ผู้ที่คุณจำเป็นต้องรู้จัก
เกริ่นนำ
เราอาศัยอยู่ในเมืองอ็อกซ์ฟอร์ดเป็นเวลาสามปี ผมกำลังรับการฝึกฝนเพื่อรับการสถาปนาในคริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England) และศึกษาเพื่อรับปริญญาด้านศาสนศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด หนึ่งในหลายสิ่งที่เราสังเกตเห็นเมื่อเราอยู่ที่นั่นคือ เมื่อเทียบกับกรุงลอนดอน เมืองอ็อกซ์ฟอร์ดไม่เน้นวัตถุนิยม ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประทับใจกับความมั่งคั่ง การวัดความสำเร็จแตกต่างกันออกไป
คนในเมืองอ็อกซ์ฟอร์ดมีแนวโน้มจะประทับใจในความรู้มากกว่าเงินทองหรือความงาม ความสำเร็จวัดจากผลงานที่ติดดาว ความแตกต่าง ปริญญาเอก ตำแหน่งศาสตราจารย์ และผลงานตีพิมพ์ ซึ่งทำให้ผมสงสัยว่า ความเฉลียวฉลาด และ ‘ความรู้' อาจเป็นพระเทียมเท็จได้พอ ๆ กับเงินทองและความมั่งคั่ง
ความรู้ โดยรวม ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ดี ส่วนข้อเท็จจริงเป็นดั่งมิตรสหาย การศึกษาเป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การฟัง และการค้นพบล้วนเป็นกิจกรรมที่ดี อย่างไรก็ตาม ตามที่ลอร์ด ไบรอน ได้เขียนไว้ว่า ‘ต้นไม้แห่งความรอบรู้ไม่ใช่ต้นไม้แห่งชีวิต’ เราจำเป็นต้องมอง ‘ความรู้’ ในแง่ของมุมมอง ความรู้ของเรามีจำกัดมาก ยิ่งเรารู้มากเท่าไหร่ เรายิ่งตระหนักว่าเรารู้น้อยเหลือเกิน พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างของเราและพระองค์เท่านั้นที่ทรงทราบทุกสิ่ง
มีประเภทของความรู้ที่แตกต่างกันสองประการ และก็ไม่ได้มีคุณค่าเท่าเทียมกันด้วย ในภาษาฝรั่งเศส มีคำที่ต่างกันสองคำที่ไว้ใช้ ‘เพื่อให้รู้’ คำหนึ่งคือ (ซาวัวร์ - savoir) หมายถึง รู้ข้อเท็จจริง อีกคำหนึ่งคือ (กองแนตร์ - connaître) หมายถึง การรู้จักใครบางคน พระเจ้าทรงสนพระทัยให้เรารู้จักผู้คนมากกว่าแค่รู้ข้อเท็จจริง ความรู้ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คือ การรู้จักพระเจ้าและพระองค์ทรงรู้จักคุณ แม้ว่านี่จะไม่ใช่จุดจบ เพราะแค่มีความรู้อย่างเดียวไม่เพียงพอแต่คุณต้องมีความรักด้วย
สดุดี 95:1-11
บทเชิญชวนให้นมัสการและเชื่อฟังพระเจ้า
1มาเถิด ให้เราร้องเพลงด้วยความยินดีถวายแด่พระยาห์เวห์
ให้เราโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายศิลาแห่งความรอดของเรา
2ให้เราเข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยการขอบพระคุณ
ให้เราโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายแด่พระองค์ด้วยบทเพลงสรรเสริญ
3เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง
และทรงเป็นกษัตริย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย
4ที่ลึกของแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ที่สูงของภูเขาก็เป็นของพระองค์ด้วย
5ทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างมัน
และแผ่นดินก็เช่นกัน เพราะพระหัตถ์ของพระองค์ปั้นขึ้น
6มาเถิด ให้เรานมัสการและกราบลง
ให้เราคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างเรา
7เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา
และเราเป็นประชากรแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์
และเป็นแกะแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
8อย่าให้จิตใจกระด้างกระเดื่องอย่างที่เมรีบาห์
อย่างวันที่มัสสาห์ในถิ่นทุรกันดาร
9เมื่อบรรพบุรุษของพวกเจ้าทดลองเรา
และพิสูจน์เรา ถึงแม้พวกเขาได้เห็นกิจการของเรา
10เราเกลียดชาติพันธุ์นั้นอยู่สี่สิบปี
และว่า “พวกเขาเป็นชนชาติที่มีใจหลงผิด
และพวกเขาไม่รู้จักทางของเรา”
11เพราะฉะนั้น เราจึงปฏิญาณด้วยความกริ้วว่า
พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา
อรรถาธิบาย
ความรู้ที่สำคัญที่สุด คือ การรู้จักพระเจ้า
ผู้เขียนสดุดีเริ่มต้นการเรียกให้นมัสการ สรรเสริญ และขอบพระคุณ (ข้อ 1–2) เรานมัสการไม่ใช่เพราะว่าเรารู้สึกว่าควรทำหรือเพราะว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังไปได้ดี บางครั้งเรานมัสการแม้ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งยาก และมีช่วงเวลาที่ลำบากอยู่
และเราไม่ได้นมัสการเพราะมันทำให้เรารู้สึกดี แม้ว่าบ่อยครั้งเรารู้สึกถึงความจำเป็นในการนมัสการเพื่อการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ
เราได้เห็นในสดุดีบทนี้ว่าเรานมัสการพระเจ้า เพราะว่าผู้ที่พระองค์ทรงเป็น:
‘เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง
และทรงเป็นกษัตริย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย...
มาเถิด ให้เรานมัสการและกราบลง
ให้เราคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างเรา
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเราและเราเป็นประชากรแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์
และเป็นแกะแห่งพระหัตถ์ของพระองค์’ (ข้อ 3–7)
ผู้เขียนสดุดีเตือนประชาชนถึงสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับพระเจ้า นี่เป็นความรู้ประเภทที่สำคัญที่สุด นั่นคือความรู้เรื่องพระเจ้า
ในบริบทของการนมัสการ บ่อยครั้งที่พระเจ้าตรัสกับเรา ไม่เพียงแค่พระเจ้าเคยตรัสไว้ในอดีตเท่านั้น พระเจ้ายังตรัสในปัจจุบัน ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า ‘วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์…’ (ข้อ 7ข)
ในพระธรรมสดุดีวันนี้ เรายังได้เห็นประเภทของความรู้ที่สำคัญอีกประเภทหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่าประชากรของพระองค์หลงผิดไปเพราะว่า พวกเขา 'ไม่รู้จักทางของเรา’ (ข้อ 10) การรู้จักและติดตามทางของพระเจ้า เป็นกุญแจในการดำเนินชีวิตอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์คุกเข่าจำเพาะพระพักตร์พระองค์วันนี้ และนมัสการพระองค์ ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ และข้าพระองค์รู้จักพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์วันนี้ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ไม่ให้มีจิตใจแข็งกระด้าง และหลงผิดไป ขอให้ข้าพระองค์ได้รู้จัก ได้ติดตามทางของพระองค์ และได้เข้าสู่การพักสงบของพระองค์
1 โครินธ์ 7:36-8:13
36แต่ถ้าชายใดคิดว่าไม่อาจจะปฏิบัติอย่างสมควรต่อคู่หมั้นของเขา มีความรักร้อนแรงแปลได้อีกว่า มีอายุเลยวัยแล้ว และต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ให้เขาทำตามความต้องการ คือให้เขาแต่งงานเสียเพราะไม่เป็นความผิด 37แต่ถ้าชายใดตั้งใจแน่วแน่ และเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และเขามีอำนาจเหนือความอยากของตนเอง และตัดสินใจว่าจะให้หญิงนั้นเป็นคู่หมั้นของเขาต่อไป เขาก็ทำดีแล้ว 38เพราะฉะนั้นใครที่แต่งงานกับคู่หมั้นของตนก็ทำดีอยู่ แต่ผู้ที่ไม่แต่งงานก็ทำดีกว่า
39ตราบใดที่สามียังมีชีวิตอยู่ ภรรยาต้องผูกพันกับเขา ถ้าสามีตายไป นางก็เป็นอิสระที่จะแต่งงานกับชายใดก็ได้ตามความต้องการ แต่ต้องเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า 40แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้านางอยู่คนเดียวจะเป็นสุขกว่า และข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเองก็มีพระวิญญาณของพระเจ้าด้วย
1 โครินธ์ 8
อาหารที่บูชารูปเคารพ
1เรื่องของอาหารที่บูชารูปเคารพนั้น เราทั้งหลายทราบแล้วว่า “ทุกคนต่างก็มีความรู้” ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น 2ถ้าใครถือว่าตัวรู้สิ่งใดแล้ว คนนั้นยังไม่รู้ตามที่ตนควรจะรู้ 3แต่ถ้าใครรักพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงรู้จักผู้นั้น
4เพราะฉะนั้น การกินอาหารที่บูชารูปเคารพนั้น เรารู้อยู่แล้วว่า “รูปเคารพในโลกนี้เป็นสิ่งไร้สาระ” และ “มีพระเจ้าแท้จริงเพียงองค์เดียว” 5และแม้จะมีหลายสิ่งที่เขาเรียกกันว่าเจ้าในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ราวกับว่ามีพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้ามากมาย 6แต่ว่าสำหรับเรานั้นมีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา ทุกสิ่งเกิดมาจากพระองค์และเราอยู่เพื่อพระองค์ และมีพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว ทุกสิ่งเกิดมาโดยพระองค์และเราก็เป็นมาโดยพระองค์
7แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้ เพราะมีบางคนที่เคยนับถือรูปเคารพมาก่อน เมื่อกินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของบูชาแก่รูปเคารพจริงๆ และมโนธรรมของพวกเขายังอ่อนแออยู่ จึงเป็นมลทิน 8อาหารไม่ได้ทำให้เราใกล้ชิดพระเจ้า ถ้าเราไม่กิน เราก็ไม่ด้อยลง ถ้ากิน เราก็ไม่ได้ดีขึ้น 9แต่จงระวังอย่าให้สิทธิของพวกท่าน ทำให้พวกที่มีความเชื่ออ่อนแอสะดุด 10เพราะว่าถ้าใครเห็นท่านที่มีความรู้ นั่งรับประทานอาหารในโบสถ์ของรูปเคารพ มโนธรรมที่อ่อนแอของคนนั้นก็จะเหิมขึ้นและกินของที่บูชาแก่รูปเคารพไม่ใช่หรือ? 11ความรู้ของท่านจะทำให้พี่น้องที่มีความเชื่ออ่อนแอ ซึ่งพระคริสต์ทรงยอมวายพระชนม์เพื่อเขาต้องพินาศไป 12และเมื่อพวกท่านทำผิดต่อพี่น้องเช่นนี้ และทำร้ายมโนธรรมที่อ่อนแอของพวกเขา ท่านก็ทำผิดต่อพระคริสต์ด้วย 13เพราะฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุที่ทำให้พี่น้องของข้าพเจ้าสะดุด ข้าพเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพื่อว่าจะไม่ทำให้พี่น้องต้องสะดุด
อรรถาธิบาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความรู้แต่เป็นความรัก
แม้ว่าความรู้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็มีธรรมชาติที่อันตราย ความรู้สามารถนำไปสู่ความทะนงและความรู้สึกเหนือกว่าการ ‘รู้ไปเสียหมด’ ‘ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น’ (8:1ข)
ความรู้โดยตัวมันเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เคยมีคำกล่าวว่า ‘ความรู้ก็เหมือนชุดชั้นใน มันมีประโยชน์ จำเป็นต้องมี แต่ไม่จำเป็นต้องอวดหรอกนะ!’ แทนที่จะพยายามทำให้คนอื่นประทับใจในสิ่งที่เรารู้ พยายามหนุนใจและเสริมสร้างคนอื่น ๆ ขึ้นในความรักเสมอ
บ่อยครั้งที่ความรู้นำไปสู่ความทะนงและหยิ่งผยอง ‘ถ้าใครถือว่าตัวรู้สิ่งใดแล้ว คนนั้นยังไม่รู้ตามที่ตนควรจะรู้’ (ข้อ 2) สิ่งที่สำคัญจริง ๆ ในชีวิตคือการรักพระเจ้า และดำเนินชีวิตแห่งความรัก ‘แต่ถ้าใครรักพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงรู้จักผู้นั้น’ (ข้อ 3)
ดังที่ยูจีน ปีเตอร์สันแปลไว้ว่า ‘บางครั้งเราก็มีแนวโน้มที่จะคิดว่าเรารู้ทั้งหมดที่จำเป็นต้องรู้ ในคำตอบสำหรับคำถามประเภทนี้ แต่บางทีหัวใจที่ถ่อมลงของเราสามารถช่วยเราได้มากกว่าความคิดที่หยิ่งทะนงของเรา เราไม่เคยรู้อะไรมากพอจริง ๆ จนกระทั่งเราตระหนักว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบทุกสิ่ง’ (ข้อ 1ข–3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เปาโลใช้ตัวอย่างเรื่อง ‘อาหารที่บูชารูปเคารพ’ (ข้อ 1,4) ผู้ที่มีความรู้ รู้ดีว่าไม่เป็นไรที่จะกินอาหารที่เคยบูชารูปเคารพมาก่อน เพราะว่ารูปเคารพนั้นไม่ได้มีค่าอะไร: ‘แต่ว่าสำหรับเรานั้นมีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา ทุกสิ่งเกิดมาจากพระองค์และเราอยู่เพื่อพระองค์ และมีพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว ทุกสิ่งเกิดมาโดยพระองค์และเราก็เป็นมาโดยพระองค์’ (ข้อ 6)
‘แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้’ (ข้อ 7ก) มโนธรรมของบางคนยังอ่อนแออยู่ การกินอาหารที่บูชารูปเคารพต่อหน้าคนที่รู้สึกผิด อาจทำให้เราสะดุดได้ สิ่งสำคัญไม่ใช่ความรู้ที่เหนือกว่าของเรา แต่เป็นความรักที่เรามีต่อผู้อื่นต่างหาก: ‘'แต่การรู้ไม่ใช่ทุกอย่าง ถ้ามันกลายเป็นทุกอย่าง บางคนจบลงด้วยการเป็นคนที่รู้ทุกอย่างที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนไม่รู้อะไรเลย ความรู้ที่แท้จริงไม่ใช่ไม่ใส่ใจต่อผู้อื่ีน’ (ข้อ 7ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความรักตระหนักได้ว่า ‘พระคริสต์ทรงประทานชีวิตของพระองค์เองเพื่อคน ๆ นั้น...เมื่อท่านทำผิดต่อเพื่อนของท่าน ท่านทำผิดต่อพระคริสต์’ (ข้อ 11–12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อาจารย์เปาโลเขียนต่อไปว่า 'เพราะฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุที่ทำให้พี่น้องของข้าพเจ้าสะดุด ข้าพเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพื่อว่าจะไม่ทำให้พี่น้องต้องสะดุด’ (ข้อ 13)
ความรักสำคัญกว่าความรู้ เมื่อพระเจ้าทรงวัดดูคน ๆ หนึ่ง พระองค์ทรงเอาสายวัดมาวัดรอบหัวใจของเขาไม่ใช่รอบหัวสมองของเขา ไม่ถือเป็นการดีอะไรหากจะรู้ดีเพียงแค่เรื่องราวของพระเจ้า แต่ให้เรารู้จักพระองค์ และยอมให้พระองค์เติมเต็มคุณด้วยความรักต่อพระองค์และต่อคนอื่น ๆ พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ใช่ว่าคุณรู้อะไร แต่เป็นคุณรู้จักใคร
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่แม้ว่าอันตรายของความรู้คือการทำให้ลำพองขึ้น ความรักนั้นเสริมสร้างเสมอ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ทำทุกสิ่งออกมาจากความรักที่มีต่อพระองค์ และต่อคนอื่น ๆ
ปัญญาจารย์ 7:1-9:12
ความผิดหวังต่อชีวิต
1ชื่อเสียงดีก็ดีกว่าน้ำมันหอมอย่างดี
และวันตายก็ดีกว่าวันเกิด
2ไปยังเรือนที่มีการคร่ำครวญ
ก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกัน
เพราะนั่นเป็นวาระสุดท้ายของมนุษย์ทุกคน
และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จะเอาเหตุการณ์นั้นใส่ไว้ในใจ
3ความโศกเศร้าก็ดีกว่าการหัวเราะ
เพราะความโศกเศร้าบนใบหน้าทำให้จิตใจยินดี
4จิตใจของคนมีปัญญา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีการคร่ำครวญ
แต่จิตใจของคนเขลา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีการสนุกสนาน
5ฟังคำตำหนิของคนที่มีปัญญา
ยังดีกว่าฟังเพลงของคนเขลา
6เสียงเรียวหนามไหม้แตกอยู่ใต้หม้ออย่างไร
เสียงหัวเราะของคนเขลาก็เป็นอย่างนั้น
นี่ก็อนิจจังด้วย
7แท้จริงการกดขี่ข่มเหงทำให้ผู้มีปัญญาโง่ไป
และสินบนก็ทำลายสามัญสำนึกเสีย
8เบื้องปลายของสิ่งใดๆ ก็ดีกว่าเบื้องต้นของสิ่งนั้นๆ
จิตใจที่อดกลั้นก็ดีกว่าจิตใจที่อหังการ
9อย่าให้จิตใจของเจ้าโกรธเร็ว
เพราะความโกรธฝังอยู่ในทรวงอกของคนเขลา
10อย่าว่า “ทำไมอดีตดีกว่าปัจจุบัน?”
เพราะที่เจ้าถามเช่นนั้นไม่ได้ถามด้วยใช้ปัญญา
11ปัญญาดีกว่ามรดก
และเป็นประโยชน์แก่คนที่ได้เห็นดวงตะวัน
12เพราะว่า ปัญญาเป็นเครื่องป้องกันเช่นเดียวกับที่เงินเป็นเครื่องป้องกัน
แต่ประโยชน์ของความเข้าใจคือ ปัญญาให้ชีวิตแก่ผู้เป็นเจ้าของปัญญานั้น
13จงพิจารณาพระราชกิจของพระเจ้า
สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้คด ใครจะเหยียดให้ตรงได้เล่า?
14ในเวลาที่ได้รับสิ่งดีๆ ก็จงชื่นชมยินดี แต่ในเวลาที่ได้รับสิ่งร้ายๆ ก็จงพินิจพิจารณา พระเจ้าทรงบันดาลให้มีทั้งสองอย่าง เพื่อมนุษย์จะค้นไม่พบว่า เมื่อเขาล่วงไปแล้วจะมีอะไรตามเขามาในภายหลัง
ปริศนาชีวิต
15ข้าพเจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นในชีวิตอนิจจังของข้าพเจ้าคือ มีคนชอบธรรมพินาศในความชอบธรรมของเขา และมีคนอธรรมมีชีวิตยืนยาวในการอธรรมของเขา 16อย่าทำตัวชอบธรรมเกินไป และอย่าอวดฉลาด เหตุใดเจ้าจะทำลายตัวเองเสียเล่า? 17อย่าอธรรมเกินไป และอย่าทำตัวเป็นคนเขลา ทำไมเจ้าจะไปตายก่อนเวลาของเจ้าเล่า? 18เป็นการดีที่เจ้าจะยึดถือคำเตือนนี้ไว้ เออ และไม่ปล่อยมือจากอีกคำเตือนหนึ่ง เพราะว่าผู้เกรงกลัวพระเจ้าจะพ้นจากทั้งสองเรื่องแปลได้อีกว่า เพราะว่าผู้เกรงกลัวพระเจ้าจะทำหน้าที่ของเขาตามคำเตือนทั้งสองเรื่อง
19ปัญญาให้กำลังแก่คนมีปัญญา มากกว่าผู้ครอบครองสิบคนที่อยู่ในเมือง
20แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลก ที่ทำแต่ความดี และไม่เคยทำบาปเลย
21อย่าสนใจฟังทุกถ้อยคำที่คนกล่าว เพื่อเจ้าจะไม่ได้ยินทาสของเจ้าแช่งด่าเจ้า 22เพราะเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจของเจ้าว่า ตัวเจ้าเองได้แช่งด่าคนอื่นหลายครั้งเหมือนกัน
23ข้าพเจ้าพิสูจน์ทั้งหมดนี้ด้วยใช้ปัญญา ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะมีปัญญา” แต่ปัญญานั้นกลับอยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้า 24สิ่งที่เป็นอยู่ก็อยู่ไกล และลึกล้ำเหลือเกิน ใครจะค้นพบได้? 25ข้าพเจ้าตั้งใจหันกลับมาเรียนรู้ สำรวจและแสวงหาปัญญา และต้นเหตุของสิ่งต่างๆ และเรียนรู้ความอธรรม ความโง่ ความเขลา และความบ้าบอ 26ข้าพเจ้าได้พบอีกสิ่งหนึ่งซึ่งขมขื่นยิ่งกว่าความตายคือ ผู้หญิงซึ่งมีใจเป็นบ่วงแร้วและตาข่าย มือของนางเป็นโซ่ตรวน คนที่พระเจ้าพอพระทัยจะหนีพ้นนาง แต่คนบาปจะถูกผู้หญิงคนนั้นจับเอาไป 27ปัญญาจารย์กล่าวว่า ดูเถิด ข้าพเจ้าพบดังต่อไปนี้ เมื่อเอาสิ่งหนึ่งมาเพิ่มเข้าไปในอีกสิ่งหนึ่งจะได้ข้อสรุป 28สิ่งซึ่งข้าพเจ้าทุ่มตัวหาแล้วหาอีก แต่ข้าพเจ้าหาไม่พบคือ ในมนุษย์พันคนจะพบแต่เพียงคนเดียว และคนเดียวที่พบนั้นไม่เคยเป็นผู้หญิงเลย 29ดูเถิด สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าพบคือ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นคนเที่ยงธรรม แต่เขาทั้งหลายได้ค้นคว้ากลอุบายต่างๆ ออกมา
ปัญญาจารย์ 8
เชื่อฟังกษัตริย์และชื่นชมยินดี
1ใครจะเหมือนคนมีปัญญา?
หรือใครเล่าจะรู้คำอธิบายของสิ่งต่างๆ
ปัญญาของมนุษย์ทำให้ใบหน้าของเขาผ่องใส
และสีหน้าที่มึนตึงของเขาก็เปลี่ยนไป
2จงถือรักษาพระบัญชาของกษัตริย์เพื่อเห็นแก่คำปฏิญาณของพระเจ้า 3อย่ารีบออกไปให้พ้นพระพักตร์พระองค์ อย่ารั้นเมื่อมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น เพราะกษัตริย์ย่อมทรงกระทำอะไรๆ ตามชอบพระทัยพระองค์ 4เพราะว่าพระดำรัสของกษัตริย์นั้นมีอำนาจ และใครจะกราบทูลถามพระองค์ได้ว่า “ฝ่าพระบาททรงกระทำอะไรเช่นนั้น?” 5ผู้ทำตามพระบัญชาจะไม่ประสบอันตราย และจิตใจของคนมีปัญญาย่อมรู้วาระและวิธีการ 6เพราะว่าทุกเรื่องราวย่อมมีวาระและวิธีการ แม้ว่าความลำบากของมนุษย์เป็นภาระหนักแก่เขาก็ตาม 7ที่จริงเขาไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ด้วยใครจะบอกเขาได้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไร 8ไม่มีมนุษย์คนใดมีอำนาจเหนือจิตวิญญาณ และไม่มีอำนาจใดอยู่เหนือวันตาย ไม่มีการปลดปล่อยในยามสงครามฉันใด ความอธรรมย่อมไม่ช่วยผู้ทำการอธรรมฉันนั้น 9ทั้งบรรดาการนี้ข้าพเจ้าเห็นหมดแล้ว เมื่อข้าพเจ้าสนใจกิจการทุกอย่างที่เขาทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ มีวาระซึ่งให้คนหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกคนหนึ่งเพื่อทำอันตรายเขาเพื่อทำอันตรายเขา
แผนการพระเจ้านั้นยากจะเข้าใจ
10ข้าพเจ้าได้เห็นเขาฝังคนอธรรมทั้งหลาย ผู้ซึ่งเคยเข้าออกที่สถานบริสุทธิ์ และมีคนสรรเสริญพวกเขา ในเมืองที่พวกเขาทำสิ่งเช่นนั้น นี่ก็อนิจจังด้วย 11เพราะการลงโทษตามการตัดสินคนที่ทำชั่วนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเร็ว เหตุฉะนั้นใจของบรรดามนุษย์จึงเจตนามุ่งทำความอธรรม 12แม้ว่าคนบาปทำชั่วตั้งร้อยครั้งและอายุเขายังยั่งยืนอยู่ได้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังรู้แน่ว่า สวัสดิมงคลจะมีแก่เขาทั้งหลายที่ยำเกรงพระเจ้าคือ ที่มีความยำเกรงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ 13แต่ว่าจะไม่เป็นสวัสดิมงคลแก่คนอธรรม อายุของเขาที่เป็นดังเงาก็จะไม่ยืดยาวออกไปได้ เพราะเขาไม่มีความยำเกรงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
14ยังมีสิ่งอนิจจังอีกอย่างที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกคือ มีคนชอบธรรมรับเคราะห์อันเป็นเคราะห์ที่คนอธรรมควรรับ และมีคนอธรรมรับเคราะห์อันเป็นเคราะห์ที่คนชอบธรรมควรรับ ข้าพเจ้ากล่าวว่า นี่ก็อนิจจังด้วย 15แล้วข้าพเจ้าจึงยกย่องความสนุกสนาน เพราะว่าไม่มีอะไรดีสำหรับมนุษย์ภายใต้ดวงอาทิตย์มากไปกว่ากินและดื่มกับชื่นชมยินดี เพราะว่าสิ่งนี้จะอยู่เคียงข้างเขาในการตรากตรำของเขาตลอดชีวิตเขา ที่พระเจ้าประทานแก่เขาภายใต้ดวงอาทิตย์
16เมื่อข้าพเจ้าตั้งใจเข้าใจปัญญา และพิจารณาภารกิจที่ทำกันในโลก ถึงกับอดหลับอดนอนตลอดวันตลอดคืน 17แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าว่า มนุษย์จะค้นหาความเข้าใจในพระราชกิจที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์จะตรากตรำแสวงหาสักเท่าใดก็จะค้นไม่พบ เออ ยิ่งกว่านั้นอีก แม้ว่าคนมีปัญญาอ้างว่าเขาเข้าใจแล้ว เขาก็ยังค้นหาไม่พบ
ปัญญาจารย์ 9
ดำเนินชีวิตตามสภาพ
1ข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวทั้งหมดนี้มาคิด ตรวจพิจารณาทั้งสิ้นว่า คนชอบธรรมและคนมีปัญญารวมทั้งกิจการของเขาทั้งหลาย ก็อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า จะทรงรักหรือทรงเกลียดก็ตาม มนุษย์หารู้ไม่ ทุกอย่างก็อยู่ต่อหน้าเขาทั้งหลาย 2เคราะห์อันเดียวกันตกแก่คนทั้งปวงเหมือนกันหมดคือ ตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม ตกแก่คนดีและคนชั่ว ตกแก่คนสะอาดและคนมีมลทิน ตกแก่ผู้ถวายสัตวบูชา และแก่ผู้ไม่ถวายสัตวบูชา ตกแก่คนดีอย่างไร ก็ตกแก่คนบาปอย่างนั้น ตกแก่คนสาบานอย่างไร ก็ตกแก่คนกลัวการสาบานอย่างนั้น 3นี่แหละเป็นสิ่งสามานย์ ที่มีอยู่ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์คือว่า มีเคราะห์อันเดียวกันที่ตกแก่ทุกคน เออ ใจมนุษย์ก็เต็มด้วยความชั่ว และความบ้าบออยู่ในใจเขาเมื่อมีชีวิต และต่อจากนั้น เขาก็ไปอยู่กับคนตาย 4ส่วนคนใดที่อยู่ร่วมกับคนที่มีชีวิต คนนั้นก็มีความหวัง เพราะว่าสุนัขเป็นก็ยังดีกว่าสิงโตตาย 5เพราะว่าคนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย เขาไม่อาจรับรางวัลอีก เพราะว่าใครๆ ก็พากันลืมเขาเสียหมด 6ทั้งความรักของพวกเขาและความชัง พร้อมกับความอิจฉาของพวกเขาได้สูญไปนานแล้ว และเขาทั้งหลายจะไม่มีส่วนในสิ่งใดที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกต่อไป
7ไปเถิด ไปรับประทานอาหารของเจ้าด้วยความเปรมปรีดิ์ และไปดื่มเหล้าองุ่นของเจ้าด้วยความร่าเริงใจ เพราะพระเจ้าทรงเห็นชอบกับการงานของเจ้าแล้ว 8จงให้เสื้อผ้าของเจ้าขาวอยู่เสมอ และศีรษะของเจ้าก็อย่าให้ขาดน้ำมัน 9เจ้าจงชื่นชมยินดีในชีวิตกับภรรยาซึ่งเจ้ารักตลอดชีวิตอนิจจังที่ได้ประทานให้แก่เจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ตลอดวันเวลาอนิจจังของเจ้า เพราะว่านั่นเป็นรางวัลสำหรับชีวิต และสำหรับการตรากตรำของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์ 10มือของเจ้าจับงานอะไร ก็จงทำการนั้นด้วยเต็มกำลัง เพราะในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้นไม่มีการงาน หรือความคิด หรือความรู้ หรือปัญญา
11ข้าพเจ้าได้เห็นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกว่า คนวิ่งเร็วไม่ชนะในการแข่งขันเสมอไป หรือคนเก่งกาจไม่ชนะสงครามเสมอไป นอกจากนี้ คนมีปัญญาไม่มีอาหารเสมอไป หรือคนฉลาดไม่ร่ำรวยเสมอไป หรือคนรอบรู้ไม่ได้รับความโปรดปรานเสมอไป แต่วาระและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน 12เพราะมนุษย์ไม่รู้วาระของตน ปลาติดอยู่ในอวนที่เลวร้ายฉันใด และนกถูกดักติดอยู่ในบ่วงแร้วฉันใด บรรดามนุษย์ก็ถูกวาระอันเลวร้ายนั้นดักจับโดยฉับพลันเหมือนกันฉันนั้น
อรรถาธิบาย
แสวงหาความรู้ แต่ให้รู้ถึงความจำกัดของความรู้
สติปัญญาและความรู้มาคู่กันในพระธรรมปัญญาจารย์ สติปัญญาและความรู้โดยทั่วไปแล้วมีประโยชน์:
‘ปัญญาดีกว่ามรดก และเป็นประโยชน์แก่คนที่ได้เห็นดวงตะวัน’ (7:11)
‘ปัญญาให้กำลังแก่คนมีปัญญา มากกว่าชายแข็งแรงสิบคนที่อยู่ในเมือง’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
‘ไม่มีอะไรดีกว่าเป็นคนมีปัญญา
รู้ถึงการตีความหมายของชีวิต
ปัญญาของมนุษย์ทำให้ดวงตาของเขากระจ่างแจ้ง
และให้ความสุภาพแก่ถ้อยคำและมารยาท’ (8:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ตัวอย่างของปัญญาคือ คนมีปัญญาสามารถควบคุมอารมณ์ได้ ‘อย่าขว้างมันออกไปเร็วนัก ความโกรธจะย้อนคืนกลับมา’ (7:9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
แต่ผู้เขียนปัญญาจารย์ตระหนักถึงความจำกัดของสติปัญญาและความรู้ อย่างแรก ไม่ว่าเราจะมีปัญญาและความรู้มากเพียงใด เราก็ไม่สามารถรู้ทุกสิ่งในอนาคตได้จริง ๆ (ข้อ 14) อย่างที่สอง มีอันตรายของการ ‘ฉลาดล้ำ’ เป็นไปได้ที่จะกระหายความรู้ในทางที่ผิดซึ่งเป็นการแยกออกจากพระเจ้า และกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของความหยิ่งทะนง
‘เมื่อข้าพเจ้าตั้งใจจะแสวงหาปัญญาและตรวจสอบทุกสิ่งบนโลกนี้ ข้าพเจ้าตระหนักว่า หากเจ้าเบิกตาของเจ้าไว้ตลอดเวลา ต่อให้ไม่กระพริบตาเลยทั้งกลางวันและกลางคืน เจ้ายังคงไม่สามารถเข้าใจความหมายของสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำบนโลก ค้นดูให้มากเท่าที่เจ้าอยากทำ เจ้าก็จะยังไม่เข้าใจ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะฉลาดแค่ไหน เจ้าจะไม่เข้าใจมันจริง ๆ’ (ข้อ 16–17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
อย่างไรก็ตาม คนที่มีปัญญา ร่ำรวย และทรงอำนาจอาจ ‘ไม่มีอำนาจใดอยู่เหนือวันตาย’ (ข้อ 8) ‘ชีวิตนำไปสู่ความตาย ก็เท่านั้น’ (9:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราไม่เคยรู้ว่าเมื่อใดชีวิตของเราจะจบลง ‘เพราะมนุษย์ไม่รู้วาระของตน’ (ข้อ 12)
พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบทุกสิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับพระองค์ สติปัญญาและความรู้ของเรานั้นจำกัดยิ่งนัก ในที่สุดเราก็อยู่ ‘ในพระหัตถ์ของพระเจ้า’ (9:1) เราควรสนุกกับชีวิตและทำให้ดีที่สุดในช่วงเวลาของเราในโลกนี้ ใช้ชีวิตให้เต็มที่!... พระเจ้าทรงพอพระทัยในความสุขของคุณ!... เจ้าจงชื่นชมยินดีในชีวิตกับภรรยาซึ่งเจ้ารักตลอดชีวิตอนิจจังที่ได้ประทานให้แก่เจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ตลอดวันเวลาอนิจจังของเจ้า เพราะว่านั่นเป็นรางวัลสำหรับชีวิต แต่ละวันเป็นของขวัญจากพระเจ้า... จงทำแต่ละวันให้ดีที่สุด!’ (ข้อ 7,9 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
'มือของเจ้าจับงานอะไร ก็จงทำการนั้นด้วยเต็มกำลัง’ (ข้อ 10ก) อย่าทำให้ชีวิตของคุณเสียเปล่า ทำให้ดีที่สุดในทุกครั้งและทุกโอกาส
พระเยซูตรัสว่า ‘และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา’ (ยอห์น 17:3) นี่เป็นความรู้ที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถมีได้ มันเริ่มต้นบัดนี้ และดำเนินไปสู่นิรันดร์กาล ความรู้นี้ทำให้ความรู้ประเภทอื่นอยู่ในมุมมองที่ถูกต้อง
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่การได้รู้จักพระองค์เป็นจุดเริ่มต้นของสติปัญญา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ทำอย่างเต็มที่ในทุกโอกาสในชีวิต ในการทำอะไรก็ตามที่ข้าพระองค์ทำอย่างสุดกำลัง และขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ทำทุกสิ่งด้วยความรัก
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 95:5
‘ทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างมัน...’
ฉันมีความยำเกรงที่ถูกต้อง (แม้จะกลัว) ต่อท้องทะเล เมื่อไรก็ตามที่ฉันอยู่ในเรือ หรือว่ายน้ำในทะเล ฉันพูดข้อพระคัมภีร์นี้กับตัวเอง
![reader](/assets/img/o2IIH9f3cp-320.jpeg)
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
![reader](/assets/img/VaA8S1A2AE-320.jpeg)
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
![reader](/assets/img/RdJg02ZuKy-320.jpeg)
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)