ส่งต่อไม้ผลัด
เกริ่นนำ
เมื่อผมจบมหาวิทยาลัยตอนอายุยี่สิบเอ็ด ผมย้ายไปที่กรุงลอนดอน และหาคริสตจักรที่จะไปร่วมนมัสการ ผมไปเยี่ยมคริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตัน และได้ยินแซนดี้ มิลล่าร์พูด หลังจากนั้น ผมถามว่า ผมจะขอพบกับเขาได้ไหม ภายหลังไม่นานนัก ผมเข้าร่วมที่คริสตจักรและเริ่มต้นเรียนรู้จากผู้นำ เพื่อน และผู้เป็นแบบอย่างที่ไม่ธรรมดาคนนี้
หลังจากนั้นหลายปีในฐานะสมาชิกคริสตจักร ผมไปอบรมเพื่อรับการสถาปนาในนิกายเชิร์ช ออฟ อิงค์แลนด์ และสิบปีหลังจากการพบกันครั้งแรกของเรา ผมกลับไปยังคริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตันในฐานะผู้ช่วยของแซนดี้ มิลล่าร์ ผมทำหน้าที่นั้นอยู่สิบเก้าปี จนปีค.ศ. 2005 เมื่อเขาส่งต่อไม้ผลัดให้กับผม และผมก็รับหน้าที่ต่อจากเขาในการเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตันจนถึงทุกวันนี้ แซนดี้ยังคงเป็นแบบอย่าง เพื่อน และแรงบันดาลใจให้กับผม
มักจะมีผู้คนในชีวิตของผม ผู้ซึ่งผมเรียนรู้จากพวกเขา และคนอื่นๆ ที่ผมพยายามส่งต่อไป เหมือนกับนักวิ่งในการแข่งขันวิ่งผลัด เราทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบที่จะต้องส่งต่อไม้ผลัด
สดุดี 78:1-8
ความดีของพระเจ้ากับความอกตัญญูของอิสราเอล
มัสคิลบทหนึ่งของอาสาฟ
1ประชากรของข้าเอ๋ย จงเงี่ยหูฟังคำสอนของข้า
จงเอียงหูฟังถ้อยคำจากปากข้า
2ข้าจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา
ข้าจะกล่าวคำปริศนาของโบราณกาล
3ถึงสิ่งที่เราได้ยินได้ทราบ
ที่บรรพบุรุษของเราได้บอกเรา
4เราจะไม่ซ่อนไว้จากลูกหลานของพวกเขา
แต่จะบอกแก่คนรุ่นหลัง
ถึงพระราชกิจอันน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์ และฤทธานุภาพของพระองค์
และการอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ
5เพราะพระองค์ทรงสถาปนาพระโอวาทไว้ในยาโคบ
และทรงตั้งธรรมบัญญัติไว้ในอิสราเอล
ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาแก่บรรพบุรุษของเรา
ว่าให้แจ้งเรื่องราวเหล่านั้นแก่ลูกหลานของพวกเขา
6เพื่อคนรุ่นหลัง
คือลูกหลานที่จะเกิดมา จะทราบเรื่อง
และจะลุกขึ้นบอกลูกหลานของพวกเขาต่อไปอีก
7เพื่อพวกเขาจะตั้งความหวังไว้ในพระเจ้า
และไม่ลืมพระราชกิจของพระเจ้า
แต่รักษาพระบัญญัติของพระองค์
8และเพื่อพวกเขาจะมิได้เหมือนบรรพบุรุษ
ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ที่ดื้อดึงและมักกบฏ
ชาติพันธุ์ที่จิตใจไม่มั่นคง
ผู้ซึ่งจิตวิญญาณของเขาไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า
อรรถาธิบาย
เล่าเรื่องราว
คุณมีเรื่องราวให้เล่า ทุกครอบครัวมีเรื่องราวต่างๆ ทุกคริสตจักรมีเรื่องราวของตัวเองถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ คริสเตียนทุกคนมีเรื่องราว คำพยาน เราทุกคนได้เข้าถึงเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในพระคริสต์ เราจำเป็นต้อง ‘เล่าเรื่องราว’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
สดุดีบทนี้ให้ภาพคร่าวๆ กับเราถึงประวัติศาสตร์ฮีบรู ย้อนกลับไปถึงกษัตริย์ดาวิด และเน้นความสำคัญของการส่งต่อให้กับคนรุ่นถัดไป เราได้เห็นความขัดแย้งระหว่างความบาปของอิสราเอลและความดีงามของพระเจ้า พระเยซูเองทรงยกถ้อยคำจากพระธรรมสดุดีตอนนี้ (มัทธิว 13:35)
ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า ‘แต่จะบอกแก่คนรุ่นหลัง ถึงพระราชกิจอันน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์ และฤทธานุภาพของพระองค์ และการอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ…คือลูกหลานที่จะเกิดมา จะทราบเรื่อง
และจะลุกขึ้นบอกลูกหลานของพวกเขาต่อไปอีก…เพื่อพวกเขาจะตั้งความหวังไว้ในพระเจ้า’ (สดุดี 78:4–7)
