วัน 184

เปลี่ยนแปลงโลกของคุณ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 79:1-13
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 21:27-22:21
พันธสัญญาเดิม 2 พงศ์กษัตริย์ 4:38-6:23

เกริ่นนำ

เดซ เพื่อนใหม่ของผมจากสกอตแลนด์ บอกว่า ‘ในอดีต ผมเป็นคนเฝ้าประตู ผมเป็นคนขี้โกหก ผมเป็นคนที่ค่อนข้างรุนแรง ผมใช้ยาเสพติดอย่างหนัก ผมติดโคเคน ชีวิตของผมวนเวียนอยู่กับการต่อสู้ การใช้ยา งานปาร์ตี้และใช้ชีวิตเป็นวงจรแบบนั้น”

เขาบอกว่า ‘ในคืนหนึ่ง ผมเสพยาเกินขนาด ผมรู้สึกเหมือนหัวใจจะล้มเหลว เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากหน้าอกของผม และผมก็ร้องออกมา ผมไม่รู้ในตอนนั้นว่านั่นคือการอธิษฐาน เพื่อจะมีชีวิตอยู่ และผมก็ตื่นขึ้นในวันต่อมาและผมก็ไม่ไปแตะต้องโคเคนอีกเลย’

หลังจากนั้น เดซพบกับกลุ่มคริสเตียน หนึ่งในนั้นคือฟิโอน่า ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เขาขอออกเดทกับเธออยู่ 2-3 ครั้ง แต่เธอตอบว่า ‘ไม่’ เหตุผลหลักคือ เขาไม่ใช่คริสเตียน

เธอนำพระคัมภีร์มาให้เขาและเขาก็เริ่มอ่าน ‘ผมเริ่มขุดค้นเพื่อจะหาบางอย่างและจบลงด้วยการพบพระเยซู ในทันใดนั้นเอง ชีวิตทั้งหมดของผมก็มีเหตุผลขึ้นมา’

เขาโทรหาฟิโอน่าและขอให้เธอพาเขาไปคริสตจักร นี่นั่นเอง เขาได้ยินเรื่องของอัลฟ่า ‘ผ่านทางอัลฟ่า ผมพบพระเยซูและนั่นเปลี่ยนแปลงชีวิตผม ผมเคยเป็นคนติดยาและใช้ความรุนแรง และตอนนี้ผมเป็นคนที่รักผู้อื่นและรักพระเจ้า ผมต้องการแบ่งปันเรื่องราวของผม’

เดซเพิ่งเรียนศาสนศาสตร์จบและกำลังทำงานกับอัลฟ่า สกอตแลนด์

และเขาแต่งงานกับฟิโอน่า ตอนนี้เขาเป็นสามีที่มีความรักและคุณพ่ออันเป็นที่รัก

เดซสรุปการเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงของเขาว่า ‘พระเยซูได้เปลี่ยนคำถามที่ผมมีว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ ไปสู่ความเชื่อว่าพระเจ้าห่วงใยผม ผมเปลี่ยนแปลงจากคนที่ใช้ความรุนแรง ไร้ความรัก ติดยา ไปเป็นชายที่มีความสุขในชีวิตคู่และเต็มไปด้วยความรัก ตอนนี้ผมดูแลอัลฟ่าสำหรับผู้คนทุกประเภท จากแก๊งค์อันธพาลไปจนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ และผมกำลังเห็นชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลง’

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 79:1-13

คำวิงวอนขอพระเมตตาเพื่อกรุงเยรูซาเล็ม

เพลงสดุดีของอาสาฟ

1ข้าแต่พระเจ้า บรรดาประชาชาติได้ล่วงล้ำมรดกของพระองค์
 พวกเขาได้ทำให้พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นมลทิน
 พวกเขาได้ทำให้เยรูซาเล็มเป็นที่ปรักหักพัง
2พวกเขาให้ศพผู้รับใช้ของพระองค์
 เป็นอาหารแก่นกในอากาศ
 ให้เนื้อผู้จงรักภักดีของพระองค์แก่สัตว์ป่าแห่งแผ่นดินโลก
3พวกเขาได้เทโลหิตของคนเหล่านั้นออกมาอย่างเทน้ำ
 รอบเยรูซาเล็ม
 จนไม่มีคนฝังศพให้
4ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นที่เยาะเย้ยแก่เพื่อนบ้าน
 เป็นที่ดูหมิ่นและเหยียดหยามแก่คนที่อยู่รอบข้าง
5ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์จะกริ้วไปอีกนานเท่าใด? เป็นนิตย์หรือพระเจ้าข้า?
 ความหวงแหนของพระองค์จะไหม้ดังไฟไปอีกนานเท่าใด?
6ขอทรงเทพระพิโรธของพระองค์ลงเหนือบรรดาประชาชาติ
 ที่ไม่รู้จักพระองค์
และเหนือราชอาณาจักรทั้งหลาย
 ที่ไม่ร้องออกพระนามของพระองค์ 7เพราะเขาได้ผลาญยาโคบ
 และทำให้ที่อาศัยของท่านร้างเปล่า
8ขออย่าทรงระลึกถึงความชั่วของบรรพบุรุษ แล้วลงโทษข้าพระองค์ทั้งหลาย
 ขอพระกรุณาของพระองค์เร่งมาพบข้าพระองค์ทั้งหลาย
 เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายตกต่ำมาก
9ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอด ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลาย
 เพราะเห็นแก่พระสิริแห่งพระนามของพระองค์
ขอทรงช่วยกู้และอภัยบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย
 เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
10ทำไมจะให้บรรดาประชาชาติกล่าวว่า
 “พระเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน?”
ขอให้การแก้แค้นเนื่องด้วยโลหิตผู้รับใช้ของพระองค์ที่หลั่งออก
 จงปรากฏในท่ามกลางบรรดาประชาชาติต่อหน้าต่อตาข้าพระองค์ทั้งหลาย
11ขอให้เสียงคร่ำครวญของเชลยมาอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
 ด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอทรงละเว้นคนเหล่านั้นที่ต้องถึงตาย
12ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงตอบแทนเพื่อนบ้านของข้าพระองค์สักเจ็ดเท่า
ที่อกของพวกเขา
 สำหรับการที่เขาเยาะเย้ยพระองค์
13แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายผู้เป็นประชากรของพระองค์ เป็นฝูงแพะแกะแห่ง
ทุ่งหญ้าของพระองค์
 จะขอบพระคุณพระองค์เป็นนิตย์
 ข้าพระองค์ทั้งหลายจะกล่าวสรรเสริญพระองค์ทุกชั่วชาติพันธุ์

