ไม่มีสีเทาเฉดต่าง ๆ
เกริ่นนำ
ย้อนกลับไปในปี คศ. 1960 วงดนตรีที่ชื่อ เดอะ มังกี้ส์ ร้องเพลงเกี่ยวกับการที่ดูเหมือนไม่มีใครเชื่อในจริยธรรมที่แท้จริงอีกต่อไป ในเพลงที่ชื่อว่า Shades of Gray – สีเทาเฉดต่าง ๆ พวกเขาร้องว่า
เมื่อโลกและฉันนั้นยังเยาว์วัย
แค่เมื่อวานนี้เอง
ชีวิตเคยเป็นแค่เรื่องง่าย ๆ…
ตอนนั้นมันช่างง่ายที่จะแยกแยะถูกผิด…
แต่วันนี้ไม่มีขาวมีดำ
มีแค่เพียงสีเทาเฉดต่าง ๆ
ตอนนี้สำนวน ‘สีเทาเฉดต่าง ๆ’ เกี่ยวข้องกับหนังสือและภาพยนตร์ที่มีชื่อดังกล่าว ซึ่งมีชื่อฉาวโฉ่และเป็นที่ถกเถียงกัน
ปัจจุบันหลายคนไม่เชื่ออีกต่อไปว่า มีสิ่งที่เป็นความถูก หรือผิดอย่างแท้จริง ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และความแตกต่างแบบขาวกับดำไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับไว้ในสังคมที่สัมพัทธนิยม (ความเชื่อว่าความจริงไม่เที่ยงแท้เสมอ) เป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกัน ขึ้นอยู่กับว่ามากในระดับไหน
ในฐานะสาวกพระเยซู เราไม่สามารถยอมให้กับแนวคิดแบบสัมพัทธนิยมเหล่านี้ได้ เราควรฟังเสียงเผยพระวจนะของพระคัมภีร์ ซึ่งมักจะมีร่องรอยความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของทางเลือกทางจริยธรรมแบบเร่งด่วน กับเส้นทางที่แยกออกไปท่ามกลางปัญหาและสถานการณ์ที่ซับซ้อน
ความจริงของความถูกผิดนั้นชัดเจนมากในพระธรรมในวันนี้ และมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างสองสิ่งนี้
สดุดี 71:9-18
9เมื่อถึงวัยชรา ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ทิ้งเสีย
ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์หมดแรง
10เพราะบรรดาศัตรูพูดถึงข้าพระองค์
ผู้ที่จ้องเอาชีวิตข้าพระองค์ปรึกษากัน
11และกล่าวว่า “พระเจ้าทรงทอดทิ้งเขาแล้ว
จงไล่ตามและฉวยเขาไว้
เพราะไม่มีใครช่วยกู้เขา”
12ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงอยู่ไกลข้าพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงรีบมาช่วยข้าพระองค์เถิด
13ขอให้บรรดาปฏิปักษ์ของข้าพระองค์อับอายและถูกล้างผลาญเสีย
ส่วนผู้ที่หาทางทำอันตรายข้าพระองค์นั้น
ขอให้การเยาะเย้ยและความขายหน้าท่วมเขา
14แต่ข้าพระองค์จะหวังอยู่เสมอ
และจะสรรเสริญพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น
15ปากของข้าพระองค์จะเล่าถึงกิจการอันชอบธรรมของพระองค์
คือพระราชกิจที่ช่วยให้รอดของพระองค์วันยังค่ำ
เพราะจำนวนพระราชกิจนั้นมากมายเกินความรู้ของข้าพระองค์
16ข้าพระองค์จะนำเรื่องกิจการอันทรงอานุภาพของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไปด้วย
ข้าพระองค์จะสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียว
17ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสอนข้าพระองค์ตั้งแต่เด็กๆ มา
และข้าพระองค์จะประกาศถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์
18แม้ข้าพระองค์จะถึงวัยชราและมีผมหงอกก็ตาม
ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์
จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงฤทธานุภาพของพระองค์แก่คนรุ่นหลัง
และประกาศพระอานุภาพของพระองค์แก่ผู้ที่จะเกิดมา
อรรถาธิบาย
จบลงด้วยดี กับ พินาศด้วยความอับอาย
มี ‘สีเทา’ แค่ประเภทเดียวที่ได้รับการยอมรับในพระคัมภีร์ นั่นคือ ‘ผมหงอกเป็นสีเทา’ ซึ่งถูกมองว่าเป็น ‘มงกุฎแห่งศักดิ์ศรี...พบได้ก็แต่ในผู้ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม’ (สุภาษิต 16:31) โดยส่วนตัวแล้วผมพบว่า นี่เป็นสิ่งที่หนุนใจมาก!
