วิธีการฟังพระเจ้า
เกริ่นนำ
สมมติว่าผมไปหาคุณหมอ แล้วพูดว่า ‘หมอครับ ผมมีปัญหาเยอะมาก หัวเข่าของผมบิด...คันที่ดวงตา...นิ้วก็บวม...หลังก็ปวด’ หลังจากบอกอาการทั้งหมดแล้ว ผมมองไปที่นาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า ‘โอ้ ตายละ ได้เวลาแล้ว ผมต้องไปแล้วครับ’ คุณหมออาจจะตอบมาว่า ‘เดี๋ยวก่อนสิ คุณจะไม่ฟังที่หมอพูดสักหน่อยเหรอ?’
ถ้าเราเป็นฝ่ายพูดกับพระเจ้าแต่ไม่เคยใช้เวลาฟังพระองค์ เราก็ทำผิดพลาดในสิ่งเดียวกัน เราเอาแต่พูดและไม่ได้ฟังพระองค์จริง ๆ แต่ทว่าความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้านั้น หมายความถึงการสนทนาสองทาง เมื่อผมอธิษฐาน ผมพบประโยชน์มากมายในการเขียนความคิดที่อยู่ในใจในสิ่งที่อาจมาจากพระวิญญาณของพระเจ้า
ในยุคที่เต็มไปด้วยสื่อรอบตัว มีเสียงมากมายพุ่งตรงมาที่เรา ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วิทยุ อินเทอร์เน็ต ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค อินสตราแกรม อีเมล์ และข้อความ เรายังมีเสียงจากครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมงาน และบางครั้งเราก็มีเสียงของซาตานที่ล่อลวงให้เราไม่เชื่อคำพูดของพระเจ้า และสงสัยว่าพระเจ้าทรงสนใจเราหรือไม่
คุณจะได้ยินเสียงของพระเจ้าท่ามกลางเสียงต่าง ๆ และสิ่งรบกวนของชีวิตได้อย่างไร?
สุภาษิต 3:1-10
คำตักเตือนให้ไว้วางใจและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
1ลูกเอ๋ย อย่าลืมคำสอนของข้า
แต่ให้ใจของเจ้าเฝ้ารักษาบัญญัติของข้า
2เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มวันเดือนปีของชีวิตให้ยืนยาว
และทวีความสมบูรณ์พูนสุขแก่เจ้า
3อย่าให้ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ทอดทิ้งเจ้า
จงพันมันไว้รอบคอของเจ้า
จงเขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งหัวใจของเจ้า
4ดังนั้น จงหาความโปรดปรานและชื่อเสียงดี
ในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์
5จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
แล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่นราบรื่น
7อย่าคิดว่าตนมีปัญญา
จงยำเกรงพระยาห์เวห์ และจงหันจากความชั่วร้าย
8นี่จะเป็นพลานามัยแก่เนื้อหนังของเจ้า
และความสดชื่นแก่ร่างกายของเจ้า
9จงถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ด้วยทรัพย์สินของเจ้า
และด้วยผลแรกแห่งผลิตผลทุกอย่างของเจ้า
10แล้วยุ้งของเจ้าจะเต็มบริบูรณ์
และบ่อเก็บของเจ้าจะล้นด้วยเหล้าองุ่นหมักใหม่
อรรถาธิบาย
ฟังเสียงของพระเจ้าผ่านข้อพระคัมภีร์
วิธีหลัก ๆ ซึ่งพระเจ้าทรงตรัสกับเรา คือ ผ่านทางสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้แล้วในพระคัมภีร์ นั่นคือ ‘คำสอน’ และ ‘คำสั่ง’ ของพระองค์ (ข้อ 1) ในขณะที่คุณอ่านพระคัมภีร์ ให้คุณอธิษฐานขอให้พระเจ้าตรัสกับคุณและที่จะได้ยินเสียงของพระองค์
‘อย่าพยายามคิดทำความเข้าใจทุกอย่างด้วยตัวคุณเอง ‘จงฟังเสียงของพระเจ้าในทุกสิ่งที่คุณทำ ในทุกที่ที่คุณไป พระองค์คือผู้จะทำให้ทางของเราราบรื่น’ (ข้อ 5-6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
การเรียนรู้ข้อพระคัมภีร์เป็นวิธีหนึ่งที่คุณสามารถเขียนพระวจนะของพระเจ้า บน ‘แผ่นจารึกแห่งหัวใจของเจ้า’ (ข้อ 3) พิพพาและผมเรียนรู้ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ในช่วงฮันนีมูนของเราและได้พยายามใช้ชีวิตอยู่กับพระคำเหล่านั้น
1. ให้ ‘ความรักและความสัตย์ซื่อ’ นำทาง
สิ่งเหล่านี้ควรเป็นแนวทางในการตัดสินใจของเราในทุกครั้ง ‘ความรักและความสัตย์ซื่อ’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ควรฝังลึกในใจของเรา ตัวอย่างความหมายของความสัตย์ซื่อ ได้แก่ การพูดถึงผู้อื่นเหมือนกับว่าตัวพวกเขาอยู่ตรงนั้น เราสร้างความเชื่อใจต่อผู้ที่เรารู้จัก ด้วยการแสดงความสัตย์ซื่อของเราต่อผู้ที่ไม่ได้ปรากฎตัว ณ ที่นั่น ถ้าคุณดำเนินชีวิตแบบนี้ พระเจ้าสัญญากับคุณว่าจะมี ‘ชื่อเสียงดีในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
2. วิ่งไปหาพระเจ้า วิ่งหนีจากความชั่วร้าย!
เราต้องวางใจในพระเจ้ามากกว่าที่จะหยิ่งผยองและคิดว่าเราฉลาด ความเกรงกลัวพระเจ้าในแง่ของความยำเกรงที่ดีควรนำเราไปสู่การ ‘วิ่งเข้าหาพระเจ้า วิ่งหนีจากความชั่วร้าย’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าทรงสัญญาว่า ‘นี่จะเป็นพลานามัยแก่เนื้อหนังของเจ้า และความสดชื่นแก่ร่างกายของเจ้า’ (ข้อ 8) กล่าวอีกนัยหนึ่งมีการเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณและทางกายภาพ
3. เป็นผู้ให้ที่มีใจกว้างขวาง
การจัดการเงินของคุณนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก จงมอบ ‘สิ่งแรกและสิ่งที่ดีที่สุด’ แด่พระเจ้า (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) (นั่นหมายถึงรายได้ส่วนแรกของคุณ ไม่ใช่ส่วนสุดท้าย) ผมพบว่านี่เป็นหลักการที่ไม่ธรรมดา ถ้าคุณจัดการเงินถวายอย่างถูกต้อง คุณจะค้นพบความจริงของคำสัญญาที่ว่าพระเจ้าจะประทานทุกความต้องการของคุณ 'แล้วยุ้งของเจ้าจะเต็มบริบูรณ์ และบ่อเก็บของเจ้าจะล้นด้วยเหล้าองุ่นหมักใหม่’ (ข้อ 10)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะไม่เพียงแค่อ่านพระคำของพระองค์ แต่เพื่อเรียนรู้ใช้ชีวิตโดยข้อพระคัมภีร์เหล่านั้น และนำพระเกียรติมาสู่พระนามของพระองค์
มัทธิว 16:21-17:13
พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระองค์
21ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่บรรดาสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ พวกหัวหน้าปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์ และทรงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ 22เปโตรดึงพระองค์ออกมา และเริ่มว่ากล่าวพระองค์ว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้” 23พระองค์จึงหันพระพักตร์มาตรัสกับเปโตรว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเราเพราะเจ้าไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า แต่เจ้าคิดอย่างมนุษย์”
24พระเยซูจึงตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา 25เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด 26เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา? 27เพราะว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระรัศมีของพระบิดา พร้อมด้วยบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนแต่ละคนตามการกระทำของเขา 28เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนยังจะไม่ลิ้มรสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของพระองค์”
มัทธิว 17
การทรงจำแลงพระกาย
1เมื่อล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องของยากอบขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง 2แล้วพระองค์ก็ทรงได้รับการเปลี่ยนแปลงไปต่อหน้าพวกเขา พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง 3ในทันใดนั้นโมเสสและเอลียาห์ก็มาปรากฏแก่พวกสาวก และพูดคุยกับพระองค์ 4เปโตรทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ดีจริงๆ ที่เราอยู่กันที่นี่ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพระองค์จะทำเพิงสามหลังที่นี่ สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” 5เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำก็เกิดมีเมฆสุกใสมาปกคลุมพวกเขาไว้ แล้วมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก จงเชื่อฟังท่านเถิด 6พวกสาวกเมื่อได้ยินก็ซบหน้าลงและกลัวยิ่งนัก 7พระเยซูจึงเสด็จมาใกล้และทรงสัมผัสตัวพวกเขา ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” 8เมื่อพวกเขาเงยหน้าดูก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่พระเยซูองค์เดียว
9ขณะเสด็จลงมาจากภูเขาพระเยซูตรัสสั่งพวกสาวกว่า “นิมิตซึ่งท่านทั้งหลายเห็นนั้น อย่าเล่าให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย” 10พวกสาวกก็ทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์จึงบอกว่า ‘เอลียาห์จะต้องมาก่อน?’ ” 11พระเยซูตรัสตอบว่า “เอลียาห์จะมาจริงๆ และจะทำให้ทุกสิ่งคืนสู่สภาพเดิม 12แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่าเอลียาห์นั้นมาแล้ว และเขาทั้งหลายไม่รู้จักท่าน แต่เขาได้ทำกับท่านตามที่ต้องการแล้ว บุตรมนุษย์ก็จะต้องทนทุกข์เพราะน้ำมือของพวกเขาเช่นกัน” 13แล้วพวกสาวกจึงเข้าใจว่า พระองค์ตรัสกับพวกเขาโดยทรงเล็งถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา
อรรถาธิบาย
ฟังพระเจ้าผ่านถ้อยคำของพระเยซู
พระดำรัสของพระเยซูคือพระดำรัสของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า ‘จงฟังเขา’ (17:5) ดังนั้น เมื่อคุณอ่านพระดำรัสของพระเยซู และรับเอาพระคำไว้ในใจ คุณก็กำลังฟังพระเจ้าอยู่
พระเยซูทรงเตือนสาวกให้เตรียมพบกับการถูกข่มเหง เราหลีกเลี่ยงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ (16:21) ในข้อนี้พระเยซูตรัสกับสาวกเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานที่พระองค์กำลังจะประสบถึงสองครั้ง พระองค์อธิบายให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ (16:21,17:9–12)
อย่างไรก็ตาม แทนที่เปโตรจะฟังพระเยซู เขากลับโต้แย้งพระองค์ (16:22) คำตำหนิของพระเยซูต่อเปโตรมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญทุก ๆ ครั้ง เราต้องถามตัวเองก่อนว่า ในความคิดของเรานั้น เราคิดอย่างพระเจ้าหรือคิดอย่างที่มนุษย์คิด (ข้อ 23) สิ่งที่พระเยซูตรัสกับเปโตรเป็นหัวใจสำคัญของพันธกิจของพระองค์และมีความหมายอย่างมากสำหรับสาวกพระเยซูทุกคน (ข้อ 24–28)
เราไม่ได้แสวงหาชีวิตที่สะดวกสบายหรือปลอดภัย พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า ‘ใครก็ตามที่ตั้งใจจะติดตามเรา ต้องให้เราเป็นผู้นำทาง ที่นั่งคนขับไม่ใช่เป็นของเจ้า แต่เป็นที่นั่งสำหรับเรา อย่าวิ่งหนีจากความทุกข์ยาก แต่จงโอบกอดมัน จงติดตามเรา แล้วเราจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าการพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ได้ช่วยอะไรเลย การสละตัวเองเป็นหนทางของเราในการค้นหาตัวเอง ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้า จะมีประโยชน์อะไรถ้าเจ้าได้ทุกสิ่งเจ้าที่ต้องการ แต่ต้องสูญเสียชีวิตของเจ้า เจ้าเคยเอาวิญญาณไปแลกกับอะไรได้บ้าง’ (ข้อ 24–26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
การติดตามพระเยซูเกี่ยวข้องกับการปฏิเสธตัวเอง รับกางเขนของตนมาแบก และติดตามพระองค์ (ข้อ 24) นี่คือหนทางที่จะพบชีวิตที่บริบูรณ์
ในแง่หนึ่ง ความมั่งคั่งมีจุดหมายปลายทางที่ไม่สิ้นสุด แต่จุดมุ่งหมายในชีวิตนั้นสำคัญยิ่งกว่าทรัพย์สิน หรือการได้ครอบครองทั้งเงินทองทั้งหมดในโลก ความสำเร็จทั้งหมดในโลก ชื่อเสียงทั้งหมดในโลก หรือพลังงานทั้งหมดในโลกจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าคุณสูญเสียจิตวิญญาณของคุณไป (ข้อ 26) และพลาดความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิต
ในทางกลับกันถ้าคุณติดตามพระเยซูและยอมจำนนชีวิตเพื่อพระองค์ คุณจะพบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของชีวิต คำตรัสของพระเยซูมีพลังอำนาจอย่างอัศจรรย์ ไม่เคยมีเวลาไหนที่การ ‘ฟังพระเยซู’ จะมีความสำคัญมากไปกว่าเวลานี้!
พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูง รูปลักษณ์ของพระเยซูเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตาพวกเขา 'พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง จากนั้นพวกสาวกก็ตระหนักว่าโมเสสและเอลียาห์อยู่ที่นั่นเพื่อสนทนากับพระองค์อย่างลึกซึ้งด้วย’ (ข้อ 17:1–3 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาได้ยินพระเจ้าตรัสว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก จงเชื่อฟังท่านเถิด’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ขณะที่โมเสสและเอลียาห์สนทนากับพระเยซู คุณเองก็สามารถดำเนินชีวิตที่ ‘คุยกับพระเยซู’ ได้เช่นกัน ประสบการณ์ของคุณอาจไม่เห็นด้วยสายตาหรือการได้ยินเหมือนที่บรรดาสาวกบนภูเขาแห่งการจำแลงพระกายนั้นประสบมา แต่คุณก็สามารถรู้ว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่ในชีวิตคุณได้เช่นกัน โดยการอ่านและใคร่ครวญพระคำของพระองค์ คุณจะได้สัมผัสกับการสนทนากับพระเยซูผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
ในแง่หนึ่ง คุณสามารถมองไปที่พระพักตร์ของพระองค์ซึ่งทอแสง ‘เหมือนแสงอาทิตย์’ (ข้อ 2) คุณสามารถมีประสบการณ์ในพระวิญญาณขณะที่นมัสการ (ข้อ 6) อาจเป็นรู้สึกราวกับว่าพระเยซูกำลังสัมผัสคุณจริง ๆ และตรัสกับคุณว่า ‘อย่ากลัวเลย’ (ข้อ 7) และมีหลายครั้งที่คุณอาจมองขึ้นไปและ ‘ไม่เห็นใคร เห็นแต่พระเยซูองค์เดียว’ (ข้อ 8)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่เมื่อข้าพระองค์ได้สละชีวิตเพื่อพระองค์ ข้าพระองค์ได้พบชีวิต โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ฟังเสียงของพระองค์ และติดตามพระองค์ทุกวัน
ปฐมกาล 47:13-48:22
การกันดารอาหารในอียิปต์
13ครั้งนั้นทั่วแผ่นดินขาดอาหารเพราะการกันดารอาหารร้ายแรง จนแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอันหิวโหยเพราะการกันดารอาหาร 14โยเซฟรวบรวมเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายข้าวในแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอัน และนำเงินไปไว้ในราชวังฟาโรห์ 15เมื่อเงินในแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอันหมดแล้ว ชาวอียิปต์ทั้งปวงมากล่าวกับโยเซฟว่า “ขออาหารให้พวกข้าพเจ้ารับประทานเถิด ทำไมพวกข้าพเจ้าจะต้องตายต่อหน้าท่านเพราะเงินหมดเล่า?” 16โยเซฟจึงบอกว่า “ถ้าเงินหมดแล้ว จงเอาฝูงสัตว์ของเจ้ามาให้เรา เราจะให้ข้าวแลกกับฝูงสัตว์” 17พวกเขาก็นำฝูงสัตว์ของตนมาให้โยเซฟ โยเซฟจึงให้อาหารแก่พวกเขาแลกกับฝูงม้าแพะแกะโคและลา ในปีนั้นท่านแลกอาหารกับฝูงสัตว์ทั้งหมดของพวกเขา 18เมื่อปีนั้นล่วงไปแล้ว พวกเขาก็มาหาท่านในปีต่อไปกล่าวกับท่านว่า “พวกข้าพเจ้าไม่ขอปิดบังนายของข้าพเจ้าว่า เงินของข้าพเจ้าหมดแล้ว และสัตว์ใช้งานของข้าพเจ้าก็เป็นของนายด้วย ข้าพเจ้าไม่มีอะไรเหลือต่อหน้านายเลย เว้นแต่ตัวข้าพเจ้ากับที่ดินเท่านั้น 19ทำไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องตายต่อหน้าท่านเล่า ทั้งตัวพวกข้าพเจ้ากับที่ดินของพวกข้าพเจ้าด้วย ซื้อตัวพวกข้าพเจ้ากับที่ดินแลกกับอาหาร พวกข้าพเจ้ากับที่ดินจะเป็นทาสของฟาโรห์ ขอให้เมล็ดข้าวแก่พวกข้าพเจ้า เพื่อพวกข้าพเจ้าจะมีชีวิตต่อไปและไม่ตาย และที่ดินก็จะไม่ร้างเปล่า”
20โยเซฟซื้อที่ดินทั้งหมดในอียิปต์ให้แก่ฟาโรห์ เพราะคนอียิปต์ทุกคนขายไร่นาของเขา เนื่องจากการกันดารอาหารรุนแรงยิ่งนัก เพราะฉะนั้นแผ่นดินจึงตกเป็นของฟาโรห์ 21ส่วนประชาชนนั้นโยเซฟให้ย้ายไปอยู่ตามเมืองต่างๆ จากเขตแดนด้านหนึ่งจนถึงสุดแดนอียิปต์อีกด้านหนึ่ง 22เว้นแต่ที่ดินของพวกปุโรหิตเท่านั้นโยเซฟไม่ได้ซื้อ เพราะปุโรหิตได้รับปันส่วนจากฟาโรห์ และพวกเขารับประทานตามส่วนที่ฟาโรห์พระราชทาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ขายที่ดินของพวกเขา 23โยเซฟกล่าวกับประชาชนว่า “ดูเถิด วันนี้เราซื้อตัวพวกเจ้ากับที่ดินของเจ้าให้เป็นของฟาโรห์แล้ว นี่แน่ะเราจะให้เมล็ดข้าวแก่พวกเจ้า จงเอาไปหว่านในที่ดิน 24เมื่อได้ผลแล้วจงถวายส่วนหนึ่งในห้าส่วนแก่ฟาโรห์ เก็บสี่ส่วนไว้เป็นของพวกเจ้า ให้ใช้เป็นพันธุ์ข้าวสำหรับที่นาบ้าง เป็นอาหารสำหรับพวกเจ้าและครอบครัวกับเด็กๆ บ้าง” 25คนทั้งหลายก็ตอบว่า “ท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ ขอให้พวกข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากนายเถิด พวกข้าพเจ้ายอมเป็นทาสของฟาโรห์” 26โยเซฟตั้งเป็นกฎหมายในแผ่นดินอียิปต์จนทุกวันนี้ว่า ให้ฟาโรห์ได้ส่วนหนึ่งในห้าส่วน เว้นแต่ที่ดินของปุโรหิตเท่านั้นที่ไม่ตกเป็นของฟาโรห์
บั้นปลายของยาโคบ
27พวกอิสราเอลอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ ณ ดินแดนโกเชนพวกเขาได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของพวกเขา และมีลูกหลานทวีขึ้นมากมาย 28ยาโคบมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ 17 ปี รวมอายุยาโคบได้ 147 ปี
29เมื่ออิสราเอลใกล้จะสิ้นชีพจึงเรียกโยเซฟบุตรชายมาสั่งว่า “ถ้าเจ้ายังนับถือพ่อ ขอให้เอามือเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของพ่อ และทำต่อพ่อด้วยความรักมั่นคงและความจริง คือขออย่าฝังศพพ่อไว้ในอียิปต์ 30เมื่อพ่อล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพ่อแล้ว จงนำพ่อออกจากอียิปต์ไปฝังไว้ ณ ที่ฝังศพบรรพบุรุษของพ่อเถิด” โยเซฟก็สัญญาว่า “ลูกจะทำตามที่พ่อสั่ง” 31อิสราเอลจึงบอกว่า “จงสาบานต่อพ่อ” โยเซฟก็สาบานต่อบิดา แล้วอิสราเอลก็โน้มตัวลงบนหัวเตียง
ปฐมกาล 48
ยาโคบอวยพรลูกของโยเซฟ
1หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ มีคนเรียนโยเซฟว่า “บิดาของท่านป่วย” โยเซฟก็พามนัสเสห์และเอฟราอิมบุตรทั้งสองของท่านไปด้วย 2มีคนบอกยาโคบว่า “โยเซฟบุตรชายของท่านมาหา” อิสราเอลก็รวบรวมกำลังลุกขึ้นนั่งบนที่นอน 3ยาโคบจึงพูดกับโยเซฟว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้สำแดงพระองค์แก่พ่อที่ตำบลลูสในดินแดนคานาอัน ทรงอวยพรแก่พ่อ 4และตรัสแก่พ่อว่า ‘เราจะให้เจ้ามีลูกดกทวียิ่งขึ้นและเราจะให้เจ้าเป็นชนชาติหลายชาติ และจะให้ดินแดนนี้ให้แก่พงศ์พันธุ์ของเจ้าที่จะมาภายหลังเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ 5ส่วนบุตรทั้งสองของเจ้าที่เกิดแก่เจ้าในแผ่นดินอียิปต์ก่อนพ่อมาหาเจ้าในอียิปต์ก็เป็นบุตรของพ่อ เอฟราอิมและมนัสเสห์เป็นของพ่อเหมือนรูเบนและสิเมโอน 6ส่วนบุตรของเจ้าที่เกิดมาภายหลังจะนับเป็นบุตรของเจ้า พวกเขาจะได้ชื่อตามพี่ชายในการรับมรดกของพวกเขา 7เมื่อพ่อจากปัดดานมา ก็เศร้าใจที่ราเชลตายในดินแดนคานาอันขณะอยู่ตามทางยังห่างจากเอฟราธาห์ แล้วพ่อก็ฝังศพไว้ริมทางไปเอฟราธาห์ (คือเบธเลเฮม)”
8อิสราเอลเห็นบุตรทั้งสองของโยเซฟจึงถามว่า “นี่ใคร?” 9โยเซฟตอบบิดาว่า “นี่เป็นบุตรที่พระเจ้าประทานแก่ลูกในที่นี้” อิสราเอลจึงว่า “ขอพาลูกทั้งสองเข้ามาเพื่อพ่อจะได้อวยพรพวกเขา” 10ตาของอิสราเอลมืดมัวไปเพราะความชรา มองอะไรไม่เห็น โยเซฟพาบุตรทั้งสองเข้ามาใกล้บิดา อิสราเอลก็กอดจูบพวกเขา 11อิสราเอลบอกโยเซฟว่า “พ่อไม่คิดว่าจะได้เห็นหน้าเจ้า แต่พระเจ้าทรงให้พ่อเห็นเจ้าและทั้งลูกของเจ้าด้วย” 12โยเซฟให้บุตรทั้งสองลงจากเข่าของท่าน แล้วโน้มตัวลงคำนับถึงดิน 13โยเซฟจูงบุตรทั้งสองเข้าไปใกล้บิดามือขวาจับเอฟราอิมให้อยู่ข้างซ้ายอิสราเอล และมือซ้ายจับมนัสเสห์ให้อยู่ข้างขวาอิสราเอล 14ฝ่ายอิสราเอลก็เหยียดมือขวาออกวางบนศีรษะเอฟราอิมผู้เป็นน้อง และมือซ้ายวางไว้บนศีรษะมนัสเสห์ เหยียดมือออกไขว้กันเช่นนั้น เพราะมนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี 15แล้วอิสราเอลกล่าวคำอวยพรแก่โยเซฟว่า
“ขอพระเจ้าที่อับราฮัมและอิสอัคบรรพบุรุษข้าพเจ้า
ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์นั้น
ขอพระเจ้าผู้ทรงบำรุงเลี้ยงข้าพเจ้า
ตลอดชีวิตจนถึงวันนี้
16ขอทูตสวรรค์ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น
โปรดอวยพรแก่เด็กทั้งสองนี้
ให้พวกเขาสืบชื่อของข้าพเจ้าและชื่อของอับราฮัม และอิสอัคบรรพบุรุษของข้าพเจ้าไว้
และขอให้พวกเขาเจริญขึ้นเป็นมวลชนบนแผ่นดินเถิด”
17ฝ่ายโยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาบนศีรษะของเอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือบิดาเพื่อยกจากศีรษะเอฟราอิมวางบนศีรษะมนัสเสห์ 18โยเซฟบอกบิดาว่า “พ่อวางไม่ถูก เพราะคนนี้เป็นคนหัวปี ขอพ่อวางมือขวาบนศีรษะเขา” 19แต่บิดาไม่ยอม ตอบว่า “พ่อรู้แล้ว ลูกเอ๋ย พ่อรู้แล้ว เขาจะเป็นคนเผ่าหนึ่งด้วย และเขาจะเป็นใหญ่ด้วย อย่างไรก็ดีน้องจะเป็นใหญ่กว่าพี่ และพงศ์พันธุ์ของน้องนั้นจะเป็นชนหลายหมู่รวมกัน” 20วันนั้นอิสราเอลก็ให้พรแก่ทั้งสองคนว่า
“พวกอิสราเอลจะใช้ชื่อเจ้าให้พรว่า
‘ขอพระเจ้าทรงให้ท่านเป็นเหมือนเอฟราอิม และเหมือนมนัสเสห์’ ”
ดังนั้นอิสราเอลจึงจัดให้เอฟราอิมมาก่อนมนัสเสห์ 21อิสราเอลบอกโยเซฟว่า “นี่แน่ะ พ่อจะตาย แต่พระเจ้าจะทรงอยู่กับพวกเจ้า จะพาพวกเจ้ากลับไปดินแดนของบรรพบุรุษของพวกเจ้า 22ยิ่งกว่านั้นอีก พ่อยกเชเคมที่พ่อยึดจากมือคนอาโมไรต์ ด้วยดาบและธนูของเรานั้นให้แก่เจ้า แทนที่จะให้พี่น้องของเจ้า”
อรรถาธิบาย
ฟังเสียงองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งชีวิต
เมื่อยาโคบมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตและมองย้อนกลับไปที่พระพรทั้งหมดของพระเจ้า (แม้ว่าจะมีการทดลองและความยากลำบากก็ตาม) เขาก็ยัง 'สาบานต่อบิดา แล้วอิสราเอลก็โน้มตัวลงบนหัวเตียง’ (47:31) เขาระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงนำเขามาตลอดชีวิต นี้เป็นภาพที่ชวนให้นึกถึงบุคคลที่ดำเนินชีวิตอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้า โดยรับฟังพระองค์และรับสติปัญญาของพระองค์ เขาระลึกถึงตอนที่พระเจ้าตรัสกับเขาและประทานนิมิตสำหรับชีวิตของเขา (48:3–4) เขาสามารถพูดได้ว่า ‘พระเจ้าผู้ทรงบำรุงเลี้ยงข้าพเจ้าตลอดชีวิตจนถึงวันนี้’ (ข้อ 15)
ยาโคบยังจดจำได้เป็นอย่างดีว่าพระเจ้าทรงนำโยเซฟบุตรชายของเขาอย่างอัศจรรย์ เนื่องจากโยเซฟเรียนรู้ที่จะฟังพระเจ้า เขาจึงสามารถตีความความฝันของฟาโรห์ได้ และด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เห็นพระพรอันยิ่งใหญ่ โยเซฟไม่เพียงช่วยชีวิตประชากรของพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังช่วยชีวิตชาวอียิปต์ทั้งหมดไว้ด้วย (47:25) เมื่อเวลาชีวิตของยาโคบใกล้จะสิ้นสุด เขาก็อวยพรบุตรชายของโยเซฟโดยแสดงความไว้วางใจในพระสัญญาของพระเจ้าและพระพรสำหรับอนาคต
เมื่อผู้เขียนพระธรรมฮีบรูแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตแห่งความเชื่อของยาโคบ เขามุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์นี้ ‘โดยความเชื่อ เมื่อยาโคบใกล้จะตาย จึงอวยพรบุตรแต่ละคนของโยเซฟ และได้นมัสการพระเจ้า ขณะยันกายบนหัวไม้เท้าของท่าน’ (ฮีบรู 11:21) เมื่อถึงเวลาที่ยาโคบสิ้นใจ ความไว้วางใจในพระเจ้าของเขาไม่ได้ลดลงเลย ชีวิตของยาโคบจบลงด้วยความเชื่อที่เจริญงอกงาม
จงรักษาความสัตย์ซื่อในการนมัสการและฟังเสียงพระเจ้าตลอดชีวิตทั้งของคุณ จงเชื่อวางใจให้พระเจ้าเป็นผู้นำและคอยชี้แนะทางให้คนรุ่นต่อไป ที่พวกเขาจะฟังเสียงของผู้เลี้ยงเช่นกัน (ดูยอห์น 10:3–4)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ทรงสัญญาว่าจะนำข้าพระองค์ และตรัสกับข้าพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ฟังพระองค์ในทุกวันและตลอดทั้งชีวิตของข้าพระองค์
เพิ่มเติมโดยพิพพา
'จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า...จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า’ (สุภาษิต 3:5-6) คือ มอบทั้งใจ ‘ทั้งหมดของหัวใจ…ทุกวิถีทาง’ นั่นหมายถึงความมุ่งมั่นเพื่อพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ มีสิ่งใดในชีวิตของคุณหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลหรือความสำเร็จ ซึ่งคุณอาจต้องมอบให้พระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณยังคงมอบสิ่งเหล่านั้นด้วยความมุ่งมั่น ‘ทั้งหมด’ ต่อพระเจ้า
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)