อรรถาธิบาย

อธิษฐานเผื่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศคุณ

การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้ พระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของแต่ละคนได้ พระองค์ยังสามารถเปลี่ยนแปลงเมืองและประเทศต่าง ๆ ได้

ในศตวรรษที่หกก่อนคริสตกาล คนของพระเจ้าถูกตกไปเป็นเชลย ‘พระเจ้า! คนต่างชาติได้พังทลายเข้ามาในบ้านของพระองค์ ทำลายวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ปล่อยเยรูซาเล็มให้เป็นกองซากปรักหักพัง...พวกเราเป็นตัวตลกของเพื่อนบ้านเรา กำแพงเมืองมีรอยขีดเขียนอยู่’ (ข้อ 1,4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ขณะที่ผู้เขียนสดุดีพิจารณาการทำลายพระวิหารและการตกเป็นเชลย เขาเห็นว่าพระนามพระเจ้าถูกเหยียดหยาม

ในประเทศอังกฤษปัจจุบันนี้ เราเห็นคริสตจักรถูกปิดและพระนามของพระเจ้าถูกเหยียดหยาม คนของพระเจ้าตกเป็นเป้าของการถูกดูหมิ่นและเหยียดหยามอีกครั้ง

ผู้เขียนสดุดีอธิษฐานว่า ‘พวกเราจะต้องอดทนกับสิ่งนี้อีกนานสักเท่าใด พระเจ้า?...พวกเรามาถึงสุดปลายของเชือกแล้ว พระองค์เป็นที่รู้จักในการช่วยเหลือ พระเจ้า โปรดประทานการพักแก่เรา เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ โปรดดึงเราออกจากปัญหานี้ โปรดอภัยบาปของเรา โปรดทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยที่จะกระทำ!’ (ข้อ 5,8-9 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

นี่คือคำอธิษฐานแห่งความสิ้นหวัง แล้วก็เป็นคำอธิษฐานแห่งความเชื่อด้วย พระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เรากล้าที่จะฝันถึงช่วงเวลาที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของคุณเพื่อประเทศชาติของคุณ ‘แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายผู้เป็นประชากรของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะกล่าวสรรเสริญพระองค์ทุกชั่วชาติพันธุ์’ (ข้อ 13)

คำอธิษฐาน

องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเรามองดูบ้านเมืองและประเทศชาติของเรา เราร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ขอให้ประเทศนี้เป็นที่ซึ่ง พระนามของพระองค์จะได้รับเกียรติอีกครั้งหนึ่ง

พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 21:27-22:21

เปาโลถูกจับในพระวิหาร

 27เมื่อจวนครบเจ็ดวัน พวกยิวที่มาจากแคว้นเอเชีย เห็นเปาโลในพระวิหาร ก็ยุยงฝูงชนทั้งหมดแล้วจับเปาโล 28ร้องว่า “ชนชาติอิสราเอลเอ๋ย จงช่วยกันเถิด คนนี้แหละที่เสี้ยมสอนทุกคนทุกตำบลให้เป็นศัตรูต่อชนชาติของเรา ต่อธรรมบัญญัติและต่อสถานที่นี้ และยิ่งกว่านั้น เขาพาชาวกรีกเข้ามาในพระวิหารด้วย ทำให้สถานบริสุทธิ์นี้เป็นมลทิน” 29เนื่องจากก่อนหน้านี้คนพวกนั้นเห็นโตรฟีมัส ชาวเมืองเอเฟซัสอยู่กับเปาโลในเมือง เขาจึงคิดว่าเปาโลพาคนนั้นเข้าไปในพระวิหาร 30แล้วคนทั้งเมืองก็ลุกฮือขึ้น ประชาชนวิ่งกรูกันเข้าไป และจับเปาโลออกจากพระวิหาร แล้วก็ปิดประตูทันที 31เมื่อพวกเขากำลังหาทางฆ่าเปาโล ก็มีรายงานถึงผู้บังคับกองพันว่ากรุงเยรูซาเล็มเกิดการวุ่นวายขึ้นทั้งเมือง 32นายพันจึงคุมพวกทหารกับบรรดานายร้อยวิ่งไปยังคนทั้งหมดทันที เมื่อเขาทั้งหลายเห็นนายพันกับพวกทหารมาจึงหยุดตีเปาโล 33นายพันจึงเข้าไปใกล้ แล้วจับเปาโล สั่งให้เอาโซ่สองเส้นล่ามไว้ แล้วถามว่าท่านเป็นใครและทำอะไรไปบ้าง 34บางคนในฝูงชนนั้นร้องว่าอย่างนี้ บางคนก็ว่าอย่างนั้น เมื่อนายพันไม่สามารถหาความจริงอะไรได้เพราะวุ่นวายมาก จึงสั่งให้พาเปาโลเข้าไปในกรมทหาร 35เมื่อมาถึงบันไดแล้ว พวกทหารจึงยกตัวเปาโลขึ้นเนื่องจากความรุนแรงของฝูงชน 36เพราะกลุ่มคนที่ตามมาต่างร้องว่า “ฆ่ามันเสีย”