ฮวน คาร์ลอส ออร์ทิซ เล่าเรื่องราวการพบกันของหญิงชราคนหนึ่งในบ้านเกิดของเขาที่อาร์เจนตินา ผู้ซึ่งแนะนำเขากับหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นเหลนของเธอ เธอเล่าเรื่องราวว่าเธอมีลูกหกคน และหลานสามสิบหกคน น่าประทับใจในจำนวนสมาชิกครอบครัวของเธอ และในบรรดาหลาน ๆ มีหลายคนที่มีการศึกษาดี และมีอาชีพการงานที่ดี คาร์ลอสถามเธอว่า ‘คุณสร้างครอบครัวให้ขยายใหญ่โต เลี้ยงดูพวกเขาให้ดี แต่งตัวดี มีการศึกษาดีได้อย่างไรครับ?’ เธอตอบว่า ‘ฉันไม่ได้ทำค่ะ ฉันแค่ดูแลคนหกคน และแต่ละคนก็ดูแลคนหกคนของตัวเอง’
คนแต่ละรุ่นมีความรับผิดชอบที่จะต้องบอกคนรุ่นถัดไปถึงความดีของพระเจ้า และเตือนพวกเขาถึงความยุ่งเหยิงที่เราสร้างขึ้นในชีวิต เมื่อเราหันไปจากความดีของพระเจ้า
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับผู้ที่บอกเราเรื่อง “พระราชกิจอันน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์ และฤทธานุภาพของพระองค์ และการอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ” (ข้อ 4) ขอทรงโปรดช่วยเราให้ส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดไป เพื่อพวกเขาจะได้วางใจในพระองค์
กิจการอัครทูต 16:1-15
ทิโมธีไปกับเปาโลและสิลาส
1เปาโลไปยังเมืองเดอร์บีกับเมืองลิสตราด้วย และนี่แน่ะ ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธี มีมารดาที่เป็นชาวยิวและเป็นผู้เชื่อ แต่บิดาเป็นชาวกรีก 2ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พวกพี่น้อง ที่อยู่ในเมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม 3เปาโลต้องการพาทิโมธีไปด้วยจึงให้เข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่พวกยิวที่อยู่ในเมืองเหล่านั้น เพราะพวกเขาทุกคนรู้ว่าบิดาของเขาเป็นชาวกรีก 4เมื่อพวกท่านเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ก็ได้ส่งคำสั่งที่เป็นข้อตกลงของพวกอัครทูตและพวกผู้ปกครองในกรุงเยรูซาเล็มให้แก่สาวกทั้งหลายเพื่อให้ปฏิบัติตาม 5คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และคริสตสมาชิกก็เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน
นิมิตของเปาโลเรื่องชายชาวมาซิโดเนีย
6พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงไม่ให้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าในแคว้นเอเชีย พวกท่านจึงไปทั่วแว่นแคว้นฟรีเจียกับกาลาเทีย 7เมื่อมาถึงเขตแดนแคว้นมิเซียแล้ว ก็พยายามจะเข้าไปยังแว่นแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่โปรดให้ไป 8แล้วพวกท่านเดินทางผ่านแคว้นมิเซียมายังเมืองโตรอัส 9ในเวลากลางคืน เปาโลได้รับนิมิตเห็นชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอ้อนวอนว่า “ขอมาช่วยเราในแคว้นมาซิโดเนียด้วย” 10เมื่อท่านเห็นนิมิตนั้นแล้ว เราจึงหาโอกาสไปยังแคว้นมาซิโดเนียทันที เพราะแน่ใจว่าพระเจ้าทรงเรียกเราไปประกาศข่าวประเสริฐกับชาวแคว้นนั้น
นางลิเดียกลับใจ
11เราลงเรือจากโตรอัสตรงไปยังเกาะสาโมธรัส รุ่งขึ้นก็ถึงเมืองเนอาบุรี 12และเมื่อออกจากที่นั่นแล้วก็ไปยังเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นเมืองเอกในเขตแคว้นมาซิโดเนียและเป็นอาณานิคมของโรมัน เราจึงพักอยู่ในเมืองนั้นหลายวัน 13ในวันสะบาโตเราออกจากประตูเมืองไปยังฝั่งแม่น้ำ เข้าใจว่ามีที่สำหรับอธิษฐาน เราจึงนั่งสนทนากับพวกผู้หญิงที่ประชุมกันที่นั่น 14มีหญิงคนหนึ่งในพวกที่ฟังเราชื่อลิเดีย นางมาจากเมืองธิยาทิรา เป็นคนขายผ้าสีม่วงและเป็นคนที่นับถือพระเจ้า หญิงคนนั้นมาฟังเรา และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดใจของนางให้สนใจถ้อยคำที่เปาโลกล่าว 15เมื่อหญิงคนนั้นกับครัวเรือนของนางได้รับบัพติศมาแล้ว จึงอ้อนวอนเราว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ขอเชิญเข้ามาพักอาศัยในบ้านของข้าพเจ้าเถิด” และนางก็ได้วิงวอนจนเราขัดไม่ได้
