วัน 179

พระเจ้าแห่งการอัศจรรย์

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 78:17-31
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 17:22-18:8
พันธสัญญาเดิม 1 พงศ์กษัตริย์ 18:16-19:21

เกริ่นนำ

หลังจากอัลฟ่าสุดสัปดาห์ ทหารคนหนึ่งชื่อ ควินซี่ เบลล็อทเขียนมาหาผม “ความเจ็บปวดนี้เริ่มตั้งแต่สิบสองปีก่อน หลังจากที่เข้าร่วมกับราชนาวี อาการก็เลวร้ายลงมาก กระดูกอ่อนใต้หัวเข่าก็สึกหายไปจนหมด ปลายปีก่อนยิ่งเลวร้ายเมื่อเอ็นยึด และเส้นเอ็นฉีกขาด และหัวเข่าบิดไปสี่สิบห้าองศา เป็นเส้นทางที่เจ็บปวดและยาวนาน ผมไม่สามารถนั่งหรือยืนได้นาน ๆ’

‘ตัดเรื่องให้สั้นเข้า ผมตัดสินใจที่จะลองเข้าหาพระเจ้าและลองเข้าอัลฟ่า ผมกลับจากอัลฟ่าสุดสัปดาห์และตกลงที่จะมาที่คริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตันหลังจากที่ลังเลใจอยู่นาน ผมได้ยินคนพูดเป็นพยาน และผมก็คิดว่า “เออ เออ เออ” เมื่อบางคนพูด (ถ้อยคำแห่งความรู้) เรื่องเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน ผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกที่สุดที่เคยทำ ผมตกลงที่จะให้อธิษฐานเผื่อ ผมรู้สึกว่าพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่ในหัวเข่า ผมทิ้งตัวคุกเข่าลงเพื่อทดสอบมัน และไม่เจ็บปวดอย่างน่าทึ่ง นี่อัศจรรย์มาก ผมออกไปวิ่งเมื่อคืนนี้…นี่เป็นครั้งแรกหลังจากระยะเวลาอันยาวนานที่ผมไม่รู้สึกเจ็บเลย พระเจ้าทรงเป็นจริง’ อีเมลนี้มีหัวเรื่องว่า ‘เข่าใหม่ถอดด้าม’

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งการอัศจรรย์

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 78:17-31

17แต่พวกเขายังทำบาปมากยิ่งขึ้นต่อพระองค์
 ได้กบฏต่อองค์ผู้สูงสุดในที่แห้งแล้ง
18พวกเขาทดลองพระเจ้าในใจของเขา
 โดยเรียกร้องอาหารที่เขาอยาก
19พวกเขาพูดหมิ่นพระเจ้าว่า
 “พระเจ้าจะทรงเตรียมโต๊ะอาหารในถิ่นทุรกันดารได้หรือ?
20จริงอยู่ พระองค์ทรงตีศิลาให้น้ำพุ่งออกมา
 แล้วลำธารก็ไหลล้น
แต่พระองค์จะประทานอาหารด้วยได้หรือ?
 จะทรงจัดเนื้อให้ประชากรของพระองค์ได้หรือ?”
21เพราะฉะนั้น เมื่อพระยาห์เวห์ทรงสดับแล้ว พระองค์ก็ทรงเกรี้ยวกราด
 มีไฟลุกโพลงขึ้นสู้ยาโคบ
 ความกริ้วของพระองค์ทวีขึ้นสู้อิสราเอล
22เพราะพวกเขาไม่เชื่อพระเจ้า
 และไม่ไว้วางใจในการช่วยกู้ของพระองค์
23พระองค์ยังทรงบัญชาเมฆเบื้องบน
 และทรงเปิดประตูฟ้าสวรรค์
24พระองค์ทรงโปรยมานาลงมาให้พวกเขากิน
 และประทานอาหารจากฟ้าสวรรค์แก่เขา
25มนุษย์ได้กินอาหารของทูตสวรรค์
 พระองค์ทรงส่งเสบียงให้เขาอย่างบริบูรณ์
26พระองค์ทรงทำให้ลมตะวันออกพัดในฟ้าสวรรค์
 และทรงนำลมใต้ออกมาด้วยฤทธานุภาพของพระองค์
27พระองค์ทรงโปรยเนื้อให้พวกเขาอย่างผงคลี
คือนก อย่างทรายในทะเล
28พระองค์ทรงให้มันตกลงมากลางค่ายของพวกเขา
 และรอบที่อาศัยของเขา
29พวกเขาได้กินอิ่มหนำ
 เพราะพระองค์ประทานสิ่งที่เขาอยากแก่เขา
30แต่ก่อนที่พวกเขาจะหายอยาก
 ขณะที่อาหารยังอยู่ในปากของเขา
31ความกริ้วของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา
 และพระองค์ทรงสังหารคนแข็งแรงที่สุดของเขาเสีย
 และทรงคว่ำคนหนุ่มในอิสราเอล