ผู้เขียนสดุดีตัดสินใจที่จะจบดี เขาเขียนว่า ‘เมื่อถึงวัยชรา ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ทิ้งเสีย ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์หมดแรง… แม้ข้าพระองค์จะถึงวัยชราและมีผมหงอกก็ตาม ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ จนกว่าข้าพระองค์จะประกาศถึงฤทธานุภาพของพระองค์แก่คนรุ่นหลัง และประกาศพระอานุภาพของพระองค์แก่ผู้ที่จะเกิดมา’ (สดุดี 71:9,18)
สิ่งนี้ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับชะตากรรมของศัตรูที่เขาหวังว่าจะ ‘อับอายและถูกล้างผลาญ’ (ข้อ 13) จากมุมมองตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ นี่อาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่จะอธิษฐานเผื่อศัตรู อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความจริงว่าบางคนดูเหมือนจะ ‘อับอายและถูกล้างผลาญ’ เป็นทางน่าเศร้าซึ่งชีวิตของบางคนต้องจบลงแบบนั้น
ผู้เขียนสดุดีเปรียบเทียบตัวเองกับผู้ที่อับอายและถูกล้างผลาญ เขาเขียนว่า ‘แต่ข้าพระองค์…’ (ข้อ 14) เขาต้องการที่จะใกล้ชิดพระเจ้าต่อไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต ที่จริงเขาอยากจะจบชีวิตลงด้วยการเกิดผลยิ่งกว่าตอนเริ่มต้น เขากล่าวว่า ‘และจะสรรเสริญพระองค์มากยิ่ง ๆ ขึ้น’ (ข้อ 14)
คนทุกรุ่นมีความรับผิดชอบที่ส่งไม้ผลัด ‘แก่คนรุ่นหลัง’ (ข้อ 18) การวางแผนผู้สืบทอดคือส่วนสำคัญของการจบลงด้วยดี นี่ถูกพูดถึงว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะติดตามเปาโล และอบรมทิโมธี เลี้ยงดูโดยมารีย์ และอุปถัมภ์โดยเฟบี
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้จบลงด้วยดี และประกาศฤทธานุภาพของพระองค์ต่อคนรุ่นถัดไป ขอให้ปากของข้าพระองค์บอกเล่าถึงกิจการอันชอบธรรมของพระองค์ และประกาศถึงอานุภาพของพระองค์
กิจการอัครทูต 4:23-5:11
ผู้ที่เชื่อถืออธิษฐานขอความกล้าหาญ
23เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วท่านทั้งสองจึงไปหาพวกพ้อง เล่าเรื่องทั้งหมดที่พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่พูดกับพวกท่าน 24เมื่อเขาทั้งหลายฟังแล้วก็ร่วมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น 25พระองค์ตรัสไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยปากของดาวิดบรรพบุรุษของเรา ผู้รับใช้ของพระองค์ ว่า
‘ทำไมคนต่างชาติจึงหยิ่งยโส
และชนชาติทั้งหลายปองร้ายกันแต่ไม่เป็นผล
26บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตัวขึ้น
และนักปกครองชุมนุมกัน
ต่อสู้พระเจ้าและผู้รับการเจิมตั้งของพระองค์’
27ความจริงในเมืองนี้ ทั้งเฮโรด และปอนทิอัสปีลาต กับพวกต่างชาติและชนชาติอิสราเอล ร่วมชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์ซึ่งทรงเจิมไว้แล้ว 28พวกเขาทำสิ่งสารพัดตามที่พระหัตถ์และพระดำริของพระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า 29บัดนี้ พระองค์เจ้าข้า ขอทอดพระเนตรการข่มขู่ของพวกเขา และทรงให้บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า 30ในเวลาที่พระองค์ยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกรักษาโรค และโปรดให้หมายสำคัญกับการอัศจรรย์เกิดขึ้น โดยพระนามของพระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์” 31เมื่อเขาทั้งหลายอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งพวกเขาประชุมอยู่นั้นก็หวั่นไหว แล้วพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ
ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง
32คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่นั้นเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง 33และด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่บรรดาอัครทูตก็เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาทุกคน 34เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน ใครมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย 35และนำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมาวางไว้ที่เท้าของบรรดาอัครทูต พวกอัครทูตจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามความจำเป็น 36โยเซฟผู้ที่บรรดาอัครทูตเรียกว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ เป็นเลวีชาวเกาะไซปรัส 37มีที่ดินก็ขายเสีย และนำเงินค่าที่ดินนั้นมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต
กิจการ 5
อานาเนียกับสัปฟีรา
1แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราขายที่ดินของตน 2แล้วเก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย อีกส่วนหนึ่งนั้นเขานำมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต 3เปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย ทำไมซาตานจึงควบคุมใจของเจ้าให้โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้? 4เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในสิทธิอำนาจของเจ้าไม่ใช่หรือ? มีอะไรทำให้ใจของเจ้าคิดทำอย่างนี้? เจ้าไม่ได้โกหกมนุษย์แต่โกหกพระเจ้า” 5เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงและสิ้นใจ ทุกคนที่รู้เรื่องก็เกิดความเกรงกลัวอย่างยิ่ง 6พวกคนหนุ่มก็มาห่อศพเขาแล้วหามไปฝัง
7หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขาซึ่งยังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เข้าไป 8เปโตรถามนางว่า “เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ จงบอกข้าเถิด?” นางจึงตอบว่า “ได้เท่านั้นค่ะ” 9เปโตรจึงถามนางว่า “ทำไมเจ้าสองคนถึงพร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า? นี่แน่ะ เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีเจ้าอยู่ที่ประตู และพวกเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย” 10ทันใดนั้นนางก็ล้มลงสิ้นใจแทบเท้าของเปโตร เมื่อพวกคนหนุ่มเข้ามาพบว่านางตายแล้ว ก็หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง 11ทั่วคริสตจักรและทุกคนที่ได้ยินเหตุการณ์นั้นก็เกิดความเกรงกลัวอย่างยิ่ง
อรรถาธิบาย
เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับ ซาตานควบคุมใจ
