เมื่อชีวิตเป็นเรื่องยาก
เกริ่นนำ
เขาถูกจับเพราะเทศนาพระกิตติคุณ ภรรยาของเขาเสียชีวิตโดยทิ้งลูก ๆ สี่คนไว้กับเขา ลูกคนหนึ่งตาบอด กระนั้นเขาก็ปฏิเสธที่จะล้มเลิกการเล่าข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูให้คนอื่นฟัง
จอห์น บันยัน เขียนงานชิ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาจากในเรือนจำ งานชิ้นนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจฝ่ายจิตวิญญาณและช่วยผู้อ่านนับไม่ถ้วน ถูกแปลไปกว่า 200 ภาษา ไม่เคยหยุดตีพิมพ์นับแต่วันแรกที่ตีพิมพ์ใน ปีค.ศ. 1678
หนังสือ ปริศนาธรรม Pilgrim’s Progress เป็นนิทานเปรียบเทียบที่บอกเล่าเรื่องราวของชายชื่อว่า ‘คริสเตียน’ บนเส้นทางจากบ้านเกิดของเขาไปยังเมืองเซเลสเทียล ระหว่างทางเขาพบกับความยากลำบาก ความท้าทาย และอุปสรรคมากมาย กระนั้นเขาพยายามรักษาความสัตย์ซื่อจนถึงที่สุด
ชีวิตคริสเตียนไม่ได้ง่าย คุณจะพบเจอความยากลำบากมากมายตลอดทาง แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะทำให้คุณต้องออกนอกเส้นทางไป ที่จริงเมื่อคุณกำลังผ่านช่วงเวลายากลำบาก จงติดสนิทกับพระเยซู คุณจะแข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น
สดุดี 77:1-9
การระลึกถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองเยดูธูน เพลงสดุดีของอาสาฟ
1ข้าพเจ้าร้องทูลพระเจ้า
ข้าพเจ้าร้องทูลพระเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงฟังข้าพเจ้า
2ในวันที่ข้าพเจ้าทุกข์ใจ ข้าพเจ้าแสวงหาองค์เจ้านาย
ยามค่ำคืน มือข้าพเจ้าเหยียดไม่หยุด
จิตใจข้าพเจ้าไม่รับคำปลอบโยน
3ข้าพเจ้าระลึกถึงพระเจ้า ข้าพเจ้าก็ครวญคราง
ข้าพเจ้าตรึกตรอง จิตวิญญาณของข้าพเจ้าก็อ่อนระอาไป
4พระองค์ทรงจับหนังตาของข้าพเจ้าไว้ไม่ให้ปิด
ข้าพเจ้าทุกข์มากจนพูดไม่ออก
5ข้าพเจ้าพิจารณาถึงวันเก่าๆ
ปีที่นมนานมาแล้ว
6ข้าพเจ้าระลึกถึงเพลงของข้าพเจ้าในยามค่ำคืน
ข้าพเจ้าตรึกตรองด้วยใจ และจิตวิญญาณของข้าพเจ้าก็เสาะหา
7“องค์เจ้านายจะทรงทอดทิ้งเป็นนิตย์หรือ?
และจะไม่พอพระทัยอีกเลยหรือ?
8ความรักมั่นคงของพระองค์ยั้งหยุดอยู่เป็นนิตย์หรือ?
พระสัญญาของพระองค์สิ้นสุดทุกชั่วชาติพันธุ์หรือ?
9พระเจ้าทรงลืมที่จะเมตตาหรือ?
เพราะความกริ้ว พระองค์จึงทรงยับยั้งพระกรุณาหรือ?”
อรรถาธิบาย
ความทุกข์ใจ: คุณควรตอบสนองอย่างไร?
