แสงสว่างแห่งรอยยิ้มของพระเจ้าแห่งพระพรอยู่กับคุณ
เกริ่นนำ
หลังจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่น่าสะพรึงกลัวและร้ายแรงในคอนเสิร์ตของเธอในปี 2017 อาเรียนา กรานเด้ กลับมาที่แมนเชสเตอร์อารีน่าเพื่อคอนเสิร์ต ‘One love for Manchester’ มาร์คัส มัมฟอร์ด นักร้องนำวง Mumford and son ได้เปิดคอนเสิร์ตโดยประกาศว่า ‘ความรักขจัดความกลัวออกไป’ ในช่วงกลางของคอนเสิร์ต จัสติน บีเบอร์ ประกาศว่า ‘ผมจะไม่ปล่อยมือจากความรัก จะไม่ปล่อยมือจากพระเจ้า พระเจ้าทรงแสนดีท่ามกลางความมืดมิด พระเจ้าอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ และพระองค์รักคุณ และทรงอยู่ที่นี่เพื่อคุณ’ นี่เป็นเหมือนแสงสว่างในท่ามกลางความมืดมิด
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนกล่าวถึง ‘คืนที่มืดมิดของจิตวิญญาณ’ ผมได้ผ่านช่วงเวลาที่มืดมนในชีวิตของผม มีช่วงเวลาที่มืดมนสำหรับผู้คนของพระเจ้าทั้งในสมัยพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ มีช่วงเวลาที่มืดมนในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร แต่แสงแห่งพระกิตติคุณไม่เคยดับ ความสว่างของพระเยซูจะส่องแสงสว่างออกมาเสมอ (ยอห์น 1:5) คุณมีความสว่างในตัวคุณด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และในทุกที่ที่คุณไป คุณก็จะนำความสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่าความมืดรอบตัวคุณ
สดุดี 80:8-19
8พระองค์ทรงนำเถาองุ่นออกจากอียิปต์
พระองค์ทรงขับไล่บรรดาประชาชาติออกไป และทรงปลูกเถาองุ่นไว้
9พระองค์ทรงปราบดินให้
มันก็หยั่งรากลึก และแผ่เต็มแผ่นดิน
10ร่มเงาของมันคลุมภูเขา
และกิ่งก้านของมันคลุมต้นสนสีดาร์ขนาดใหญ่
11มันยื่นกิ่งไปถึงทะเล
และแขนงไปถึงแม่น้ำยูเฟรติส
12ไฉนพระองค์จึงทรงพังกำแพงของมันลง?
ทำให้ทุกคนที่ผ่านทางเด็ดผลของมัน
13หมูป่าจากดงมาย่ำยีมัน
และสัตว์ในท้องทุ่งกินมันเป็นอาหาร
14ข้าแต่พระเจ้าจอมทัพ ขอทรงหันกลับมาเถิด พระเจ้าข้า
ขอทรงมองจากฟ้าสวรรค์และทรงเห็น
ขอสนพระทัยในเถาองุ่นนี้
15คือหน่อซึ่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงปลูกไว้
และบุตรซึ่งพระองค์ทรงให้เจริญแข็งแรงเพื่อพระองค์เอง
16มันถูกพวกเขาตัดและเผาเสียด้วยไฟ
ขอทอดพระเนตรดูและทรงพิพากษาพวกเขา
17ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือคนที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์
เหนือมนุษย์ที่พระองค์ทรงทำให้แข็งแรงเพื่อพระองค์เอง
18แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่หันไปจากพระองค์
ขอประทานชีวิตแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะทูล
ออกพระนามพระองค์
19ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้
กลับสู่สภาพดี
ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสง เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอด
อรรถาธิบาย
แสงแห่งรอยยิ้มของพระเจ้า
คุณพ่อรานิเอโร กันตาลาเมสซา เป็นที่รู้จักดีในเรื่องรอยยิ้มของเขา ใบหน้าของเขาเปล่งประกายราวกับแสงสว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขายิ้ม ดังที่แม่ชีเทเรซากล่าวไว้ว่า ‘รอยยิ้มคือจุดเริ่มต้นของความรัก’
ช่างวิเศษเหลือเกิน เมื่อเรานึกถึงว่าแสงแห่งรอยยิ้มของพระเจ้าส่องสว่างมาที่คุณ! พระเจ้าไม่เพียงแต่อยู่กับคุณเท่านั้น แต่คุณยังสามารถได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ได้อีกด้วย ผู้เขียนสดุดีได้อธิษฐานว่า:
‘ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสง
นั่นจะเป็นความรอดของข้าพระองค์’
(ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ประชาชนชาวอิสราเอลกำลังเผชิญกับยุคมืดอย่างเห็นได้ชัด ‘เถาองุ่น’ (ข้อ 8,14) เป็นภาพของชนชาติอิสราเอล พระเจ้านำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระองค์ดูแลพวกเขาเหมือนเถาองุ่น