อรรถาธิบาย
ฝึกฝน
เปาโลตระหนักว่า เขามีความรับผิดชอบที่จะต้องฝึกฝนคนอื่น ๆ เขาพบทิโมธี ‘ชายหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง’ (ข้อ 1–2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ทิโมธีได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นสาวก ฝึกฝน และสั่งสอนโดยอาจารย์เปาโล เขาเป็นพี่เลี้ยงทิโมธี พวกเขาเป็นตัวอย่างอันดีถึงสิ่งที่เราทุกคนควรทำ ค้นหาคนอย่างอาจารย์เปาโลที่เป็นผู้ที่คุณสามารถเรียนรู้จากเขา และค้นหาทิโมธีซึ่งเป็นคนที่คุณจะส่งต่อ
เช่นเดียวกับหลาย ๆ อย่าง ผมจะบอกว่าทุกย่างก้าวหรือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์สำคัญๆ ที่ทำนั้นได้รับแรงบันดาลใจและกำลังใจ ไม่ได้มาจากธรรมาสน์ในฝูงชนหลายพันคน แต่มาจากคนที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คำเทศนาสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ แต่เรามักจะประเมินค่าความจริงที่หลอมรวมไว้ระหว่างธรรมาสน์กับที่นั่งในคริสตจักรสูงเกินไป ในชีวิตของผม ความจริงซึ่งแบ่งปันด้วยความใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตส่วนตัวของผม นี่ดูเหมือนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทิโมธีด้วย
ทิโมธีกลายเป็นคริสเตียนผ่านทางเปาโล และพวกเขากลายเป็นเพื่อนสนิทกัน อาจารย์เปาโลอายุมากกว่าทิโมธี และเขาอธิบายมิตรภาพของพวกท่านว่าเป็นเหมือนกับบิดาและบุตร (ฟีลิปปี 2:22) เปาโลพูดถึงทิโมธีว่าเป็น ‘ลูกที่รักของข้าพเจ้า’ (1 โครินธ์ 4:17)
เขาทั้งสองผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย ‘เมื่อพวกท่านเดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ’ (กิจการ 16:4) พวกเขาใช้เวลาแม้กระทั่งถูกจองจำด้วยกัน ระหว่างทั้งหมดนี้ทิโมธีคงได้เฝ้าดูเปาโล และได้รับการฝึกฝนในฐานะผู้สืบทอด
แค่หวังว่า ‘ทิโมธีทั้งหลาย’ จะเฝ้าดูเราอยู่นั้นยังไม่พอ เราต้องวางตำแหน่งสาวกที่อายุน้อยกว่าอย่างมีกลยุทธ์เพื่อให้มีโอกาสสำคัญในการเป็นผู้นำเปาโลมอบความรับผิดชอบจริง ๆ ให้กับทิโมธี เขาไว้ใจทิโมธีเพราะว่าเปาโลรู้จักเขาดี
เปาโลให้ทิโมธีมาเกี่ยวข้องในงานด้วยตั้งแต่ต้น พวกเขาตัดสินใจร่วมกัน (ข้อ 4) ตลอดพันธกิจของพวกเขา ‘คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และคริสตสมาชิกก็เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ทิโมธีเรียนรู้เรื่องการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพวกเขาพยายามจะเข้าไปที่แคว้นบิธีเนีย พระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘ทรงปิดทางไว้ พวกท่านจึงไปแคว้นมิเซียแล้ว ก็พยายามจะไปทางเหนือเพื่อเข้าไปยังแว่นแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่โปรดให้ไป’ (ข้อ 6–7, พระคัมภีร์ตอนนี้ The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นบทเรียนสำคัญในชีวิต ผมสามารถคิดถึงอย่างน้อยห้าครั้งในชีวิตที่ผมรู้สึกว่า ผมควรไปในทางที่เฉพาะเจาะจง ‘แต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่โปรดให้ไป’ (ข้อ 7) ตามแผนการที่จะประสบความสำเร็จ เมื่อผมมองย้อนไปตอนนี้ ผมขอบพระคุณอย่างยิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงหยุดแผนการซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