ผมมีเพื่อนซึ่งเป็นนักบวชในนิกายเบเนดิค เขาบอกผมว่า บ่อยครั้งเขาจะเริ่มคำอธิษฐาน ‘ช่วงเวลาแห่งการบ่นว่า’ สดุดีบทนี้ก็เริ่มต้นด้วยการที่ผู้เขียนสดุดีเทคำบ่นว่าของเขาออกกับพระเจ้า
การมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ได้ป้องกันเราจาก ‘ความทุกข์ใจ’ (ข้อ 2) ผู้เขียนสดุดีนั้น ‘ตื่นอยู่ตลอดคืนไม่ได้หลับตาลงซักนิด’ (ข้อ 4ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขารู้สึกว่าพระเจ้าทรงปฏิเสธเขา และเขาจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าอีกเลย (ข้อ 7–9)
ตรงนี้ ครึ่งแรกของพระธรรมสดุดี 77 เราเริ่มเห็นวิธีที่จะตอบสนองต่อความทุกข์ใจ คุณสามารถแน่ใจได้ว่า:
1. พระเจ้าทรงฟังเสียงร้องทูลของคุณ
ให้บอกพระเจ้าตรง ๆ ถึงความรู้สึกของคุณ ‘ข้าพเจ้าร้องหาพระเจ้า ข้าพเจ้าร้องทูลพระเจ้าสุดกำลัง ข้าพเจ้าร้องออกมาสุดเสียง พระองค์ทรงฟัง ในวันที่ข้าพเจ้าทุกข์ใจ ข้าพเจ้าแสวงหาองค์เจ้านาย’ (ข้อ 1–2ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
2. พระเจ้าชอบความจริงใจของคุณ
มีผลทางการรักษาในการทูลถามพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ ประชากรของพระเจ้านำข้อสงสัย ความลำบาก และความทุกข์ใจของพวกเขามายังพระเจ้า และทูลถามพระองค์ แม้แต่พระเยซูก็ทูลถามขณะอยู่บนไม้กางเขนซึ่งยกมาจากสดุดี 22:1 ‘พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?’ (มัทธิว 27:46)
พระเจ้าทรงปรารถนาให้คุณจริงใจกับพระองค์ พระองค์ไม่ได้ต้องการให้คุณเสแสร้งแต่อย่างใด พระองค์ทรงอยากได้ยินเสียงร้องจากใจของคุณ นี่ดึงคุณให้ใกล้กับพระองค์ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาทุกข์ใจอย่างใหญ่หลวง
คำอธิษฐาน
ขอบพระคุณ องค์พระผู้เป็นเจ้าที่พระองค์ทรงได้ยินเสียงร้องจากใจของข้าพระองค์ ขอบพระคุณที่พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธข้าพระองค์ พระสัญญาของพระองค์ไม่เคยล้มเหลว
ิกิจการอัครทูต 15:1-21
การประชุมในกรุงเยรูซาเล็ม
1มีบางคนลงมาจากแคว้นยูเดียสั่งสอนพี่น้องว่า ถ้าไม่เข้าสุหนัตตามจารีตของโมเสสก็จะไม่สามารถได้รับความรอด 2เมื่อเกิดการโต้แย้งและถกเถียงระหว่างเปาโลและบารนาบัสกับคนเหล่านั้นมากมายแล้ว เขาทั้งหลายก็ตั้งเปาโลและบารนาบัสกับคนอื่นๆ ให้ขึ้นไปหารือกับบรรดาอัครทูตและบรรดาผู้ปกครองในกรุงเยรูซาเล็มเกี่ยวกับเรื่องที่เถียงกันนั้น 3คริสตจักรจึงจัดส่งท่านเหล่านั้นไป และเมื่อเดินทางผ่านแคว้นฟีนิเซียกับแคว้นสะมาเรียพวกท่านก็เล่าเรื่องที่พวกต่างชาติกลับใจใหม่ ทำให้พวกพี่น้องมีความยินดีอย่างยิ่ง 4เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม คริสตจักรและบรรดาอัครทูตและบรรดาผู้ปกครองก็มาต้อนรับพวกท่าน แล้วพวกท่านจึงเล่าให้พวกเขาฟังถึงเหตุการณ์ทั้งปวงที่พระเจ้าทรงทำร่วมกับพวกท่าน 5แต่มีบางคนในพวกฟาริสีที่มีความเชื่อยืนขึ้นกล่าวว่า เราจำเป็นต้องกำชับพวกเขาให้เข้าสุหนัตและถือปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสส
6บรรดาอัครทูตกับบรรดาผู้ปกครองจึงประชุมปรึกษากันในเรื่องนั้น 7เมื่อถกเถียงกันมากแล้ว เปโตรจึงยืนขึ้นกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านทราบอยู่แล้วว่า เมื่อแรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้าจากท่ามกลางท่านทั้งหลายมาเป็นผู้ประกาศถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐให้คนต่างชาติฟังและเชื่อ 8พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจมนุษย์ทรงรับรองคนต่างชาติ และประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเขาเช่นเดียวกับที่ให้แก่เรา 9พระองค์ไม่ทรงถือเราถือเขา แต่ทรงชำระใจพวกเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ 10เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้าโดยวางแอกบนคอของพวกสาวก ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษหรือเราเองแบกไม่ไหว 11แต่ตรงข้าม เราเชื่อว่าเราเองจะรอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับพวกเขา”