แต่บัดนี้กำแพงของสวนองุ่นกลับพังทลายลง (ข้อ 12) ดูเหมือนว่าเถาองุ่นถูกตัดและเผาเสียด้วยไฟ (ข้อ 16ก) ‘ผู้บุกรุกเข้ามาเก็บองุ่นตามใจชอบ... แล้วพวกหนูก็แทะส่วนที่เหลืออยู่’ (ข้อ 12–13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ผู้คนกำลังพินาศ
ผู้เขียนสดุดีร้องทูลพระเจ้าว่า ‘ขอประทานชีวิตแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะทูลออกพระนามพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้กลับสู่สภาพดี ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสง เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอด’ (ข้อ 18–19)
เมื่อเรามองดูสภาพของคริสตจักรในประเทศนี้ กำแพงของมันได้พังทลายลง ซึ่งดูเหมือนว่าจะอยู่ในสภาวะอันน่าสิ้นหวัง กระนั้น พระเจ้าได้ทรงฟื้นฟูและรื้อฟื้นคนของพระองค์ในอดีต พระองค์จึงสามารถทำได้อีกครั้งในวันนี้ ให้เราร้องเรียกหาการฟื้นฟู
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า เราอธิษฐานขอพระองค์ทรงรื้อฟื้นเราอีกครั้ง โปรดเติมประชากรของพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ขอให้คริสตจักรเต็มไปด้วยผู้คนที่รับใช้พระเยซูด้วยสุดใจอีกครั้ง ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย
กิจการอัครทูต 24:1-27
เปาโลถูกฟ้องร้อง
1พอผ่านไปได้ห้าวัน อานาเนีย มหาปุโรหิตจึงลงไปกับพวกผู้ใหญ่และทนายคนหนึ่งชื่อเทอร์ทูลลัส เขาทั้งหลายฟ้องเปาโลต่อหน้าผู้ว่าราชการเมือง 2เมื่อเรียกเปาโลเข้ามาแล้ว เทอร์ทูลลัสจึงเริ่มฟ้องว่า
“ท่านเฟลิกส์ที่เคารพอย่างสูง เรามีความสงบสุขอย่างยิ่งก็เพราะท่าน และชนชาตินี้มีการพัฒนาก็เพราะท่านเห็นการณ์ไกล 3เรารับสิ่งเหล่านี้ในทุกด้านและจากทุกแห่งหนด้วยความซาบซึ้งใจอย่างที่สุด 4แต่เพื่อไม่ให้ท่านเสียเวลามากไปกว่านี้ ข้าพเจ้าจึงขอความกรุณาจากท่านได้ฟังข้าพเจ้าต่ออีกสักหน่อยหนึ่ง 5เราพบว่าคนนี้เป็นผู้ก่อการร้ายและเป็นตัวก่อการจลาจลท่ามกลางพวกยิวในทุกที่ และเป็นผู้นำของลัทธินาซาเร็ธ 6เขายังพยายามทำให้พระวิหารเป็นมลทิน เราจึงจับเขาไว้ [และน่าจะได้พิพากษาเขาตามกฎหมายของเราไปแล้ว 7แต่นายพันลีเซียสใช้อำนาจมาแย่งตัวเขาไปจากมือของเรา 8และสั่งให้โจทก์มาฟ้องเขาต่อหน้าท่าน] 8หากท่านไต่สวนเขาด้วยตัวเอง ท่านก็จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เรากล่าวหาเขา”
9พวกยิวก็ร่วมกล่าวหาด้วยโดยยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความจริง
เปาโลแก้คดีต่อหน้าเฟลิกส์
10เมื่อผู้ว่าราชการเมืองทำสัญญาณให้เปาโลพูด ท่านจึงเรียนว่า “เนื่องจากข้าพเจ้าทราบมาว่า ท่านเป็นผู้พิพากษาของชนชาตินี้มาหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงแก้คดีของข้าพเจ้าเองได้ด้วยความสบายใจ 11ท่านสามารถสืบดูได้ว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้าขึ้นไปนมัสการในกรุงเยรูซาเล็มนั้น ยังไม่เกินสิบสองวัน 12เขาทั้งหลายไม่เคยพบข้าพเจ้าเถียงกับใคร หรือยุยงฝูงชนให้วุ่นวาย ไม่ว่าในพระวิหาร ในธรรมศาลา หรือในเมือง 13เรื่องทั้งหมดที่พวกเขากำลังฟ้องข้าพเจ้านี้ เขาไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ 14แต่ว่าข้าพเจ้ายอมรับอยู่เรื่องหนึ่งต่อหน้าท่าน คือข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราตาม “ทางนั้น” ซึ่งพวกเขาว่านอกรีต ข้าพเจ้าเชื่อถือทุกถ้อยคำที่เขียนในธรรมบัญญัติและในคัมภีร์ของผู้เผยพระวจนะ 15ข้าพเจ้ามีความหวังในพระเจ้าซึ่งเป็นความหวังที่พวกเขาเองก็ยอมรับ คือหวังว่าทั้งคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นจากตาย 16เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์ประพฤติตามมโนธรรมที่ดีเสมอ ไม่ให้ผิดต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์ 17หลังจากผ่านไปหลายปี ข้าพเจ้านำเงินช่วยเหลือมายังชนชาติของข้าพเจ้าและถวายเครื่องบูชา 18เวลานั้นพวกเขาก็พบข้าพเจ้าในพระวิหาร คือในขณะที่ข้าพเจ้าชำระตัวแล้ว และเขาไม่พบว่าข้าพเจ้าอยู่กับฝูงชนหรือก่อความวุ่นวาย 19แต่มียิวบางคนที่มาจากแคว้นเอเชีย ซึ่งเป็นพวกที่น่าจะมาอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่านด้วยเพื่อฟ้องร้องหากเขามีอะไรจะกล่าวหาข้าพเจ้า 20หรือไม่ก็ให้พวกที่อยู่ที่นี่แจ้งความผิดที่เขาพบขณะข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าสภายิว 21นอกจากข้อเดียวที่ข้าพเจ้าตะเบ็งเสียงขึ้นเมื่ออยู่ท่ามกลางพวกเขา ซึ่งเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากความตายอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าถูกพิพากษาต่อหน้าท่านทั้งหลายในวันนี้”
22แต่เฟลิกส์รู้เรื่องของ “ทางนั้น” เป็นอย่างดี จึงเลื่อนการพิจารณาออกไปโดยกล่าวว่า “เมื่อลีเซียสนายพันลงมา ข้าพเจ้าจึงจะตัดสินคดีของพวกท่าน” 23เฟลิกส์จึงสั่งนายร้อยให้คุมตัวเปาโลไว้ แต่ลดหย่อนการกวดขันลงบ้าง ทั้งยังไม่ห้ามพวกพ้องของท่านมาดูแลท่าน
เปาโลถูกขัง
24หลังจากนั้นหลายวัน เฟลิกส์มากับภรรยาชื่อดรูสิลลาซึ่งเป็นชาวยิว ท่านให้ไปเรียกเปาโลมา และฟังเปาโลกล่าวเรื่องความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 25ขณะที่เปาโลอ้างถึงความยุติธรรม ความอดกลั้นใจทางกามและการพิพากษาซึ่งจะมาภายหน้านั้น เฟลิกส์ก็สะดุ้งตกใจกลัว จึงกล่าวว่า “วันนี้เจ้าไปได้แล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะเรียกเจ้ามาอีก” 26แต่ในขณะเดียวกันเฟลิกส์ก็นึกในใจว่า เปาโลอาจจะให้เงินสินบนแก่ท่าน เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกเปาโลมาสนทนาด้วยบ่อยๆ 27หลังจากผ่านไปสองปี ปอรสิอัสเฟสทัสมารับราชการแทนเฟลิกส์ เฟลิกส์อยากได้ความชอบจากพวกยิวจึงทิ้งเปาโลไว้ในคุก
อรรถาธิบาย
แสงสว่างแห่งพระกิตติคุณ
ในทุกที่ที่อาจารย์เปาโลไป เขาได้ส่อง ‘แสงแห่งข่าวประเสริฐ’ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถมองเห็นได้ เขาเขียนว่า ‘คือในกรณีของพวกเขา พระของยุคนี้ได้ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไป เพื่อไม่ให้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ คือเรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า’ (2 โครินธ์ 4:4)
นี่เป็นช่วงเวลาที่มืดมนในชีวิตของอาจารย์เปาโล เขาถูกคุมขังและอยู่ในการพิจารณาคดี เทอร์ทูลลัส ผู้เป็นทนาย เขาเป็นตัวอย่างของคนที่ช่างประจบสอพลอ เขายกย่องผู้ว่าราชการเมือง: ‘เรามีความสงบสุขอย่างยิ่งก็เพราะท่าน และชนชาตินี้มีการพัฒนาก็เพราะท่านเห็นการณ์ไกล’ (กิจการ 24:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำเยินยอของเขาตามมาด้วยการกล่าวหาเท็จเกี่ยวกับเปาโล โดยกล่าวหา ‘รบกวนความสงบสุขครั้งแล้วครั้งเล่า ปลุกปั่นให้เกิดการจลาจลต่อชาวยิวทั่วโลก เขาเป็นผู้นำของลัทธินาซาเร็ธที่คอยปลุกระดมผู้คน’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความเชื่อของคริสเตียนถูกอธิบายว่าเป็น ‘ลัทธิ’ (ข้อ 5) นี่อาจเป็นลักษณะที่บางคนในปัจจุบันนี้อาจปฏิเสธคริสตจักร เพราะคิดว่าเป็น ‘ลัทธิ’
เปาโลจึงแก้คดี (ข้อ 10 เป็นต้นไป) เขาจัดการกับข้อกล่าวหาเฉพาะเจาะจงก่อน โดยปฏิเสธสิ่งที่ไม่เป็นความจริงและยอมรับสิ่งที่เป็นความจริง โดยยอมรับว่าตนเองเป็นสาวกของพระเยซู (‘ทางนั้น’ ข้อ 14) เขาชี้แจงในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าสภาแซนเฮดรินซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้ยิน (ข้อ 21) (บางครั้งการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยเข้าใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร)