อรรถาธิบาย

รับเอาการอัศจรรย์ของการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า

ผู้เขียนสดุดีเล่าต่อไปถึงประวัติศาสตร์ของเส้นทางการเดินทางของประชากรของพระเจ้า จากอียิปต์ไปจนถึงดินแดนพันธสัญญา แม้จะมีการทรงจัดเตรียมอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า พวกเขา ‘ยังทำบาปมากยิ่งขึ้นต่อพระองค์’ กบฏและ ‘งอแงเหมือนกับเด็กที่เสียนิสัย’ (ข้อ 17–19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงช่วยเหลือพวกเขา พระองค์ ‘ทรงโปรยมานาลงมาให้พวกเขากิน และประทานอาหารจากฟ้าสวรรค์แก่เขา’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นภาพที่เล็งถึงอาหารฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูทรงจัดเตรียม (ยอห์น 6:30–35)

เช่นเดียวกัน ‘จริงอยู่ พระองค์ทรงตีศิลาให้น้ำพุ่งออกมา แล้วลำธารก็ไหลล้น’ (สดุดี 78:20) ในวิถีอันอัศจรรย์ พระเจ้าทรงจัดเตรียมน้ำให้จากศิลา กระนั้น ประชากรของพระองค์ยังคงสงสัยพระองค์ ‘เพราะพวกเขาไม่เชื่อพระเจ้า และไม่ไว้วางใจในการช่วยกู้ของพระองค์’ (ข้อ 22) แม้ว่าการอัศจรรย์นั้นจะน่าทึ่ง ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้คนเชื่อในพระเจ้าเสมอไป

การอัศจรรย์เรื่องน้ำออกจากศิลาเกิดขึ้นจริงๆ แต่นี่ก็ยังเป็นภาพเล็งถึงและคาดหวังไว้ถึงบางสิ่งที่ยิ่งน่าทึ่งกว่า อัครทูตเปาโลเขียนว่า ‘และได้ดื่มน้ำฝ่ายจิตวิญญาณเดียวกันทุกคน เพราะว่าพวกเขาได้ดื่มจากพระศิลาฝ่ายจิตวิญญาณที่ติดตามเขาไป พระศิลานั้นคือพระคริสต์’ (1 โครินธ์ 10:4)

พระเยซูตรัสว่า ‘ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้ว​ว่า “แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น” สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณ…’ (ยอห์น 7:37–39)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับ ‘น้ำดำรงชีวิต’ แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงประทับอยู่ในข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ผู้ถือชีวิตเหนือธรรมชาตินี้ไปสู่ทุกคนที่ข้าพระองค์พบในวันนี้

พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 17:22-18:8

 22เปาโลจึงยืนขึ้นกลางสภาอาเรโอปากัสแล้วกล่าวว่า “นี่แน่ะ ท่านทั้งหลายที่เป็นชาวเอเธนส์ ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านเป็นคนเคร่งศาสนาในทุกด้าน 23เพราะว่าขณะข้าพเจ้าเดินไปรอบๆ เมืองและสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าพบแท่นหนึ่ง มีคำจารึกว่า ‘แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก’ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศให้พวกท่านรู้ถึงพระเจ้าองค์ที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่ 24พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้สถิตในวิหารที่มนุษย์สร้างขึ้น 25พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้มือมนุษย์มารับใช้ราวกับว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ต่างหากที่ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจและสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวง 26พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติมาจากคนๆ เดียวให้อยู่ทั่วพิภพโลก และทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาทั้งหลายอยู่ด้วย 27เพื่อพวกเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะค้นหาและพบพระองค์ ที่จริงพระองค์ไม่ทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย 28เพราะว่า ‘เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์’ ตามที่กวีบางคนในพวกท่านกล่าวว่า ‘แท้จริงเราเป็นเชื้อสายของพระองค์’ 29เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นทอง เงิน หรือหิน ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากศิลปะและความคิดของมนุษย์ 30ในเวลาที่มนุษย์ยังขาดความรู้ พระเจ้าไม่ทรงถือโทษ แต่บัดนี้ พระเจ้าตรัสสั่งมนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ 31เพราะพระองค์ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้แล้ว ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรมโดยบุคคลที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ และพระเจ้าทรงให้คนทั้งปวงมีความมั่นใจในเรื่องนี้โดยทรงให้บุคคลผู้นั้นเป็นขึ้นจากตาย”
 32เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย บางคนก็เยาะเย้ย แต่บางคนกล่าวว่า “เราจะคอยฟังท่านกล่าวเรื่องนี้ต่อไปอีก” 33แล้วเปาโลจึงจากพวกเขาไป 34แต่มีบางคนติดตามเปาโลและเชื่อถือ ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสสมาชิกสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริส และคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง

กิจการ 18

เปาโลที่เมืองโครินธ์

 1หลังจากนั้น เปาโลจึงออกจากกรุงเอเธนส์ไปยังเมืองโครินธ์ 2ท่านพบยิวคนหนึ่งที่นั่นชื่ออาควิลลาซึ่งเกิดในแคว้นปอนทัส แต่พึ่งมาจากประเทศอิตาลีกับภรรยาที่ชื่อปริสสิลลา เพราะจักรพรรดิคลาวดิอัสมีรับสั่งให้พวกยิวทั้งหมดออกไปจากกรุงโรม เปาโลจึงไปหาคนทั้งสอง 3ท่านอาศัยและทำงานอยู่กับเขาทั้งสอง เพราะว่าทั้งสองฝ่ายเป็นช่างทำเต็นท์ด้วยกัน 4เปาโลนั้นถกปัญหาในธรรมศาลาทุกวันสะบาโต และชักชวนทั้งพวกยิวและพวกกรีกให้เชื่อ
 5พอสิลาสกับทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลก็ทุ่มเทกับการประกาศพระวจนะและเป็นพยานกับพวกยิวว่า พระคริสต์นั้นคือพระเยซู 6แต่เมื่อพวกเขาต่อต้านและกล่าวคำหยาบช้า เปาโลจึงสะบัดเสื้อผ้ากล่าวกับพวกเขาว่า “โทษที่ท่านทั้งหลายต้องตายนั้น พวกท่านต้องรับผิดชอบเอง ข้าพเจ้าไม่มีโทษแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างชาติ” 7ท่านจึงออกจากที่นั่น แล้วเข้าไปในบ้านของชายคนหนึ่งชื่อทิทิอัสยุสทัสซึ่งเป็นคนที่นับถือพระเจ้า บ้านของเขาอยู่ติดกับธรรมศาลา 8คริสปัสนายธรรมศาลากับทั้งครัวเรือนของท่านก็มาเชื่อถือในองค์พระผู้เป็นเจ้า และชาวโครินธ์หลายคนเมื่อฟังเปาโลแล้วก็เชื่อถือและรับบัพติศมา

อรรถาธิบาย

เชื่อในการอัศจรรย์ของการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู

ข้อความนั้นก็คือ พระเยซู เมื่ออยู่ในกรุงเอเธนส์ เปาโลเริ่มต้นพูดกับผู้คนในจุดที่พวกเขาอยู่ เขาไม่ได้เริ่มต้นที่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เหมือนเมื่อเขาพูดกับพวกยิว ประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสซิยาห์ เขากลับเริ่มด้วยการนมัสการพระเจ้าที่ไม่รู้จักของพวกเขา (17:23ก) และใช้เรื่องนั้นเพื่ออธิบายพระเยซูกับพวกเขา

คำเทศนาของอาจารย์เปาโลนั้นเป็นเชิงบวกอย่างน่าทึ่ง แทนที่จะประณามพวกเขาเรื่องรูปเคารพ เขากลับพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจึงมาประกาศให้พวกท่านรู้ถึงพระเจ้าองค์ที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่’ (ข้อ 23ข) เขาพูดถึงสามสิ่งเกี่ยวกับพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ทรงสร้าง (ข้อ 24) พระองค์ทรงดำรงอยู่ได้ด้วยพระองค์เอง (พระองค์ไม่ได้จำเป็นต้องมีเรา) (ข้อ 25) แต่เราล้วน ต้องมีพระองค์ (ข้อ 27–28)

เปาโลพูดต่อไปโดยยกหนึ่งในบทกวีของพวกเขาอย่างเห็นด้วย ‘กวีบางคนในพวกท่านกล่าวไว้อย่างเข้าท่าว่า’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คริสเตียนไม่จำเป็นต้องผูกขาดครอบครองความจริง พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองในการทรงสร้าง และเราพบความเข้าใจลึกซึ้งอันน่าทึ่งในแหล่งที่มาจากทางโลกได้

การพูดของเขามีจุดสูงสุดด้วยการประกาศการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู (ข้อ 30–31) เปาโลอ้างถึงการพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์ของการเป็นขึ้นจากความตาย เขาได้พบกับองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นขึ้นบนถนนไปยังเมืองดามัสกัส

ความนัยนั้นใหญ่ยิ่งนัก การสิ้นพระชนม์ไม่ใช่จุดสิ้นสุดสำหรับพระเยซู และไม่ใช่จุดสิ้นสุดสำหรับคุณและผม คุณเองจะได้รับชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เปาโลกล่าวตรงนี้ว่า การเป็นขึ้นจากความตายเป็นหลักฐานว่า พระเจ้าทรงตั้งวันที่พระองค์จะทรงพิพากษาโลกนี้อย่างยุติธรรม โดยบุคคลที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ พระเยซู เปาโลให้โอกาสผู้คนที่จะตอบสนองต่อสารนี้