12คนทั้งหลายก็นิ่งฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระเจ้าทรงทำผ่านท่านทั้งสองท่ามกลางพวกต่างชาติ 13หลังจากกล่าวจบแล้วยากอบจึงกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ขอฟังข้าพเจ้า 14สิเมโอนบอกแล้วว่า พระเจ้าทรงเยี่ยมเยียนคนต่างชาติครั้งแรกเพื่อจะทรงเลือกชนกลุ่มหนึ่งออกจากเขาทั้งหลายให้เป็นของพระองค์ 15คำของผู้เผยพระวจนะก็สอดคล้องกับเรื่องนี้ ดังที่เขียนไว้แล้วว่า
16 *‘ภายหลังเราจะกลับมา
และเราจะสร้างพลับพลาของดาวิดซึ่งพังลงแล้วขึ้นใหม่
ที่ย่อยยับนั้นเราจะก่อขึ้นอีก
และจะตั้งขึ้นใหม่
17 เพื่อคนอื่นๆ จะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
รวมทั้งคนต่างชาติทั้งหมดที่ออกนามของเรา
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแจ้งเหตุการณ์เหล่านี้ *18ให้ทราบแต่โบราณกาลตรัสไว้แล้ว’
19“เพราะฉะนั้นตามความเห็นของข้าพเจ้า อย่าให้เราเพิ่มความยุ่งยากแก่คนต่างชาติที่กลับมาหาพระเจ้า 20แต่ให้เขียนจดหมายถึงพวกเขาว่า ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่เป็นมลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการกินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และจากการกินเลือด 21เพราะว่าตั้งแต่โบราณมา มีคนประกาศเรื่องของโมเสสในทุกเมือง และมีการอ่านเรื่องของท่านในธรรมศาลาทุกวันสะบาโต”
อรรถาธิบาย
ความทุกข์ใจ: คุณจะแก้ไขมันอย่างไร?
ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเกี่ยวกับ ‘ข้อโต้แย้ง’ ‘ข้อพิพาท’ และ ‘การถกเถียงกัน’ ในคริสตจักรในปัจจุบันนี้ เราได้อ่านตรงนี้เรื่อง ‘การโต้แย้งและถกเถียงมากมาย’ (ข้อ 2) เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกร้องให้ทำเพื่อจะได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่ว่าเป็นคริสเตียน สมาชิกของคริสตจักร และได้รับ ‘ความรอด’ (ข้อ 1) การเข้าสุหนัตเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำไหม? (ข้อ 1)
เราเห็นกระบวนการสี่ขั้นตอนในการตัดสินใจตรงนี้ นี่เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับจัดการกับข้อโต้แย้งในคริสตจักรท้องถิ่น ระดับประเทศ หรือแม้แต่ระดับโลกในปัจจุบัน
1. เรียกประชุม
บางคนยืนยันว่าทุกคนต้องเข้าสุหนัต อาจารย์เปาโลกับบารนาบัสประท้วงอย่างรุนแรง พวกเขาเรียกประชุมพิเศษเพื่อนำทั้งสองฝั่งมาเพื่อโต้วาทีกัน
ไม่ต้องกลัวเรื่องความขัดแย้ง เมื่อผู้คนมารวมตัวกันเพื่อคุยกันเรื่องประเด็นที่สำคัญ ๆ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นทั้งเรื่องธรรมชาติและมีประสิทธิผล ที่จริง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้การประชุมน่าสนใจ!
2. พิจารณา และอภิปราย
‘การถกเถียงยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เถียงกันกลับไปกลับมา ยิ่งโต้แย้งกันร้อนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ‘ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ท้ายที่สุด ปัจจัยสองอย่างก็มีอิทธิพลต่อการอภิปราย
ประการแรก เหตุผลของพวกเขาอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้อโต้แย้งของเปโตรนั้นอยู่บนสิ่งเขาได้เห็นองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำในบ้านของโครเนลิอัส ‘พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจมนุษย์ทรงรับรองคนต่างชาติ และประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเขาเช่นเดียวกับที่ให้แก่ พระองค์ไม่ทรงถือเราถือเขา’ (ข้อ 8–9) การสร้างความแตกต่างคือการต่อต้านพระเจ้า สิ่งนี้เองนำเขาไปสู่ข้อสรุป: ‘เราเชื่อว่าเราเองจะรอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับพวกเขา’ (ข้อ 11)