เปาโลแสดงให้เห็นถึงหลักของความเชื่อของตน เขานมัสการพระเจ้าแห่งประวัติศาสตร์ (ข้อ 14ก) และเชื่อทุกอย่างในพระคัมภีร์ (ข้อ 14ข) แบ่งปันถึงความหวังในการฟื้นคืนพระชนม์แก่ชาวยิว (ข้อ 15) ชี้ให้เห็นว่าเขาได้เชื่อทุกอย่างที่สอดคล้องกับธรรมบัญญัติและในสิ่งที่เขียนไว้โดยบรรดาผู้เผยพระวจนะ และมีความหวังในพระเจ้าเช่นเดียวกับพวกฟาริสีว่า ‘ทั้งคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นจากตาย’ (ข้อ 15) เขาชี้ไปที่มโนธรรมที่ดีของตนเอง (ข้อ 16) และ ‘นำเงินช่วยเหลือมายังชนชาติของข้าพเจ้า’ (ข้อ 17) และความบริสุทธิ์ไร้ผิดของตน (ข้อ 18)
เฟลิกส์ผู้พิพากษาของเปาโล เขาไม่ได้เป็นคนชั่วร้าย แต่เขาเป็นคนอ่อนแอ ลังเล ไม่เด็ดขาด และมีแรงจูงใจทางการเมืองเป็นที่ตั้ง เขาไม่ต้องการลงโทษผู้บริสุทธิ์คนนี้ แต่เขาไม่มีความกล้าที่จะปล่อยตัวไป ในฐานะผู้พิพากษาที่อ่อนแอ เขาหวาดกลัวกับคำพูดของเปาโลเมื่อเขาไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรดี เขาจึงเพียงแค่เลื่อนการพิจารณาคดีออกไป (ข้อ 25)
เขาขังเปาโลไว้ในคุกเป็นเวลาสองปีโดยหวังว่าจะได้รับสินบน จากนั้นถึงแม้จะมีการแต่งตั้งผู้ว่าการคนใหม่และเขาไม่ได้รับเงินทองจากเปาโล เฟลิกส์ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวท่านด้วยเหตุผลทางการเมือง (ข้อ 27) เขาใช้วิธีเลื่อนการพิจารณาออกไปอันเป็นเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ
แต่การหลีกเลี่ยงการตัดสินใจก็คือการตัดสินใจแล้ว เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยการไม่ยอมตัดสินใจ การไม่ตัดสินใจคือการตัดสินใจที่จะไม่ลงมือทำ เป็นการตัดสินใจที่จะรักษาสถานะที่เป็นอยู่ นี่คือการกระทำที่มีผลตามมา
เปาโลใช้ทุกโอกาสส่องแสงสว่างแห่งพระกิตติคุณ เมื่อใดก็ตามที่สามารถทำได้ ‘เปาโลกล่าวเรื่องความเชื่อในพระเยซูคริสต์’ (ข้อ 24)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยเราในการทำให้ทุกโอกาสที่มีเกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อเราถูกต่อต้าน ถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ และรู้สึกหวาดกลัว ขอทรงโปรดช่วยพวกเราเหมือนอย่างอัครทูตเปาโล เพื่อให้พวกเราใช้ทุกโอกาสในการส่องสว่างของข่าวประเสริฐในความมืดมน
2 พงศ์กษัตริย์ 10:1-11:21
เยฮูทำลายล้างราชวงศ์ของอาหับ
1อาหับมีโอรส 70 องค์ในกรุงสะมาเรีย เยฮูจึงทรงพระอักษรคำราชาศัพท์หมายถึง เขียนจดหมายส่งไปสะมาเรีย ถึงบรรดาผู้ปกครองเมืองยิสเรเอล พวกผู้ใหญ่ และบรรดาพี่เลี้ยงของโอรสของอาหับว่า 2“ในเมื่อบรรดาโอรสของนายของพวกท่านอยู่กับท่าน และท่านมีรถรบกับม้า และเมืองที่มีป้อม และอาวุธ พอจดหมายนี้มาถึงท่าน 3จงคัดเลือกโอรสนายของท่านองค์ที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุด แล้วตั้งองค์นั้นไว้บนบัลลังก์ของพระราชบิดา และจงสู้รบเพื่อราชวงศ์นายของท่าน” 4แต่พวกเขากลัวมาก และพูดว่า “ดูสิ พระราชาสองพระองค์ยังทรงต้านทานเยฮูไม่ได้ แล้วเราจะต้านทานได้อย่างไร?” 5ดังนั้นผู้ดูแลพระราชวัง ผู้ดูแลเมือง พวกผู้ใหญ่และพวกพี่เลี้ยง ส่งสารไปถึงเยฮูว่า “พวกข้าพระบาทเป็นผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท และจะทำทุกอย่างที่ฝ่าพระบาทตรัสสั่ง พวกข้าพระบาทจะไม่ตั้งผู้ใดเป็นกษัตริย์ ขอทรงทำตามที่ทรงเห็นว่าดีเถิด” 6แล้วพระองค์ทรงพระอักษรเป็นฉบับที่สองถึงพวกเขาว่า “พรุ่งนี้เวลานี้ ถ้าท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายเรา และพร้อมจะเชื่อฟังเรา จงนำศีรษะของบรรดาโอรสนายของท่านมาหาเราที่ยิสเรเอล” บรรดาโอรส 70 องค์ของพระราชาอยู่กับคนใหญ่คนโตในเมือง ผู้ได้ชุบเลี้ยงพวกเขามา 7ต่อมาเมื่อจดหมายมาถึงพวกเขา เขาก็จับโอรสของพระราชาทั้ง 70 องค์ประหารเสีย แล้วเอาศีรษะใส่ตะกร้าส่งไปให้พระองค์ที่ยิสเรเอล 8เมื่อผู้สื่อสารมาทูลพระองค์ว่า “พวกเขานำศีรษะโอรสของกษัตริย์มาแล้ว พ่ะย่ะค่ะ” พระองค์ตรัสว่า “จงกองไว้เป็นสองกองตรงทางเข้าประตูเมืองจนถึงรุ่งเช้า” 9พอรุ่งเช้าพระองค์เสด็จออกไป ทรงยืน และตรัสกับประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นผู้ไร้ความผิด ส่วนเราได้กบฏต่อนายของเราและประหารพระองค์เสีย แต่ใครเล่าที่ฆ่าคนเหล่านี้? 