การตอบสนองต่อการได้ยินการพูดถึงพระเยซูและการเป็นขึ้นจากความตายนั้นคล้ายกันอย่างยิ่งต่อคนที่เราพบในปัจจุบันนี้

  1. บางคนก็เยาะเย้ย ‘บางคนก็หัวเราะท่าน และเดินออกไปล้อเลียน’ (ข้อ 32ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อย่าแปลกใจหากคุณเจอการตอบสนองแบบนี้จากบางคน

  2. บางคนก็สนใจ ‘บางคนพูดว่า “ให้เรามาทำแบบนี้กันอีก เราอยากได้ยินมากกว่านี้”’ (ข้อ 32ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หลายคนในวันนี้ เหมือนกับพวกเขาในตอนนั้น มีความสนใจอย่างแท้จริง แต่พวกเขาต้องการเวลาที่จะได้ฟังอีก และคิดใคร่ครวญในประเด็นต่างๆ หลักสูตรต่างๆ ดังเช่นอัลฟ่าจัดเตรียมโอกาสสำหรับผู้คนให้ทำเช่นนั้น

  3. บางคนก็เชื่อ
    ‘แต่ก็ยังมีบางคน...ผู้ที่เชื่อถือ’ (ข้อ 34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาเชื่อทันที นี่เป็นเรื่องไม่ปกติแต่น่าทึ่งเมื่อคนตอบสนองพระเยซูในครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องพระองค์

เมื่อเปาโลไปยังเมืองโครินธ์ คาดเดาว่าเขาคงเทศนาข้อความเดิมเรื่องพระเยซูและการเป็นขึ้นจากความตาย เขา ‘ถกปัญหาในธรรมศาลาทุกวันสะบาโต และชักชวนทั้งพวกยิวและพวกกรีกให้เชื่อ’ (18:4) เขาไม่ได้ถามพวกเขาเพื่อให้เชื่ออย่างมืดบอด ความเชื่อของคุณไม่ได้ไร้เหตุผล ข้อเท็จจริงแห่งชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูให้เหตุผลที่จะเชื่อ เป็นไปได้ที่จะจูงใจคนด้วยหลักฐาน หากพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายอย่างอัศจรรย์ นั่นเป็นหลักฐานว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ (ข้อ 5)

อีกครั้ง เมื่ออยู่ในกรุงเอเธนส์ มีการตอบสนองที่แตกต่างกัน บางคนก็ต่อต้าน (ข้อ 6) แต่บางคนก็เชื่อ ‘คริสปัสนายธรรมศาลากับทั้งครัวเรือนของท่านก็มาเชื่อถือในองค์พระผู้เป็นเจ้า และชาวโครินธ์หลายคนเมื่อฟังเปาโลแล้วก็เชื่อถือและรับบัพติศมา’ (ข้อ 8)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับการอัศจรรย์แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู และสำหรับฤทธิ์เดชแห่งสารซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิต

พันธสัญญาเดิม

1 พงศ์กษัตริย์ 18:16-19:21

 16โอบาดีห์จึงไปเฝ้าอาหับและทูลพระองค์ อาหับก็เสด็จไปพบเอลียาห์
 17และต่อมา เมื่ออาหับทอดพระเนตรเห็นเอลียาห์ อาหับก็ตรัสกับท่านว่า “เจ้านี่เองหรือ? ผู้ทำความลำบากให้อิสราเอล” 18และท่านจึงทูลว่า “ข้าพระบาทไม่ได้ทำความลำบากแก่อิสราเอล แต่ฝ่าพระบาทและราชวงศ์บิดาของฝ่าพระบาทต่างหากได้ทรงกระทำ เพราะพวกฝ่าพระบาทได้ทอดทิ้งพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ และติดตามบรรดาพระบาอัล 19เพราะฉะนั้น ขอทรงสั่งให้รวบรวมชนอิสราเอลทั้งสิ้น มาพบข้าพระบาทที่ภูเขาคารเมล ทั้งผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล 450 คนกับผู้เผยพระวจนะของพระอาเช-ราห์ 400 คนนั้น ผู้รับประทานที่โต๊ะเสวยของพระนางเยเซเบล”

เอลียาห์ชนะผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล

 20ดังนั้น อาหับทรงส่งข่าวไปยังคนอิสราเอลทั้งหมด และชุมนุมผู้เผยพระวจนะที่ภูเขาคารเมล 21และเอลียาห์ก็เข้ามาใกล้ประชาชนทั้งปวง กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจะลังเลใจอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้นานเท่าไร? ถ้าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า จงติดตามพระองค์ แต่ถ้าพระบาอัลเป็น ก็จงตามท่านไปเถิด” แต่ประชาชนไม่ตอบท่านสักคำเดียว 22แล้วเอลียาห์พูดกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าผู้เดียวเป็นผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่เหลืออยู่ แต่ผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลมี 450 คน 23ให้พวกเขามอบวัวผู้สองตัวแก่พวกเรา แล้วให้พวกเขาเลือกวัวตัวหนึ่ง สับเป็นท่อนๆ วางไว้บนกองฟืนแต่อย่าใส่ไฟ ส่วนข้าพเจ้าจะเตรียมวัวอีกตัวหนึ่ง แล้ววางไว้บนฟืนและไม่ใส่ไฟ 24แล้วท่านทั้งหลายจงร้องออกพระนามพระเจ้าแปลได้อีกว่า พระนามของบรรดาพระเจ้าของท่าน ส่วนข้าพเจ้าจะร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ พระองค์ไหนตอบด้วยไฟ พระองค์นั้นแหละเป็นพระเจ้าแท้” และประชาชนทั้งปวงก็ตอบว่า “อย่างที่พูดก็ดีแล้ว” 25แล้วเอลียาห์พูดกับพวกผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลว่า “จงเลือกวัวผู้ตัวหนึ่งสำหรับพวกท่านและตระเตรียมก่อน เพราะพวกท่านมีมาก จงร้องออกพระนามพระเจ้าของท่าน แต่อย่าใส่ไฟ” 26เขาทั้งหลายก็เอาวัวผู้ที่มีคนให้มา และเขาทั้งหลายก็จัดเตรียม และร้องออกพระนามพระบาอัลตั้งแต่เช้าจนเที่ยง กล่าวว่า “พระบาอัล ขอตอบเราเถิด” แต่ก็ไม่มีเสียงและไม่มีใครตอบ แล้วพวกเขาก็เต้นโขยกเขยกอยู่รอบแท่นซึ่งเขาได้สร้างขึ้นนั้น 27เมื่อถึงเวลาเที่ยง เอลียาห์ก็เย้ยเขาทั้งหลายว่า “ร้องให้ดังๆ ซี เพราะท่านเป็นพระเจ้า ท่านกำลังภาวนาอยู่ หรือท่านกำลังถ่ายทุกข์ หรือท่านไปเที่ยว หรือบางทีท่านกำลังหลับอยู่ และจะต้องปลุก” 28เขาทั้งหลายก็ร้องเสียงดัง และเชือดเฉือนตัวเองตามธรรมเนียมของเขาด้วยดาบและหลาว จนเลือดไหลพุ่งออกมาตามตัว 29และเมื่อผ่านเที่ยงวันไปแล้ว พวกเขาก็พร่ำเผยพระวจนะต่อไป จนถึงเวลาถวายบูชาตอนเย็น แต่ไม่มีเสียง ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครฟัง
 30แล้วเอลียาห์พูดกับประชาชนทั้งสิ้นว่า “จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า” และประชาชนทั้งหมดก็เข้ามาใกล้ท่าน และท่านก็ซ่อมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ที่ถูกทำลายลงนั้น 31เอลียาห์นำศิลาสิบสองก้อนมา ตามจำนวนเผ่าบุตรชายของยาโคบ ผู้ซึ่งพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงว่า “อิสราเอลจะเป็นชื่อของเจ้า” 32และท่านได้สร้างแท่นบูชาด้วยศิลาเหล่านั้นในพระนามของพระยาห์เวห์ และท่านได้ขุดร่องใหญ่รอบแท่นพอจุน้ำได้ประมาณ 14 ลิตร 33และท่านก็วางฟืนไว้เป็นระเบียบ และสับวัวนั้นเป็นท่อนๆ และวางไว้บนกองฟืน และท่านกล่าวว่า “จงเติมน้ำให้เต็มสี่ไห แล้วเทลงบนเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และบนกองฟืน” 34และท่านกล่าวว่า “จงทำครั้งที่สอง” และเขาก็ทำครั้งที่สอง และท่านกล่าวว่า “จงทำครั้งที่สาม” และเขาก็ทำครั้งที่สาม 35และน้ำไหลรอบแท่นบูชา และท่านใส่น้ำเต็มร่องด้วย
 36และต่อมาเมื่อถึงเวลาถวายบูชา เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะก็เข้ามาใกล้ ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล ขอให้เขาทราบเสียทั่วกันในวันนี้ว่า พระองค์คือพระเจ้าในอิสราเอล และข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และข้าพระองค์ได้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นตามพระดำรัสของพระองค์ 37ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงตอบข้าพระองค์ ทรงตอบข้าพระองค์ เพื่อชนชาตินี้จะทราบว่าพระองค์คือพระยาห์เวห์ ทรงเป็นพระเจ้า และพระองค์ทรงหันจิตใจของเขาทั้งหลายกลับมาอีก” 38แล้วไฟของพระยาห์เวห์ก็ตกลงมาและเผาเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และฟืน หิน และผงคลี และลามเลียน้ำในร่องจนแห้ง 39และเมื่อประชาชนทั้งหมดได้เห็น พวกเขาก็ซบหน้าลงร้องว่า “พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” 40และเอลียาห์บอกเขาทั้งหลายว่า “จงจับผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล อย่าให้หนีไปได้สักคนเดียว” และประชาชนก็ไปจับพวกเขามา และเอลียาห์ก็นำพวกเขามาที่ลำธารคีโชน และฆ่าเขาเสียที่นั่น

ความแห้งแล้งสิ้นสุดลง

 41เอลียาห์ทูลอาหับว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเสวยและดื่มเถิด เพราะมีเสียงฝนกระหึ่มมา” 42อาหับก็เสด็จขึ้นไปเสวยและดื่ม แต่เอลียาห์ขึ้นไปที่ยอดภูเขาคารเมล ท่านก็โน้มตัวลงถึงดิน ซบหน้าระหว่างเข่า 43และท่านสั่งคนใช้ของท่านว่า “จงลุกขึ้นมองไปทางทะเล” เขาก็ลุกขึ้นมองและตอบว่า “ไม่มีอะไรเลย” และท่านบอกว่า “จงไปดูอีกเจ็ดครั้ง” 44และต่อมาเมื่อถึงครั้งที่เจ็ด เขาบอกว่า “ดูสิ มีเมฆก้อนหนึ่งเล็กเท่าฝ่ามือคนขึ้นมาจากทะเล” และท่านก็บอกว่า “จงไปทูลอาหับว่า ‘ขอทรงเตรียมราชรถและเสด็จลงไป เพื่อพระองค์จะไม่ติดฝน’ ” 45และต่อมาอีกครู่หนึ่ง ท้องฟ้าก็มืดไปด้วยเมฆและลม และมีฝนหนัก อาหับก็ทรงรถเสด็จไปยังเมืองยิสเรเอล 46และพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์หนุนกำลังเอลียาห์ และท่านก็คาดเอวของท่านไว้ และวิ่งขึ้นหน้าอาหับไปถึงทางเข้าเมืองยิสเรเอล

1 พงศ์กษัตริย์ 19

เอลียาห์หนีพระนางเยเซเบล

 1อาหับจึงบอกเยเซเบลทุกสิ่งที่เอลียาห์ได้ทำ รวมทั้งเรื่องที่ท่านฆ่าผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้นของพระบาอัลด้วยดาบ 2แล้วเยเซเบลก็ส่งผู้สื่อสารไปบอกเอลียาห์ว่า “ถ้าพรุ่งนี้ เวลานี้ เราไม่ได้ทำชีวิตของเจ้าให้เหมือนอย่างชีวิตของคนเหล่านั้นแล้ว ก็ให้พระทั้งหลายทำอย่างนั้นกับเรา และทำให้หนักกว่า” 3เมื่อท่านทราบก็ฉบับกรีกว่า แล้วเอลียาห์ก็กลัวและลุกขึ้นหนีเอาชีวิตรอด และมาถึงเบเออร์เชบาเขตยูดาห์ แล้วท่านละคนใช้ของท่านไว้ที่นั่น 4แต่ตัวท่านเองเดินเข้าถิ่นทุรกันดารไปเป็นระยะทางวันหนึ่ง ท่านมานั่งอยู่ใต้ต้นซากที่มีเพียงต้นเดียว และทูลขอให้ตัวท่านตายเสียทีว่า “พอกันที ข้าแต่พระยาห์เวห์ บัดนี้ขอเอาชีวิตข้าพระองค์ไปเสีย เพราะข้าพระองค์ก็ไม่ดีไปกว่าบรรพบุรุษ” 5และท่านก็เอนกายลงหลับใต้ต้นซากต้นเดียวนั้น นี่แน่ะ มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาแตะต้องท่าน และพูดกับท่านว่า “ลุกขึ้นรับประทานสิ” 6และท่านมองดู นี่แน่ะ ตรงศีรษะของท่านมีขนมปังที่ปิ้งบนก้อนหินร้อน และมีไหน้ำลูกหนึ่ง ท่านก็รับประทานและดื่มแล้วนอนลงอีก 7และทูตของพระยาห์เวห์ก็มาอีกเป็นครั้งที่สอง ถูกต้องท่าน แล้วว่า “ลุกขึ้นรับประทานสิ มิฉะนั้นการเดินทางจะเกินกำลังของท่าน” 8และท่านก็ลุกขึ้นรับประทานและดื่ม และเดินไปด้วยกำลังของอาหารนั้น สี่สิบวันสี่สิบคืนถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า
 9ที่นั่นท่านมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งและเข้าพักอยู่ และนี่แน่ะ พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงท่าน และพระองค์ตรัสกับท่านว่า “เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?” 10ท่านทูลว่า “ข้าพระองค์หวงแหนแทนพระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพยิ่งนัก เพราะประชาชนอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ได้พังแท่นบูชาของพระองค์ และประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายมุ่งเอาชีวิตข้าพระองค์”