คริสตจักรไม่ควรน่าเบื่อ ไม่มีใครเบื่อเลยในคริสตจักรยุคแรก คุณไม่เคยรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีความรู้สึกอันแรงกล้าถึงการทรงสถิตของพระเจ้า บางคนรักมัน บางคนตกใจกลัว
อีกครั้งที่เราเห็นความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
อันดับแรก เราได้เห็นผลของการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์:
1. กล้าหาญ
เปโตรกับยอห์นไม่ได้เตะถ่วงออกไปด้วยภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับพวกเขา (4:17,21) แต่กลับ ‘ร่วมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า’ (ข้อ 24) พวกเขาอธิษฐานว่า ‘บัดนี้ พระองค์เจ้าข้า ขอทอดพระเนตรการข่มขู่ของพวกเขา และทรงให้บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า’ (ข้อ 29) ‘เมื่อเขาทั้งหลายอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งพวกเขาประชุมอยู่นั้นก็หวั่นไหว แล้วพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ’ (ข้อ 31)
2. เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
‘คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน’ (ข้อ 32ก) พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน เครื่องหมายของการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3. ใจที่กว้างขวาง พวกเขามีท่าทีที่ปล่อยวางเรื่องทรัพย์สิน ‘ไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่นั้นเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง...เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน’ (ข้อ 32,34) ผู้ที่สามารถทำได้ ช่วยสนับสนุนคนที่ขัดสน (ข้อ 34–35)
4. ฤทธานุภาพ
พวกเขาอธิษฐานว่า ‘ในเวลาที่พระองค์ยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกรักษาโรค และโปรดให้หมายสำคัญกับการอัศจรรย์เกิดขึ้น โดยพระนามของพระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์’ (ข้อ 30) คำอธิษฐานของพวกเขาได้รับคำตอบ ‘ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่บรรดาอัครทูตก็เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า‘ (ข้อ 33ก)
5. พระคุณ
‘…และพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาทุกคน’ (ข้อ 33ข) ประสบการณ์เรื่องพระคุณพระเจ้าควรทำให้เกิดชุมชนแห่งพระคุณ และความมีน้ำใจ
ด้วยการขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ในครึ่งหลังของพระธรรมในวันนี้ เราเห็นถึงผลลัพธ์ของการที่ถูกซาตานครอบงำจิตใจ เปโตรใช้ภาษาที่รุนแรงเมื่อเขากล่าวว่า ‘อานาเนีย ทำไมซาตานจึงควบคุมใจของเจ้า‘ (5:3)
ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่อานาเนียและสัปฟีราต้องบริจาคที่ดินหรือเงินทองของพวกเขา ‘เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในสิทธิอำนาจของเจ้าไม่ใช่หรือ?’ (ข้อ 4) พวกเขาไม่ได้ถูกตำหนิเรื่องของการขาดความใจกว้าง