ประการที่สอง เหตุผลของพวกเขาอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานตามพระคัมภีร์ ยากอบชี้ไปที่พระวจนะของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้านั้นอยู่ในแนวเดียวกัน ‘คำของผู้เผยพระวจนะก็สอดคล้องกับเรื่องนี้’ (ข้อ 15) เขาแสดงให้เห็นว่า พระคัมภีร์ได้บอกไว้ก่อนถึงการรวมเข้าไปของ ‘คนต่างชาติ’ (ข้อ 17) และเสนอแนวทางที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์และหลักฐานของพระคัมภีร์ (ข้อ 19–21) เราสามารถแน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าและพระวิญญาณของพระเจ้านั้นสอดคล้องกันเสมอ สิ่งที่เราไม่สามารถแน่ใจได้คือความเข้าใจของทั้งสองเรื่องนั้นถูกต้อง บรรดาผู้ที่โต้แย้งว่าทุกคนควรเข้าสุหนัตได้กระทำตามหลักพระคัมภีร์ เปโตรและยากอบไม่ได้ละทิ้งพระคัมภีร์ แต่พวกเขาโต้แย้งว่าพวกเขาเข้าใจผิด
3. ไปถึงจุดที่ตัดสินใจ
สุดท้ายแล้ว พวกเขาตัดสินใจ (ข้อ 22) นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษในชีวิตของคริสตจักรในยุคแรก ‘คนทั้งหลายก็นิ่งฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าทรงทำผ่านท่านทั้งสองท่ามกลางพวกต่างชาติ’ (ข้อ 12) นี่เป็นช่วงเสียวสันหลัง ที่ทำให้พวกเขาเงียบลง
ในที่สุด การตัดสินใจจำเป็นต้องมีดุลพินิจ อัครสาวกยากอบพูดว่า ‘ตามความเห็นของข้าพเจ้า’ (ข้อ 19) ปัจจัยในการตัดสินใจคือพวกเขาไม่ได้อยากจะ ‘เพิ่มความยุ่งยากแก่คนต่างชาติที่กลับมาหาพระเจ้า’ (ข้อ 19) ทุกคนได้รับการเชิญมาที่คริสตจักร ไม่ว่าจะมีภูมิหลังอย่างไร แม้ว่าจะไม่อนุญาตให้ปฏิบัติทุกอย่างก็ตาม (ข้อ 20)
บทเรียนตรงนี้คือ เราจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องอุปสรรคที่ไม่จำเป็นต่อคนที่เพิ่งจะค้นพบความเชื่อในพระเยซู และจำเป็นต้องระวังเรื่องการนิยามคริสตจักรแบบแคบเกินไป
4. สื่อสารการตัดสินใจ \t พวกเขาเขียนจดหมายไปแจ้ง (ข้อ 20) รายงานการประชุมไม่ใช่แค่เพียงพิธีการ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะบันทึกการตัดสินใจ จากนั้นดังที่เราจะได้เห็นในวันพรุ่งนี้ พวกเขาจำเป็นต้องสื่อสาร (ข้อ 23–29)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าขอประทานสติปัญญาเมื่อเรารับมือกับข้อพิพาทในคริสตจักร ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมาอีกครั้งหนึ่งในทุกส่วนของคริสตจักรในปัจจุบัน ขอทรงช่วยเราให้มีท่าทีเช่นเดียวกับพระองค์ผู้ทรง ‘ไม่ถือเขาถือเรา’ (ข้อ 9)
1 พงศ์กษัตริย์ 9:10-11:13
10ต่อมาเมื่อสิ้นยี่สิบปี ที่ซาโลมอนได้ทรงสร้างอาคารสองหลัง คือพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของกษัตริย์ 11แล้วพระราชาซาโลมอนก็ประทานเมือง 20 เมืองในแผ่นดินกาลิลีแก่ฮีรามกษัตริย์แห่งไทระ เพราะฮีรามได้ส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและทองคำให้แก่ซาโลมอน ตามที่พระองค์มีพระประสงค์ 12แต่เมื่อฮีรามเสด็จจากเมืองไทระเพื่อชมเมืองที่ซาโลมอนประทานแก่ท่าน เมืองเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยท่าน 13เพราะฉะนั้นท่านจึงว่า “น้องเอ๋ย เมืองที่ท่านให้เรานั้นเป็นเมืองอะไรอย่างนี้?” ท่านจึงเรียกเมืองเหล่านั้นว่า แผ่นดินคาบูลจนทุกวันนี้ 14ฮีรามได้ส่งทองคำหนักสี่ตันแก่พระราชา
พระราชกิจอื่นๆ ของซาโลมอน