10จงทราบเถิดว่า พระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสเกี่ยวกับราชวงศ์ของอาหับจะไม่ตกดินแต่อย่างใดเลย เพราะพระยาห์เวห์ทรงทำตามที่ตรัสทางเอลียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์” 11เยฮูทรงประหารทุกคนที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ของอาหับในเมืองยิสเรเอล อีกทั้งคนใหญ่คนโตทุกคนของพระองค์ สหายสนิทของพระองค์ และปุโรหิตของพระองค์ จนไม่เหลือรอดชีวิตสักคนเดียวเลย
12แล้วเยฮูทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังสะมาเรีย ในระหว่างทาง พระองค์ประทับที่เบธเอเขดหมู่บ้านของผู้เลี้ยงแกะ 13เยฮูทรงพบพระญาติของอาหัสยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ และพระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านเป็นใคร?” พวกเขาทูลตอบว่า “พวกเราเป็นญาติของอาหัสยาห์ และลงมาเยี่ยมบรรดาโอรสของกษัตริย์และของพระราชชนนี” 14พระองค์รับสั่งว่า “จับพวกเขาทั้งเป็น” เขาทั้งหลายก็จับคนเหล่านั้นทั้งเป็น และประหารทั้ง 42 คนที่บ่อเบธเอเขด ไม่เหลือไว้สักคนเดียว
15และเมื่อพระองค์เสด็จจากที่นั่น ก็ทรงพบเยโฮนาดับบุตรเรคาบมาหาพระองค์ พระองค์ทรงต้อนรับเขา และตรัสกับเขาว่า “จิตใจของท่านซื่อตรงต่อจิตใจของเรา อย่างที่จิตใจของเราซื่อตรงต่อจิตใจของท่านหรือ?” เยโฮนาดับทูลว่า “ซื่อตรง พ่ะย่ะค่ะ” เยฮูตรัสว่า “ถ้าซื่อตรงก็ยื่นมือมาให้เรา” เขาจึงยื่นมือของเขา และเยฮูก็ทรงดึงเขาขึ้นมาบนรถรบ 16พระองค์ตรัสว่า “มากับเราเถิด และดูความกระตือรือร้นของเราเพื่อพระยาห์เวห์” พระองค์ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า พวกเขาจึงให้เขานั่งรถรบของพระองค์ไป 17เมื่อมาถึงสะมาเรีย พระองค์ทรงประหารทุกคนในราชวงศ์ของอาหับที่เหลืออยู่ในสะมาเรียจนหมด ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งตรัสกับเอลียาห์
เยฮูทำลายล้างผู้นมัสการพระบาอัล
18แล้วเยฮูทรงเรียกประชุมประชาชนทั้งหมด และตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “อาหับปรนนิบัติพระบาอัลนิดหน่อย แต่เยฮูจะปรนนิบัติพระองค์มากกว่า 19ฉะนั้นจงเรียกผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลมาให้หมด ทั้งผู้นมัสการและปุโรหิตทั้งหมดของพระบาอัล อย่าให้ใครขาดไปเลย เพราะเราจะมีการถวายสัตวบูชาครั้งใหญ่แก่พระบาอัล ใครขาดก็จะไม่ให้มีชีวิตอยู่” แต่เยฮูทรงทำเป็นอุบายเพื่อจะทำลายผู้นมัสการพระบาอัล 20และเยฮูตรัสว่า “จงจัดประชุมเพื่อนมัสการพระบาอัล” เขาก็ป่าวร้องเรียกประชุมดังกล่าว 21และเยฮูทรงส่งข่าวไปทั่วอิสราเอล ผู้นมัสการพระบาอัลก็มาทั้งหมด จึงไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ไม่ได้มา และเขาทั้งหลายก็เข้าไปในนิเวศของพระบาอัล แล้วนิเวศของพระบาอัลก็เต็มแน่นขนัดจากข้างหนึ่งถึงอีกข้างหนึ่ง 22เยฮูตรัสสั่งผู้ดูแลตู้เสื้อว่า “จงเอาเสื้อสำหรับผู้นมัสการพระบาอัลออกมา” เขาก็เอาเสื้อออกมาให้เขาทั้งหลาย 23แล้วเยฮูเสด็จเข้าไปในนิเวศของพระบาอัล พร้อมกับเยโฮนาดับบุตรเรคาบ พระองค์ตรัสกับผู้นมัสการพระบาอัลว่า “จงค้นดู ดูให้ดีว่าไม่มีผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์อยู่กับพวกท่าน ให้มีแต่ผู้นมัสการพระบาอัลเท่านั้น” 24แล้วเขาทั้งหลายเข้าไปถวายเครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาเผาทั้งตัว