กลับกัน หลักฐานว่าซาตานครอบงำจิตใจของพวกเขาไม่ใช่แค่เพียงแต่พวกเขาโกหก (ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเอง) แต่ยังเป็นเรื่องที่พวกเขาคบคิดกันโกหก เปโตรกล่าวกับอานาเนียว่า ‘โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 3) และเขาพูดกับสัปฟีราว่า ‘ทำไมเจ้าสองคนถึงพร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า?’ (ข้อ 9) การสมรู้ร่วมคิดนี้ได้รับการไตร่ตรอง และเตรียมการไว้ล่วงหน้า
พระเจ้าประทาน ‘ถ้อยคำแห่งความรู้’ ให้แก่เปโตร (ข้อ 3–4) ซึ่งเปิดโปงความบาปของพวกเขา ความยำเกรงพระเจ้าก็มาเหนือผู้คน (ข้อ 5,11) ความเกรงกลัวประเภทนี้ไม่ใช่เกรงกลัวต่อมนุษย์หรือเกรงกลัวแบบทาสกลัวนาย แต่เป็นความเกรงกลัวอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขา ‘เคารพยำเกรงพระเจ้า พวกเขารู้ว่าไม่ควรล้อเล่นกับพระเจ้า’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่ไม่ใช่เรื่องเบา ๆ อ่านง่าย ๆ และเราหลายคนก็ปล้ำสู้กับอธิปไตยของการพิพากษาของพระเจ้าในพระธรรมตอนนี้ สุดท้ายแล้ว มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบความลับในหัวใจของเรา และเราจำเป็นต้องวางใจในการพิพากษาของพระองค์ว่ายุติธรรมและเที่ยงธรรม แม้ว่าจะเตือนเราถึงความยิ่งใหญ่ของการทรงสถิตของพระเจ้าในท่ามกลางเรา ความรู้สึกของการประทับของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่มาก จนผู้คนเกรงกลัวว่าบาปของตนอาจถูกเปิดโปง แต่การทรงสถิตของพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ครั้งนี้ทำให้เกิดการกลับใจเชื่อ การเยียวยารักษา หมายสำคัญ และการอัศจรรย์ที่ไม่ธรรมดาด้วย
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเติมเต็มเราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ขอให้เราเป็นคริสตจักรซึ่งเป็นที่รู้จักโดยการประกาศอย่างกล้าหาญ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความใจกว้าง ฤทธานุภาพ และพระคุณ
2 ซามูเอล 13:1-39
อัมโนนและทามาร์
1ต่อมาหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ อับซาโลมพระราชโอรสของดาวิดมีพระขนิษฐางดงามองค์หนึ่งชื่อทามาร์ และอัมโนนพระราชโอรสของดาวิดรักเธอ 2อัมโนนทุกข์ใจจนล้มป่วยเนื่องด้วยพระขนิษฐาทามาร์ เพราะเธอเป็นสาวพรหมจารี อัมโนนจึงไม่สามารถทำอะไรกับเธอได้ 3แต่อัมโนนมีสหายคนหนึ่งชื่อโยนาดับบุตรของชิเมอาห์พระเชษฐาของดาวิด โยนาดับนั้นเป็นคนเจ้าปัญญา 4จึงทูลถามว่า “ข้าแต่พระราชโอรสของพระราชา ทำไมจึงซมเซาเช่นนี้ทุกๆ เช้า? จะไม่บอกให้กระหม่อมทราบบ้างหรือ?” อัมโนนตอบเขาว่า “เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมน้องชายของเรา” 5โยนาดับจึงทูลท่านว่า “ขอเชิญบรรทมบนพระแท่น แสร้งทำเป็นประชวร และเมื่อเสด็จพ่อมาเยี่ยม ก็ขอทูลว่า ‘ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงมาให้อาหารแก่ข้าพระบาท มาเตรียมอาหารต่อหน้าข้าพระบาทเพื่อข้าพระบาทจะได้เห็น และรับประทานจากมือของเธอ’ ” 6อัมโนนจึงบรรทม แสร้งทำเป็นประชวร เมื่อพระราชาเสด็จมาเยี่ยม อัมโนนก็ทูลพระราชาว่า “ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงมาทำขนมสักสองอันต่อหน้าข้าพระบาท ข้าพระบาทจะได้รับประทานจากมือของเธอ”