15นี่เป็นเรื่องแรงงานเกณฑ์ ซึ่งพระราชาซาโลมอนได้เกณฑ์ให้มาสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระราชวังของพระองค์ ป้อมมิลโล กำแพงกรุงเยรูซาเล็ม เมืองฮาโซร์ เมืองเมกิดโด เมืองเกเซอร์ 16ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ได้ทรงยกทัพขึ้นมา ยึดเมืองเกเซอร์และเอาไฟเผาเสีย อีกทั้งได้ฆ่าคนคานาอันซึ่งอยู่ในเมืองนั้น และได้ยกเมืองนั้นให้เป็นของขวัญแก่พระธิดาของท่าน ซึ่งเป็นพระมเหสีของซาโลมอน 17ซาโลมอนทรงสร้างเมืองเกเซอร์ขึ้นใหม่ และสร้างเมืองเบธโฮโรนตอนล่าง 18ทั้งเมืองบาอาลัทและเมืองทามาร์ในถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินนั้น 19ทั้งบรรดาเมืองคลังหลวงที่ซาโลมอนมีอยู่ และเมืองทั้งหลายสำหรับรถรบของพระองค์ และเมืองทั้งหลายสำหรับทหารม้าของพระองค์ และสิ่งใดๆ ซึ่งซาโลมอนมีพระประสงค์จะสร้างในกรุงเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และทั่วแผ่นดินอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ 20ประชาชนทั้งหมดที่เหลืออยู่และไม่ใช่คนอิสราเอลได้แก่ คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 21ลูกหลานของพวกเขาที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน ซึ่งคนอิสราเอลไม่สามารถจะทำลายให้สิ้นได้ ซาโลมอนก็ทรงเกณฑ์ให้เป็นทาสแรงงานอยู่จนทุกวันนี้ 22แต่คนอิสราเอลนั้น ซาโลมอนไม่ได้ทรงทำให้เป็นทาส เพราะเขาทั้งหลายเป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นนายทหาร เป็นผู้บังคับการรถรบ และเป็นทหารม้าของพระองค์
23เหล่านี้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่เหนือพระราชกิจของซาโลมอน จำนวน 550 คน พวกเขาเป็นผู้ดูแลประชาชนที่ทำงาน
24แต่พระธิดาของฟาโรห์ได้เสด็จขึ้นจากนครดาวิด มายังพระตำหนักของพระนางซึ่งซาโลมอนทรงสร้างถวาย แล้วพระราชาจึงสร้างป้อมมิลโล
25ปีละสามครั้ง ซาโลมอนทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเครื่องศานติบูชาบนแท่นบูชา ซึ่งทรงสร้างถวายพระยาห์เวห์ อีกทั้งทรงเผาเครื่องหอมเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดังนั้นพระองค์จึงสร้างพระนิเวศจนสำเร็จ
ซาโลมอนทรงทำการค้าขาย
26พระราชาซาโลมอนทรงสร้างกองเรือที่เมืองเอซิโอนเกเบอร์ ซึ่งอยู่ใกล้เมืองเอโลทบนฝั่งทะเลแดง ในแผ่นดินเอโดม 27และฮีรามได้ส่งข้าราชการและพลเรือผู้คุ้นเคยกับทะเล ไปกับกองเรือพร้อมกับข้าราชการของซาโลมอน 28เขาทั้งหลายไปถึงเมืองโอฟีร์ และนำทองคำจากที่นั่นจำนวน 14,000 กิโลกรัม มาถวายพระราชาซาโลมอน
1 พงศ์กษัตริย์ 10
พระราชินีแห่งเชบาเสด็จเยี่ยมซาโลมอน
1เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์ของซาโลมอน อันเนื่องมาจากพระนามของพระยาห์เวห์ พระนางก็เสด็จมาทดสอบพระองค์ด้วยปัญหายุ่งยากต่างๆ 2พระนางเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมด้วยข้าราชบริพารมากมาย กับฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศ ทองคำมากมาย อัญมณีล้ำค่า และเมื่อพระนางเสด็จมาถึงซาโลมอนแล้ว พระนางก็ทูลเรื่องในใจทุกประการต่อพระองค์ 3และซาโลมอนตรัสตอบปัญหาทุกข้อของพระนาง ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นจากพระราชาซึ่งพระองค์จะทรงตอบพระนางไม่ได้ 4และเมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงเห็นพระสติปัญญาทั้งสิ้นของซาโลมอน และพระราชวังที่พระองค์ทรงสร้าง 5ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับที่นั่งของบรรดาข้าราชการ และการปรนนิบัติของพวกมหาดเล็ก ตลอดจนเครื่องแต่งกายของพวกเขา อีกทั้งพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระองค์ รวมทั้งเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของพระองค์ที่ทรงถวายบูชา ณ พระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระทัยของพระนางก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