จากนั้นพระเจ้าทรงนำทิโมธีและเปาโลไปยังทิศทางใหม่ ‘ในเวลากลางคืน เปาโลได้รับนิมิตเห็นชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอ้อนวอนว่า “ขอมาช่วยเราในแคว้นมาซิโดเนียด้วย” ’ (ข้อ 9) ไม่ประหลาดใจเลยที่เปาโลถือว่านี่เป็นการทรงนำอันชัดเจนว่าพวกเขาควรไปทางแคว้นมาซิโดเนีย ‘ทุกอย่างประกอบกันเข้า เราแน่ใจแล้วว่า พระเจ้าทรงเรียกเราไปประกาศข่าวประเสริฐกับชาวยุโรป’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ในแคว้นฟีลิปปี ทิโมธีคงได้เฝ้าดูอาจารย์เปาโลในวันเสาร์แรกที่เขาอยู่ที่นั่น ลงไปที่ฝั่งแม่น้ำซึ่งมีกลุ่มผู้หญิงอธิษฐานกันอยู่ (ข้อ 13)
เมื่ออาจารย์เปาโลพูดเรื่องพระเยซู นางลิเดีย สตรีที่ทำการค้าและร่ำรวยซึ่งเชื่อพระเจ้าเชิญเปาโลและคณะให้ไปพักที่บ้านของเธอ ต้องเป็นประสบการณ์ที่พิเศษและน่าทึ่งสำหรับทั้งคู่ที่ได้เห็นถึงวิธีที่ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดใจของนางให้สนใจถ้อยคำที่เปาโลกล่าว’ (ข้อ 14)
จดหมายฉบับสุดท้ายที่อาจารย์เปาโลเขียนคือ 2 ทิโมธี จนถึงบั้นปลายชีวิต สิ่งสำคัญของเปาโล คือ การหนุนใจ และปล่อยมือให้คนรุ่นถัดไป ให้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราด้วยเช่นกัน!
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดช่วย ‘เปาโล’ ทุกคนให้พบ ‘บรรดาทิโมธี’ ผู้ที่เขาสามารถฝึกฝน ขอทรงช่วย ‘ทิโมธี’ ทุกคนที่จะพบกับพี่เลี้ยงเหมือนอย่างอาจารย์เปาโล ผู้ซึ่งส่งต่อทุกอย่างในประสบการณ์ของเขาให้
1 พงศ์กษัตริย์ 12:25-14:20
ลูกวัวทองคำของเยโรโบอัม
25เยโรโบอัมทรงสร้างเมืองเชเคมในถิ่นเทือกเขาเอฟราอิม และประทับในเมืองนั้น แล้วก็เสด็จออกจากที่นั่น ไปสร้างเมืองเปนูเอล 26และเยโรโบอัมทรงรำพึงในพระทัยว่า “คราวนี้ราชอาณาจักรจะกลับไปเป็นของราชวงศ์ของดาวิด 27ถ้าประชาชนนี้ขึ้นไปถวายเครื่องสัตวบูชา ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วจิตใจของประชาชนนี้จะหันกลับไปยังเจ้านายของพวกเขา คือไปยังเรโหโบอัมพระราชาแห่งยูดาห์ และพวกเขาจะฆ่าเราเสีย แล้วหันกลับไปยังเรโหโบอัมพระราชาแห่งยูดาห์” 28ดังนั้นพระราชาจึงทรงปรึกษา และได้ทรงสร้างลูกวัวทองคำสองตัว แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มนานพอแล้ว โอ อิสราเอลเอ๋ย จงดูพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำท่านขึ้นมาจากอียิปต์” 29และพระองค์ก็ทรงประดิษฐานตัวหนึ่งไว้ที่เบธเอล และอีกตัวหนึ่งก็ทรงตั้งไว้ในเมืองดาน 30และสิ่งนี้เป็นบาป เพราะประชาชนไปกราบไหว้ลูกวัวทองคำตัวหนึ่งที่เบธเอล และไปไกลจนถึงเมืองดานเพื่อกราบไหว้อีกตัวหนึ่ง 31แล้วพระองค์ทรงสร้างนิเวศแห่งปูชนียสถานสูง และทรงตั้งปุโรหิตจากประชาชนธรรมดาผู้ไม่ใช่คนเลวี 32และเยโรโบอัมทรงกำหนดเทศกาลเลี้ยง ในวันที่สิบห้าเดือนแปดเหมือนกับการเลี้ยงในยูดาห์ และทรงถวายเครื่องสัตวบูชาบนแท่นบูชา พระองค์ทรงทำเช่นนั้นในเบธเอล คือถวายเครื่องสัตวบูชาแก่รูปลูกวัวที่ได้ทรงสร้างไว้นั้น และพระองค์ทรงสถาปนาปุโรหิตประจำปูชนียสถานสูง ซึ่งทรงสร้างไว้ ณ เบธเอล 33พระองค์ทรงขึ้นไปยังแท่นบูชา ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ที่เบธเอล ในวันที่สิบห้าเดือนแปด ในเดือนซึ่งพระองค์ทรงดำริเอง และทรงกำหนดเทศกาลเลี้ยงสำหรับคนอิสราเอล และทรงขึ้นไปยังแท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม
1 พงศ์กษัตริย์ 13
คนของพระเจ้าจากยูดาห์