7ดาวิดทรงใช้คนไปแจ้งทามาร์ที่วังว่า “จงไปที่บ้านของอัมโนนพี่ของเจ้า และทำอาหารให้เขา” 8ทามาร์ก็ไปยังวังของอัมโนนพระเชษฐาของเธอ เขาบรรทมอยู่ เธอหยิบแป้งมานวด ทำขนมต่อหน้าพระเชษฐา แล้วปิ้ง 9และเธอก็ยกกระทะมาเทออกต่อหน้าพระเชษฐา แต่อัมโนนก็ไม่เสวย กล่าวว่า “ให้ทุกคนออกไป” ทุกคนก็ออกไป 10อัมโนนก็รับสั่งกับทามาร์ว่า “จงเอาอาหารเข้ามาในห้องใน เพื่อพี่จะได้รับประทานจากมือของน้อง” ทามาร์ก็นำขนมที่เธอทำนั้นเข้าไปให้อัมโนนพระเชษฐาที่ห้องใน 11แต่เมื่อเธอนำขนมมาใกล้เพื่อให้ท่านเสวย ท่านก็จับเธอไว้ รับสั่งว่า “น้องของพี่ เข้ามานอนกับพี่เถิด” 12เธอจึงตอบว่า “อย่าเลยพระเชษฐา อย่าบังคับหม่อมฉัน สิ่งอย่างนี้เขาไม่ทำกันในอิสราเอล อย่าทำการโฉดเขลาอย่างนี้เลย 13ส่วนหม่อมฉันเอง หม่อมฉันจะเอาความอายไปไว้ที่ไหน? ส่วนพระเชษฐาเล่า ก็จะเป็นคนโฉดเขลาคนหนึ่งในอิสราเอล เพราะฉะนั้นขอทูลพระราชาเถิด พระองค์จะไม่หวงหม่อมฉันไว้จากพระเชษฐา” 14แต่อัมโนนไม่ยอมฟังเสียงเธอ และเพราะท่านมีกำลังมากกว่า จึงทรงบังคับและนอนร่วมกับเธอ
15ต่อมาอัมโนนก็ทรงชังเธอด้วยความเกลียดชังที่สุด ความเกลียดชังที่ท่านเกลียดชังเธอก็มากยิ่งกว่าความรักซึ่งท่านเคยรักเธอ และอัมโนนรับสั่งกับเธอว่า “จงลุกขึ้นไป” 16แต่เธอตอบว่า “อย่าเลย เพราะความผิดใหญ่หลวงนี้ ที่จะไล่หม่อมฉันไปก็มากกว่าครั้งก่อนที่พระเชษฐาทำกับหม่อมฉัน” แต่ท่านไม่ยอมฟังเธอ 17จึงเรียกมหาดเล็กที่ปรนนิบัติอยู่ สั่งว่า “จงไล่ผู้หญิงคนนี้ให้ออกไปให้พ้นเรา แล้วปิดประตูใส่กลอนหลังจากเธอออกไป” 18เธอสวมเสื้อคลุมยาวมีแขนดังที่พระราชธิดาพรหมจารีของพระราชาสวมกัน มหาดเล็กของท่านจึงนำเธอออกไป และใส่กลอนประตูหลังจากเธอออกไป 19ทามาร์ก็เอาขี้เถ้าใส่ที่ศีรษะของเธอและฉีกเสื้อคลุมยาวมีแขนที่เธอสวมอยู่นั้นเสีย เอามือกุมศีรษะร้องไห้เสียงดังเดินไปเรื่อยๆ
20อับซาโลมพระเชษฐาของเธอก็รับสั่งกับเธอว่า “พี่อัมโนนได้อยู่กับน้องหรือ? น้องเอ๋ย นิ่งเสีย เพราะเขาเป็นพี่ อย่าทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้เลย” ฝ่ายทามาร์ก็อยู่เดียวดายในวังของอับซาโลมพระเชษฐา 21เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงทราบเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก 22แต่อับซาโลมไม่ได้พูดกับอัมโนนเลย ไม่ว่าดีหรือร้าย เพราะอับซาโลมเกลียดชังอัมโนนมาก ที่ทำให้ทามาร์น้องหญิงของท่านอับอาย
อับซาโลมแก้แค้นที่น้องสาวถูกย่ำยี
23ต่อมาอีกสองปีเต็ม อับซาโลมมีงานตัดขนแกะที่ตำบลบาอัลฮาโซร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอฟราอิม และอับซาโลมเชิญพระราชโอรสทั้งสิ้นของพระราชา ไปในงานนั้น 24อับซาโลมไปเฝ้าพระราชาทูลว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทมีงานตัดขนแกะ ขอเชิญพระราชาและมหาดเล็กของพระองค์ไปในงานนั้นกับผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท” 25แต่พระราชาตรัสกับอับซาโลมว่า “ลูกเอ๋ย อย่าเลย อย่าให้พวกเราไปกันหมดเลย จะเป็นภาระแก่เจ้าเปล่าๆ” อับซาโลมคะยั้นคะยอพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์ไม่ยอมเสด็จ แต่ทรงอวยพรให้ 