6พระนางทูลพระราชาว่า “ข่าวคราวซึ่งหม่อมฉันได้ยินในประเทศของหม่อมฉัน เกี่ยวกับพระราชกิจและพระสติปัญญาของฝ่าพระบาทนั้นเป็นความจริง 7แต่หม่อมฉันไม่ได้เชื่อถ้อยคำเหล่านั้น จนกระทั่งหม่อมฉันได้มาเฝ้า และเห็นด้วยตาของหม่อมฉันเอง ดูสิ ที่เขาบอกแก่หม่อมฉันก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง พระสติปัญญาและความมั่งคั่งฝ่าพระบาทก็มากยิ่งกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยิน 8บรรดาคนของฝ่าพระบาทก็เป็นสุข บรรดาข้าราชการเหล่านี้ของฝ่าพระบาทก็เป็นสุข คือผู้ที่คอยปรนนิบัติเฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาทเป็นประจำ และฟังพระสติปัญญาของฝ่าพระบาท 9สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท ผู้พอพระทัยในฝ่าพระบาท และทรงตั้งฝ่าพระบาทไว้บนบัลลังก์แห่งอิสราเอล เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักอิสราเอลเป็นนิตย์ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้ฝ่าพระบาทเป็นพระราชา เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงอำนวยความยุติธรรมและความชอบธรรม” 10แล้วพระนางก็ถวายทองคำหนัก 4,000 กิโลกรัมแด่พระราชา ทั้งเครื่องเทศอีกมากมาย และอัญมณีล้ำค่า ไม่มีเครื่องเทศเข้ามามากมายเหมือนอย่างที่พระราชินีแห่งเชบาถวายแด่พระราชาซาโลมอนอีกเลย
11ยิ่งกว่านั้นอีก กองเรือของฮีรามที่บรรทุกทองคำมาจากโอฟีร์ ได้นำไม้จันทน์แดงมากมายและอัญมณีล้ำค่ามาจากโอฟีร์ 12แล้วพระราชาทรงใช้ไม้จันทน์แดงทำเสาสำหรับพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และสำหรับพระราชวังของกษัตริย์ และทำพิณเขาคู่และพิณใหญ่สำหรับพวกนักร้อง จนทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีไม้จันทน์แดงเข้ามาให้เห็นมากมายอย่างนี้อีก
13พระราชาซาโลมอนประทานแก่พระราชินีแห่งเชบา ทุกอย่างที่พระนางทรงประสงค์ตามที่ทูลขอ นอกเหนือจากสิ่งที่ได้ประทานแก่พระนางแล้วด้วยพระทัยกว้างขวางของพระราชาซาโลมอน ดังนั้นพระนางก็เสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระนาง พร้อมกับพวกข้าราชการของพระนาง
14น้ำหนักของทองคำที่นำมาถวายซาโลมอนในปีหนึ่งนั้นเป็นทองคำหนักถึง 23,000 กิโลกรัม 15นอกเหนือจากทองซึ่งมาจากพวกคนค้าขายและจากสินค้าของพวกพ่อค้า และจากบรรดากษัตริย์แห่งอาระเบียและจากบรรดาเจ้าเมืองของแผ่นดิน 16พระราชาซาโลมอนทรงให้เอาทองคำมาทุบเป็นโล่ใหญ่ 200 อัน โล่อันหนึ่งใช้ทองคำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม 17และพระองค์ทรงให้เอาทองคำมาทุบเป็นโล่เล็ก 300 อัน โล่อันหนึ่งใช้ทองคำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม และพระราชาทรงเก็บโล่ไว้ในพระตำหนักพนาเลบานอน 18พระราชาทรงทำพระที่นั่งงาช้างขนาดใหญ่ และทรงบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ 19พระที่นั่งนั้นมีบันไดหกขั้น ด้านบนพนักหลังของพระที่นั่งนั้นกลม และสองข้างของพระที่นั่งมีที่วางพระหัตถ์ มีรูปสิงโตสองตัวยืนอยู่ข้างๆ ที่วางพระหัตถ์ 20และมีรูปสิงโตอีกสิบสองตัวยืนอยู่บนข้างบันไดหกขั้น ขั้นละสองตัว ไม่มีราชอาณาจักรใดๆ เคยทำสิ่งเหล่านี้เลย 21ถ้วยทั้งสิ้นของพระราชาซาโลมอนทำด้วยทองคำ และภาชนะทั้งสิ้นของพระตำหนักพนาเลบานอนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีที่ทำด้วยเงินเลย เงินนั้นถือว่าเป็นของไม่มีค่าอะไรในสมัยของซาโลมอน 22เพราะว่าพระราชามีกองเรือเมืองทารชิช เดินทะเลพร้อมกับกองเรือของฮีราม กองเรือเมืองทารชิชนำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูงมาสามปีต่อครั้ง