เปาโลแก้คดีต่อหน้าประชาชน

 37เมื่อถูกนำตัวไปจนเกือบเข้ากรมทหารแล้ว เปาโลจึงกล่าวกับนายพันว่า “ข้าพเจ้าขอพูดกับท่านสักหน่อยได้ไหม?” นายพันจึงถามว่า “เจ้ารู้ภาษากรีกด้วยหรือ? 38เจ้าเป็นชาวอียิปต์ที่ก่อการกบฏคราวก่อนและพาพวกมือมีดสี่พันคนเข้าไปในถิ่นทุรกันดารไม่ใช่หรือ?” 39แต่เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย เป็นประชากรของเมืองที่ไม่ใช่เล็กๆ ข้าพเจ้าขออนุญาตท่านพูดกับประชาชนหน่อย” 40เมื่อนายพันอนุญาตแล้ว เปาโลจึงยืนบนขั้นบันไดโบกมือต่อประชาชน เมื่อคนทั้งปวงนิ่งเงียบแล้ว ท่านจึงกล่าวกับพวกเขาเป็นภาษาฮีบรูว่า

กิจการ 22

 1“นี่แน่ะ พี่น้องและท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย บัดนี้ขอฟังข้าพเจ้าแก้คดีต่อหน้าท่าน” 2เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินท่านพูดภาษาฮีบรู เขาก็ยิ่งนิ่งเงียบกว่าเก่า เปาโลจึงกล่าวว่า
 3“ข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่เติบโตขึ้นในเมืองนี้ เป็นศิษย์ของอาจารย์กามาลิเอล และได้รับการอบรมอย่างเคร่งครัดตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษของเรา จึงมีความกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้าเช่นเดียวกับพวกท่านในเวลานี้ 4ข้าพเจ้าข่มเหงคนทั้งหลายที่ถือ ‘ทางนี้’ จนถึงตาย ทั้งยังจับพวกผู้ชายและผู้หญิงขังไว้ในคุก 5ตามที่มหาปุโรหิตกับสภาผู้อาวุโสสามารถเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ถือหนังสือจากเขาทั้งหลายไปถึงพวกพี่น้องที่เมืองดามัสกัส และข้าพเจ้าเดินทางไปที่นั่นเพื่อจับพวกที่อยู่ในเมืองนั้นมัดมารับโทษที่กรุงเยรูซาเล็ม

เปาโลเล่าเรื่องการกลับใจของตน

 6“และเมื่อข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัสในเวลาประมาณเที่ยง ทันใดนั้นมีแสงสว่างจ้าจากฟ้าส่องรอบข้าพเจ้า 7ข้าพเจ้าจึงล้มลงบนดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม?’ 8ข้าพเจ้าจึงทูลตอบว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นใคร?’ พระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งเจ้าข่มเหงนั้น’ 9คนทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างแต่ไม่ได้ยินพระสุรเสียงที่ตรัสกับข้าพเจ้า 10ข้าพเจ้าจึงทูลถามว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด?’ พระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึ้นเข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นเขาจะบอกเจ้าให้รู้ทุกสิ่งที่กำหนดให้เจ้าทำ’ 11เมื่อข้าพเจ้ามองอะไรไม่เห็นเพราะความสว่างจ้าของแสงนั้น พวกที่มากับข้าพเจ้าจึงจูงมือข้าพเจ้าพาเข้าไปในเมืองดามัสกัส
 12“มีคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เขาเป็นคนถือธรรมบัญญัติเคร่งครัดและมีชื่อเสียงดีในหมู่คนยิวที่อยู่ที่นั่น 13เขามาหาข้าพเจ้าและมายืนใกล้ๆ กล่าวว่า ‘พี่เซาโลเอ๋ย จงมองเห็นได้อีกเถิด’ และทันใดนั้นข้าพเจ้าก็มองเห็น และข้าพเจ้าเห็นท่าน 14ท่านจึงกล่าวว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงเลือกท่านเพื่อให้รู้จักพระทัยของพระองค์ ให้ท่านเห็นพระองค์ผู้ชอบธรรม และได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์ 15เพราะว่าท่านจะเป็นสักขีพยานของพระองค์ต่อคนทั้งปวงในสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยินนั้น 16บัดนี้ท่านจะชักช้ารออยู่ทำไม? จงลุกขึ้นรับบัพติศมา รับการชำระบาปของท่าน โดยร้องทูลออกพระนามของพระองค์’