26อับซาโลมจึงทูลว่า “ถ้าไม่โปรดเสด็จ ก็ขออนุญาตให้พระเชษฐาอัมโนนไปด้วยกันกับพวกเราเถิด” และพระราชาตรัสถามว่า “ทำไมจะให้เขาไปกับเจ้าด้วย?” 27แต่อับซาโลมทูลคะยั้นคะยอจนพระองค์ทรงให้อัมโนนและพระราชโอรสของพระราชาทั้งสิ้นไปด้วย 28แล้วอับซาโลมบัญชาพวกมหาดเล็กของท่านว่า “จงคอยดูว่าจิตใจของอัมโนนเพลิดเพลินด้วยเหล้าองุ่นเมื่อไร เมื่อเราสั่งพวกเจ้าว่า ‘จงประหารอัมโนน’ พวกเจ้าจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราเองสั่งพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? จงเข้มแข็งและเป็นคนกล้าหาญเถิด” 29และพวกมหาดเล็กของอับซาโลมก็ทำกับอัมโนน ตามที่อับซาโลมบัญชาไว้ แล้วพระราชโอรสทั้งหมดของพระราชาก็ลุกขึ้นทรงล่อของแต่ละองค์หนีไป
30ขณะเมื่อบรรดาพระราชโอรสทรงดำเนินอยู่ตามทาง มีข่าวไปถึงดาวิดว่า “อับซาโลมประหารพระราชโอรสของพระราชาทั้งหมดแล้ว ไม่เหลืออยู่สักองค์เดียว” 31พระราชาทรงลุกขึ้นฉีกฉลองพระองค์ และบรรทมบนพื้นดิน ข้าราชการทั้งสิ้นสวมเสื้อผ้าฉีกขาด ยืนเฝ้าอยู่ 32แต่โยนาดับบุตรชิเมอาห์พระเชษฐาของดาวิด ทูลว่า “ขออย่าให้เจ้านายของข้าพระบาทสำคัญผิดไปว่า พวกเขาประหารพระราชโอรสหนุ่มแน่นเหล่านั้นทั้งหมด เพราะว่าอัมโนนสิ้นชีวิตแต่ผู้เดียว เพราะตามบัญชาของอับซาโลม เรื่องนี้ท่านตั้งใจไว้แต่วันที่อัมโนนทำให้ทามาร์น้องหญิงของท่านอับอาย 33ฉะนั้น ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท อย่าทุกข์พระทัย ด้วยสำคัญว่า พระราชโอรสทั้งหมดของพระองค์สิ้นชีวิต เพราะอัมโนนสิ้นชีพแต่ผู้เดียว”
34แต่อับซาโลมได้หนีไป ฝ่ายทหารยามหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดู นี่แน่ะ คนจำนวนมากกำลังมาจากถนนโฮโรนาอิมข้างๆ ภูเขา 35โยนาดับจึงทูลพระราชาว่า “ดูเถิด บรรดาพระราชโอรสเสด็จมาแล้ว สิ่งนี้เป็นจริง ตามถ้อยคำที่ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาททูล” 36ต่อมาเมื่อเขาพูดจบลง ดูสิ บรรดาพระราชโอรสของพระราชาก็เสด็จมาถึง และร้องไห้เสียงดัง ฝ่ายพระราชาก็ทรงกันแสง และบรรดาข้าราชการก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วย
37อับซาโลมหนีไปเข้าเฝ้าทัลมัย พระราชโอรสของอัมมีฮูด พระราชาเมืองเกชูร์ แต่ดาวิดทรงไว้ทุกข์ให้พระราชโอรสของพระองค์วันแล้ววันเล่า 38ฝ่ายอับซาโลมก็ทรงหนีไปยังเมืองเกชูร์ และอยู่ที่นั่น 3 ปี 39แล้วดาวิดพระราชาตรอมพระทัยอาลัยถึงอับซาโลม เพราะการที่ทรงคิดถึงอัมโนนนั้นคลายลง เนื่องจากเขาสิ้นชีพแล้ว
อรรถาธิบาย
ความรัก กับ ความเกลียดชัง
ในพระธรรมตอนนี้ เราเห็นอารมณ์ที่ขัดแย้งกันอย่างแรงกล้า อัมโนน ‘รักเธอ’ (ข้อ 1) ท่านตรัสว่า ‘เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมน้องชายของเรา’ (ข้อ 4) ดาวิดมีภรรยามากมายและมีลูกหลายคน เด็กผู้ชายอาจถูกแยกออกจากเด็กผู้หญิงหลังจากอายุได้ห้าหรือหกขวบ อาจไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเหมือนอย่างที่ครอบครัวทั่วไปรู้สึกในปัจจุบัน