เยฮูทรงวางคน 80 คนไว้ภายนอก และตรัสว่า “คนไหนปล่อยให้คนหนึ่งคนใดซึ่งเรามอบไว้ในมือพวกเจ้าหนีรอดไปได้ เขาต้องเสียชีวิตของเขาแทน” 25ต่อมาเมื่อเสร็จการถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เยฮูรับสั่งแก่ทหารรักษาพระองค์และพวกนายทหารว่า “จงเข้าไปฆ่าพวกเขาเสีย อย่าให้รอดสักคนเดียว” เมื่อฆ่าเขาทั้งหลายด้วยคมดาบแล้ว ทหารรักษาพระองค์และพวกนายทหารก็โยนศพออกไปข้างนอก แล้วก็เข้าไปที่แท่นบูชาในนิเวศพระบาอัล 26และนำเอาเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งนิเวศของพระบาอัลออกมาเผาเสีย 27อีกทั้งทลายเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล และทลายนิเวศของพระบาอัล แล้วทำให้เป็นส้วมจนทุกวันนี้
28ดังนั้นเยฮูทรงกวาดล้างพระบาอัลออกจากอิสราเอล 29แต่เยฮูไม่ได้ทรงหันจากบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย คือลูกวัวทองคำซึ่งอยู่ในเมืองเบธเอลและในเมืองดาน 30พระยาห์เวห์ตรัสกับเยฮูว่า “เพราะเจ้าได้ทำดีโดยทำสิ่งที่ชอบในสายตาของเรา และได้ทำต่อราชวงศ์อาหับตามทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา เชื้อสายของเจ้าสี่ชั่วอายุคนจะได้นั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล” 31แต่เยฮูไม่ทรงระมัดระวังที่จะดำเนินตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยสุดพระทัยของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงหันจากบาปของเยโรโบอัม ผู้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย
เยฮูสิ้นพระชนม์
32ในสมัยนั้น พระยาห์เวห์ทรงเริ่มตัดดินแดนของอิสราเอลออกแปลได้อีกว่า ทรงเริ่มลดขนาดของเขตแดนอิสราเอล ส่วนฮาซาเอลก็รบชนะทั่วดินแดนอิสราเอล 33ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก ทั่วแผ่นดินกิเลอาด คนกาด คนรูเบน และคนมนัสเสห์ ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ข้างที่ลุ่มแม่น้ำอารโนน คือกิเลอาดและบาชาน 34ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยฮู และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ และพระราชอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 35เยฮูจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และเขาก็ฝังพระองค์ไว้ในกรุงสะมาเรีย และเยโฮอาหาสพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน 36เวลาที่เยฮูทรงครองอิสราเอลในสะมาเรียนั้นคือ 28 ปี
2 พงศ์กษัตริย์ 11
พระนางอาธาลิยาห์ขึ้นครองยูดาห์
1เมื่ออาธาลิยาห์พระราชมารดาของอาหัสยาห์ ทรงเห็นว่าพระราชโอรสของพระนางสิ้นพระชนม์ พระนางก็ทรงตั้งต้นทำลายเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้น 2แต่เยโฮเชบาพระราชธิดาของกษัตริย์เยโฮรัม พระน้องนางของอาหัสยาห์ ได้ลักลอบนำโยอาชพระราชโอรสของอาหัสยาห์ ไปจากท่ามกลางบรรดาพระราชโอรสของพระราชา ซึ่งต้องถูกประหาร และพระนางก็เก็บพระราชโอรสและพระพี่เลี้ยงไว้ในห้องนอน ดังนั้นพวกเขาซ่อนพระราชโอรสเสียจากอาธาลิยาห์ พระราชโอรสจึงไม่ถูกประหารชีวิต 3และพระราชโอรสอยู่กับพระพี่เลี้ยงในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และซ่อนตัวอยู่ 6 ปี ในขณะที่อาธาลิยาห์ทรงครองแผ่นดิน
เยโฮยาดาเจิมตั้งพระกุมารโยอาช
4แต่ในปีที่ 7 เยโฮยาดาได้ใช้คนไปตามบรรดานายร้อยของพวกคารี และของพวกทหารรักษาพระองค์ให้มาหาท่านในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และท่านได้ทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลาย และให้พวกเขาสาบานในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และท่านได้นำพระโอรสของพระราชามาให้เขาเห็น 5และท่านกำชับเขาทั้งหลายว่า “นี่เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงทำคือ ผู้เข้าเวรวันสะบาโตกลุ่มหนึ่งให้เป็นผู้เฝ้าพระราชวัง 6(อีกกลุ่มหนึ่งให้ประจำอยู่ที่ประตูสูร และอีกกลุ่มหนึ่งให้ประจำอยู่ที่ประตูข้างหลังทหารรักษาพระองค์) ให้เฝ้าพระราชวังเพื่อป้องกันรักษาแปลได้อีกว่า ให้เฝ้าพระราชวังโดยผลัดเปลี่ยนกัน 7ส่วนท่านทั้งหลายอีกสองพวก คือผู้ที่ออกเวรวันสะบาโต ให้เฝ้าพระนิเวศของพระยาห์เวห์รอบพระราชา 8ท่านทั้งหลายจงล้อมพระราชาไว้โดยรอบ แต่ละคนมีอาวุธในมือ ผู้ที่เข้าใกล้แถวจะต้องถูกประหาร จงอยู่กับพระราชาเมื่อพระองค์เสด็จออกและเสด็จเข้า”
9บรรดานายร้อยก็ได้ทำทุกสิ่งตามที่เยโฮยาดาปุโรหิตสั่งไว้ ต่างก็นำคนของตนที่จะเข้าเวรวันสะบาโต พร้อมกับคนที่จะออกเวรวันสะบาโตนั้นมาหาเยโฮยาดาปุโรหิต 10และปุโรหิตก็มอบหอกและโล่ซึ่งเป็นของกษัตริย์ดาวิดนั้น ที่อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์แก่บรรดานายร้อย 11และทหารรักษาพระองค์แต่ละคนยืนประจำอยู่ มีอาวุธในมือ ตั้งแต่ด้านขวาของพระนิเวศไปถึงด้านซ้ายของพระนิเวศ บริเวณแท่นบูชาและพระนิเวศล้อมรอบพระราชา 12ท่านก็นำโอรสของพระราชาออกมาและสวมมงกุฎให้ แล้วมอบพระโอวาทให้ และเขาทั้งหลายตั้งพระโอรสให้เป็นกษัตริย์ และได้เจิมพระองค์ แล้วเขาทั้งหลายก็ตบมือร้องว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญ”
พระนางอาธาลิยาห์สิ้นพระชนม์
13เมื่ออาธาลิยาห์ทรงได้ยินเสียงทหารรักษาพระองค์และเสียงประชาชน ก็เสด็จเข้าไปหาประชาชนที่พระนิเวศของพระยาห์เวห์ 14เมื่อพระนางทอดพระเนตร และดูสิ พระราชาทรงยืนอยู่ข้างเสา ตามธรรมเนียม มีบรรดาเจ้านายและพลแตรอยู่ข้างพระราชา ประชาชนทั้งสิ้นในแผ่นดินก็เปรมปรีดิ์และเป่าแตร พระนางอาธาลิยาห์ก็ฉีกฉลองพระองค์แล้วทรงร้องว่า “กบฏ กบฏ” 15แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตก็สั่งพวกนายร้อยที่ได้รับการตั้งให้ควบคุมกองทัพว่า “จงคุมนางออกมาระหว่างแถวทหาร ใครติดตามนางไปก็จงประหารเสียด้วยดาบ” เพราะปุโรหิตกล่าวว่า “อย่าให้นางถูกประหารในพระนิเวศของพระยาห์เวห์” 16เขาทั้งหลายจึงจับพระนาง และพระนางก็เสด็จไปตามทางที่ม้าเข้าพระราชวัง และถูกประหารเสียที่นั่น
17เยโฮยาดาได้ทำพันธสัญญาระหว่างพระยาห์เวห์กับพระราชาและประชาชน ว่าพวกเขาจะเป็นประชากรของพระยาห์เวห์ และท่านยังทำพันธสัญญาระหว่างพระราชากับประชาชนด้วย 18แล้วประชาชนหมดทั้งแผ่นดินก็เข้าไปในนิเวศของพระบาอัล และพังนิเวศเสีย พวกเขาทำลายแท่นบูชาและรูปเคารพของพระบาอัลแตกยับเยิน และได้ประหารมัทตานปุโรหิตของพระบาอัลเสียที่หน้าแท่นบูชา และเยโฮยาดาวางยามไว้ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 19และท่านได้พาพวกนายร้อย พวกคารี พวกทหารรักษาพระองค์ และประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดิน แล้วเขาทั้งหลายได้เชิญพระราชาเสด็จลงมาจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ไปตามทางประตูทหารรักษาพระองค์จนถึงพระราชวัง และพระองค์ก็ประทับบนบัลลังก์ของพระราชา 20ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินก็เปรมปรีดิ์และบ้านเมืองก็สงบ หลังจากประหารอาธาลิยาห์ด้วยดาบแล้วที่พระราชวัง 21เมื่อโยอาชทรงเป็นกษัตริย์นั้น มีพระชนมายุ 7 พรรษา
อรรถาธิบาย
แสงสว่างของคนวัยเยาว์
ก่อนจะมีการระบาดของโควิด-19 ในทุก ๆ ปีที่สหราชอาณาจักร เราจะมีการจัดงานเทศกาลฤดูร้อนของคริสเตียนสำหรับคนหนุ่มสาว มีหลายหมื่นคนเข้าร่วมกิจกรรมเยาวชนเหล่านี้ ผมกับพิพพามีสิทธิพิเศษที่ได้ไปเยี่ยมที่นั่นหนึ่งครั้ง เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นความเชื่อ ความตั้งใจ และความกระตือรือร้นของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ นี่เป็นสัญญาณที่ดีของความหวังในอนาคต เป็นแสงสว่างที่อยู่ตรงขอบฟ้า ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆอาจดูเลวร้ายเพียงใด แต่เราก็มีความหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะทำให้ดีขึ้น
ถ้าคุณคิดว่าคุณกำลังอยู่ในโลกที่มืดมิด ให้ศึกษาข้อพระคัมภีร์นี้แล้วคุณจะเห็นว่ามีหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่สถานการณ์นั้นเลวร้ายพอ ๆ กันกับเรา หรืออาจแย่กว่าด้วยซ้ำ
นี่เป็นอีกช่วงเวลาที่มืดมนในประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอล เป็นเวลาที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสยดสยอง เช่น การสังหารเจ้าชายเจ็ดสิบพระองค์ซึ่งศีรษะของพวกเขาถูกกองไว้แยกเป็นสองกองที่ประตูเมือง (10:7–8) และยังมีการสังหารหมู่อื่น ๆ อีกด้วย (ข้อ 17 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เยฮูได้รับคำชมว่าไม่ได้ประพฤติตนเหมือนกษัตริย์อาหับผู้ซึ่งเลวร้ายที่สุดแห่งอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยฮูทำลายการนมัสการพระบาอัลในอิสราเอล
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้หันออกจากแบบอย่างของกษัตริย์เยโรโบอัมที่ทำไว้ นั่นคือการบูชาลูกวัวทองคำ (ข้อ 29) เขา ‘ไม่ระมัดระวังที่จะดำเนินในทางของพระเจ้าและถวายเกียรติแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยสุดจิตใจ’ (ข้อ 31ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ส่วนในยูดาห์สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ดีกว่ากันนัก อาธาลิยาห์พยายามสังหารหมู่บรรดาราชวงศ์ทั้งหมด (11:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่พระเจ้าทรงปกป้องโยอาชเช่นเดียวกับที่ทรงปกป้องโมเสสและพระเยซู เยโฮเชบา ‘ซ่อนท่านและดูแลท่านในห้องส่วนตัวให้ห่างจากอาธาลิยาห์ ท่านไม่ได้ถูกฆ่า ท่านอยู่ที่นั่นกับนาง โดยซ่อนตัวอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าเป็นเวลาหกปี อาธาลิยาห์ ปกครองประเทศโดยไม่ได้ตระหนักว่าท่านมีชีวิตอยู่’ (ข้อ 2–3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ต่อมา ‘เยโฮยาดา ท่านก็นำโอรสของพระราชาออกมาและสวมมงกุฎให้ แล้วมอบพระโอวาทให้ และเขาทั้งหลายตั้งพระโอรสให้เป็นกษัตริย์ และได้เจิมพระองค์ แล้วเขาทั้งหลายก็ตบมือร้องว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญ”’ (ข้อ 12) หลังจากนั้นกษัตริย์ ‘ก็ประทับบนบัลลังก์ของพระราชา ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินก็เปรมปรีดิ์และบ้านเมืองก็สงบ หลังจากประหารอาธาลิยาห์ด้วยดาบแล้วที่พระราชวัง’ (ข้อ 19–20)
โยอาชอายุได้เพียงเจ็ดขวบเมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ (ข้อ 21) แต่เด็กหนุ่มคนนี้นำความหวังมาสู่อนาคต (2 พงศ์กษัตริย์ 12, 2 พงศาวดาร 24) บ่อยครั้ง เราเห็นความหวังในคนหนุ่มสาว เป็นอีกครั้งที่พระเจ้าประทานแสงสว่างส่องมาแม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด
คำอธิษฐาน
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณสำหรับเด็ก ๆ และเยาวชนในคริสตจักรของเราและความหวังที่พวกเขานำมาให้ ขอขอบคุณสำหรับการเคลื่อนไหวของเยาวชนทั่วโลกและแสงสว่างที่ส่องผ่านพวกเขา ขอบคุณพระองค์ แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด พระองค์ยังคงส่องสว่างอยู่เสมอ และแสงแห่งรอยยิ้มแห่งพระพรของพระองค์ก็อยู่ที่เรา
เพิ่มเติมโดยพิพพา
2 พงศ์กษัตริย์ 10:31
‘แต่เยฮูไม่ทรงระมัดระวังที่จะดำเนินตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยสุดพระทัยของพระองค์’
เป็นเรื่องยากที่จะอุทิศตัวด้วยสุดจิตใจตลอดเวลา ให้เราลองนึกถึงสิ่งที่เยฮูจะสามารถกระทำได้เพื่อพระเจ้า เราจำเป็นต้องแสวงหาพระเจ้าและแผ่นดินของพระองค์ก่อน
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)