1และนี่แน่ะ ขณะที่เยโรโบอัมทรงยืนอยู่ที่แท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม คนของพระเจ้าคนหนึ่งออกจากยูดาห์ไปยังเบธเอล โดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ 2แล้วท่านได้ร้องกล่าวโทษแท่นบูชานั้นโดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ว่า “โอ แท่นบูชา แท่นบูชา พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘นี่แน่ะ เด็กชายคนหนึ่งชื่อโยสิยาห์จะเกิดมาในราชวงศ์ของดาวิด และบนเจ้า คือบนแท่นนี้ เขาจะฆ่าปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงผู้เผาเครื่องหอมบนเจ้า และเขาจะเผากระดูกคนบนเจ้า’ ” 3ท่านก็ให้หมายสำคัญในวันเดียวกันนั้น กล่าวว่า “นี่เป็นหมายสำคัญที่พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘นี่แน่ะ แท่นบูชานั้นจะถูกพังทลายและขี้เถ้าที่อยู่บนนั้นจะถูกเทออก’ ” 4เมื่อพระราชาเยโรโบอัมทรงสดับถ้อยคำของคนของพระเจ้า ซึ่งร้องกล่าวโทษแท่นบูชาที่เบธเอลนั้น พระองค์ก็เหยียดพระหัตถ์ออกจากแท่น ตรัสว่า “จงจับเขาไว้” แล้วพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งเหยียดออกต่อท่านนั้นก็เหี่ยวแห้งไป จนไม่ทรงสามารถชักกลับเข้าหาตัวได้อีก 5แท่นบูชาก็ถูกพังทลาย และขี้เถ้าก็ถูกเทจากแท่น มันเกิดขึ้นตามหมายสำคัญที่คนของพระเจ้าให้ไว้โดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ 6แล้วพระราชาตรัสตอบคนของพระเจ้าว่า “โปรดวิงวอนขอพระกรุณาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อเรา แล้วเราจะชักมือกลับเข้าหาตัวได้อีก” และคนของพระเจ้าก็วิงวอนขอพระกรุณาแห่งพระยาห์เวห์ และพระราชาก็ชักพระหัตถ์กลับเข้าหาพระองค์ได้อีก และหายเป็นปกติ 7และพระราชาตรัสกับคนของพระเจ้าว่า “เชิญมาบ้านกับเราเถิด และรับประทานอาหารกัน เราจะให้รางวัลท่าน” 8แต่คนของพระเจ้าทูลพระราชาว่า “ถึงแม้ฝ่าพระบาทจะประทานราชสมบัติครึ่งหนึ่ง ข้าพระบาทก็จะไม่ไปกับฝ่าพระบาท และจะไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำในสถานที่นี้ 9เพราะพระยาห์เวห์ทรงบัญชาข้าพระบาท โดยพระวจนะของพระองค์ว่า ‘อย่ากินอาหาร หรือดื่มน้ำ หรือกลับไปตามทางที่เจ้ามา’ ” 10ดังนั้นท่านจึงไปเสียอีกทางหนึ่ง และไม่กลับไปตามทางที่ท่านมายังเบธเอล
11มีผู้เผยพระวจนะอาวุโสคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเบธเอล บุตรชายของเขามาเล่าให้ฟังถึงทุกอย่างที่คนของพระเจ้าทำในวันนั้นที่เบธเอล พวกเขายังได้บอกบิดาของเขา เรื่องถ้อยคำที่คนของพระเจ้ากล่าวกับพระราชาด้วย 12และบิดาของเขาถามพวกเขาว่า “ท่านไปทางไหน?” และพวกบุตรชายของเขาก็ชี้ทางที่คนของพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ได้เดินไป 13เขาจึงพูดกับพวกบุตรชายว่า “จงผูกอานลาให้พ่อ” พวกเขาจึงผูกอานลาให้ แล้วเขาก็ขึ้นขี่ 14เขาไปตามคนของพระเจ้า และพบท่านนั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊กคือ ต้นก่อซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เขาจึงพูดกับท่านว่า “ท่านเป็นคนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์หรือ?” ท่านตอบว่า “ใช่แล้ว” 15เขาจึงตอบท่านว่า “เชิญไปบ้านกับข้าพเจ้า และรับประทานอาหารกัน” 16ท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าจะกลับไปกับท่าน หรือเข้าไปพักกับท่านไม่ได้ ข้าพเจ้าจะรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำกับท่านในสถานที่นี้ไม่ได้ 17เพราะพระวจนะของพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘อย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่นั่น หรือกลับไปตามทางที่เจ้ามา’ ” 18เขาจึงพูดกับท่านว่า “ข้าพเจ้าก็เป็นผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับท่านด้วย มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกข้าพเจ้าโดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ว่า ‘จงพาเขากลับบ้านกับเจ้า เพื่อเขาจะได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ’ ” แต่เขาโกหกท่าน 19ดังนั้นท่านจึงกลับไปกับเขา ได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำในบ้านของเขา