อัมโนนวางแผนจะข่มขืนทามาร์ ผู้ที่อ้อนวอนเขาว่า ‘อย่าทำการโฉดเขลาอย่างนี้เลย’ (ข้อ 12) เธอทำแม้แต่เสนอให้แต่งงานกัน (ข้อ 13) กฎหมายไม่อนุญาตให้แต่งงานกับน้องสาวร่วมพ่อ เป็นไปได้ว่า สิ่งนี้ยังไม่ได้ถูกบังคับใช้ในเวลานั้น เป็นไปได้ว่าทามาร์กำลังยึดฟางเส้นสุดท้ายไว้ แต่อัมโนน ‘ไม่ยอมฟังเสียงเธอ และเพราะท่านมีกำลังมากกว่า จึงทรงบังคับและนอนร่วมกับเธอ’ (ข้อ 14)
พระคัมภีร์ไม่ได้ละเลยประเด็นเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืนเกิดขึ้นเสมอ และยังคงเป็นอาชญากรรมที่น่ากลัว ทามาร์อธิบายว่ามันเป็นสิ่งที่ ‘โฉดเขลา’ (ข้อ 12) นี่เป็นการกระทำของ ‘คนโฉดเขลา’ (ข้อ 13) นี่นำไปสู่การ ‘แยกตัวออก’ (ข้อ 20) และเป็นการกระทำที่ ‘น่าอับอาย’ (ข้อ 21)
เราเห็นแวบหนึ่งของความเสียหายร้ายแรงที่การล่วงละเมิดทางเพศส่งผลกับเหยื่อ ‘ทามาร์ก็เอาขี้เถ้าใส่ที่ศีรษะของเธอและฉีกเสื้อคลุมยาวมีแขนที่เธอสวมอยู่นั้นเสีย เอามือกุมศีรษะร้องไห้เสียงดังเดินไป’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เธอกลายเป็นคนที่ ‘ขมขื่นและเดียวดาย’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ทันใดนั้นปรากฏว่า ‘ต่อมาอัมโนนก็ทรงชังเธอด้วยความเกลียดชังที่สุด ความเกลียดชังที่ท่านเกลียดชังเธอก็มากยิ่งกว่าความรักซึ่งท่านเคยรักเธอ’ (ข้อ 15) นี่นำไปสู่โศกนาฏกรรมในภายหลังต่อดาวิดและครอบครัวของตน ความรุนแรงขยายออกไป อัมโนนถูกสังหาร และอับซาโลมหนีไป แยกตัวออกไปจากดาวิด (ข้อ 23–39)
บางทีนี่อาจถูกต้องกว่าที่จะพูดว่า อัมโนนนั้น ‘หลงใหล’ ทามาร์ เขาอาจเคย ‘หลงรัก’ เธอ แต่เขาไม่ได้รักเธอแน่ ๆ นี่เป็นเรื่องไม่ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงสำหรับธรรมชาติและประสบการณ์ของมนุษย์ที่จะลดลง แต่ความหลงใหลนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังได้อย่างรวดเร็ว ความรักของอัมโนนไม่ใช่ความรักแท้อย่างแน่นอน
‘ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ' (1 โครินธ์ 13:4–7)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงปลดปล่อยเราจากความเกลียดชัง ขอให้เราเต็มเปี่ยมด้วยความรักอันเป็นผลมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่รักแบบผิวเผิน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
2 ซามูเอล 13:1–39
นี่เป็นจุดเริ่มต้อนของความแตกร้าวในครอบครัว
ดูเหมือนมีการตัดสินใจแย่ ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น โยนาดับผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของอัมโนนให้คำแนะนำที่เลวร้าย (ข้อ 5) หากดาวิดลงโทษอัมโนนที่ข่มขืนทามาร์ น้องสาวของตน นี่อาจหยุดอับซาโลมให้จัดการปัญหาแบบศาลเตี้ยได้
โยนาดับ ผู้น่าจะละอายใจ เป็นครึ่งหนึ่งของปัญหา เขารู้ชัดถึงการแสดงเจตนาของอับซาโลมว่าจะสังหารอัมโนน กระนั้นเขาก็ไม่ได้เตือนดาวิด เขาแค่มาบอกดาวิดภายหลัง เขาเป็นเพื่อนที่แย่สำหรับทุกคน
บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะบอกความจริงกับคนอื่น มากกว่าที่จะพูดในสิ่งที่พวกเขาอยากฟัง แต่เป็นเรื่องสำคัญที่จะให้คำแนะนำที่ถูกต้องแม้ว่าเราเสี่ยงที่จะเสียมิตรภาพของเราไป

App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)