พระเจ้าทรงใช้เปาโลไปหาคนต่างชาติ

 17“เมื่อข้าพเจ้ากลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม และขณะกำลังอธิษฐานอยู่ในพระวิหาร ก็เข้าสู่ภวังค์ 18ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงรีบออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มโดยเร็ว เพราะพวกเขาจะไม่รับคำพยานของเจ้าเกี่ยวกับเรา’ 19ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า คนเหล่านั้นทราบดีว่า ข้าพระองค์จับคนทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ตามธรรมศาลาไปขังคุกและเฆี่ยนตี 20และเมื่อเขาทำให้สเทเฟนสักขีพยานของพระองค์ต้องหลั่งเลือด ข้าพระองค์ก็ยืนอยู่ใกล้และเห็นชอบกับการกระทำนั้น ทั้งยังเฝ้าเสื้อผ้าให้กับพวกที่ฆ่าเขา’ 21แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงไปเถิด เราจะใช้เจ้าไปไกล ไปหาบรรดาคนต่างชาติ’ ”

อรรถาธิบาย

เป็นพยานเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ

คุณมีคำพยานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่พระเยซูนำมาสู่ชีวิตคุณ ซึ่งอาจไม่ได้น่าเร้าใจอย่างเรื่องราวของเดซหรืออัครสาวกเปาโล แต่เรื่องราวความสัมพันธ์ที่คุณมีในพระเยซูนั้นเป็นสิ่งทรงพลัง

อีกครั้งหนึ่ง เปาโลเผชิญปัญหา ฝูงชนได้ถูก ‘ยุยง' (กิจการ 21:27) ผู้คนเข้าใจตัวเขาผิด (ข้อ 29) พวกเขาพยายามที่จะ ‘ฆ่า’ เขา (ข้อ 31) พวกเขาโบยตี (ข้อ 32) และจับกุม (ข้อ 33) เขาถูก ‘โซ่สองเส้นล่ามไว้’ (ข้อ 33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เปาโลเผชิญหน้ากับความรุนแรงของกลุ่มคน (ข้อ 35) แล้วเขาตอบสนองอย่างไร?

เขาบอกพวกเขาเรื่องพระเยซู อย่างเช่นเคย เขาเล่าคำพยานของตัวเอง แบ่งปันถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทำในชีวิต นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากของวิธีที่คุณควรเล่าคำพยานของคุณในทุกครั้งที่มีโอกาส พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในชีวิตคุณและพระองค์นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่เราอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่พระองค์ทรงเปลี่ยนเราให้เป็นเหมือนพระเยซู (2 โครินธ์ 3:18) เมื่อคุณมีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวของคุณ คุณควรพูดอะไร?

1. บอกเขาว่าเมื่อก่อนคุณเป็นอย่างไร ระบุตัวตนกับผู้ฟังของคุณเปาโลระบุกับผู้ฟังของตน เป็นภาษาอาราเมค (กิจการ 21:40) เขาเน้นส่วนต่าง ๆ ของชีวิตเพื่อที่ชาวเยรูซาเล็มจะรู้จักได้ เพราะเขากำลังพูดกับชาวยิว เขาจึงพูดถึงเฉพาะคุณสมบัติชาวยิวของท่านเท่านั้น ‘ข้าพเจ้าเป็นชาวยิวที่ดี... ข้าพเจ้ามีใจร้อนรนในพระเจ้าเสมอเหมือนที่พวกท่านเป็นอยู่นี้’ (22:3 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เปาโลชี้ให้เห็นว่าเขาเคยข่มเหงคริสเตียนโดยขังพวกเขาไว้ เฆี่ยนตีและจับพวกเขาเข้าคุก (ข้อ 4-20) เช่นเดียวกับที่พวกเขาพยายามจะทำกับตนในขณะนั้น

เมื่อคุณเล่าคำพยานชีวิต ให้ค้นหาสิ่งที่เชื่อมต่อกับผู้ฟังของคุณ ตัวอย่างเช่น คำพยานของอัลฟ่ามักเริ่มต้นด้วยองค์ประกอบของเรื่องราวของพวกเขาที่ผู้อื่นสามารถมีส่วนร่วมได้ หรือถ้อยคำที่สะท้อนถึงผู้ฟัง โดยเริ่มด้วยการพูดว่า ‘ฉันเป็นคนไม่มีพระเจ้า… ฉันเป็นคนติดเหล้า… ฉันติดยา… ฉันต่อต้านคริสตจักร’

2. บอกพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ
จากนั้นเปาโลเล่าเรื่องราวโดยละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน เมื่อได้พบกับพระเยซู เขาได้ยินเสียงของพระเยซู เมื่อพระองค์ปรากฏตัวต่อหน้าระหว่างทางไปเมืองดามัสกัส พระเยซูทรงถามคำถามและตรัสสั่งเขา อาจารย์เปาโลฟังและทำตามที่พระเยซูสั่ง

เราสนับสนุนให้ผู้คนอธิบายการกลับใจของพวกเขาด้วยถ้อยคำที่เป็นรูปธรรม อย่างที่เปาโลอธิบายในข้อนี้ เป็นรายละเอียดที่ทำให้เป็นจริงและทรงพลัง