20ขณะที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังผู้เผยพระวจนะผู้นำท่านกลับมา 21และเขาร้องต่อคนของพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ และไม่รักษาพระบัญญัติที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้า 22แต่เจ้าได้กลับมาและรับประทานอาหาร และดื่มน้ำในที่ซึ่งพระองค์ตรัสกับเจ้าว่า “อย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ” ศพของเจ้าจะไปไม่ถึงอุโมงค์ฝังศพบรรพบุรุษของเจ้า’ ” 23ต่อมาหลังจากท่านได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำแล้ว เขาก็ผูกอานลาให้ผู้เผยพระวจนะผู้ที่เขาได้พากลับมา 24เมื่อท่านไป มีสิงโตมาพบท่านระหว่างทางและฆ่าท่านเสีย แล้วศพของท่านก็ถูกทิ้งไว้ข้างทาง และลาตัวนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ ศพ สิงโตก็ยืนอยู่ข้างๆ ศพด้วย 25และนี่แน่ะ มีคนผ่านไปเห็นศพทิ้งอยู่ข้างทาง และสิงโตยืนอยู่ข้างศพนั้น พวกเขาก็มาบอกกันในเมืองที่ผู้เผยพระวจนะอาวุโสอยู่นั้น
26เมื่อผู้เผยพระวจนะผู้ที่นำท่านกลับมาจากทางทราบเรื่อง เขาก็พูดว่า “นั่นคือคนของพระเจ้า ผู้ไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงมอบท่านไว้กับสิงโต ซึ่งได้กัดฉีกท่านและฆ่าท่านตามพระวจนะซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสกับท่าน” 27เขาจึงพูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “จงผูกอานลาให้พ่อ” แล้วพวกเขาก็ผูกอานลาให้ 28เขาจึงไปและพบศพนั้นทิ้งอยู่ข้างทาง ลากับสิงโตยืนอยู่ข้างศพ สิงโตไม่ได้กินศพนั้นหรือกัดฉีกลานั้น 29ผู้เผยพระวจนะก็เอาศพคนของพระเจ้าขึ้นวางบนลา แล้วนำกลับมายังเมืองของตนเอง เพื่อไว้ทุกข์ให้และฝังท่านเสีย 30แล้วเขาวางศพนั้นในอุโมงค์ฝังศพของตนเอง และพวกเขาก็ไว้ทุกข์ให้ท่านกล่าวว่า “อนิจจา พี่น้องของข้าเอ๋ย” 31หลังจากฝังท่านแล้ว เขาก็พูดกับพวกบุตรชายของตนว่า “เมื่อพ่อตาย จงฝังพ่อไว้ในอุโมงค์ฝังศพที่ฝังคนของพระเจ้านั้น จงวางกระดูกของพ่อไว้ข้างกระดูกของท่าน 32เพราะว่าถ้อยคำที่ท่านประกาศโดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ กล่าวโทษแท่นบูชาในเบธเอล และกล่าวโทษนิเวศทุกแห่งของปูชนียสถานสูงซึ่งอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรีย จะสำเร็จอย่างแน่นอน”
33หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ เยโรโบอัมไม่ได้ทรงหันกลับจากทางชั่วของพระองค์ แต่กลับให้บางคนในท่ามกลางประชาชนเป็นปุโรหิตประจำปูชนียสถานสูง ใครพอใจจะเป็นปุโรหิต ก็ทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นปุโรหิตประจำปูชนียสถานสูงต่างๆ 34และสิ่งนี้ได้เป็นบาปแก่ราชวงศ์เยโรโบอัม เพื่อจะทำลายล้างราชวงศ์นั้นเสียจากพื้นแผ่นดินโลก
1 พงศ์กษัตริย์ 14
การพิพากษาราชวงศ์ของเยโรโบอัม
1ในเวลานั้น อาบียาห์พระราชโอรสของเยโรโบอัมประชวร 2และเยโรโบอัมรับสั่งกับมเหสีของพระองค์ว่า “จงลุกขึ้นปลอมตัวของเจ้า อย่าให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นมเหสีของเยโรโบอัม และจงไปเมืองชีโลห์ นี่แน่ะ อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นั่น ผู้ได้กล่าวเรื่องเราว่า เราจะได้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนนี้ 3 เจ้าจงเอาขนมปังสิบก้อน ขนมหวานบ้าง และน้ำผึ้งไหหนึ่ง ไปหาท่าน ท่านจะบอกเจ้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กนั้น”
4มเหสีของเยโรโบอัมก็ทำตามนั้น พระนางทรงลุกขึ้น เสด็จไปเมืองชีโลห์ เสด็จมาถึงบ้านของอาหิยาห์ ส่วนอาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าตาของท่านมืดมัวด้วยอายุของท่าน 5พระยาห์เวห์ตรัสกับอาหิยาห์ว่า “ดูสิ มเหสีของเยโรโบอัมกำลังมา เพื่อจะถามเจ้าเรื่องลูกของนาง เพราะเด็กนั้นป่วย เจ้าจงบอกนางอย่างนี้”
