแดนอิสราเอลแล้วถ้าไม่มีคนใดช่วยกู้พวกเราได้ พวกเราจะยอมมอบตัวไว้ให้แก่ท่าน” 4เมื่อพวกผู้สื่อสารมาถึงกิเบอาห์เมืองของซาอูล พวกเขาก็เล่าเรื่องราวให้เข้าหูของประชาชนและประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้เสียงดัง
5นี่แน่ะ ซาอูลต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่ง และซาอูลถามว่า “ประชาชนเป็นอะไรไป? ทำไมพวกเขาจึงร้องไห้?” ดังนั้นเขาจึงเล่าให้ท่านทราบถึงเรื่องของพวกยาเบช 6เมื่อท่านได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูลและท่านโกรธจัด 7ท่านจึงเอาโคมาคู่หนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้นของอิสราเอลทางมือของพวกผู้สื่อสารกล่าวว่า “ใครที่ไม่ออกมาตามซาอูลและซามูเอล จะทำอย่างนี้แก่โคของเขา” และความเกรงกลัวพระยาห์เวห์ก็มาเหนือประชาชน พวกเขาพากันออกมาเป็นใจเดียวกัน 8เมื่อซาอูลรวมพลอยู่ที่เบเซก นับพงศ์พันธุ์อิสราเอลได้ 300,000 คน และชายเผ่ายูดาห์ได้ 30,000 คน 9พวกเขาจึงพูดกับพวกผู้สื่อสารที่มานั้นว่า “จงบอกแก่ชาวยาเบชกิเลอาดว่า ‘พรุ่งนี้เวลาแดดร้อนพวกท่านจะได้รับการช่วยกู้’ ” เมื่อพวกผู้สื่อสารกลับมาบอกพวกยาเบช พวกเขาก็ยินดี 10ดังนั้นชาวยาเบชจึงพูดว่า “พรุ่งนี้เราจะมอบตัวของเราไว้ให้แก่ท่าน ท่านจงทำแก่เราตามที่ท่านเห็นควร” 11พอวันรุ่งขึ้นซาอูลก็จัดประชาชนออกเป็นสามหมู่ยกเข้ามากลางค่ายตอนเช้ามืดและฆ่าฟันคนอัมโมนเสียจนเวลาแดดจัด ผู้ที่รอดชีวิตไปได้ก็กระจัดกระจายไปรวมกันไม่ได้สักคู่เดียวเลย
12แล้วประชาชนจึงพูดกับซามูเอลว่า “ใครที่พูดว่า ‘ซาอูลจะปกครองเหนือพวกเราหรือ?’ นั้น จงนำคนเหล่านั้นออกมา พวกเราจะได้ฆ่าพวกเขาเสีย” 13แต่ซาอูลกล่าวว่า “ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ประทานการช่วยกู้ในอิสราเอล” 14แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า “มาเถิด ให้เราไปยังกิลกาลและรื้อฟื้นเรื่องราชอาณาจักรที่นั่นอีก” 15ประชาชนทั้งปวงจึงไปยังกิลกาล และที่นั่นพวกเขาก็ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่กิลกาล แล้วพวกเขาถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ซาอูลกับประชาชนอิสราเอลทั้งปวงก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งที่นั่น
1 ซามูเอล 12
คำอำลาของซามูเอล
1ซามูเอลจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงว่า “ดูสิ ข้าพเจ้าฟังเสียงของพวกท่านทุกเรื่อง ซึ่งพวกท่านได้บอกข้าพเจ้าและได้แต่งตั้งพระราชาเหนือพวกท่านแล้ว 2บัดนี้ กษัตริย์ก็ทรงดำเนินอยู่ต่อหน้าพวกท่าน ส่วนข้าพเจ้าก็ชราผมหงอกแล้ว และนี่แน่ะ พวกบุตรของข้าพเจ้าก็อยู่กับพวกท่านและข้าพเจ้าเองดำเนินอยู่ต่อหน้าพวกท่านตั้งแต่หนุ่มๆ มาจนทุกวันนี้ 3ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอท่านเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และต่อหน้าผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ ข้าพเจ้าได้ริบโคของใครบ้างหรือ? หรือข้าพเจ้าเอาลาของใครไปบ้าง? หรือข้าพเจ้าได้ฉ้อโกงใคร? ข้าพเจ้าได้บีบบังคับใครบ้าง? ข้าพเจ้าได้รับสินบนจากมือของใครที่ทำให้ข้าพเจ้าปิดตาของข้าพเจ้า? ข้าพเจ้าจะคืนให้แก่พวกท่าน” 4พวกเขาพูดว่า “ท่านไม่ได้ฉ้อพวกเราหรือบีบบังคับพวกเราหรือรับสิ่งใดไปจากมือของใคร” 5ท่านก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานต่อสู้พวกท่าน และผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ ว่าพวกท่านไม่พบสิ่งใดในมือของข้าพเจ้า” และพวกเขากล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพยาน”
6และซามูเอลก็กล่าวแก่ประชาชนว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงแต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และผู้ทรงนำบรรพบุรุษของพวกท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ 7ฉะนั้นขอพวกท่านจงยืนนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยพวกท่านเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เกี่ยวกับพระราชกิจอันชอบธรรมทั้งปวงของพระยาห์เวห์ ที่พระองค์ทรงทำต่อพวกท่านและต่อบรรพบุรุษของพวกท่าน 8เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และบรรพบุรุษของพวกท่านร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ก็ทรงใช้โมเสสกับอาโรน ท่านทั้งสองได้นำบรรพบุรุษของพวกท่านออกจากอียิปต์และทำให้พวกเขามาอาศัยอยู่ในที่นี้ 9แต่พวกเขาลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พระองค์จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพของกองทัพของเมืองฮาโซร์ และมอบไว้ในมือของพวกฟีลิสเตีย และในมือของกษัตริย์แห่งโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของพวกท่าน 10และพวกเขาร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า ‘พวกข้าพระองค์ได้ทำบาปแล้ว เพราะว่าพวกข้าพระองค์ได้ละทิ้งพระยาห์เวห์ไปปรนนิบัติบรรดาพระบาอัลและบรรดาพระอัชทาโรท แต่บัดนี้ขอทรงช่วยกู้พวกข้าพระองค์ให้พ้นมือของพวกศัตรูของพวกข้าพระองค์ และพวกข้าพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์’ 11และพระยาห์เวห์ทรงส่งเยรุบบาอัล และเบดาน และเยฟธาห์ และซามูเอล และทรงช่วยกู้พวกท่านออกจากมือของพวกศัตรูทุกด้านและพวกท่านได้อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย 12และเมื่อพวกท่านเห็นนาหาชกษัตริย์ของชาวอัมโมนมาต่อสู้พวกท่าน พวกท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ไม่ได้ เพราะเราต้องการกษัตริย์ปกครองเหนือพวกเรา’ แม้ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของพวกท่าน 13บัดนี้ จงดูพระราชาที่พวกท่านเลือก ผู้ซึ่งพวกท่านได้ร้องขอ ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงตั้งพระราชาไว้เหนือพวกท่านแล้ว 14ถ้าพวกท่านยำเกรงพระยาห์เวห์และปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และทั้งพวกท่านและกษัตริย์ผู้ปกครองเหนือท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านก็ดีแล้ว 15แต่ถ้าพวกท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์แล้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์จะต่อสู้พวกท่าน ดังเช่นบรรพบุรุษของพวกท่าน 16เพราะฉะนั้นบัดนี้พวกท่านจงยืนนิ่งอยู่ และดูสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงทำต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน 17วันนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ? ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงให้มีฟ้าร้องและฝน และพวกท่านจะได้รู้และเห็นว่าความชั่วร้ายของพวกท่าน ซึ่งพวกท่านได้ทำในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์นั้นมากมายเพียงใด ในการที่ได้ทูลขอให้มีกษัตริย์สำหรับตน” 18ซามูเอลจึงร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ทรงให้มีฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ประชาชนทั้งปวงก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก
19และประชาชนทั้งปวงพูดกับซามูเอลว่า “ขอท่านอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้งหลายของท่าน เพื่อพวกเราจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วร้ายนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของพวกเรา คือขอให้มีกษัตริย์สำหรับพวกเรา” 20และซามูเอลพูดกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย แม้พวกท่านได้ทำความชั่วร้ายทั้งปวงนี้ แต่พวกท่านอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระยาห์เวห์ แต่จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน 21และอย่าหันไปติดตามสิ่งไร้สาระซึ่งไม่เป็นประโยชน์ หรือช่วยกู้ไม่ได้เพราะพวกนี้เป็นสิ่งไร้ค่า 22เพราะพระยาห์เวห์จะไม่ทรงละทิ้งประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระยาห์เวห์พอพระทัยที่จะทำให้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ 23ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าเองขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อพวกท่าน แต่ข้าพเจ้าจะชี้แนะทางที่ดีและที่ถูกต้องให้พวกท่าน 24เพียงแต่ว่าจงยำเกรงพระยาห์เวห์ ปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์ และด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน จงพิจารณาถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงทำแก่พวกท่าน 25แต่ถ้าพวกท่านยังทำชั่วจริงๆ พวกท่านรวมทั้งกษัตริย์ของพวกท่านจะถูกกวาดต้อนไป”
อรรถาธิบาย
เฉลิมฉลองความสำเร็จ
ซาอูลเริ่มรัชสมัยของพระองค์ในฐานะกษัตริย์ด้วยช่วงเวลาหวานชื่น พระวิญญาณของพระเจ้าสวมทับพระองค์ด้วยฤทธิ์เดช และพระองค์ก็เผยพระวจนะ (10:9–13) พระเจ้าประทานสติปัญญาให้พระองค์ในการรับมือกับผู้ต่อต้าน พระองค์ทรงทราบว่าเมื่อใดควรเงียบ (ข้อ 27)
ไม่ช้าซาอูลก็ต้องรับมือกับ ‘คนอันธพาล’ (ข้อ 27) พระเจ้าทรงเป็นธุระเรื่องการแตะต้องจิตใจของมนุษย์ (ข้อ 26) แต่เช่นเคย พระคัมภีร์นั้นสมจริง พวกอันธพาลก็มีอยู่ทั่ว ไม่ว่าพระเจ้าจะมีอำนาจอยู่ที่ใดก็ตาม ก็คาดว่าจะพบผู้ก่อกวนอยู่ที่นั่นด้วย
เมื่อประชากรของพระเจ้าเผชิญกับความโหดร้ายที่น่ากลัวจากชายคนหนึ่งที่ต้องการทะลวงตาขวาของทุกคน ‘พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูล’ (11:6) พระเจ้าประทานชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แก่พระองค์ และพระองค์ก็มีสติปัญญาที่จะกล่าวหลังจากนั้นว่า ‘ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ประทานการช่วยกู้ในอิสราเอล’ (ข้อ 13) พวกเขาจึงจัด ‘งานฉลองใหญ่แทน’ (ข้อ 15)
ในสุนทรพจน์อำลาของซามูเอล เขาพูดถึงว่า พระเจ้าประทานความสำเร็จให้แก่ประชากรของพระองค์บ่อยเพียงใดเมื่อพวกเขาร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ (12:8,10–11) เขาเร้าใจพวกเขาให้ 'พิจารณาถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงทำแก่พวกท่าน' (ข้อ 24) หลายสิ่งมาเป็นผลมาจากคำอธิษฐานของซามูเอล และกล่าวว่า ‘ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าเองขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อพวกท่าน’ (ข้อ 23)
อย่าผูกมัดกับความต้องการและความกังวลของตัวเองเสียจนคุณล้มเหลวในการอธิษฐานเผื่อผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะอธิษฐานเผื่อกันและกัน
พระธรรมสำหรับวันนี้จบลงด้วยการที่ซามูเอลบอกกับประชาชนว่า ‘จงพิจารณาถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงทำแก่พวกท่าน’ (ข้อ 24) ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของคุณ มองย้อนไป พิจารณาดู และเฉลิมฉลองการทรงอภัยของคุณ ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระสัญญาแห่งความรุ่งโรจน์ และมหกิจที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อคุณ
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์อยากมองย้อนไปด้วยใจขอบพระคุณ และฉลองมหกิจที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อข้าพระองค์…
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 ซามูเอล 11:6
‘เมื่อท่านได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูลและท่านโกรธจัด’
ฉันไม่ได้คิดบ่อยๆ ว่า พระวิญญาณของพระเจ้าสวมทับบางคน และนำเอาความโกรธมาให้ ฉันคิดเสมอว่า พระวิญญาณทรงปลดปล่อยผู้คนจากความโกรธ และนำความชื่นบานหรือสันติสุข หรือการสำนึกบาปอย่างลึกซึ้งมาให้ แต่ความโกรธต่อความอยุติธรรมเคลื่อนเราจากความไม่แยแสต่อการ
![reader](/assets/img/o2IIH9f3cp-320.jpeg)
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
![reader](/assets/img/VaA8S1A2AE-320.jpeg)
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
![reader](/assets/img/RdJg02ZuKy-320.jpeg)
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)