3. อธิบายความแตกต่างที่พระเยซูได้ทรงกระทำในชีวิตคุณ อานาเนียบอกให้เปาโลเป็น 'พยานสำคัญต่อทุกคนที่ท่านพบ ถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน ดังนั้นท่านกำลังรอสิ่งใดอีก? จงลุกขึ้นและรับบัพติศมา ชำระบาปเหล่านั้นออกไป และเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว’ (ข้อ 15–16 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ผู้ที่เคยออกไล่ล่าข่มเหงคริสเตียนถูกเรียกให้มาประกาศข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติ (ข้อ 21)

อีกครั้งหนึ่ง เราสนับสนุนผู้คนที่จะให้คำพยานชีวิตนั้น ควรเล่าคำพยานอย่างเป็นรูปธรรม เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่พระเยซูทรงทำในชีวิตของพวกเขา เรื่องราวของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงนั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่ การบอกเล่าเรื่องราวของคุณเป็นหนทางที่คุณจะสามารถมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงโลกที่อยู่รอบตัวคุณ

คำอธิษฐาน

องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณสำหรับฤทธิ์อำนาจของคำพยานชีวิต โปรดช่วยข้าพระองค์ไม่ให้เหนื่อยล้ากับการเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงที่พระเยซูทรงทำในชีวิตของข้าพระองค์

พันธสัญญาเดิม

2 พงศ์กษัตริย์ 4:38-6:23

เอลีชาชำระหม้อต้มอาหารให้บริสุทธิ์

 38เมื่อเอลีชากลับมาที่กิลกาล แผ่นดินเกิดกันดารอาหาร และเมื่อพวกผู้เผยพระวจนะนั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านก็บอกคนใช้ของท่านว่า “จงตั้งหม้อใบใหญ่และต้มอาหารให้พวกผู้เผยพระวจนะ” 39คนหนึ่งออกไปเก็บผักที่ทุ่งนา และพบไม้เถาป่าเถาหนึ่ง เขาเด็ดน้ำเต้าป่าจากเถานั้นจนเต็มตัก กลับมาหั่นใส่ในหม้อต้มอาหารโดยไม่ทราบว่าเป็นผลอะไร 40แล้วพวกเขาตักออกให้คนเหล่านั้นกิน ขณะกำลังกินอาหารอยู่นั้น เขาร้องขึ้นว่า “โอ คนของพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนั้น” และเขาก็กินกันต่อไปไม่ได้ 41แต่ท่านสั่งว่า “จงเอาแป้งมา” แล้วท่านก็ใส่แป้งลงในหม้อ และบอกว่า “จงตักออกให้คนเหล่านั้นกิน” และไม่มีอันตรายอยู่ในหม้อนั้น

เอลีชาเลี้ยงคนร้อยคน

 42มีชายคนหนึ่งมาจากบาอัลชาลิชาห์ เขานำของมาให้คนของพระเจ้ามีขนมปังเป็นพืชผลแรกคือ ขนมบาร์เลย์ 20 ก้อน และรวงข้าวใหม่ใส่กระสอบของเขามา และเอลีชากล่าวว่า “จงให้คนเหล่านั้นกิน” 43แต่คนใช้ของท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าจะตั้งอาหารเพียงเท่านี้ให้คน 100 คนกินกันได้อย่างไร?” ท่านจึงสั่งซ้ำว่า “จงให้คนเหล่านั้นกินเถิด เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เขาทั้งหลายจะกินและยังเหลืออีก’ ” 44เขาจึงตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย พวกเขาได้กิน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระยาห์เวห์

