พระเจ้าสถิตกับคุณ
เกริ่นนำ
ผมสงสัยว่าคุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหม: คุณกำลังพูดกับเพื่อนเรื่องความเชื่อของคุณ และพวกเขาก็มองกลับมาที่คุณด้วยสายตาว่างเปล่า พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าคุณพูดเรื่องอะไร เมื่อคุณพูดเรื่องความสัมพันธ์กับพระเยซู กับพวกเขาเหมือนกับว่าคุณกำลังพูดเรื่อง ‘เพื่อนในจินตนาการ’ นี่ฟังไม่มีเหตุผลเลยสำหรับพวกเขา
อัครสาวกเปาโลชี้ประเด็นว่า คุณสามารถเข้าใจความจริงฝ่ายวิญญาณได้ก็ต่อเมื่อมีความช่วยเหลือจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่ ‘ไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ’ (1 โครินธ์ 2:14) เมื่อพระเจ้าสถิตกับเราโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ประทานความเข้าใจแก่เรา 'เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าประทานแก่เรา’ (ข้อ 12)
‘พระเจ้าสถิตกับเรา’ (อิมมานูเอล) เป็นหนึ่งในชื่อซึ่งพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ใช้เรียกพระเยซู (มัทธิว 1:23) พระองค์สถิตอยู่กับคุณเสมอ การที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงสถิตกับคุณไม่ใช่อะไรที่จะนับเป็นเรื่องเล่น ๆ นี่เป็นพระสัญญาที่ไม่ธรรมดาและน่าทึ่ง การมีประสบการณ์กับการทรงสถิตของพระเจ้ากับคุณผ่านทางองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องเปลี่ยนชีวิต
สดุดี 91:9-16
9เพราะท่านได้ทำให้พระยาห์เวห์ผู้เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
คือองค์ผู้สูงสุด เป็นที่พักพิงของท่าน
10ไม่มีเหตุร้ายใดๆ จะเกิดแก่ท่าน
ไม่มีภัยพิบัติมาใกล้เต็นท์ของท่าน
11เพราะพระองค์จะทรงบัญชาเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน
ให้ระแวดระวังท่านในทุกๆ ทางของท่าน
12เขาทั้งหลายจะเอามือประคองชูท่านไว้
เกรงว่าเท้าของท่านจะกระแทกหิน
13ท่านจะเหยียบสิงห์และงูเห่า
ท่านจะย่ำสิงห์หนุ่มและงู
14พระเจ้าตรัสว่า “เพราะเขารักเรา เราจะช่วยเขาให้พ้นภัย
เราจะพิทักษ์รักษาเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา
15เขาจะร้องทูลเรา แล้วเราจะตอบเขา
เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก
เราจะช่วยกู้เขาและให้เกียรติเขา
16เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว
และให้เขาเห็นการช่วยกู้ของเรา”
อรรถาธิบาย
ทรงสถิตกับคุณท่ามกลางปัญหา
ในช่วงเวลายากลำบาก ‘ในยามลำบาก’ (ข้อ 15) คุณอาจรู้สึกในบางครั้งว่า พระเจ้าทรงละไปจากคุณ ในช่วงเวลาเหล่านั้น ให้เราใคร่ครวญพระสัญญาของพระเจ้าซ้ำ และให้อยู่เหนือกว่าความรู้สึกและอารมณ์ต่าง ๆ ของคุณ
สดุดีบทนี้เกี่ยวกับการปกป้องของพระเจ้า และหนุนใจคุณไม่ให้หวาดกลัว:
'เพราะท่านได้ทำให้พระยาห์เวห์ผู้เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า คือองค์ผู้สูงสุด เป็นที่พักพิงของท่าน– ไม่มีเหตุร้ายใด ๆ จะเกิดแก่ท่าน ไม่มีภัยพิบัติมาใกล้เต็นท์ของท่าน’ (ข้อ 9)
นี่อาจปรากฎเป็นสูตรสำเร็จสำหรับชีวิตที่ปราศจากปัญหา อย่างไรก็ตามผู้เขียนสดุดีกล่าวต่อไปว่า:
‘พระเจ้าตรัสว่า “เพราะเขารักเรา เราจะช่วยเขาให้พ้นภัย เราจะพิทักษ์รักษาเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา เขาจะร้องทูลเรา แล้วเราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก”’ (ข้อ 14–15)
ชัดเจนจากสิ่งนี้ว่า ไม่ใช่ว่าผู้ที่รักพระเจ้าจะไม่มีปัญหา พระเจ้าไม่ได้ทรงสัญญาถึงชีวิตที่ปราศจากปัญหา กลับกัน พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะช่วยกู้คุณ พิทักษ์รักษาคุณ และตอบคำอธิษฐานของคุณ ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่า ‘เราจะอยู่กับเจ้า’ ในยามลำบาก นี่เป็นสิ่งที่ทำให้แตกต่างออกไป แม้ในยามมืดมิดที่สุด พระองค์สถิตอยู่กับคุณ คุณไม่เคยอยู่ลำพัง
คำอธิษฐาน
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์สถิตกับข้าพระองค์ในยามลำบาก ขอบพระคุณสำหรับการช่วยกู้ การปลดปล่อย การปกป้องของพระองค์ และการตอบคำอธิษฐานของข้าพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์ขอร้องทูลพระองค์อีกครั้ง…
1 โครินธ์ 2:6-16
การสำแดงโดยพระวิญญาณของพระเจ้า
6ถึงกระนั้นเรากล่าวถึงปัญญาในท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของอำนาจครอบครองยุคนี้ ซึ่งกำลังเสื่อมสูญไป 7แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความล้ำลึก คือพระปัญญาที่ทรงซ่อนไว้นั้น และที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ก่อนปฐมกาล เพื่อการรับศักดิ์ศรีของเรา 8ไม่มีอำนาจครอบครองใดๆ ในยุคนี้รู้จักพระปัญญานี้ เพราะว่าถ้ารู้จักแล้ว จะไม่เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริตรึงกางเขน 9ดังที่มีเขียนไว้ว่า
“สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”
10พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า 11อันความคิดของมนุษย์นั้น จะมีใครหยั่งรู้ได้ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเอง พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน 12เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าประทานแก่เรา 13และเรากล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ด้วยถ้อยคำซึ่งไม่ใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่พระวิญญาณทรงสอนไว้ คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ ให้คนฝ่ายจิตวิญญาณฟัง
14แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ 15แต่คนฝ่ายจิตวิญญาณวินิจฉัยสิ่งสารพัดได้ ทว่าไม่มีใครวินิจฉัยเขาได้
16เพราะว่า “ใครเล่ารู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า?
เพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์ได้”
แต่เราก็มีพระทัยของพระคริสต์
อรรถาธิบาย
ทรงสถิตกับคุณโดยทางพระวิญญาณของพระองค์
ผ่านทางองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าสถิตอยู่กับคุณในแบบที่เหนือธรรมดาสุด ที่จริงพระองค์สถิตอยู่ภายในคุณ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์
ในพระธรรมตอนนี้ เปาโลอธิบายประโยชน์ที่เหนือธรรมดา ของการที่พระเจ้าสถิตกับคุณในวิธีนี้ ‘เรื่องจิตวิญญาณสามารถรับรู้ได้ผ่านทางฝ่ายวิญญาณ – พระวิญญาณของพระเจ้า และจิตวิญญาณของเราในการสนทนาอย่างเปิดเผย การดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ เราได้เข้าถึงทุกสิ่งที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงกำลังกระทำอยู่ และไม่สามารถถูกวินิจฉัยได้โดยผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายวิญญาณ คำถามของอิสยาห์คือ “ใครเล่ารู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า? ใครเล่าจะรู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ?” ได้รับคำตอบแล้ว: พระคริสต์ทรงทราบ และเราก็มีพระทัยของพระคริสต์’ (ข้อ 15–16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดี อัครสาวกเปาโลชี้แจงเรื่องทุกสิ่งอันน่าทึ่งที่ ‘พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เพื่อคนที่รักพระองค์' (ข้อ 9 ดูเพิ่มเติม สดุดี 91:14 ‘เพราะเขารักเรา…’)
เปาโลเปรียบเทียบพระปัญญาของพระเจ้ากับ 'ปัญญาของผู้เชี่ยวชาญในยุคนี้ ซึ่งจะล้าสมัยไปในหนึ่งปีหรือราว ๆ นั้น’ (1 โครินธ์ 2:6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระปัญญาที่ปิดซ่อนไว้ของพระเจ้าถูกเปิดเผยสำแดงแก่เรา (ข้อ 6–10) คือความอัศจรรย์ของชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ผู้ปกครองโลกนี้ไม่เข้าใจ หากพวกเขาเข้าใจ พวกเขาก็จะไม่ตรึงพระเยซู ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ’ (ข้อ 8)
พระปัญญาอันลึกลับของพระเจ้าเป็นสิ่งน่าทึ่ง 'สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์’ (ข้อ 9)
ในหนังสือ True Spirituality (ฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง) ของโวห์ฮาน โรเบิร์ตส บันทึกไว้ว่า มีกระบวนการสี่ด้านในการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยพระปัญญาของพระเจ้ากับเรา
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหยั่งรู้
พระองค์ทรงหยั่งรู้สิ่งที่มนุษย์ไม่มีวันทราบได้ คือพระทัยและพระดำริของพระเจ้า ‘เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า อันความคิดของมนุษย์นั้น จะมีใครหยั่งรู้ได้ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเอง? พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน’ (ข้อ 10ข–11)พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดง
พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงเก็บความรู้ของพระองค์เรื่องพระปัญญาของพระเจ้าไว้กับพระองค์เอง แต่พระองค์ทรงสำแดงสิ่งนี้กับผู้ที่พระองค์สถิตอยู่ด้วย ‘เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าประทานแก่เรา’ (ข้อ 12) คุณได้รับพระวิญญาณผู้ทรงมาจากพระเจ้า พระองค์สถิตกับคุณ พระองค์ทรงทำให้คุณสามารถเข้าใจพระปัญญาที่ลึกลับของพระเจ้าได้ แม้ว่าแน่นอนเราอาจไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความล้ำลึกของพระเจ้าได้ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ภายหลังในจดหมายฉบับนี้ว่า ในชีวิตนี้ 'เราเห็นสลัว ๆ เหมือนดูในกระจก’ ยังไม่ได้เป็นแบบ ‘หน้าต่อหน้า’ (13:12)พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจ
เปาโลได้รับการดลใจโดยองค์พระวิญญาณ ให้ส่งต่อปัญญาของพระกิตติคุณแก่คนอื่น ๆ 'และเรากล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ด้วยถ้อยคำซึ่งไม่ใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่พระวิญญาณทรงสอนไว้ คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ ให้คนฝ่ายจิตวิญญาณฟัง’ (2:13) พระวิญญาณทรงสอนแบบเดียวกันกับคุณว่าต้องพูดอะไรเพื่อให้คุณเองสามารถกล่าว ‘ความจริงเรื่องฝ่ายวิญญาณในถ้อยคำฝ่ายวิญญาณ’ โดยทั่วไปผ่านทางถ้อยคำซึ่งได้รับการดลใจจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อัครสาวกได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ คุณสามารถแบ่งปันถ้อยคำที่สอดคล้องกับพระคริสตธรรมคัมภีร์เพื่อชี้ผู้คนไปหาพระเยซูพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้กระจ่าง
ถ้าปราศจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงฝ่ายวิญญาณได้: ‘แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ’ (ข้อ 14) เมื่อพระเจ้าสถิตกับคุณทางพระวิญญาณของพระองค์ คุณสามารถเข้าใจได้จริง ๆ ถึงพระทัยของพระเจ้า ที่จริงแล้วคุณมี ‘พระทัยของพระคริสต์’ (ข้อ 16)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความจริงอันน่าทึ่งนี้ ที่พระองค์สถิตกับข้าพระองค์ทางพระวิญญาณของพระองค์ ขอให้ข้าพระองค์มีหัวใจอย่างพระเยซูในการตัดสินใจทุกอย่าง และในทุกบทสนทนา ข้าพระองค์อธิษฐานขอให้มีถ้อยคำฝ่ายวิญญาณเพื่อกล่าวความจริงฝ่ายวิญญาณ
1 พงศาวดาร 22:2-23:32
ดาวิดทรงจัดเตรียมเพื่อสร้างพระวิหาร
2ดาวิดทรงบัญชาให้รวบรวมคนต่างด้าวที่อยู่ในแผ่นดินอิสราเอล และพระองค์ทรงจัดคนสกัดหินให้เตรียมหินสกัดเพื่อสร้างพระนิเวศของพระเจ้า 3ดาวิดยังทรงเตรียมเหล็กเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นตะปูของบานประตูรั้วและเป็นเหล็กหนีบ ทั้งทองสัมฤทธิ์เป็นจำนวนมากเหลือที่จะชั่งได้ 4และไม้สนสีดาร์นับไม่ถ้วน เพราะว่าชาวไซดอน และชาวไทระ นำไม้สนสีดาร์จำนวนมากมายมาถวายดาวิด 5เพราะดาวิดตรัสว่า “ซาโลมอนบุตรของเรายังหนุ่มและอ่อนประสบการณ์ และพระนิเวศซึ่งจะสร้างถวายพระยาห์เวห์นั้นต้องงดงามอย่างยิ่ง มีชื่อเสียงและสง่าราศีท่ามกลางบรรดาประเทศทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราจึงจะจัดเตรียมไว้” ดาวิดจึงทรงเตรียมไว้มากมายก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์
ดาวิดทรงกำชับซาโลมอนและบรรดาผู้นำ
6แล้วพระองค์ทรงเรียกซาโลมอนราชโอรสของพระองค์ และกำชับท่านให้สร้างพระนิเวศถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล 7ดาวิดรับสั่งกับซาโลมอนโอรสของพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย เรามีใจประสงค์จะสร้างพระนิเวศถวายพระนามแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา 8แต่มีพระดำรัสของพระยาห์เวห์มายังเราว่า ‘เจ้าได้ทำให้โลหิตตกมาก และได้ทำสงครามใหญ่โต เจ้าอย่าสร้างพระนิเวศเพื่อนามของเราเลย เพราะเจ้าได้ทำให้โลหิตตกเป็นอันมากต่อหน้าเราบนแผ่นดินโลก 9นี่แน่ะ บุตรชายคนหนึ่งจะเกิดมาแก่เจ้า เขาจะเป็นคนแห่งความสงบ เราจะให้ความสงบแก่เขาให้พ้นจากศัตรูทั้งสิ้นของเขารอบด้าน เพราะเขาจะมีชื่อว่าซาโลมอนชื่อซาโลมอนตามภาษาฮีบรูแปลว่า สันติภาพ สัมผัสกับคำว่า ความสงบ ในข้อนี้ และเราจะให้สวัสดิภาพและความสงบแก่อิสราเอลในสมัยของเขา 10เขาจะสร้างนิเวศเพื่อนามของเรา เขาจะเป็นบุตรชายของเรา และเราจะเป็นบิดาของเขา และเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาเหนืออิสราเอลตลอดนิรันดร’ 11นี่แหละ ลูกของข้าเอ๋ย ขอพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้า และขอให้เจ้ามีความสำเร็จ สร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ตามพระดำรัสเกี่ยวกับเจ้า 12ขอเพียงพระยาห์เวห์ประทานให้เจ้ามีความเฉลียวฉลาด และความเข้าใจและทรงให้เจ้าปกครองอิสราเอล เพื่อให้เจ้ารักษาธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า 13แล้วเจ้าจะประสบความสำเร็จ ถ้าเจ้าจะระมัดระวังที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และกฎหมาย ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสเกี่ยวกับอิสราเอล จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวและอย่าหวาดหวั่นเลย 14และนี่แน่ะ เราได้จัดเตรียมไว้เพื่อพระนิเวศของพระยาห์เวห์ด้วยความเหนื่อยยาก เป็นทองคำหนัก 3,400 ตัน เงินหนัก 34,000 ตัน ทองสัมฤทธิ์และเหล็กเหลือที่จะชั่ง เพราะมีมากมาย เราเตรียมไม้และหินด้วย เจ้าจะเพิ่มเติมอีกก็ได้ 15ยิ่งกว่านั้นเจ้ามีคนทำงานมากมายคือ ช่างสกัดหิน ช่างก่อ ช่างไม้ และช่างทั้งหมดผู้ชำนาญในงานทุกชนิด 16ที่เกี่ยวกับทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก ช่างจำนวนนับไม่ถ้วน ลุกขึ้นทำไปเถอะ ขอพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับเจ้า”
17ดาวิดทรงบัญชาผู้นำทั้งปวงของอิสราเอลให้ช่วยซาโลมอนโอรสของพระองค์ด้วยว่า 18“พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงอยู่กับพวกท่านไม่ใช่หรือ? และพระองค์ไม่ได้ประทานการหยุดพักสงบแก่พวกท่านทุกด้านหรือ? เพราะพระองค์ทรงมอบชาวแผ่นดินนี้ไว้ในมือของเรา และแผ่นดินนั้นก็ราบคาบเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์และต่อหน้าประชากรของพระองค์ 19บัดนี้จงทุ่มเทจิตใจและชีวิตของพวกท่านที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน จงลุกขึ้นสร้างสถานนมัสการของพระยาห์เวห์พระเจ้า เพื่อจะได้นำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และเครื่องใช้อันบริสุทธิ์ของพระเจ้า มาไว้ในพระนิเวศที่สร้างขึ้นเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์”
1 พงศาวดาร 23
ตระกูลของคนเลวีกับหน้าที่ของเขา
1เมื่อดาวิดทรงชราและแก่หง่อมมาก พระองค์ทรงตั้งซาโลมอน พระราชโอรสของพระองค์ให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล
2ดาวิดทรงให้ประชุมผู้นำทั้งสิ้นของอิสราเอล และบรรดาปุโรหิตและคนเลวี 3คนเลวีนั้นอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปก็ให้นับไว้ และรวมจำนวนผู้ชายได้ 38,000 คน 4ดาวิดตรัสว่า “จากพวกนี้ 24,000 คนจะต้องดูแลการงานในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และ 6,000 คนเป็นเจ้าหน้าที่และผู้วินิจฉัย 54,000 คนเป็นนายประตู และอีก 4,000 คนจะถวายสรรเสริญแก่พระยาห์เวห์ด้วยเครื่องดนตรี ซึ่งเราทำไว้ให้ใช้สรรเสริญ” 6และดาวิดทรงจัดแบ่งเป็นกองๆ ตามบุตรเลวีคือเกอร์โชม โคฮาท และเมรารี 7จากคนเกอร์โชมคือลาดาน และชิเมอี 8บุตรลาดานคือเยฮีเอลผู้เป็นหัวหน้า เศธาม และโยเอล รวม 3 คน 9บุตรชิเมอีคือเชโลโมท ฮาซีเอล และฮาราน รวม 3 คน คนเหล่านี้เป็นหัวหน้าตระกูลลาดาน 10และบุตรชิเมอีคือยาหาท คินา เยอูช และเบรีอาห์ ทั้งสี่คนนี้เป็นบุตรชิเมอี 11และยาหาทเป็นหัวหน้า และศิซาห์เป็นที่สอง แต่เยอูชและเบรีอาห์ ไม่มีบุตรชายมาก เพราะฉะนั้นในการนับจึงรวมเข้าเป็นตระกูลเดียวกัน
12บุตรโคฮาทคืออัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล รวม 4 คน 13บุตรอัมรามคืออาโรน และโมเสส อาโรนถูกแยกออกให้เป็นผู้ทำพิธีชำระของที่บริสุทธิ์ที่สุด ทั้งเขาและบุตรของเขาตลอดนิรันดร เพื่อเผาเครื่องหอมเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และปรนนิบัติพระองค์ และอวยพรในพระนามของพระองค์ตลอดนิรันดร์ 14ส่วนโมเสสคนของพระเจ้านั้น บุตรของท่านถูกนับชื่อท่ามกลางคนเผ่าเลวี 15บุตรของโมเสสคือเกอร์โชมกับเอลีเอเซอร์ 16บุตรเกอร์โชมคือเชบูเอล ผู้เป็นหัวหน้า 17บุตรเอลีเอเซอร์คือเรหับยาห์ ผู้เป็นหัวหน้า เอลีเอเซอร์ไม่มีบุตรอีก แต่บุตรของเรหับยาห์มีมากมาย 18บุตรอิสฮาร์คือเชโลมิท ผู้เป็นหัวหน้า 19บุตรเฮโบรนคือเยรียาห์ ผู้เป็นหัวหน้า อามาริยาห์ที่สอง ยาฮาซีเอลที่สาม และเยคาเมอัมที่สี่ 20บุตรอุสซีเอลคือมีคาห์ ผู้เป็นหัวหน้า และอิสชีอาห์ที่สอง
21บุตรเมรารีคือมาห์ลี และมูชี บุตรมาห์ลีคือ เอเลอาซาร์ และคีช 22เอเลอาซาร์สิ้นชีวิตไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรหญิงหลายคน บุตรชายหลายคนของคีช ผู้เป็นญาติของเขา แต่งงานกับพวกเขา 23บุตรมูชีคือมาห์ลี เอเดอร์ และเยเรโมท รวม 3 คน
24คนเหล่านี้เป็นคนเลวีตามตระกูลบิดาของเขา เป็นหัวหน้าของตระกูลบิดาของเขา ตามที่เขาได้ขึ้นทะเบียนไว้ ตามจำนวนชื่อรายบุคคล อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ผู้ซึ่งจะทำงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 25เพราะดาวิดตรัสว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ประทานการหยุดพักสงบแก่ประชากรของพระองค์ และพระองค์ประทับในเยรูซาเล็มตลอดนิรันดร์ 26ยิ่งกว่านั้นคนเลวีจึงไม่ต้องหามพลับพลา หรือเครื่องใช้ทั้งหมด เพื่องานปรนนิบัติอีก” 27(เพราะตามพระดำรัสสุดท้ายของดาวิด คนเลวีตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไปถูกนับ) 28“หน้าที่ของเขาจะต้องคอยช่วยบุตรอาโรนในงานปรนนิบัติพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์ มีงานดูแลลานและห้องและงานชำระของทุกอย่างที่บริสุทธิ์ และงานใดๆ ซึ่งเป็นงานปรนนิบัติของพระนิเวศแห่งพระเจ้า 29และช่วยเกี่ยวกับขนมปังตั้งถวาย แป้งอย่างดีสำหรับธัญบูชา ขนมปังไร้เชื้อ ของปิ้งบูชา ของบูชาเคล้าน้ำมัน และการชั่งตวงวัดทุกอย่าง 30และทุกๆ เช้า เขาจะต้องยืนขอบพระคุณและสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ และเวลาเย็นก็เช่นเดียวกัน 31และทุกครั้งเมื่อมีการถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ในวันสะบาโต ในวันขึ้นหนึ่งค่ำ ในวันเทศกาลเลี้ยง ตามจำนวนที่กำหนดให้ถวายบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เรื่อยไป 32ดังนี้แหละพวกเขาจะดูแลเต็นท์นัดพบและวิสุทธิสถาน และจะรับใช้บุตรอาโรนพี่น้องของพวกเขา เพื่องานปรนนิบัติแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์”
อรรถาธิบาย
ทรงสถิตกับคุณในความสำเร็จ
คุณเคยรู้สึกผิดหวัง หรืออิจฉาเมื่อคนอื่นประสบความสำเร็จในพันธกิจที่คุณอยากทำไหม? ตัวอย่างของดาวิด (22:6–19) ท้าทายเราให้อธิษฐานเผื่อคนอื่นให้ประสบความสำเร็จ หนุนใจ อวยพร และช่วยพวกเขาเมื่อพวกเขาทำพันธกิจอยู่
ดาวิดอยากจะสร้างพระวิหารด้วยพระองค์เองอย่างยิ่ง ตอนนี้ดาวิดเตรียมเพื่อราชโอรสของตน ซาโลมอน เพื่อให้เขาทำสำเร็จ ดาวิดเตรียมทุกสิ่งให้พร้อมเพื่อเขา พระองค์ทรงมีแผนการสืบทอดตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้ซาโลมอนได้ประสบความสำเร็จ
การเป็นผู้นำคือการปรนนิบัติรับใช้เพื่อผู้คนจะได้ไปไกลกว่า และทำได้ดีกว่าคุณ เมื่อคุณสัตย์ซื่อที่จะอวยพรคนอื่น ๆ ให้ทำได้ดี พระเจ้าจะทรงสัตย์ซื่อที่จะให้เกียรติและอวยพรคุณ
ดาวิดและซาโลมอนที่ร่วมกันทำให้การสร้างพระวิหารเกิดขึ้น ดาวิดเองไม่สามารถรับงานนี้ได้เพราะว่าเขา ‘ทำให้โลหิตตกเป็นอันมาก’ (ข้อ 8) ซาโลมอนคือผู้ที่จะลงมือจริง ๆ ในการสร้างพระวิหาร
ดาวิดกล่าวว่า ‘นี่แหละ ลูกของข้าเอ๋ย ขอพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้า และขอให้เจ้ามีความสำเร็จ สร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ตามพระดำรัสเกี่ยวกับเจ้า ขอเพียงพระยาห์เวห์ประทานให้เจ้ามีความเฉลียวฉลาด และความเข้าใจ… จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวและอย่าหวาดหวั่นเลย… ลุกขึ้นทำไปเถอะ ขอพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับเจ้า’ (ข้อ 11–16)
พระเจ้าไม่ได้ทรงสถิตแค่กับซาโลมอน ‘ดาวิดทรงบัญชาผู้นำทั้งปวงของอิสราเอลให้ช่วยซาโลมอนโอรสของพระองค์ด้วยว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงอยู่กับพวกท่านไม่ใช่หรือ?”’ (ข้อ 17–18ก) พระเจ้าทรงสถิตกับพวกเขาด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงประทาน ‘การหยุดพักสงบทุกด้าน’ แก่พวกเขา (ข้อ 18ข) ดาวิดบอกกับพวกเขาว่า ‘บัดนี้จงทุ่มเทจิตใจและชีวิตของพวกท่านที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน’ (ข้อ 19)
พวกเขาประสบความสำเร็จและหยุดพัก ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลประทับในเยรูซาเล็มตลอดนิรันดร์’ (23:25)
นี่เป็นเหตุให้เกิดความชื่นชมยินดี การขอบพระคุณ และการสดุดีอย่างใหญ่หลวง พวกเลวี ‘และทุก ๆ เช้า เขาจะต้องยืนขอบพระคุณและสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ และเวลาเย็นก็เช่นเดียวกัน’ (ข้อ 30)
ความสำเร็จระยะยาวมาจากการที่พระเจ้าสถิตกับคุณ ชีวิตอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พระเยซูทรงสัญญาว่า หากคุณติดสนิทกับพระองค์ คุณจะเกิดผลมาก และผลนั้นจะคงอยู่ (ยอห์น 15:1–17)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์สัญญาถึงความสำเร็จระยะยาวและการได้หยุดพัก ขอให้ข้าพระองค์ขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์เป็นสิ่งแรกในยามเช้า และเป็นสิ่งสุดท้ายในยามค่ำคืนสำหรับการทรงสถิตของพระองค์
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 91:9–16
ฉันรักสดุดีบทนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย เป็นสดุดีที่เหมาะมากที่จะใช้อธิษฐานเผื่อครอบครัวและเพื่อนฝูงที่กำลังเดินทางไกล หรือเผชิญกับความยากลำบาก ตลอดหลายปีมานี้ ฉันได้เขียนสองสามสิ่งไว้ที่ขอบหน้าพระคัมภีร์ข้าง ๆ สดุดีบทนี้ เป็นสิ่งที่ฉันกังวลในเวลานั้น พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงดูแลสิ่งเหล่านั้นทุกอย่าง
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)