เมื่อพระนางเสด็จไปถึง ก็แสร้งทำเป็นหญิงอื่น 6แต่เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีพระบาทของพระนางมาถึงประตู ท่านจึงพูดว่า “ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน ทำไมจึงทรงแสร้งทำเป็นหญิงอื่นเล่า? เพราะข้าพระบาทได้รับพระบัญชาให้ทูลข่าวอันน่าสลดใจแก่พระนาง 7ขอเสด็จไปทูลเยโรโบอัมว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า “เพราะเราได้ยกเจ้าขึ้นจากฝูงชน และทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนืออิสราเอลประชากรของเรา 8และได้ฉีกราชอาณาจักรจากราชวงศ์ของดาวิดมาให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเรา ผู้รักษาบัญญัติทั้งหลายของเรา และติดตามเราด้วยสุดใจของเขา ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา 9แต่เจ้าได้ทำชั่วยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนเจ้า เจ้าไปสร้างพระอื่นและรูปหล่อโลหะ และทำให้เราโกรธ และได้เหวี่ยงเราทิ้งเบื้องหลังของเจ้า 10เพราะฉะนั้น นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเยโรโบอัม และจะตัดชายทุกคนจากเยโรโบอัม ทั้งทาสและไทในอิสราเอล และจะผลาญราชวงศ์เยโรโบอัมเสียอย่างสิ้นเชิงอย่างที่คนเผามูลสัตว์ให้ไหม้จนสิ้น 11ใครในวงศ์เยโรโบอัมที่ตายในเมือง สุนัขจะกิน และใครตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน เพราะพระยาห์เวห์ตรัสแล้ว” ’ 12เพราะฉะนั้น ขอลุกขึ้นเสด็จไปยังพระตำหนักของพระนาง เมื่อพระนางเสด็จเข้าเมือง พระกุมารนั้นก็จะสิ้นพระชนม์ 13แล้วอิสราเอลทั้งหมดจะไว้ทุกข์ให้ และจะฝังพระศพไว้ เพราะพระกุมารผู้เดียวเท่านั้นในราชวงศ์เยโรโบอัมที่จะไปถึงอุโมงค์ฝังศพ เพราะในตัวพระกุมารซึ่งอยู่ในราชวงศ์ของเยโรโบอัมนั้น ยังพบบางสิ่งที่พอพระทัยพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล 14ยิ่งกว่านั้นอีก พระยาห์เวห์จะทรงตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งเหนืออิสราเอล ผู้จะกำจัดราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสียในวันนี้และตั้งแต่นี้ไป 15พระยาห์เวห์จะทรงตีอิสราเอลดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ และจะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกเขา และจะกระจายพวกเขาไปฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเขาทั้งหลายได้สร้างบรรดาพระอาเช-ราห์สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ อาจเป็นเสาไม้แกะสลัก หรือรูปเคารพเจ้าแม่ ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธ 16และพระองค์จะทรงมอบอิสราเอลไว้ เพราะบาปของเยโรโบอัม ซึ่งท่านได้ทำและทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย”
17แล้วมเหสีของเยโรโบอัมทรงลุกขึ้น เสด็จจากไป และเสด็จถึงเมืองทีรซาห์ เมื่อพระนางเสด็จถึงธรณีประตูพระตำหนัก พระกุมารก็สิ้นพระชนม์ 18แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดก็ฝังพระศพพระกุมารและไว้ทุกข์ให้ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสทางผู้รับใช้ของพระองค์คืออาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะ
เยโรโบอัมสิ้นพระชนม์
19ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโรโบอัม เรื่องพระองค์ทรงทำศึก และทรงครอบครองอย่างไรนั้น ดูสิ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล 20เยโรโบอัมทรงครองราชย์เป็นเวลา 22 ปี และทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วนาดับพระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน
อรรถาธิบาย
สั่งสอน
จนกว่าเราจะได้เรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์ และ ‘บอก… คนรุ่นหลัง’ (สดุดี 78:5–6) พวกเขาก็จะทำผิดซ้ำเหมือนในอดีต พระธรรมพงศ์กษัตริย์บันทึกประวัติศาสตร์ประชากรของพระเจ้า เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้จากมัน
น่าเศร้า บทเรียนที่เราสามารถเรียนรู้จากพระธรรมตอนนี้อาจเป็นในเชิงลบเป็นหลัก เรื่องราวของเยโรโบอัมเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวอันหนึ่ง พระองค์ทรงส่งต่อมรดกตกทอดที่น่ากลัวสำหรับคนรุ่นถัดไป
‘ดังนั้นพระราชาจึงทรงปรึกษา และได้ทรงสร้างลูกวัวทองคำสองตัว’ (1 พงศ์กษัตริย์ 12:28) การแค่ ‘ปรึกษา’ นั้นไม่พอหากเราไปขอคำปรึกษาผิดคน บทเหล่านี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของความบาปในราชวงศ์ของเยโรโบอัม ซึ่ง ‘ทำลายล้างราชวงศ์นั้นเสียจากพื้นแผ่นดิน‘ (13:34)
บาปสำคัญของเยโรโบอัม คือ เขาได้สร้างรูปแบบของความเชื่อ และการนมัสการขึ้นตามใจตัวเอง เขาสนับสนุนให้นมัสการรูปเคารพแทนที่จะนมัสการพระเจ้า (12:28) ความเชื่อของเยโรโบอัมนั้นเป็นความเชื่อที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เหมาะกับความปรารถนาและความต้องการของตัวเอง
เราอาจไม่ได้กำลังนมัสการลูกวัวทองคำ แต่อันตรายแบบเดียวกับก็พบเห็นได้ในปัจจุบันนี้ เมื่อพระสันตะปาปาฟรานซิสกล่าวว่า ‘รูปเคารพที่อันตรายที่สุด คือ ตัวเราเอง เมื่อเราต้องการครอบครองที่ซึ่งเป็นของพระเจ้า’
นี่เป็นความบาปของเยโรโบอัม และมันส่งผลต่อคนรุ่นต่อไป อาบียาห์พระราชโอรสของเยโรโบอัมประชวรและสิ้นพระชนม์ (บทที่ 14) เขาละเลยตัวอย่างที่ดีในคนรุ่นก่อนหน้าเช่นดาวิด ที่ดำเนินชีวิตด้วยใจเดียว เพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย แต่เขากลับ ‘ทำสถิติใหม่ในเรื่องการทำชั่ว’ (14:9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เยโรโบอัมอาจมีกองทัพ การค้าขาย และประสบความสำเร็จทางการเมืองมากมาย (ดู ข้อ 19) และกระนั้นก็ดูเหมือนความสำเร็จเหล่านี้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกัน ดังที่พระเยซูตรัสว่า ‘เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไรถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน?’ (มาระโก 8:36) สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานขอให้พระองค์ทรงยกบรรดาผู้นำขึ้นในอุตสาหกรรม การเมือง ศิลปะสร้างสรรค์ สื่อ และในทุกส่วนของสังคม ผู้ที่จะถวายเกียรติพระองค์ และส่งต่อสาร และมาตรฐานของพระองค์ไปสู่คนรุ่นถัดไป
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 78:4–6
‘แต่จะบอกแก่คนรุ่นหลัง ถึงพระราชกิจอันน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์ และฤทธานุภาพของพระองค์ และการอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ...เพื่อคนรุ่นหลัง คือลูกหลานที่จะเกิดมา จะทราบเรื่อง และจะลุกขึ้นบอกลูกหลานของพวกเขาต่อไปอีก’
นี่เป็นสิ่งท้าทายที่จะส่งต่อความเชื่อของเราไปยังคนรุ่นถัดไป ฉันรู้สึกขอบคุณต่อผู้ที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนที่คริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตัน พวกเขาเทความรักออกมาให้ลูก ๆ ของพวกเรา และเด็กนับร้อยคน ทุกปีในค่ายโฟกัส (ค่ายคริสตจักรของเรา) เราได้เห็นชีวิตลูก ๆ ของเราและคนอีกมากมายได้เปลี่ยนแปลงไปในสัปดาห์นั้น ฉันตื่นเต้นในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในคนรุ่นถัดไปของเรา และศักยภาพสำหรับ ‘ลูกหลานของพวกเขา’ นั้นมหึมา จงอธิษฐานเผื่อพวกเขาต่อไป
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)