2 พงศ์กษัตริย์ 5

การรักษานาอามานให้หายจากโรคเรื้อน

 1นาอามานผู้บัญชาการกองทัพของพระราชาแห่งซีเรีย เป็นคนสำคัญมากของพระราชา เป็นคนมีเกียรติ เพราะว่าพระยาห์เวห์ประทานชัยชนะแก่ซีเรียโดยท่านนี้ ท่านเป็นนักรบกล้าหาญด้วย แต่ท่านเป็นโรคเรื้อน 2กองโจมตีของคนซีเรียได้ออกไป และได้จับเด็กหญิงคนหนึ่งจากแผ่นดินอิสราเอล และเธอมารับใช้ภรรยาของนาอามาน 3เธอได้เรียนนายผู้หญิงของเธอว่า “เพียงแค่นายผู้ชายไปอยู่กับผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในสะมาเรีย แล้วท่านจะได้รักษาโรคเรื้อนของเจ้านายเสียให้หาย” 4นาอามานจึงไปทูลเจ้านายของท่านหมายถึง พระราชาแห่งซีเรียว่า สาวใช้จากแผ่นดินอิสราเอลพูดว่าอย่างนั้น 5พระราชาแห่งซีเรียตรัสว่า “จงไปเถิด เราจะส่งสารไปยังพระราชาแห่งอิสราเอล”
 แล้วท่านก็ไป นำเงิน 10 ตะลันต์หนักประมาณ 340 กิโลกรัม ทองคำ 6,000 เชเขลหนักประมาณ 68 กิโลกรัม และเสื้อเที่ยวงาน 10 ชุดไปด้วย 6และท่านก็นำสารไปยังพระราชาแห่งอิสราเอล มีใจความว่า “เมื่อสารนี้มาถึงท่าน ขอท่านทราบด้วยว่า เราส่งนาอามานข้าราชการของเรามายังท่าน เพื่อให้ท่านรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อน” 7เมื่อพระราชาแห่งอิสราเอลทรงอ่านสารนั้นแล้ว ก็ฉีกฉลองพระองค์ ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าซึ่งจะให้ตายและให้มีชีวิตหรือ? ชายคนนี้จึงส่งสารมาให้เรารักษาคนหนึ่งให้หายจากโรคเรื้อน คิดดูซิว่า เขาหาเรื่องทะเลาะกับเราอย่างไร”
 8แต่เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่า พระราชาแห่งอิสราเอลฉีกฉลองพระองค์ จึงใช้คนไปทูลพระราชาว่า “ทำไมฝ่าพระบาทจึงฉีกฉลองพระองค์? ให้เขามาหาข้าพระบาทเถิด แล้วเขาจะรู้ว่า มีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งในอิสราเอล” 9นาอามานจึงมาพร้อมกับบรรดาม้าและรถรบของท่าน มาหยุดอยู่ที่ประตูบ้านของเอลีชา 10เอลีชาก็ส่งผู้สื่อสารมาเรียนท่านว่า “จงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนอย่างเดิม และท่านจะสะอาด” 11แต่นาอามานโกรธและไปเสีย บ่นว่า “ดูสิ ข้าคิดว่าเขาจะออกมาหาข้าแน่ๆ และมายืนอยู่ และออกพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา แล้วโบกมือเหนือที่นั้นหมายถึง บริเวณที่เป็นโรคเรื้อน ให้โรคเรื้อนหาย 12อาบานาและฟารปาร์แม่น้ำเมืองดามัสกัส ไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำแห่งอิสราเอลหรือ? ข้าจะชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้น และจะสะอาดไม่ได้หรือ?” ท่านจึงหันหลังไปเสียด้วยความเดือดดาล 13แต่พวกข้าราชการของท่านเข้ามาใกล้ และทัดทานท่านว่า “บิดาของข้าพเจ้า ถ้าผู้เผยพระวจนะจะสั่งให้ท่านทำสิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ท่านจะไม่ทำหรือ? ถ้าเช่นนั้นเมื่อผู้เผยพระวจนะสั่งท่านว่า ‘จงไปล้าง และสะอาดเถิด’ ท่านยิ่งควรจะทำสักเท่าไร?” 14ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดน ตามถ้อยคำของคนของพระเจ้า และเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อของเด็กเล็ก และท่านก็สะอาด
 15แล้วท่านก็กลับมาหาคนของพระเจ้า ทั้งตัวท่านและพรรคพวกของท่าน และท่านมายืนอยู่ต่อหน้าเอลีชาและกล่าวว่า “ดูสิ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด ไม่ว่าที่ไหนในโลก นอกจากในอิสราเอล เพราะฉะนั้น บัดนี้โปรดรับของกำนัลจากผู้รับใช้ของท่านเถิด” 16แต่เอลีชาตอบว่า “พระยาห์เวห์ซึ่งเราปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะไม่รับอะไรเลยฉันนั้น” และท่านก็ได้คะยั้นคะยอให้รับไว้ แต่เอลีชาปฏิเสธ 17นาอามานจึงกล่าวว่า “หากท่านไม่รับ ก็โปรดให้ดินที่ล่อสองตัวจะบรรทุกได้แก่ผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะตั้งแต่นี้ไป ผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวหรือเครื่องสัตวบูชาแด่พระอื่น แต่จะถวายแด่พระยาห์เวห์เท่านั้น 18ในเรื่องนี้ ขอพระยาห์เวห์ทรงให้อภัยผู้รับใช้ของท่าน คือเมื่อพระราชานายของข้าพเจ้าเข้าไปในนิเวศของพระริมโมน เพื่อจะนมัสการที่นั่น และทรงพิงอยู่ที่มือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะต้องโน้มตัวลงคำนับในนิเวศของพระริมโมน เมื่อข้าพเจ้าโน้มตัวลงคำนับในนิเวศของพระริมโมนนั้น ขอพระยาห์เวห์ทรงให้อภัยผู้รับใช้ของท่านในกรณีนี้” 19เอลีชาจึงตอบท่านว่า “จงไปโดยสวัสดิภาพเถิด”

ความโลภของเกหะซี

 แต่เมื่อนาอามานออกไปได้ไม่ไกลนัก 20เกหะซีคนใช้ของเอลีชาคนของพระเจ้าคิดว่า “ดูสิ นายของข้าไม่ยอมรับของจากมือของนาอามานคนซีเรียที่เขานำมา พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าจะวิ่งตามไปเอามาจากเขาบ้างฉันนั้น” 21เกหะซีจึงตามนาอามานไป และเมื่อนาอามานแลเห็นคนวิ่งตามท่านมา ท่านก็ลงจากรถรบต้อนรับเขาพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ?” 22เขาตอบว่า “เรียบร้อยดี นายข้าได้ใช้ข้ามา เรียนว่า ‘ชายหนุ่มสองคนในกลุ่มผู้เผยพระวจนะจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาหาเรา โปรดให้เงินพวกเขาสักหนึ่งตะลันต์หนัก 34 กิโลกรัม และเสื้อเที่ยวงานสัก 2 ชุด’ ” 23และนาอามานกล่าวว่า “โปรดรับไปสองตะลันต์หนัก 68 กิโลกรัมเถิด” ท่านก็เชิญชวนเขา และเอาเงินสองตะลันต์ใส่ใน 2 กระสอบผูกไว้พร้อมกับเสื้อเที่ยวงาน 2 ตัว ให้คนใช้สองคนแบกไป เขาก็แบกเดินขึ้นหน้าเกหะซีมา 24เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงภูเขา เกหะซีก็รับมาจากมือของเขา เอาไปเก็บไว้ในบ้าน และให้คนเหล่านั้นกลับ เขาทั้งสองก็จากไป 25เกหะซีก็เข้าไปยืนอยู่ต่อหน้านายของตน และเอลีชาถามเขาว่า “เกหะซี เจ้าไปไหนมา?” เขาตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านไม่ได้ไปไหน” 26แต่ท่านกล่าวกับเขาว่า “เมื่อชายคนนั้นหันมาจากรถรบต้อนรับเจ้านั้น จิตใจของเราไม่ได้ไปกับเจ้าหรือ? นี่เป็นเวลาควรที่จะรับเงิน เสื้อผ้า สวนมะกอก และสวนองุ่น แกะ และวัว และคนใช้ชายหญิงหรือ? 27ฉะนั้นโรคเรื้อนของนาอามานจะติดอยู่กับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าเป็นนิตย์” เขาก็ไปจากหน้าท่านและเป็นโรคเรื้อนขาวอย่างหิมะ

