วิธีพัฒนาฝีมือตัวเอง
เกริ่นนำ
นักเล่นสควอท์ชระดับโลกบางคนเคยมาฝึกซ้อมที่คลับที่ผมเล่นอยู่ ผมจำดีได้ว่า ครั้งแรกที่ผมเห็นเกมที่เล่นกันในระดับสูง ผู้เล่นเป็นลูกชายของคนในกลุ่มผู้เล่นปรกติของเรา ตอนนั้นเขาอยู่ในมือวางอันดับ 11 ของโลก เขามาเพื่อซ้อมที่คลับของเรากับมือวางอันดับ 2
เราทุกคนล้วนเฝ้าดูด้วยความทึ่ง เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ที่จริง ถ้านี่คือ ‘สควอท์ช’ ไอ้ที่เราเล่นอยู่ควรเรียกด้วยชื่ออื่น!
การเฝ้าดูพวกเขาทำให้เราพัฒนาฝีมือการเล่นของเราได้เสมอ ทันใดนั้นเราตระหนักว่า มันเป็นไปได้ที่จะตีโต้ตอบลูกที่คู่แข่งเสิร์ฟมาทางคุณ ไม่ว่าเขาจะตีเก่งแค่ไหนก็ตาม เราได้เห็นถึงความสำคัญของการกลับไปที่ตรงกลางคอร์ทหลังจากตีแต่ละลูกไปแล้ว เราเฝ้าดูว่าพวกเขาตีลูกบอลแรงแค่ไหน เราสังเกตเห็นลูกที่พวกเขาเลี่ยงไม่ตี
เมื่อเรากลับไปที่คอร์ทหลังจากนั้น เราต่างประหลาดใจว่าตัวเองเล่นได้ดีขนาดไหน แน่นอนว่าเราไม่ได้มีฝีมือการเล่นใกล้เคียงกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เราได้รับแรงบันดาลใจจากตัวอย่างการเล่นของพวกเขา มันทำให้เราเล่นได้ดีกว่าปรกติมาก
ในช่วงชีวิตคริสเตียนของผม ผมพบรูปแบบแบบเดียวกันนี้ ตัวอย่างเช่น ผมได้รับสิทธิพิเศษในการทำงานร่วมกับแซนดี้ มิลล่าร์ เป็นเวลากว่าสิบเก้าปี ตลอดระยะเวลาในการเฝ้ามองชีวิตของเขา และฟังเขาเทศนา ผมได้รับแรงบันดาลใจจากตัวอย่างของเขา แม้ว่าอาจเป็นไปได้ยากที่จะไปให้ถึงระดับของคนที่เป็นตัวอย่างให้แก่เรา แต่หวังว่านี่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เราพัฒนาฝีมือของเรามากขึ้น
คริสเตียนคือผู้ที่เชื่อในพระเยซู วางความเชื่อไว้ในพระองค์ รู้จักพระองค์ และดำเนินชีวิต ‘ในพระคริสต์’ รวมถึงบางคนผู้กระทำตามอย่างพระองค์
ในประวัติศาสตร์มนุษย์ไม่มีตัวอย่างใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวอย่างของพระคริสต์ เปาโลเขียนไว้ว่า ‘ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า เหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์’ (1 โครินธ์ 11:1)
สุภาษิต 20:5-14
5ความประสงค์ในใจคนเหมือนน้ำลึก
แต่คนที่มีความเข้าใจจะวิดมันออกมาได้
6คนมากมายป่าวร้องความจงรักภักดีของตัวเอง
แต่ใครจะหาคนซื่อสัตย์พบเล่า?
7คนชอบธรรมดำเนินในความซื่อสัตย์ของตน
ลูกหลานของเขาที่เกิดตามมาก็เป็นสุข
8พระราชาผู้ประทับบนบัลลังก์พิพากษา
ย่อมทรงฝัดร่อนความชั่วทุกอย่างออกด้วยพระเนตรของพระองค์
9ใครจะพูดได้ว่า “ข้าทำให้ใจของข้าสะอาดแล้ว
ข้าบริสุทธิ์พ้นบาปแล้ว”
10ตุ้มน้ำหนักฉ้อฉลและเครื่องตวงขี้โกง
ทั้งคู่ต่างเป็นที่เกลียดชังต่อพระยาห์เวห์
11แม้เด็กก็เผยตัวเองออกมาโดยการประพฤติของเขา
ว่าสิ่งที่เขาทำบริสุทธิ์และถูกต้องหรือไม่
12หูที่ได้ยินกับตาที่มองเห็น
พระยาห์เวห์ทรงสร้างทั้งสองอย่าง
13อย่ารักการนอน เกรงว่าเจ้าจะยากจน
จงลืมตาของเจ้า แล้วเจ้าจะได้กินอิ่ม
14ผู้ซื้อพูดว่า “ของไม่ดี ของไม่ดี”
แต่เมื่อเขาไปแล้วเขาจึงอวด
อรรถาธิบาย
สำแดงชีวิตของคุณให้เป็นแบบอย่าง
ชีวิตของคุณส่งผลกระทบต่อคนอื่น ๆ อย่างไร คุณมองคนอื่นเพื่อให้เป็นแบบอย่าง คนอื่น ๆ ก็มองคุณว่าเป็นแบบอย่างเช่นกัน สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม
ไม่มีที่ไหนที่เปรียบกรณีแบบนี้มากไปกว่ากับพ่อแม่และลูก ๆ ผมสังเกตเห็นถึงพฤติกรรมแปลก ๆ หลายอย่างของพ่อที่ดูเหมือนผมหยิบมาทำตาม แน่นอนว่าทั้งพ่อแม่ต่างก็เป็นแบบอย่างในแบบที่จริงจังกว่านี้ด้วยเช่นกัน 'คนชอบธรรมดำเนินในความซื่อสัตย์ของตน ลูกหลานของเขาที่เกิดตามมาก็เป็นสุข’ (ข้อ 7)
บรรดาพ่อแม่ที่ดำเนินชีวิตในความสัตย์ซื่อจะนำเอาพระพรอันใหญ่หลวงมาสู่ลูกหลานของพวกเขา บิลลี่ เกรแฮม กล่าวว่า ‘ความสัตย์ซื่อเป็นเหมือนกาวที่ยึดเส้นทางแห่งชีวิตของเราเข้าไว้ด้วยกัน เราต้องพยายามรักษาความซื่อสัตย์ของเราให้คงอยู่โดยไม่บุบสลาย เพราะเมื่อสูญเสียความมั่งคั่ง เท่ากับว่าเราไม่ได้เสียอะไร เมื่อสูญเสียสุขภาพเท่ากับว่าบางสิ่งเสียไป แต่เมื่อสูญเสียคุณลักษณะชีวิตไป เท่ากับว่าทุกสิ่งล้วนสูญสลายไป’
ไม่มีใครเคยดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมเว้นแต่องค์พระเยซู ‘ใครในพวกเราจะเป็นที่เชื่อถือได้ว่า ขยันและสัตย์ซื่อเสมอ?’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่ถึงอย่างไร เราทุกคนสามารถพยายามดำเนินชีวิตเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีได้
พ่อแม่จำเป็นต้องแสดงความรักและสัตย์ซื่อต่อกัน ปฏิบัติต่อกันด้วยความอดทนและเคารพ แก้ไขความขัดแย้งด้วยพระคุณ สนับสนุนกันและกันในความยากลำบาก และไม่จมลงในความสัมพันธ์อันไม่เหมาะสมกับคนอื่น ๆ ‘คนมากมายป่าวร้องความจงรักภักดีของตัวเอง แต่ใครจะหาคนซื่อสัตย์พบเล่า?’ (ข้อ 6)
อีกด้านหนึ่งที่คุณสามารถเป็นตัวอย่างได้คือ ทำความเข้าใจความคิดของคนอื่น ๆ ‘ความประสงค์ในใจคนเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะวิดมันออกมาได้’ (ข้อ 5)
บ่อยครั้งที่ผมคิดถึงข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ข้อนี้ในบริบทของการเป็นเจ้าภาพอัลฟ่ากลุ่มย่อย ที่ทำความเข้าใจความคิดของคนในกลุ่ม นี่เป็นศิลปะของการเป็นผู้อำนวยการสนทนาที่ดี นี่เป็นทักษะของผู้สัมภาษณ์ที่จะดึงเอา ‘น้ำลึก’ ที่อยู่ในคนที่ให้สัมภาษณ์
นี่เป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งของพ่อแม่ต่อลูก ๆ ของพวกเขา และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นเพื่อนกับคนอื่น มีความลึกอย่างมากในมนุษย์ทุกคน ทักษะนี้คือการดึงเอาความลึกนั้นออกมา
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยเราให้ดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนอื่น ๆ ขอทรงช่วยเราให้สำแดงความบริสุทธิ์ ความสัตย์ซื่อ และการอุทิศตัว
1 โครินธ์ 10:14-11:1
14เพราะฉะนั้น พวกที่รักของข้าพเจ้า จงหลีกหนีการนับถือรูปเคารพ 15ข้าพเจ้าพูดกับท่านอย่างพูดกับคนมีปัญญา พวกท่านจงพิจารณาถ้อยคำที่ข้าพเจ้าพูดนั้นเถิด 16ถ้วยแห่งพร ซึ่งเราได้ขอพรนั้นทำให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? ขนมปังซึ่งเราหักนั้นทำให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? 17แม้เราเป็นบุคคลหลายคน แต่เนื่องจากมีขนมก้อนเดียว เราจึงเป็นร่างกายเดียว เพราะว่าเราทุกคนรับประทานขนมก้อนเดียวกัน 18จงพิจารณาดูการปฏิบัติของพวกอิสราเอล คนที่รับประทานของบูชานั้นก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชานั้นไม่ใช่หรือ? 19ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างไร เครื่องบูชาที่ถวายแก่รูปเคารพนั้น เป็นของศักดิ์สิทธิ์หรือ? รูปเคารพนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ? 20ไม่ใช่ ข้าพเจ้าหมายความว่าเครื่องบูชาที่พวกเขาถวายนั้น เขาถวายบูชาแก่พวกผี ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้พวกท่านมีส่วนร่วมกับพวกผี 21ท่านจะดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและจากถ้วยของพวกผีด้วยไม่ได้ จะรับประทานที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และที่โต๊ะของพวกผีด้วยก็ไม่ได้ 22เราจะยั่วยุให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอิจฉาหรือ? เรามีกำลังมากกว่าพระองค์หรือ?
จงทำทุกสิ่งเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
23เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นทำให้เจริญขึ้น 24อย่าให้ใครเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ 25ทุกสิ่งที่ขายตามตลาดเนื้อนั้นรับประทานได้ ไม่ต้องถามอะไรเนื่องจากมโนธรรม 26เพราะ “แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในโลกนั้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า” 27ถ้าคนที่ไม่เชื่อเชิญพวกท่านไปในงานเลี้ยง และท่านต้องการจะไป ทุกสิ่งที่เขาตั้งให้รับประทาน ก็รับประทานได้ โดยไม่ต้องถามอะไรเนื่องจากมโนธรรม 28แต่ถ้ามีใครมาบอกพวกท่านว่า “ของนี้เขาถวายแก่รูปเคารพแล้ว” ท่านก็อย่ารับประทานเพื่อเห็นแก่คนที่บอกนั้น และเพื่อเห็นแก่มโนธรรมด้วย 29(ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงมโนธรรมของพวกท่าน แต่หมายถึงมโนธรรมของคนที่บอกนั้น) ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้าต้องถูกตัดสินด้วยมโนธรรมของคนอื่น? 30ถ้าข้าพเจ้ารับประทานด้วยขอบพระคุณ ทำไมข้าพเจ้าต้องถูกว่าร้ายเพราะสิ่งที่ได้ขอบพระคุณแล้ว? 31เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า 32อย่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิว หรือพวกกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้าหลงผิดไป 33และให้เป็นเหมือนข้าพเจ้าเองที่พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้พอใจทุกคน ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนมากมาย เพื่อให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด
1 โครินธ์ 11
1ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้าเหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์
อรรถาธิบาย
แบบอย่างของเปาโล
‘คนทำตามอย่างที่พวกเขาเห็น’ เขียนไว้โดยจอห์น แม็กซ์เวล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผู้นำกล่าว ‘ยิ่งพวกผู้ติดตามได้เห็น และได้ยินผู้นำของพวกเขามีความสม่ำเสมอในการกระทำและในคำพูด ความสม่ำเสมอและความภักดีของพวกเขาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาฟัง พวกเขาเข้าใจ สิ่งที่พวกเขาเห็น พวกเขาเชื่อ!’
เปาโลเขียนไว้ด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะเปี่ยมด้วยความกล้าอย่างยิ่ง ‘ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า เหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์’ (11:1) ครึ่งแรกของประโยคคือสิ่งที่ขึ้นอยู่กับครึ่งหลัง ตัวอย่างของเปาโลมีค่าควรแก่การติดตามในขอบเขตที่ท่านติดตามพระคริสต์ ท่านกล้าพอที่จะพูดและเชื่อในสิ่งที่ทำ ด้วยตัวมันเองจึงเป็นตัวอย่างที่น่าอัศจรรย์ที่จะทำตาม
ข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์นี้รวมถึงตอนที่ท่านหนุนใจให้ชาวเมืองโครินธ์ที่จะ ‘หลีกหนีการนับถือรูปเคารพ' (10:14) พวกเขารักษาตัวเองให้บริสุทธิ์เมื่อพวกเขามีส่วนร่วม (ในพิธีมหาสนิท) ในพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์ (ข้อ 16) นี่เป็นจุดมุ่งเน้นในการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเรา: ‘เพราะว่าเราทุกคนรับประทานขนมก้อนเดียวกัน’ (ข้อ 17)
‘เมื่อเราดื่มจากถ้วยแห่งพระพรแล้ว เราได้ทำให้ตัวเองเข้าส่วนในพระโลหิต ในชีวิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? และเหมือนกันกับขนมปังที่เราหักและรับประทานไม่ใช่หรือ? เราได้ทำให้ตัวเองเข้าส่วนในพระโลหิต ในชีวิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? เพราะว่ามีขนมปังก้อนเดียว ความหลากหลายของเราจึงกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน พระคริสต์ไม่ได้ทรงกระจายออกในตัวเรา กลับกันเรากลับเป็นหนึ่งเดียวกันในพระองค์ เราไม่ได้ลดทอนพระองค์ลงสู่สิ่งที่เราเป็น พระองค์ทรงยกเราขึ้นสู่สิ่งที่พระองค์ทรงเป็น’ (ข้อ 16–17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
แม้ว่าคุณจะเป็นอิสระที่จะ ‘ทำทุกสิ่งได้’ (ข้อ 23) จงระวังสิ่งที่ทำเพราะว่า ‘ไม่ใช่ทุกสิ่งทำให้เจริญขึ้น’ (ข้อ 23ค) ‘เราอยากดำเนินชีวิตให้ดี แต่ความพยายามแรกสุดของเราควรเป็นการช่วยเหลือคนอื่นให้ดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คุณมีเสรีภาพอันน่าทึ่งในพระคริสต์ แต่คุณต้องใช้เสรีภาพนั้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ๆ และเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ‘เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า’ (ข้อ 31)
ทุกสิ่งที่เราทำควร ‘ถวายเกียรติแด่พระเจ้า’ เป้าหมายทั้งหมดในชีวิตของคุณคือควรใช้เสรีภาพของคุณในการพยายามที่จะถวายเกียรติพระเจ้าและเป็นการสิ่งดีต่อคนอื่น ๆ
นี่เป็นวิธีที่อัครสาวกเปาโลใช้นำชีวิตของตน แม้เมื่อพยายามที่จะ ‘ทำทุกสิ่งเพื่อให้พอใจทุกคน’ ‘ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนมากมาย เพื่อให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด’ (ข้อ 33) นี่เป็นบริบทในสิ่งที่เขาเขียนไว้ว่า ‘ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า เหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์’ (11:1)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับตัวอย่างของพระเยซู ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์ดังที่เปาโลได้ทำ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วย พระองค์เจ้าข้า ไม่ว่าข้าพระองค์จะทำอะไร ให้ทำทุกสิ่งเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
2 พงศาวดาร 5:2-7:10
ซาโลมอนทรงนำหีบพันธสัญญา เข้าในพระวิหาร
2แล้วซาโลมอนทรงประชุมพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล และบรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆ คือพวกเจ้านายของตระกูลของคนอิสราเอลในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อจะนำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ขึ้นมาจากนครดาวิด คือเมืองศิโยน 3และผู้ชายทั้งหมดของคนอิสราเอลก็ประชุมกับพระราชา ณ การเลี้ยงในเดือนที่เจ็ด 4พวกผู้ใหญ่ทั้งสิ้นของอิสราเอลมา และคนเลวีก็ยกหีบ 5และเขาทั้งหลายก็นำหีบ เต็นท์นัดพบและเครื่องใช้บริสุทธิ์ทั้งหมดซึ่งอยู่ในเต็นท์ขึ้นมา ของเหล่านี้บรรดาปุโรหิต และคนเลวีนำขึ้นมา 6และพระราชาซาโลมอนกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด ที่ประชุมกันอยู่กับพระองค์ต่อหน้าหีบ ได้ถวายแกะและวัวมากมายจนไม่สามารถนับจำนวนหรือคิดคำนวณได้ 7แล้วพวกปุโรหิตก็นำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มายังที่ตั้งของหีบ ซึ่งอยู่ในห้องชั้นในของพระนิเวศ คือในอภิสุทธิสถานที่ใต้ปีกเครูบ 8เพราะว่าเครูบนั้นกางปีกทั้งคู่ออกเหนือที่ตั้งของหีบ เครูบจึงคลุมอยู่เหนือหีบและไม้คานของหีบ 9คานหามนั้นยาวมาก จนมองเห็นปลายคานหามที่ยาวเลยจากหีบได้จากด้านหน้าของห้องชั้นในสุด แต่ไม่อาจมองเห็นจากภายนอก และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ 10ภายในหีบไม่มีอะไรนอกจากศิลาสองแผ่นซึ่งโมเสสเก็บไว้ ณ ภูเขาโฮเรบ เมื่อพระยาห์เวห์ทรงทำพันธสัญญากับคนอิสราเอล เมื่อเขาทั้งหลายออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ 11และอยู่มาเมื่อบรรดาปุโรหิตออกมาจากวิสุทธิสถาน (เพราะปุโรหิตทั้งหมดผู้อยู่ที่นั่นได้ชำระตัวเองให้บริสุทธิ์แล้ว และไม่คำนึงถึงเวร) 12และพวกเลวีที่เป็นนักร้องทั้งหมด ทั้งอาสาฟ เฮมาน และเยดูธูน ทั้งบุตรชายและญาติของพวกเขาต่างแต่งกายด้วยผ้าป่าน มีฉาบ พิณใหญ่ และพิณเขาคู่ ยืนอยู่ทางตะวันออกของแท่นบูชา พร้อมกับพวกปุโรหิตที่เป่าแตรหนึ่งร้อยยี่สิบคน 13พวกคนเป่าแตรและนักร้องแสดงด้วยความพร้อมเพรียงจนได้ยินเป็นเสียงเดียวกัน ในการร้องสรรเสริญและการขอบพระคุณพระยาห์เวห์ และเมื่อพวกเขาร้องขึ้น พร้อมกับแตร ฉาบและเครื่องดนตรีอื่นๆ ในการร้องสรรเสริญพระยาห์เวห์ว่า
“เพราะพระองค์ประเสริฐ
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์”
แล้วพระนิเวศ คือพระนิเวศของพระยาห์เวห์ก็เต็มไปด้วยเมฆ 14จนปุโรหิตยืนปรนนิบัติไม่ได้ เพราะเหตุเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระยาห์เวห์เต็มพระนิเวศของพระเจ้า
2 พงศาวดาร 6
การถวายพระวิหาร
1แล้วซาโลมอนตรัสว่า
“พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘พระองค์จะประทับในความมืดทึบ’
2แต่ข้าพระองค์เองได้สร้างพระนิเวศที่โอ่อ่าตระการตาถวายพระองค์
เป็นสถานที่เพื่อพระองค์จะสถิตอยู่เป็นนิตย์”
3แล้วพระราชาทรงหันมา และทรงอวยพรชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด ขณะที่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดยืนอยู่ 4พระองค์ตรัสว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ทรงทำสิ่งที่ทรงสัญญาด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์กับดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ พระองค์ตรัสว่า 5‘ตั้งแต่วันที่เรานำประชากรของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ได้เลือกเมืองไหนจากเผ่าใดในอิสราเอลที่จะสร้างนิเวศ เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น และเราไม่ได้เลือกชายคนไหนให้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอลประชากรของเรา 6แต่เราได้เลือกเยรูซาเล็มเพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น และเราได้เลือกดาวิดให้อยู่เหนืออิสราเอลประชากรของเรา’ 7ดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าจึงตั้งพระทัย ที่จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามแห่งพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล 8แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าว่า ‘ที่เจ้าตั้งใจจะสร้างนิเวศสำหรับนามของเรานั้น เจ้าก็ทำดีอยู่แล้ว ในเรื่องความตั้งใจของเจ้า 9อย่างไรก็ตาม เจ้าจะไม่ได้สร้างนิเวศ แต่บุตรชายของเจ้าผู้ซึ่งจะเกิดแก่เจ้าจะสร้างนิเวศ สำหรับนามของเรา’ 10บัดนี้พระยาห์เวห์ทรงให้พระสัญญาของพระองค์ที่ทรงกระทำนั้นสำเร็จ เพราะข้าพเจ้าได้ขึ้นมาแทนดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าและนั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาไว้ และข้าพเจ้าได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล 11ข้าพเจ้าได้วางหีบไว้ที่นั่น พันธสัญญาของพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำไว้กับคนอิสราเอลอยู่ในหีบนั้น”
12แล้วซาโลมอนทรงยืนอยู่หน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ต่อหน้าชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด และกางพระหัตถ์ของพระองค์ออก 13(เพราะซาโลมอนทรงสร้างแท่นทองสัมฤทธิ์ยาว 2.2 เมตร กว้าง 2.2 เมตร สูง 1.3 เมตร และทรงตั้งไว้กลางลาน พระองค์ทรงยืนอยู่บนแท่นนั้น แล้วพระองค์ทรงคุกเข่าลงต่อหน้าชุมนุมอิสราเอลทั้งหมด และกางพระหัตถ์ของพระองค์สู่ฟ้าสวรรค์) 14แล้วพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนเหมือนพระองค์ ทั้งในฟ้าสวรรค์ และบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาและทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยสุดใจ 15พระองค์ทรงรักษาสิ่งที่ทรงสัญญาไว้กับดาวิดพระราชบิดาของข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์ และสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์นั้น พระองค์ทรงทำให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ในวันนี้ 16ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล เพราะฉะนั้นขอทรงรักษาสิ่งที่ทรงสัญญาไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์คือดาวิดพระราชบิดาของข้าพระองค์ โดยตรัสว่า ‘ถ้าเพียงแต่ลูกหลานของเจ้าจะรักษาทางของเขาที่จะดำเนินตามบัญญัติของเรา อย่างที่เจ้าได้ดำเนินต่อหน้าเรานั้น เจ้าจะไม่ขาดชายที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลต่อหน้าเรา’ 17เพราะฉะนั้นข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ขอให้พระสัญญาที่พระองค์ได้ตรัสกับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เป็นจริง”
18“แต่แท้จริงพระเจ้าจะประทับกับมนุษย์บนแผ่นดินโลกหรือ? ดูสิ ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงสุดยังรองรับพระองค์ไว้ไม่ได้ แล้วพระนิเวศนี้ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างขึ้น จะรองรับพระองค์ได้อย่างไร 19แต่ขอพระองค์สนพระทัยในคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และในคำวิงวอนของเขา ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงสดับเสียงร้องและคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์ 20เพื่อพระเนตรของพระองค์จะทรงเฝ้าดูพระนิเวศนี้ ทั้งวันและคืน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ตรัสว่าจะตั้งพระนามของพระองค์ไว้ที่นั่น เพื่อพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะอธิษฐานต่อสถานที่นี้ 21และขอพระองค์ทรงสดับคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อเขาทั้งหลายอธิษฐานต่อสถานที่นี้ ขอพระองค์เองทรงสดับจากที่ประทับของพระองค์คือฟ้าสวรรค์ และเมื่อพระองค์ทรงสดับแล้ว ก็ขอทรงอภัย
22“เมื่อชายคนไหนทำบาปต่อเพื่อนบ้านของเขา และถูกบังคับให้สาบาน และเขามาสาบานต่อหน้าแท่นบูชาของพระองค์ในพระนิเวศนี้ 23ขอพระองค์ทรงสดับจากฟ้าสวรรค์และขอทรงดำเนินการ และขอทรงพิพากษาผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ โดยลงโทษผู้ทำผิด และให้การกระทำของเขาตกบนศีรษะของเขา และตัดสินว่าผู้ชอบธรรมนั้นบริสุทธิ์ โดยให้กับเขาตามความชอบธรรมของเขา
24“ถ้าอิสราเอลประชากรของพระองค์พ่ายแพ้ต่อศัตรู เพราะได้ทำบาปต่อพระองค์ แล้วพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ อธิษฐานและขอพระเมตตาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ในพระนิเวศนี้ 25ก็ขอพระองค์ทรงสดับจากฟ้าสวรรค์ และทรงอภัยบาปของอิสราเอลประชากรของพระองค์ และทรงนำเขากลับมายังแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่พวกเขาและบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย
26“เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดอยู่ และไม่มีฝน เพราะเขาทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ แล้วเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับจากบาปของเขา เมื่อพระองค์ทรงลงโทษพวกเขา 27ก็ขอทรงสดับในฟ้าสวรรค์ และทรงอภัยบาปของอิสราเอลซึ่งเป็นผู้รับใช้ และประชากรของพระองค์ แล้วขอทรงสอนทางดีที่ควรจะดำเนินแก่พวกเขา และขอประทานฝนตกบนแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งพระองค์ประทานให้เป็นมรดกแก่ประชากรของพระองค์
28“ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน ถ้ามีโรคระบาด ถ้ามีข้าวลีบ ข้าวขึ้นรา ภัยจากตั๊กแตนปาทังก้าภาษาฮีบรูน่าจะหมายถึงตั๊กแตนทะเลทราย และตั๊กแตนตัวอ่อน ถ้าศัตรูล้อมเมืองใดๆ ของเขาในแผ่นดิน หรือมีภัยพิบัติใดๆ หรือเกิดความเจ็บไข้ใดๆ ก็ดี 29แล้วหากคนหนึ่งคนใด หรืออิสราเอลประชากรของพระองค์ทั้งหมดที่ตระหนักในภัยพิบัติและความทุกข์ จะอธิษฐานหรือวิงวอนประการใด โดยกางมือของเขาสู่พระนิเวศนี้ 30ขอพระองค์ทรงสดับจากฟ้าสวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอทรงอภัย แล้วประทานแก่แต่ละคน ตามการประพฤติทั้งสิ้นของเขา (ด้วยพระองค์ทรงทราบจิตใจ เพราะพระองค์เท่านั้นทรงทราบจิตใจของมนุษย์) 31เพื่อเขาทั้งหลายจะได้ยำเกรงพระองค์ และดำเนินในพระมรรคาของพระองค์ตลอดวันเวลาที่มีชีวิตบนแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์
32“ยิ่งกว่านั้นอีก เกี่ยวกับคนต่างด้าว ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชากรของพระองค์ เขามาจากแดนไกล เนื่องจากพระนามยิ่งใหญ่ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ เมื่อเขามาอธิษฐานต่อพระนิเวศนี้ 33ขอพระองค์ทรงสดับจากฟ้าสวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอทรงทำตามทุกสิ่งซึ่งคนต่างด้าวได้ทูลขอต่อพระองค์ เพื่อชนทุกชาติแห่งแผ่นดินโลกจะรู้จักพระนามของพระองค์ และยำเกรงพระองค์ เหมือนอย่างอิสราเอลประชากรของพระองค์ และเพื่อเขาทั้งหลายจะทราบว่าพระนิเวศนี้ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้ เขาเรียกกันด้วยพระนามของพระองค์
34“ถ้าประชากรของพระองค์ออกไปต่อสู้กับศัตรูของเขา โดยทางใดๆ ที่พระองค์ทรงใช้เขาออกไปก็ตาม และเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อเมืองนี้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และตรงต่อพระนิเวศที่ข้าพระองค์ได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์ 35แล้วขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐาน และคำวิงวอนของเขาจากฟ้าสวรรค์ และขอประทานความยุติธรรมแก่พวกเขา
36“ถ้าเขาทั้งหลายทำบาปต่อพระองค์ (เพราะไม่มีมนุษย์คนใดไม่ได้ทำบาป) และพระองค์กริ้วพวกเขา และทรงมอบเขาไว้กับศัตรูผู้จับเขาไปเป็นเชลยยังแผ่นดินหนึ่งไม่ว่าใกล้หรือไกล 37แต่ถ้าเขาสำนึกผิดในแผ่นดินที่เขาถูกจับไปเป็นเชลยและได้กลับใจ แล้วได้วิงวอนต่อพระองค์ในแผ่นดินที่เขาไปเป็นเชลย ทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาป และได้ประพฤติชั่วร้ายและได้ทำการอธรรม’ 38ถ้าเขาทั้งหลายกลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของเขา ในแผ่นดินที่เขาไปเป็นเชลย ที่ซึ่งพวกเขาถูกจับไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย คือเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์ 39ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานและคำวิงวอนของพวกเขาจากฟ้าสวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระองค์และขอประทานความยุติธรรมแก่พวกเขา และขอทรงอภัยให้ประชากรของพระองค์ผู้ทำบาปต่อพระองค์ 40ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ บัดนี้ขอพระเนตรของพระองค์ทรงเฝ้าดูอยู่และขอพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานแห่งสถานที่นี้
41“ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้น เสด็จไปยังที่พำนักของพระองค์
ทั้งพระองค์และหีบแห่งฤทธานุภาพของพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า ขอให้ปุโรหิตของพระองค์ รับความรอด
และให้ธรรมิกชนของพระองค์เปรมปรีดิ์ในความประเสริฐของพระองค์
42ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า ขออย่าเมินพระพักตร์จากผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้นั้น
ขอทรงระลึกถึงความรักมั่นคงต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์”
2 พงศาวดาร 7
1เมื่อซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐานแล้ว ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้เครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชา และพระสิริของพระยาห์เวห์ก็เต็มพระนิเวศ 2ปุโรหิตทั้งหลายเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ไม่ได้ เพราะว่าพระสิริของพระยาห์เวห์เต็มพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 3เมื่อคนอิสราเอลทั้งหมดเห็นไฟลงมาและพระสิริของพระยาห์เวห์อยู่บนพระนิเวศ เขาทั้งหลายก็กราบซบหน้าติดพื้นบนทางเดิน และนมัสการทั้งสรรเสริญพระเจ้าว่า
“เพราะพระองค์ประเสริฐ
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์”
4แล้วพระราชาและประชาชนทั้งหมดถวายเครื่องสัตวบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 5กษัตริย์ซาโลมอนทรงถวายเครื่องสัตวบูชาเป็นวัว 22,000 ตัว และแกะ 120,000 ตัว ดังนี้แหละพระราชาและประชาชนทั้งหมดได้ถวายพระนิเวศของพระเจ้า 6บรรดาปุโรหิตก็ยืนประจำตำแหน่งของตน ทั้งคนเลวีพร้อมกับเครื่องดนตรีสำหรับบรรเลงถวายแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งกษัตริย์ดาวิดทรงทำขึ้นเพื่อขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เมื่อดาวิดถวายสรรเสริญด้วยฝีมือบรรเลงของเขาทั้งหลาย (เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์) แล้วปุโรหิตที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกเขาก็เป่าแตร ส่วนอิสราเอลทั้งหมดยืนอยู่
7และซาโลมอนทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลานซึ่งอยู่ข้างหน้าพระนิเวศของพระยาห์เวห์ให้บริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและไขมันของเครื่องศานติบูชาที่นั่น เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้น ไม่สามารถบรรจุเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เครื่องธัญบูชาและไขมัน
8ในเวลานั้นซาโลมอนทรงถือเทศกาลเลี้ยงอยู่เจ็ดวัน และอิสราเอลทั้งสิ้นก็อยู่กับพระองค์ เป็นชุมนุมชนยิ่งใหญ่มาก ตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงลำธารแห่งอียิปต์ 9และในวันที่แปด เขาทั้งหลายมีการประชุม เพราะพวกเขามีงานมอบถวายแท่นบูชามาเจ็ดวัน และถือเทศกาลเลี้ยงมาเจ็ดวันแล้ว 10เมื่อวันที่ยี่สิบสามของเดือนที่เจ็ด พระองค์ทรงให้ประชาชนกลับบ้านของตน ด้วยใจชื่นบานและยินดีเพราะความดีซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงแก่ดาวิด แก่ซาโลมอนและแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์
อรรถาธิบาย
แบบอย่างของผู้นำ
เราล้วนถูกเรียกให้เป็นแบบอย่าง อย่างไรก็ตาม บางคนมีความรับผิดชอบพิเศษ ประชากรของพระเจ้าถูกเรียกให้เป็นแบบอย่างแก่โลก พวกเขาได้รับพระพรพิเศษจากพระเจ้า และถูกเรียกให้เป็นแบบอย่างแก่ชนชาติอื่น ๆ ที่จะถูกดึงดูดด้วยชื่อเสียงอันดีงามของพวกเขา ผลก็คือ คนจากทั่วโลกจะได้รู้จักกับองค์พระผู้เป็นเจ้า (6:32–33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งถูกเลือกให้เป็นแบบอย่าง ‘เพื่อนามของเรา' (ข้อ 6) พระเจ้ายังทรงเลือกดาวิดและซาโลมอนไว้เป็นพิเศษเพื่อปกครองประชากรอิสราเอลของพระองค์ (6:6–7:10)
แต่ผู้นำคนอื่น ๆ ก็ยังคงต้องรับผิดชอบที่จะนำด้วยการเป็นแบบอย่าง เผ่าเลวีมีบทบาทการนำที่เฉพาะเจาะจงในการนมัสการในพระวิหาร (5:2 เป็นต้นไป) พวกคนเป่าแตรและนักร้องก็มีบทบาทในการนำด้วยเช่นกัน (6:13)
ซาโลมอนนำด้วยการเป็นแบบอย่างในการนมัสการและอธิษฐาน 'พระองค์ทรงคุกเข่าลงต่อหน้าชุมนุมอิสราเอลทั้งหมด และกางพระหัตถ์ของพระองค์สู่ฟ้าสวรรค์ และอธิษฐาน’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ซาโลมอนบอกคนอื่น ๆ เรื่องความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และนมัสการพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ คำอธิษฐานในการอุทิศตัวของซาโลมอนแสดงให้เห็นว่า อิสราเอลล้มลงในบทบาทนี้บ่อยครั้ง เขาทรงอธิษฐานหลายครั้งว่า ขอพระเจ้าทรงอภัยให้พวกเขาเมื่อพวกเขาหันกลับมา (ข้อ 21,25,27,30,39)
หลังจากที่ซาโลมอนอธิษฐาน ‘พระเจ้าทรงทำให้พระวิหารนั้นเต็มด้วยพระสิริจนไม่มีที่สำหรับปุโรหิตทั้งหลาย เมื่อคนอิสราเอลทั้งหมดเห็นไฟลงมาและพระสิริของพระยาห์เวห์อยู่บนพระนิเวศ เขาทั้งหลายก็กราบซบหน้าติดพื้น และนมัสการ และขอบพระคุณพระเจ้า’ (7:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
วันนี้ ภายใต้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เราเป็นพระวิหารของพระเจ้า (1 โครินธ์ 6:19) ดังที่จอยซ์ ไมเยอร์เขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าทรงอยากจะแสดงพระสิริของพระองค์ในเรา และผ่านเราอย่างมากเหมือนกับที่พระองค์ทรงกระทำให้พระวิหารทางกายภาพในยุคของซาโลมอน เมื่อพระสิริของพระเจ้าทรงสำแดงในชีวิตของคุณ คนอื่น ๆ จะมองมาที่คุณ และพูดว่า “ว้าว พระเจ้าที่คุณรับใช้อยู่นี่ยิ่งใหญ่จริง ๆ” เพราะว่าฤทธิ์อำนาจแห่งความดีงามของพระองค์ผ่านคุณนั้นเป็นหลักฐานที่มองเห็นได้สำหรับพวกเขา’
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงอยากจะสำแดงพระสิริของพระองค์ในข้าพระองค์ และผ่านทางข้าพระองค์ ขอทรงโปรดเติมเต็มข้าพระองค์ในวันนี้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ และทำให้ข้าพระองค์สามารถทำตามแบบอย่างของพระเยซู และเป็นแบบอย่างให้แก่คนอื่น ๆ
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สุภาษิต 20:13
‘อย่ารักการนอน เกรงว่าเจ้าจะยากจน’ โอ๊ย ตายละ! ฉันชอบนอนมากกว่า!
![reader](/assets/img/o2IIH9f3cp-320.jpeg)
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
![reader](/assets/img/VaA8S1A2AE-320.jpeg)
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
![reader](/assets/img/RdJg02ZuKy-320.jpeg)
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)