23ดังนั้น พระราชาซาโลมอนจึงยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์อื่นๆ ในโลก ในเรื่องสมบัติและสติปัญญา 24และทั่วทั้งโลกก็แสวงหาที่จะเข้าเฝ้าซาโลมอน เพื่อจะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าประทานไว้ในพระทัยของพระองค์ 25ทุกคนก็นำเครื่องบรรณาการของเขามา คือภาชนะเงินและภาชนะทอง เสื้อผ้า อาวุธ เครื่องเทศ ม้าและล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆ ปี
26ซาโลมอนทรงสะสมรถรบและทหารม้า พระองค์ทรงมีรถรบ 1,400 คัน และทหารม้า 12,000 คน ซึ่งพระองค์ทรงให้ประจำอยู่ที่เมืองรถรบ และอยู่กับพระราชาในกรุงเยรูซาเล็ม 27และพระราชาทรงทำให้เงินในกรุงเยรูซาเล็มเป็นเหมือนก้อนหิน และทรงทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือนต้นมะเดื่อแห่งเนินเชเฟลาห์ 28ม้าอันเป็นสินค้าเข้าของซาโลมอนมาจากอียิปต์และคูเอ และบรรดาพ่อค้าของพระราชาก็ได้ม้ามาจากคูเอตามราคา 29ส่วนรถรบที่มาจากอียิปต์คันหนึ่งมีราคาเป็นเงิน 600 เชเขล ม้าตัวหนึ่งมีราคาเป็นเงิน 150 เชเขล ดังนั้นโดยทางพวกพ่อค้า เขาก็ส่งออกไปยังกษัตริย์ทั้งปวงของคนฮิตไทต์และบรรดากษัตริย์ของซีเรีย
1 พงศ์กษัตริย์ 11
ความผิดพลาดของซาโลมอน
1พระราชาซาโลมอนทรงรักหญิงต่างชาติหลายคน นอกจากพระธิดาของฟาโรห์แล้ว มีหญิงโมอับ หญิงอัมโมน หญิงเอโดม หญิงไซดอน และหญิงฮิตไทต์ 2ซึ่งเป็นประชาชาติที่พระยาห์เวห์ตรัสกับคนอิสราเอลว่า “พวกเจ้าอย่าแต่งงานกับพวกเขา หรืออย่าให้พวกเขามาแต่งงานกับพวกเจ้า เพราะพวกเขาจะหันจิตใจของพวกเจ้าไปตามพระต่างๆ ของเขาอย่างแน่นอน” ซาโลมอนทรงติดพันหญิงเหล่านี้ด้วยความรัก 3พระองค์ทรงมีมเหสี 700 คน และนางห้าม 300 คน และบรรดามเหสีของพระองค์ก็หันพระทัยของพระองค์ไปเสีย 4ต่อมาเมื่อซาโลมอนทรงพระชราแล้ว บรรดามเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ไปตามพระอื่นๆ และพระทัยของพระองค์ไม่ภักดีต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพระองค์ ไม่เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ 5เพราะซาโลมอนทรงดำเนินตามเจ้าแม่อัชโทเรท พระของชาวไซดอน และตามพระมิลโคม สิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของชาวอัมโมน 6ซาโลมอนจึงทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และไม่ได้ทรงดำเนินตามพระยาห์เวห์อย่างเต็มพระทัย ไม่เหมือนอย่างดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ 7แล้วซาโลมอนได้ทรงสร้างปูชนียสถานสูงบนภูเขาที่อยู่ตรงข้ามกรุงเยรูซาเล็มสำหรับพระเคโมช ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของโมอับ และสำหรับพระโมเลค ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของคนอัมโมน 8พระองค์ทรงทำอย่างนั้นเพื่อมเหสีต่างชาติทั้งหมดของพระองค์ หญิงเหล่านั้นได้เผาเครื่องหอมและถวายเครื่องสัตวบูชาแก่บรรดาพระของพวกนาง
9พระยาห์เวห์กริ้วซาโลมอน เพราะพระทัยของท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงปรากฏแก่ท่านสองครั้งแล้ว 10และได้ทรงบัญชาท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าท่านไม่ควรไปติดตามพระอื่นๆ แต่ท่านไม่ได้รักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์ 11เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะเจ้าทำเช่นนี้ และเจ้าไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาเจ้า เราจะฉีกอาณาจักรเสียจากเจ้าอย่างแน่นอน และมอบให้ข้าราชการของเจ้า 12อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่ดาวิดบิดาของเจ้า เราจะไม่ทำในสมัยของเจ้า แต่เราจะฉีกมันออกจากมือบุตรชายของเจ้า 13อย่างไรก็ดี เราจะไม่ฉีกอาณาจักรเสียทั้งหมด แต่เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้”
อรรถาธิบาย
สิ่งล่อลวง: จะต้านทานพวกมันยังไงดี?
ชีวิตของซาโลมอนแสดงให้เราเห็นความท้าทายและคำเตือน ความสำเร็จสามารถเป็นอันตรายต่อเราได้มากกว่าความล้มเหลว
ซาโลมอนทำสิ่งถูกต้องมากมาย เขาประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นกษัตริย์ที่มีความร่ำรวยและฉลาดที่สุดในยุคของท่าน (10:23) ทุกคนอยากพบพระองค์และ ‘จะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าประทานไว้ในพระทัยของพระองค์’ (ข้อ 24)
ซาโลมอนมีทุกสิ่ง ในเวลายี่สิบปี เขาสร้างอาคารหลังใหญ่สองหลัง พระวิหารและวังของตนเอง (9:10) ราชินีชีบาประหลาดใจในสิ่งที่นางเห็น (ข้อ 7) พระนางตระหนักได้ว่า นั่นมาจากพระเจ้าได้เท่านั้น ‘พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้ฝ่าพระบาทเป็นพระราชา เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงอำนวยความยุติธรรมและความชอบธรรม และดูแลประชากรของพระเจ้า’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
กระนั้น เรื่องน่าเศร้าก็คือซาโลมอนไม่ได้จบลงด้วยดี เขาหลงไป ‘พระทัยของพระองค์ไม่ภักดีต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพระองค์ ไม่เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์…พระทัยของท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์’ (11:4, 9)
แล้วอะไรที่พลาดไป? มันเริ่มต้นจากการล่วงประเวณี กษัตริย์ซาโลมอนนั้นหมกมุ่นเรื่องเพศ ‘พระองค์ทรงมีมเหสี 700 คน และนางห้าม 300 คน ผู้หญิงรวมทั้งหมดหนึ่งพันคน!’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
มันจบลงด้วยการติดตามพระต่าง ๆ ที่น่าสะอิดสะเอียน ‘เมื่อซาโลมอนทรงพระชราแล้ว บรรดามเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ไปตามพระอื่น ๆ’ (4ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ซาโลมอน ‘ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพระองค์ ไม่เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์…พระทัยของท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์’ (11:4, 9) และไม่ได้ทรงดำเนินตามพระยาห์เวห์อย่างเต็มพระทัยไม่เหมือนอย่างดาวิดพระราชบิดาของพระองค์’ (ข้อ 6) ท่านทรงกระทำขัดแย้งกับคำสั่งที่ชัดเจนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งกษัตริย์ ‘อย่าให้เขามีภรรยามาก เพื่อจิตใจของเขาจะไม่หันเหไป และอย่าให้มีเงินมีทองเป็นของตนอย่างมากมาย’ (เฉลยธรรมบัญญัติ 17:17) สิ่งหลอกล่อเหล่านี้นำซาโลมอนให้หลงไป
เดวิดทำผิดพลาดเป็นครั้งคราว เมื่อท่านทำ ท่านกลับใจและหันกลับไปยังพระเจ้า และดำเนินตามพระองค์ด้วยสุดใจ ซาโลมอนแสดงให้เราเห็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไป มเหสีเจ็ดร้อยคน และนางห้ามสามร้อยคนไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ต้องมีการอะลุ้มอล่วยในหัวใจของซาโลมอน แม้จะมีพระพรทั้งหมดของพระเจ้า ซาโลมอนปล่อยให้ความบาปก่อตัว และในที่สุดมันก็ทำลายตัวเขาเอง
เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะจบลงเหมือนกับซาโลมอน คุณจำเป็นต้องอยู่ติดสนิทกับพระเยซู และฟังพระสุรเสียงพระองค์ เหมือนกับที่พระเยซูตรัสไว้ ราชินีชีบา ‘มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และผู้ที่ใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่’ (มัทธิว 12:42)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับคำเตือนนี้ ขอทรงปกป้องหัวใจของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้อุทิศตัวต่อพระองค์อย่างเต็มที่ ที่จะติดตามพระองค์ไปจนทั้งชีวิต
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 พงศ์กษัตริย์ 11:1–13
ทำไมชายที่ช่างฉลาดเหลือเกินจึงได้โง่เขลานักในเรื่องผู้หญิง? แถมยังไม่เชื่อฟังอีกด้วย พระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า อย่าแต่งงานกับสตรีที่มาจากสถานที่เหล่านั้น แต่ซาโลมอนกลับทำ พระเจ้าตรัสว่า พวกนางจะทำให้เขาหลงไป และพวกนางก็ทำเช่นนั้น
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)