2 พงศ์กษัตริย์ 6

การอัศจรรย์ : หัวขวานลอยน้ำ

 1พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวกับเอลีชาว่า “ดูซิ สถานที่ที่พวกเราอยู่กับท่านนั้นก็เล็กเกินไป 2ขอให้พวกเราไปที่แม่น้ำจอร์แดน ต่างคนต่างเอาไม้ท่อนหนึ่งมาสร้างเป็นที่อาศัยที่นั่น” และท่านตอบว่า “ไปเถอะ” 3แล้วคนหนึ่งกล่าวว่า “ขอท่านโปรดไปกับผู้รับใช้ของท่านด้วย” และท่านก็ตอบว่า “เราจะไป” 4ท่านก็ไปกับเขาทั้งหลาย และเมื่อเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดน เขาก็ตัดต้นไม้ 5ขณะที่คนหนึ่งกำลังโค่นต้นไม้อยู่ หัวขวานของเขาตกลงไปในน้ำ และเขาร้องขึ้นว่า “แย่แล้ว นายข้า ขวานนั้นข้าขอยืมเขามา” 6แล้วคนของพระเจ้าถามว่า “ขวานนั้นตกที่ไหน?” เมื่อเขาชี้ที่ให้ท่านแล้ว ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปที่นั่น ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา 7และท่านบอกว่า “หยิบขึ้นมาซิ” เขาก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา

คนซีเรียพ่ายแพ้เอลีชา

 8พระราชาแห่งซีเรียรบกับอิสราเอล พระองค์ทรงปรึกษากับข้าราชการของพระองค์ว่า “เราจะตั้งค่ายของเราที่นั่น 9แต่คนของพระเจ้าส่งข่าวไปยังพระราชาแห่งอิสราเอลว่า ‘ขอพระองค์ทรงระวัง อย่าผ่านมาทางนั้น เพราะคนซีเรียกำลังยกลงไปที่นั่น’ ” 10และพระราชาแห่งอิสราเอลทรงใช้ให้ไปยังสถานที่ซึ่งคนของพระเจ้าบอก ท่านเคยเตือนพระองค์ดังนี้แหละ พระองค์จึงทรงระวังตัวได้ที่นั่นไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง
 11พระทัยของพระราชาแห่งซีเรียก็เดือดดาลเพราะเรื่องนี้ จึงทรงเรียกข้าราชการมาตรัสว่า “พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่า คนไหนในพวกเราที่อยู่ฝ่ายพระราชาแห่งอิสราเอล?” 12ข้าราชการคนหนึ่งของพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท ไม่มีใคร พ่ะย่ะค่ะ แต่เอลีชาผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในอิสราเอล เขาได้ทูลถ้อยคำ ซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์แก่พระราชาแห่งอิสราเอล” 13พระราชาแห่งซีเรียจึงตรัสว่า “จงไปหาดูว่าเขาอยู่ที่ไหน เพื่อเราจะใช้คนไปจับเขามา” มีคนทูลพระองค์ว่า “ดูสิ เขาอยู่ในโดธาน” 14พระองค์จึงทรงส่งม้า รถรบ และกองทัพใหญ่ไปที่นั่น พวกเขาไปกันในเวลากลางคืน และล้อมเมืองนั้นไว้
 15เมื่อผู้รับใช้ของคนของพระเจ้าตื่นขึ้นเวลาเช้าตรู่ และออกไป นี่แน่ะ กองทัพพร้อมกับม้าและรถรบก็ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นบอกท่านว่า “แย่แล้ว นายข้า เราจะทำอย่างไรดี?” 16ท่านตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา” 17แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปิดตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น” และพระยาห์เวห์ทรงเปิดตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็มองและเห็นภูเขาเต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงรอบเอลีชา 18และเมื่อคนซีเรียลงมารบกับท่าน เอลีชาก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ขอทรงให้คนเหล่านี้ตาบอด” พระองค์จึงทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไปตามคำอธิษฐานของเอลีชา 19และเอลีชาบอกคนเหล่านั้นว่า “ไม่ใช่ทางนี้ และไม่ใช่เมืองนี้ จงตามข้ามา และข้าจะพาไปยังคนนั้นซึ่งพวกท่านแสวงหา” และท่านก็พาเขาไปกรุงสะมาเรีย 20ต่อมาพอเข้าไปในกรุงสะมาเรีย เอลีชาก็ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปิดตาของคนเหล่านี้เพื่อเขาจะเห็นได้” พระยาห์เวห์จึงทรงเปิดตาของพวกเขาและเขาก็เห็น และนี่แน่ะ เขามาอยู่กลางกรุงสะมาเรีย 21และเมื่อพระราชาแห่งอิสราเอลเห็นพวกเขา จึงตรัสแก่เอลีชาว่า “บิดาของเรา จะให้เราฆ่าเขาเสียหรือ? จะให้เราฆ่าเขาเสียหรือ?” 22ท่านทูลตอบว่า “ขอฝ่าพระบาทอย่าทรงประหารเขาเสีย ฝ่าพระบาทไม่ได้จับคนพวกนี้มาด้วยดาบ และธนู แล้วฝ่าพระบาทจะประหารพวกเขาหรือ? ขอทรงจัดอาหารและน้ำให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด” 23พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงใหญ่ให้เขา และเมื่อเขาได้กินและดื่มแล้วก็ทรงปล่อยเขาไป และเขาทั้งหลายได้กลับไปหาเจ้านายของตน และพวกซีเรียไม่ได้มาปล้นในแผ่นดินอิสราเอลอีกเลย