เอลียาห์พบพระเจ้าที่ภูเขาโฮเรบ

 11และพระองค์ตรัสว่า “จงออกไปเถิด ไปยืนอยู่บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์” และนี่แน่ะ พระยาห์เวห์กำลังทรงผ่านไป และลมพายุรุนแรงได้พัดพังภูเขา และทำให้หินแตกเป็นเสี่ยงๆ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตในลมนั้น ภายหลังลมก็เกิดแผ่นดินไหว แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตในแผ่นดินไหวนั้น 12ภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตในไฟนั้น ภายหลังไฟก็มีเสียงเบาๆ 13และเมื่อเอลียาห์ได้ยิน ท่านก็เอาเสื้อคลุมปิดหน้าไว้ ออกไปยืนอยู่ที่ปากถ้ำ และนี่แน่ะ มีเสียงมาถึงท่านว่า “เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?” 14ท่านทูลว่า “ข้าพระองค์หวงแหนแทนพระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพยิ่งนัก เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ได้พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายมุ่งเอาชีวิตข้าพระองค์” 15และพระยาห์เวห์ตรัสกับท่านว่า “ไปเถอะ จงกลับไปตามทางของเจ้าถึงถิ่นทุรกันดารดามัสกัส และเมื่อเจ้าไปถึงแล้ว จงเจิมฮาซาเอลให้เป็นกษัตริย์ปกครองซีเรีย 16และเยฮูบุตรนิมชีนั้น จงเจิมให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และเอลีชาบุตรชาฟัทชาวอาเบลเมโฮลาห์ จงเจิมให้เป็นผู้เผยพระวจนะแทนเจ้า 17และผู้ที่รอดจากดาบของฮาซาเอล เยฮูจะฆ่าเสีย และผู้ที่รอดจากดาบของเยฮู เอลีชาจะฆ่าเสีย 18แต่เราจะเหลือ 7,000 คนไว้ในอิสราเอล คือทุกคนที่ไม่ได้คุกเข่าลงต่อพระบาอัล และไม่ได้จูบพระนั้น”

เอลีชาเป็นศิษย์ของเอลียาห์

 19เอลียาห์ก็ออกจากที่นั่นและพบเอลีชาบุตรชาฟัท ผู้กำลังไถนาอยู่ด้วยวัวคู่หนึ่ง มีวัวอื่นอีกสิบเอ็ดคู่ที่เดินอยู่ข้างหน้า และท่านอยู่กับวัวคู่ที่สิบสอง เอลียาห์ก็ผ่านไปโยนเสื้อคลุมลงบนท่าน 20ท่านก็ละวัวเหล่านั้น วิ่งตามเอลียาห์ไปและกล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจูบลาบิดามารดาของข้าพเจ้าก่อน และข้าพเจ้าจะติดตามท่านไป” เอลียาห์จึงกล่าวกับเอลีชาว่า “ไปเถิด แล้วกลับมาอีก เพราะเราได้ทำอะไรแก่ท่าน?แปลได้อีกว่า เราไม่ห้ามท่านหรอก หรือ อย่าลืมสิ่งที่เราทำกับท่าน” 21และเอลีชาก็ละเอลียาห์ไว้ ท่านกลับไปและจับวัวคู่นั้นฆ่าเสีย เอาเครื่องแอกต้มเนื้อวัว และให้แก่ประชาชน และพวกเขาก็รับประทาน แล้วเอลีชาก็ลุกขึ้น ตามเอลียาห์ไปและปรนนิบัติท่าน

อรรถาธิบาย

ประสบการณ์เรื่องการอัศจรรย์แห่งไฟจากพระเจ้า

พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นการอัศจรรย์ที่น่าทึ่งผ่านทางตัวแทนมนุษย์ที่ชื่อเอลียาห์ เรื่องนี้เน้นลักษณะที่เหนือธรรมชาติของเหตุการณ์นี้

เราล้วนต้องตัดสินใจว่าเราจะดำเนินชีวิตไปอย่างไร และใครที่เราจะติดตาม เอลียาห์กล่าวว่า ‘ท่านทั้งหลายจะลังเลใจอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้นานเท่าไร? ถ้าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า จงติดตามพระองค์ แต่ถ้าพระบาอัลเป็น ก็จงตามท่านไปเถิด จงตัดสินใจเสีย’ (18:21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เขาตั้งบททดสอบขึ้นสำหรับพวกเขาทั้งหลาย และกล่าวว่า ‘พระองค์ไหนตอบด้วยไฟ พระองค์นั้นแหละเป็นพระเจ้าแท้’ (ข้อ 24)

เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ที่จะปรนนิบัติพระซึ่งมือมนุษย์ทำขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ตะโกนเสียงดัง ‘แต่ไม่มีเสียง ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครฟัง’ (ข้อ 29) แต่เอลียาห์อธิษฐาน ท่านไม่ได้ร้องตะโกน (ข้อ 36) เพราะว่าท่านอธิษฐานถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์

คุณสามารถมีความมั่นใจเหมือนเอลียาห์ว่าทุกครั้งที่คุณอธิษฐาน รู้ว่าคุณเองก็กำลังอธิษฐานถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ทรงได้ยินคุณและจะกระทำในนามของคุณ

ทุกครั้งที่เราอธิษฐาน ‘พระวิญญาณบริสุทธิ์เชิญเสด็จมา’ เรากำลังทูลขอให้พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์ในวันเพ็นเทคอสต์ซ้ำเมื่อไฟของพระเจ้ามาเหนือทุกคน เราไม่จำเป็นต้องตะโกนหรือเร้าอารมณ์ เราเพียงแค่ทูลขอ

ในการตอบสนองคำอธิษฐานของเอลียาห์ ไฟของพระเจ้าตกลงมา (ข้อ 38) เมื่อประชาชนทั้งหมดได้เห็น พวกเขาก็ซบหน้าลงร้องว่า ‘พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า!’ (ข้อ 39)

นี่เป็นการอัศจรรย์อันน่าทึ่ง แต่เอลียาห์ก็ไม่ได้แตกต่างจากเรา เขาเป็นเพียงมนุษย์ (ดู ยากอบ 5:17) หลังจากมีประสบการณ์สูงฝ่ายวิญญาณ เขาก็ได้มีประสบการณ์กับอารมณ์ที่ตกต่ำ เขา ‘หมดเรี่ยวหมดแรง’ (1 พงศ์กษัตริย์ 19:5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาเริ่มหวาดกลัว ท้อใจ หดหู่ และเกือบฆ่าตัวตาย ‘พอกันที ข้าแต่พระยาห์เวห์ เอาชีวิตข้าพระองค์ไปเถิด” (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เมื่อเราอ่อนล้าหมดแรง เราสามารถรู้สึกง่ายดายว่าถูกข่มเหง ถูกเข้าใจผิด และถูกปฏิบัติด้วยอย่างไม่ถูกต้อง หลังจากได้นอนพักดีๆ และได้รับประทานอาหาร เขาก็กลับมีกำลังขึ้น

ถึงกระนั้น เขาก็รู้สึกว่าว่าถูดทอดทิ้งอยู่คนเดียว (ข้อ 10ข, 14ข) และทุกคนก็ออกตามล่าเขา

นั่นก็ไม่จริงทีเดียว เพราะมี ‘เหลือ 7,000 คนไว้ในอิสราเอล คือทุกคนที่ไม่ได้คุกเข่าลงต่อพระบาอัล’ (ข้อ 18) แต่มันง่ายที่จะรู้สึกโดดเดี่ยว และเดียวดายในที่ทำงาน ครอบครัว หรือละแวกบ้าน เมื่อคุณมาอยู่รวมกัน (ตัวอย่างเช่น ในวันอาทิตย์) คุณได้รับการเตือนใจว่า คุณไม่ได้อยู่ลำพัง

วิธีของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นจะอ่อนโยน พระเจ้าตรัสกับเอลียาห์ว่า พระองค์ไม่ใช่ ‘ลมพายุพัดแรง’ ไม่ได้อยู่ใน ‘แผ่นดินไหว’ หรือไม่ได้สถิตอยู่ใน ‘ไฟ’ แต่ใน ‘เสียงกระซิบอันอ่อนโยน’ (ข้อ 11–12) บ่อยครั้งเราจำเป็นต้องหนีไปจากเสียงรบกวน และพบสถานที่และเวลาแห่งความเงียบสงบเพื่อฟังเสียงกระซิบอันอ่อนโยนของพระเจ้าลึกลงไปในจิตวิญญาณของเรา

คำอธิษฐาน

ขอบพระคุณ ข้าแต่พระเจ้า ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการอัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงชุบพระเยซูขึ้นจากความตาย พระเจ้าผู้ทรงตอบคำอธิษฐานโดยไฟ พระเจ้าผู้ทรงนำน้ำออกมาจากศิลา การสื่อสารในเสียงกระซิบอันอ่อนโยน ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ได้ยินเสียงของพระองค์ในวันนี้

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 พงศ์กษัตริย์ 19:2

แม้กระทั่งคนของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ก็มีเวลาที่ท้อใจ การได้สังหารผู้เผยพระวจนะเท็จทุกคน คุณอาจคิดว่าเอลียาห์คงจะรับได้ทุกสิ่งแล้ว หลังจากความเหนื่อยล้าทางจิตวิญญาณและทางกาย เราต้องการการเติมเต็ม การฟื้นฟูของเอลียาห์ดูเหมือนจะมาผ่านทางการนอน อาหาร และการออกกำลัง (แม้ว่าการเดินเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนดูเหมือนจะเกินไปหน่อย) และรับเอาความช่วยเหลือ (รับมือกับความโดดเดี่ยวที่ท่านรู้สึก) สำคัญที่สุด ท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสกับท่านอีกครั้ง

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม