พระเจ้า ช่วยด้วย!
เกริ่นนำ
หนึ่งในคำอธิษฐานที่ผมพูดบ่อยคือ ‘ช่วยลูกด้วย!’ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในคำอธิษฐานที่พบเป็นประจำในพระคัมภีร์ เป็นคำอธิษฐานที่คุณสามารถพูดทุก ๆ วัน ในสถานการณ์ทุกรูปแบบ คุณสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ความปรารถนาของพระองค์คือการที่คุณจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ที่แท้จริงและมาจากหัวใจ
สดุดี 88:9ข-18
9ดวงตาของข้าพระองค์มัวไปเพราะความทุกข์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ทุกวัน
ข้าพระองค์ชูมือต่อพระองค์
10พระองค์จะทรงทำการอัศจรรย์เพื่อคนตายหรือ?
ผู้ตายจะลุกขึ้นยกย่องพระองค์ได้หรือ?
11เขาประกาศความรักมั่นคงของพระองค์ในหลุมศพหรือ?
หรือประกาศความซื่อสัตย์ของพระองค์ในแดนพินาศหรือ?
12การอัศจรรย์ของพระองค์จะเป็นที่รู้จักกันในความมืดหรือ?
และการช่วยกู้ของพระองค์จะเป็นที่รู้จักในแผ่นดินแห่งความหลงลืมหรือ?
13ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ข้าพระองค์ทูลขอความช่วยเหลือต่อพระองค์
ในเวลาเช้าคำอธิษฐานของข้าพระองค์ขึ้นไปเฝ้าพระองค์
14ข้าแต่พระยาห์เวห์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?
ไฉนพระองค์ซ่อนพระพักตร์เสียจากข้าพระองค์?
15ตั้งแต่เด็ก ข้าพระองค์ทุกข์ยากและเฉียดตาย
ข้าพระองค์ทนต่อความสยดสยองของพระองค์ ข้าพระองค์ท้อแท้
16ความเดือดดาลของพระองค์กวาดไปเหนือข้าพระองค์
บรรดาสิ่งที่น่ากลัวจากพระองค์ทำลายข้าพระองค์
17พวกมันล้อมข้าพระองค์อย่างน้ำท่วมวันยังค่ำ
มันโอบล้อมข้าพระองค์ไว้รอบด้าน
18พระองค์ทรงให้คนรักและสหายห่างเหินไปจากข้าพระองค์
ความมืดกลายเป็นเพื่อนสนิทของข้าพระองค์
อรรถาธิบาย
ความช่วยเหลือในความสัมพันธ์ที่แตกสลาย
การถูกปฏิเสธมักจะเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อมาจากคนที่คุณรักหรือคนที่ใกล้ชิดกับคุณ ความสัมพันธ์ที่แตกสลายนั้นเจ็บปวด ยิ่งถ้าคุณรู้สึกเหมือนถูก ‘ทิ้ง’ โดย ‘คนรัก’ ‘เพื่อนบ้าน’ หรือเพื่อนสนิท ผู้เขียนสดุดีรู้สึกเช่นนั้น ‘คนรักและเพื่อนบ้านของข้าพระองค์ทิ้งข้าพระองค์เสีย เพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่คือความมืดมิด’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เขาพูดว่า ‘ตราบเท่าที่จำความได้ข้าพระองค์ก็เจ็บปวด’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สถานการณ์นั้นดูหมดหวังอย่างสิ้นเชิง: มืดมิด (ข้อ 12) ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง (ข้อ 14) เจ็บปวดรวดร้าว (ข้อ 15ก) สยดสยองและสิ้นหวัง (ข้อ 15ข) ‘ข้าพระองค์เลือดออก ฟกช้ำดำเขียว...ข้าพระองค์เจียนตาย’ (ข้อ 17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
แต่ว่ายังมีความหวังอยู่ ความหวังนั้นมาจากความจริงที่ว่าท่ามกลางทั้งหมดนี้ เขาเลือกที่จะเริ่มแต่ละวัน ด้วยการร้องทูลต่อพระเจ้า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ทุกวัน ข้าพระองค์ชูมือต่อพระองค์’ (ข้อ 9ข)
วันนี้คุณอาจจะกำลังต่อสู้กับเรื่องความสัมพันธ์ ชีวิตสมรส ที่ทำงาน คริสตจักร หรือเพื่อนสนิท ไม่ว่าสถานการณ์ของคุณจะดูย่ำแย่เพียงใด มีความหวังอยู่เสมอเมื่อคุณร้องทูลขอการช่วยกู้จากพระเจ้า
คำอธิษฐาน
‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ข้าพระองค์ทูลขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ ในเวลาเช้าคำอธิษฐานของข้าพระองค์ขึ้นไปเฝ้าพระองค์’ (ข้อ 13) ข้าแต่องค์พระเจ้า ข้าพระองค์ยื่นมือต่อพระองค์ ข้าพระองค์ทูลขอการช่วยกู้จากพระองค์
โรม 7:7-25
ปัญหาเรื่องบาปที่ฝังอยู่ในตัว
7ถ้าอย่างนั้นเราจะว่าอย่างไร? จะว่าธรรมบัญญัติคือบาปหรือ? เปล่าเลย แต่ว่าถ้าไม่มีธรรมบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้จักบาป เพราะว่าถ้าธรรมบัญญัติไม่ได้ห้ามว่า “ห้ามโลภ” ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ 8แต่ว่าบาปได้ฉวยโอกาสใช้ข้อบัญญัตินั้น ทำให้ความโลภทุกอย่างเกิดขึ้นในตัวข้าพเจ้า เพราะว่าถ้าไม่มีธรรมบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่ตายแล้ว 9เมื่อก่อนข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติ แต่เมื่อบัญญัตินั้นมา บาปก็กลับมีชีวิต 10และข้าพเจ้าก็ตาย บัญญัติซึ่งมีไว้เพื่อชีวิต ข้าพเจ้าพบว่านำไปสู่ความตาย 11เพราะว่าบาปได้ฉวยโอกาสใช้บัญญัตินั้นล่อลวง และประหารข้าพเจ้าให้ตาย 12เพราะฉะนั้น ธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบัญญัตินั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีงาม
13ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ดีกลับทำให้ข้าพเจ้าต้องตายหรือ? เปล่าเลย บาปต่างหาก คือบาปซึ่งอาศัยสิ่งที่ดีนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย เพื่อจะให้ปรากฏว่าบาปนั้นเป็นบาปจริง และโดยอาศัยพระบัญญัตินั้น บาปก็ปรากฏว่าชั่วร้ายยิ่งนัก 14เรารู้ว่าธรรมบัญญัตินั้นเป็นเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นเนื้อหนังถูกขายเป็นทาสให้อยู่ใต้บาป 15ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น 16ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ไม่ปรารถนาจะทำ ขณะที่ยอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี 17ข้าพเจ้าจึงไม่ใช่ผู้ทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ 18ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย 19คือว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ก็ไม่ได้ทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำ ก็ยังทำอยู่ 20ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ
21ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพบว่ามีกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อไรที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะทำความดี ก็มักจะเลือกทำชั่วซึ่งอยู่ใกล้ตัวภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ทำชั่วที่นอนอยู่ใกล้ตัว 22เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ก็ชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า 23แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้อยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า 24โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ 25ขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจข้าพเจ้ารับใช้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ทางฝ่ายเนื้อหนังข้าพเจ้ารับใช้กฎแห่งบาป
อรรถาธิบาย
ความช่วยเหลือในการต่อสู้กับความบาป
คุณเคยพบว่าตัวเองติดกับของนิสัยแย่ ๆ หรือความบาปที่อยากจะหลุดพ้นแต่ไม่สามารถทำได้ไหม? คุณพบว่าตัวเองตัดสินใจที่จะไม่ทำบางอย่าง แต่หลังจากนั้นก็ตัดสินใจทำมันไหม?
เปาโลเขียนว่า ‘ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่นานในคุกของความบาป สิ่งที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวเองคือเมื่อตัดสินใจทางหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้ากลับทำอีกอย่าง โดยทำสิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจนัก’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เขาเขียนต่อว่า ‘มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนคาดเดาได้ ในจุดที่ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะทำดี ความบาปก็อยู่ตรงนั้นเพื่อทำให้ข้าพเจ้าสะดุดล้ม ข้าพเจ้าเปรมปรีดิ์ในธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ชัดว่าไม่ใช่ทั้งหมดของตัวข้าพเจ้าร่วมในความยินดีนี้ ส่วนหนึ่งของข้าพเจ้าแอบกบฏ และเมื่อข้าพเจ้าไม่ทันตั้งตัว ความบาปก็ยึดอำนาจเสีย’ (ข้อ 21-23, พระคัมภีร์ตอนนี้จากThe Message โดยผู้แปล)
เปาโลบอกว่า ‘ชัดเจนว่าข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือ!’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้’ (ข้อ 24)
ข้อพระคำเมื่อวานนี้ได้บอกว่าคุณเป็นอิสระจากธรรมบัญญัติ (ข้อ 6) เปาโลได้คาดการณ์คำถามประเภทนี้ ซึ่งจะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดอยู่ คือ เขากำลังเปรียบเทียบความบาปกับธรรมบัญญัติหรือไม่? (ข้อ 7)
เปาโลแสดงให้เห็นว่าธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นบาป แต่ในทางกลับกัน ‘ธรรมบัญญัติคือสำนึกอันดีของพระเจ้า แต่ละข้อนั้นสมเหตุสมผลและเป็นคำตักเตือนที่บริสุทธิ์’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราต่างหากที่เป็นคนบาป ธรรมบัญญัติแสดงให้เห็นถึงสิ่งนี้โดยการเปิดเผยว่าความบาปคืออะไร และบอกว่าเราไม่สามารถรักษา(กฎ)ไว้ได้ ยิ่งกว่านั้นยังยั่วยุความบาปที่อยู่ในเราอีกด้วย
คำถามต่อไปนั้นต่อเนื่องจากคำถามก่อนหน้า ถ้าธรรมบัญญัติดีนักหนา ทำไมจึงนำไปสู่ความตาย? เปาโลบอกว่า ‘เปล่าเลย บาปต่างหาก คือบาปซึ่งอาศัยสิ่งที่ดีนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย’ (ข้อ 13) ถ้าบางคนถูกตัดสินว่ามีความผิด กฎหมายไม่ได้ทำให้เกิดบทลงโทษ แต่เป็นการกระทำผิดนั้นต่างหาก สิ่งเดียวที่กฎหมายทำคือตั้งมาตรฐานไว้
ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ถูกเขียนอย่างละเอียด ข้อโต้แย้งหลัก คือ เปาโลหมายถึง ชีวิตคริสเตียนหรือชีวิตก่อนเป็นคริสเตียนของเขากันแน่ แม้ว่าจะเขียนในเชิงชีวประวัติ แต่เปาโลกำลังพูดถึงสภาพโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ
เราควรจะมองพระคำตอนนี้ว่าบรรยายถึงคริสเตียนที่ไม่ได้มีชีวิตในฤทธิ์เดชของพระวิญญาณอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าเขาหรือเธอปรารถนาจะทำเช่นนั้น เราสามารถมองว่าเป็นเสียงร้องของมนุษย์ที่อยากจะมีชีวิตในพระวิญญาณ ซึ่งเป็นที่ได้ยินอีกครั้งในชีวิตของคริสเตียนตลอดทุกยุคทุกสมัย
เรารู้ว่าธรรมบัญญัติของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีงาม (ข้อ 12) ‘เรารู้ว่าธรรมบัญญัตินั้นเป็นเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ’ (ข้อ 14) แต่เราพบว่าตัวเองล้มเหลว: ‘ข้าพเจ้าเป็นเนื้อหนังถูกขายเป็นทาสให้อยู่ใต้บาป ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น’ (ข้อ 14-15)
ความแตกต่างระหว่าง ‘ก่อน’ และ ‘หลัง’ การมาเป็นคริสเตียนไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนฉันเคยทำบาป หลังจากนั้นฉันปราศจากบาป ข้อแตกต่างคือก่อนมาเป็นคริสเตียน บาปนั้นอยู่ในอุปนิสัย ไม่ได้ทำให้ผมหรือคุณเป็นกังวลเลย แต่เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน สิ่งนั้นไม่ใช่อุปนิสัยอีก ผมไม่อยากทำมันแล้ว มันทำให้ผมเจ็บปวดและเสียใจเมื่อทำลงไป ไม่ใช่เพราะผมทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่เพราะผมอยากเป็นที่พอพระทัยของพระคริสต์ ซึ่งผมได้ทำให้พระองค์ผิดหวัง
ถ้าคุณเป็นเหมือนกับผม คุณเข้าใจถึงการต่อสู้กับความบาปนี้ดี ขอให้รู้ว่านี่คือจุดหลักของการเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง
ขณะที่เปาโลร้องทูลขอการช่วยกู้ เขารู้ถึงคำตอบของคำถามว่า ‘“ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้?” ขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา!’ (ข้อ 24-25)
กุญแจในการเข้าใจพระคำตอนนี้อาจอยู่ในคำคำเดียว คือ ‘ข้าพเจ้า’ (ข้อ 25ข) โดยลำพังเราเป็นทาสของกฎแห่งบาป แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของเรื่องราว อาจารย์เปาโลได้พูดต่อไปถึงการปลดปล่อยอันยิ่งใหญ่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำมาสู่ชีวิตของเรา
เมื่อผมมองดูตัวเองในฐานะที่เป็นคริสเตียนในบริบทการเป็นของพระคริสต์นั้น ผมพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นอิสระจากบาป เมื่อผมมองดูตัวเองเป็นคริสเตียนในโลกนี้ ผมก็พบว่าผมไม่ได้เป็นอิสระจากบาปเช่นกัน แต่เมื่อผมมองตัวเองเป็นคริสเตียนที่รับการเสริมกำลังโดยพระวิญญาณ ผมพบว่าตัวเองเป็นอิสระในการมีชัยชนะเหนือบาป ถอดความจากสิ่งที่จอห์น นิวตันเขียนว่า:
‘ผมไม่ได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองควรจะเป็น
ผมไม่ได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น
ผมไม่ได้เป็นในสิ่งที่วันหนึ่งจะได้เป็น
แต่โดยพระคุณของพระเจ้า
ผมไม่ได้เป็นอย่างที่ผมเคยเป็นมา’
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทูลขอการช่วยกู้จากพระองค์ โปรดเติมเต็มข้าพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ ข้าพระองค์ต้องการความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อจะมีชีวิตในแบบที่พระองค์ประสงค์ให้เป็น
โฮเชยา 6:1-7:16
เสียงเรียกให้กลับใจ
1“มาเถิด ให้เรากลับไปหาพระยาห์เวห์
เพราะว่าพระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย
พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้แก่เรา
2อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น
พอถึงวันที่สามจะทรงยกเราขึ้น
เพื่อเราจะดำรงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
3ให้เรารู้จัก ให้เราพยายามรู้จักพระยาห์เวห์
การปรากฏของพระองค์ก็แน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ
พระองค์จะเสด็จมาหาเราอย่างห่าฝน
ดังฝนชุกปลายฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน”
อิสราเอลและยูดาห์ไม่กลับใจ
4เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าดี?
ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอะไรกับเจ้าหนอ?
ความรักของเจ้าก็เหมือนเมฆในยามเช้า
เหมือนอย่างน้ำค้างที่หายไปแต่เช้าตรู่
5ฉะนี้ เราจึงให้ผู้เผยพระวจนะพูดสับเจ้า
เราประหารเจ้าด้วยคำพูดจากปากของเรา
การพิพากษาของเราก็ออกไปอย่างแสงสว่าง
6เพราะเราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา
เราประสงค์ให้รู้จักพระเจ้า ยิ่งกว่าประสงค์เครื่องบูชาเผาทั้งตัว
7แต่เขาเองหักพันธสัญญาที่เมืองอาดัมเมืองหนึ่งในหุบเขาจอร์แดน
ณ ที่นั่น เขาทรยศต่อเรา
8กิเลอาดเป็นเมืองของคนทำชั่ว
มีรอยโลหิตเป็นทางไป
9เหล่าโจรซุ่มคอยดักคนฉันใด
พวกปุโรหิตก็ซุ่มคอยฉันนั้น
เขาฆ่าคนระหว่างทางไปเชเคม
แท้จริง เขาก่ออาชญากรรม
10เราเห็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวในนิเวศของอิสราเอล
การเล่นชู้ของเอฟราอิมก็อยู่ที่นั่น อิสราเอลทำให้ตัวเองเป็นมลทิน
11โอ ยูดาห์เอ๋ย เจ้าก็เหมือนกันด้วย ฤดูเกี่ยวก็กำหนดไว้ให้เจ้าแล้ว
เมื่อเราจะให้ประชากรของเรากลับสู่สภาพดี
โฮเชยา 7
1เมื่อเราจะรักษาอิสราเอลให้หาย
ความผิดของเอฟราอิมก็เผยออก
พร้อมกับการชั่วร้ายต่างๆ ของสะมาเรีย
พวกเขาทำการล่อลวง
ขโมยเข้าบ้าน
และโจรปล้นอยู่ข้างนอก
2แต่เขามิได้สำนึกในใจว่า
เราจดจำความชั่วทั้งสิ้นของเขาได้
บัดนี้การกระทำของเขาห้อมล้อมเขาไว้แล้ว
การเหล่านั้นอยู่ต่อหน้าเรา
3เขาทำให้กษัตริย์ยินดีด้วยความชั่วของเขา
ทำให้เจ้านายพอใจด้วยการโกหกของเขา
4เขาทุกคนเป็นคนล่วงประเวณี
เขาเป็นเหมือนเตาอบที่ร้อน
ซึ่งช่างทำขนมไม่จำเป็นต้องเร่งไฟ
ตั้งแต่การนวดแป้ง จนแป้งฟูขึ้น
5ในวันฉลองแห่งกษัตริย์ของเรา เจ้านายก็ป่วย
ด้วยพิษเหล้าองุ่น
กษัตริย์ทรงเข้าพวกกับคนที่ชอบเยาะเย้ย
6เขาเข้ามาใกล้ด้วยเล่ห์เหลี่ยม ใจเขาร้อนอย่างเตาอบ
ตลอดคืนความโกรธก็คุกรุ่นอยู่
พอรุ่งเช้าก็พลุ่งออกมาอย่างเปลวเพลิง
7เขาทุกคนก็ร้อนอย่างเตาอบ
และผลาญผู้ครอบครองทั้งหลายของเขา
กษัตริย์ทั้งสิ้นของเขาก็ล้มลง
แต่ไม่มีใครในพวกเขาร้องเรียกเรา
8เอฟราอิมเอาตัวเข้าปนกับชนชาติทั้งหลาย
เอฟราอิมเหมือนขนมปิ้งที่มิได้พลิกกลับ
9คนต่างด้าวก็กินแรงของเขา
แต่เขาก็ไม่รู้ตัว
ผมของเขาก็หงอกประปรายแล้ว
แต่เขาก็ไม่รู้ตัว
10ความเย่อหยิ่งของอิสราเอลเป็นพยานปรักปรำเขา
เขาก็ยังไม่กลับไปหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา
เขามิได้แสวงหาพระองค์ แม้มีเรื่องทั้งหมดนี้
การพึ่งพิงบรรดาประชาชาติที่ไร้ผล
11เอฟราอิมเป็นเหมือนนกพิราบ
โง่เขลาและไร้ความคิด
เขาร้องเรียกอียิปต์ ไปหาอัสซีเรีย
12เมื่อเขาไป เราจะกางข่ายออกคลุมเขา
เราจะดึงเขาลงมาเหมือนจับนกบนฟ้า
เราจะลงโทษเขาตามรายงานต่อที่ประชุม
13วิบัติแก่เขา เพราะเขาได้หลงเจิ่นไปจากเรา
ความพินาศมีแก่เขา เพราะเขาได้กบฏต่อเรา
เราจะไถ่เขา
แต่เขาพูดโกหกเรื่องเรา
14เขามิได้ร้องทุกข์ต่อเราจากใจจริง
แต่เขาคร่ำครวญอยู่บนที่นอน
เขาเชือดเฉือนตัวเองเพื่อขอข้าวและขอเหล้าองุ่นใหม่
เขากบฏต่อเรา
15แม้เราจะได้ฝึกและเสริมเรี่ยวแรงแก่แขนของเขา
เขาก็ยังคิดร้ายเรา
16เขาไม่กลับไปหาพระองค์ผู้สูงสุด
เขาเป็นคันธนูที่ไว้ใจไม่ได้
เจ้านายของเขาจะล้มลงด้วยคมดาบ
เพราะลิ้นที่โอหังของเขา
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ให้เขาเย้ยหยันกันในแผ่นดินอียิปต์
อรรถาธิบาย
ความช่วยเหลือในการรักษา
พระเจ้าประสงค์ที่จะนำการเยียวยารักษามาสู่ชีวิตของเรา ประชาชนรู้ว่าถ้าพวกเขาหันกลับมาหาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์จะทรงรักษาพวกเขา (6:1)
ถ้าคุณต้องการการรักษาจากพระเจ้า คุณต้องร้องทูลขอพระองค์จากหัวใจ พระเจ้าทรงตำหนิประชากรของพระองค์ในข้อนี้ว่า ‘เขามิได้ร้องทุกข์ต่อเราจากใจจริง’ (7:14ข) ‘แทนที่เขาจะร้องทูลเราด้วยการอธิษฐานจากหัวใจ เขากลับรื่นเริงบนที่นอนกับหญิงโสเภณี’ (ข้อ 7:14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
สามข้อแรกของบทที่ 6 ดูเหมือนจะบรรยายถึงกระบวนการที่เจ็บปวดซึ่งพระเจ้าทรงกู้เรากลับมาหาพระองค์ เมื่อเราถอยห่างไป ถึงกระนั้นก็ไม่มีการยอมรับในความบาปหรือการกลับใจใหม่ในระดับลึก โฮเชยากำลังพูดถึงการสารภาพอย่างตื้น ๆ ของประชาชนว่า ‘คำประกาศว่ารักของเจ้าอยู่ไม่นานไปกว่าน้ำค้างในเวลาเช้าและหมอกยามเช้าตรู่’ (ข้อ 6:4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
สิ่งที่ชัดเจนคือพระเจ้าสนพระทัยที่หัวใจ ไม่ใช่การกระทำภายนอก ‘เราต้องการรักที่คงอยู่ ไม่ใช่เพียงศาสนา เราต้องการให้เจ้ารู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 6:6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าสนพระทัยความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ที่มาจากหัวใจ
คำตำหนิของพระเจ้าคือ ‘ไม่มีใครในพวกเขาร้องเรียกเรา’ (ข้อ 7:7) มีความหยิ่งยโสและวิญญาณของการพึ่งพาตัวเองในมนุษย์ที่ปฏิเสธการ ‘กลับไปหาพระยาห์เวห์…แสวงหาพระองค์’ (ข้อ 10) พระองค์ตรัสว่า ‘เขาได้กบฏต่อเรา เราจะไถ่เขา’ (ข้อ 13-14) คุณสามารถรับการเยียวยารักษาและการยกโทษจากพระเจ้า สำหรับความผิดบาปที่เราทำลงไป แต่คุณจะต้องร้องทูลต่อพระองค์ด้วยหัวใจ (ข้อ 14)
จอยซ์ ไมเยอร์เขียนว่า ‘การเยียวยารักษา (ด้านอารมณ์) ไม่ได้มาอย่างง่ายดายและอาจเจ็บปวด บางครั้งเรามีบาดแผลที่ยังอักเสบอยู่ ก่อนที่เราจะหายดี บาดแผลเหล่านั้นต้องถูกเปิดออกและจัดการกับการอักเสบ มีเพียงพระเจ้าที่รู้ว่าจะจัดการอย่างถูกต้องอย่างไร เมื่อคุณแสวงหาพระเจ้าสำหรับการรักษาจากความเจ็บปวด ขอให้ใช้เวลากับพระองค์และกับพระวจนะ และรอคอยในการทรงสถิต ฉันรับประกันว่าคุณจะพบการเยียวยารักษาที่นั่น!’
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เพียงอยากรู้จักพระองค์ แต่พยายามที่จะรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น (ข้อ 6:3) ข้าพระองค์ทูลต่อพระองค์จากหัวใจ ขอการรักษา การรื้อฟื้น และการฟื้นฟู โปรดช่วยด้วยเถิดพระเจ้า!
เพิ่มเติมโดยพิพพา
โฮเชยา 6:6
‘เพราะเราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’
พจนานุกรมกล่าวว่าความเมตตาคือ 'การแสดงความเมตตาต่อศัตรูหรือผู้กระทำความผิดในอำนาจของตน' เช็คสเปียร์กล่าวถึงความเมตตา: 'เป็นพรสองครั้ง: เป็นพรแก่ผู้ที่ให้และผู้ที่รับ' โลกของเราต้องการความเมตตาอย่างยิ่ง
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)