อรรถาธิบาย

ตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นการกระทำแห่งพระคุณ

พระเจ้าทรงกระทำการอัศจรรย์หลายครั้งผ่านเอลีชา มีการเลี้ยงดูอันอัศจรรย์ (4:38–44) หัวขวานลอยน้ำ (6:1–7) และชาวอารัมที่ตาบอด (ข้อ 8–23) ไม่เพียงมีการอัศจรรย์ที่กระทำผ่านเขาเท่านั้น แต่เขายังมีของประทานแห่งการเผยพระวจนะที่พิเศษอีกด้วย ‘เอลีชาผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในอิสราเอล เขาได้ทูลถ้อยคำ ซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์แก่พระราชาแห่งอิสราเอล’ (ข้อ 12) ในตอนกลางของเรื่องนี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ในชีวิตของนายพลชาวซีเรีย

นาอามานเป็นแม่ทัพของกองทัพภายใต้กษัตริย์อารัม เขาเป็น ‘ชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง’ (5:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่เขามีปัญหา ‘เขาเป็นโรคเรื้อน’ (ข้อ 1) เขาได้ยินเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเยียวยารักษาผ่านฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผ่านเด็กสาวคนรับใช้ (ข้อ 2-4)

เขาเคยชินกับการซื้อของโดยใช้อำนาจและเงินทองของเขา ‘เขาจึงออกไป โดยนำเงินประมาณ 750 ปอนด์ ทองคำ 150 ปอนด์ และเสื้อผ้าสิบชุดไปด้วย’ (ข้อ 5 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เมื่อในท้ายที่สุด เขาก็ได้พบกับผู้ส่งสารของเอลีชา เขาได้รับคำสั่งว่า ‘จงไปที่แม่น้ำจอร์แดนและจุ่มตัวที่นั่นเจ็ดครั้ง ผิวของท่านจะหายเป็นปกติและท่านจะดูดีเหมือนเป็นคนใหม่’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เริ่มแรก เขาอารมณ์เสียและโกรธเคือง (ข้อ 11–12) เขาคาดหวังว่าจะได้รับการรักษาด้วยวิธีที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ความหยิ่งผยองจะทำให้คุณไม่ได้รับทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องการที่จะประทานแก่คุณ

อย่างไรก็ตาม ด้วยการหนุนใจจากคนใช้ของเขา เขาจุ่มตัวเองลงในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้งและ ‘และเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อของเด็กเล็ก และท่านก็สะอาด’ (ข้อ 14) เขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขากล่าวว่า ‘ดูสิ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด ไม่ว่าที่ไหนในโลก นอกจากในอิสราเอล’ (ข้อ 15)

เขาเสนอที่จะจ่ายค่ารักษา เอลีชาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งใด ๆ เกหะซีทำผิดพลาดร้ายแรงในการพยายามหาเงินจากพระคุณของพระเจ้า (ข้อ 19–27) การเยียวยารักษาและการเปลี่ยนแปลงเป็นของประทานจากพระเจ้าโดยทางพระคุณ ซึ่งพวกเขาไม่สมควรได้รับ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณพระองค์สำหรับฤทธิ์อำนาจอันอัศจรรย์ในการเยียวยารักษาและช่วยให้รอด โปรดช่วยลูกให้มีท่าทีแบบเดียวกันกับเอลีชาและที่จะไม่พยายามรับสิ่งใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของภายนอกหรือสิ่งอื่น ๆ ก็ตามมาเป็นของตัวเอง ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์ที่การเปลี่ยนแปลงนั้นมีได้โดยพระคุณ ซึ่งเป็นของประทานแห่งความรักที่ไม่มีใครคู่ควร

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 พงศ์กษัตริย์ 6:16

ท่านตอบว่า ‘อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา’

หากคุณรู้สึกว่าถูกล้อมรอบด้วยความทุกข์ยากลำบากและถูกโจมตีอยู่ โปรดจำไว้ว่า เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนจะต่อต้านคุณ พระเจ้าทรงมีกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่สามารถมาช่วยคุณให้พ้นได้

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม