วัน 243

เปลี่ยนโฉมฝ่ายวิญญาณ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 104:19-30
พันธสัญญาใหม่ 2 โครินธ์ 3:7-18
พันธสัญญาเดิม 2 พงศาวดาร 35:20-36:23

เกริ่นนำ

คุณพ่อรานิเอโร กันตาลาเมสซา นักเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปา อายุ 81 ปี ได้กรุณามากล่าวปราศรัยในการประชุมผู้นำของเราที่ รอยัล อัลเบิร์ต ฮอลล์ หลายคนแสดงความคิดเห็นว่าใบหน้าและดวงตาของท่านเปล่งประกายด้วยรัศมีแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า ครั้งหนึ่งท่านอยู่บนรถไฟในอิตาลีเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าเข้ามาหาท่าน และพูดว่า ‘ใบหน้าของท่าน ทำให้ฉันต้องเชื่อ

มีคนกล่าวว่า ‘เราไม่สามารถควบคุมความงามของใบหน้าได้ แต่เราสามารถควบคุมการแสดงออกของใบหน้าได้’ จากตัวอย่างนี้ คุณสามารถบอกอะไรได้มากมายด้วยการดูจากตา และใบหน้าของผู้คน เราพูดว่า ‘คุณควรจะได้เห็นใบหน้าของพวกเขา’ ดังสุภาษิตละตินโบราณกล่าวว่า ‘ใบหน้าคือเครื่องบ่งชี้ของจิตใจ’

‘ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ’ เช่นกัน เมื่อเราต้องการใครสักคนที่รับฟังและเชื่อเราจริง ๆ เราพูดกับคนนั้นว่า ‘มองตาฉัน’

พระคัมภีร์กล่าวไว้มากมายเกี่ยวกับใบหน้า และดวงตา

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 104:19-30

19พระองค์ทรงตั้งดวงจันทร์ให้กำหนดฤดู
 ดวงอาทิตย์รู้จักเวลาตกของมัน
20พระองค์ทรงให้เกิดความมืด และนั่นเป็นกลางคืน
 ในเวลาเช่นนั้น สัตว์ทั้งสิ้นของป่าไม้คลานออกมา
21สิงโตหนุ่มคำรามหาเหยื่อ
 และแสวงหาอาหารของมันจากพระเจ้า
22เมื่อดวงตะวันขึ้น มันก็ไปเสีย
 ไปนอนอยู่ในถ้ำของมัน
23มนุษย์ก็ออกไปทำงานของเขา
 ไปทำภารกิจของเขาจนเวลาเย็น
24ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระราชกิจของพระองค์มากมายจริงๆ
 พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งด้วยพระปัญญา
 แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยสิ่งที่ทรงสร้าง
25ทะเลอยู่ข้างโน้น ทั้งใหญ่และกว้าง
 ในนั้นมีสิ่งเคลื่อนไหวนับไม่ถ้วน
 คือสิ่งมีชีวิตทั้งเล็กและใหญ่
26กำปั่นเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งแล่นไปโน่นแน่ะ
 และเลวีอาธานที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้เล่นในนั้น
27สิ่งทั้งหมดนี้แหงนหาพระองค์
 เพื่อให้พระองค์ประทานอาหารแก่มันตามเวลา
28เมื่อพระองค์ประทาน มันก็เก็บไป
 เมื่อพระองค์แบพระหัตถ์ออก มันก็อิ่มหนำด้วยของดี
29เมื่อพระองค์ซ่อนพระพักตร์เสีย มันก็ลำบากใจ
 เมื่อพระองค์ทรงเอาลมหายใจมันไปเสีย มันก็ตาย และกลับเป็นผงคลี
30เมื่อพระองค์ทรงส่งลมหายใจของพระองค์ออกไป มันก็ถูกสร้างขึ้นมา
 และพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของพื้นดินเสียใหม่

อรรถาธิบาย

พระพักตร์ของพระเจ้า

มีความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณในหัวใจของเราซึ่งมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ดับกระหายได้ เพลงสดุดีเต็มไปด้วยความปรารถนาอยากจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และความปรารถนาอยากจะอยู่ในที่ประทับของพระเจ้า นี่คือคำอธิบายโดยใช้ภาษาของความสัมพันธ์ของมนุษย์ ‘มอง’ หาพระเจ้าและแสวงหา ‘พระพักตร์’ ของพระองค์ ‘สิ่งทั้งหมดนี้แหงนหาพระองค์… เมื่อพระองค์ซ่อนพระพักตร์เสีย มันก็ลำบากใจ… เมื่อพระองค์ทรงส่งลมหายใจของพระองค์ออกไป มันก็ถูกสร้างขึ้นมา’ (ข้อ 27–30)

ผู้เขียนสดุดีเปรียบเทียบความพึงพอใจที่มาจากการมองพระพักตร์ของพระเจ้ากับความลำบากใจเมื่อพระองค์ซ่อนพระพักตร์ไปจากเรา ความบาปสร้างกำแพงกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า เมื่ออาดัมและเอวาทำบาป พวกเขาไม่สามารถมองพระเนตรของพระเจ้าได้อีกต่อไป พวกเขาซ่อนตัวจากพระองค์ พวกเขาถูกถอดออกจากพระพักตร์ของพระองค์ พระเจ้าซ่อนพระพักตร์จากพวกเขา พวกเขาก็หวาดกลัว

สิ่งที่ตรงกันข้ามเมื่อเราสามารถมองพระพักตร์พระเจ้าได้คือ ‘สิ่งทั้งหมดนี้มองอย่างคาดหวัง เพื่อให้พระองค์ประทานอาหารแก่มันตามเวลา... เมื่อพระองค์แบพระหัตถ์ออก มันก็อิ่มหนำด้วยของดี’ (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สิ่งนี้เป็นจริงไม่เพียงแต่กับอาหารทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาหารฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าประทานแก่เราด้วย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณที่เมื่อข้าพระองค์มองดูพระองค์ พระองค์ทรงแบพระหัตถ์ของพระองค์และทำให้ข้าพระองค์อิ่มหนำด้วยของดี ขอทรงยกโทษบาปของข้าพระองค์ และอย่าปิดบังพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์

พันธสัญญาใหม่

2 โครินธ์ 3:7-18

 7แต่ถ้าการปรนนิบัติที่ทำให้ตายคือตามตัวอักษรที่จารึกไว้บนแผ่นศิลานั้นยังมาด้วยรัศมี (แม้จะเป็นรัศมีที่จางหายไป) ที่ทำให้พวกอิสราเอลไม่อาจเพ่งดูหน้าของโมเสสเพราะรัศมีบนใบหน้าของท่าน 8การปรนนิบัติตามพระวิญญาณก็จะมีรัศมียิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือ? 9เพราะว่าถ้าการปรนนิบัติที่เกี่ยวกับการลงโทษยังมีรัศมี การปรนนิบัติที่เกี่ยวกับความชอบธรรมจะยิ่งมีรัศมีมากกว่านั้นหลายเท่า 10อันที่จริงรัศมีที่เคยมีนั้นก็อับแสงไปแล้ว ในกรณีนี้เป็นเพราะมีรัศมีที่ยิ่งใหญ่กว่า 11เพราะว่าถ้าสิ่งที่จางหายไปยังมาด้วยรัศมี สิ่งที่ยั่งยืนก็จะยิ่งมาด้วยรัศมีมากกว่านั้นหลายเท่านัก
 12เมื่อมีความหวังเช่นนั้นแล้วเราจึงพูดด้วยความกล้าอย่างยิ่ง 13และเราไม่เหมือนโมเสสที่เอาผ้าคลุมไว้บนใบหน้า เพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลเพ่งดูการสิ้นสุดของรัศมีที่ค่อยๆ จางหายไปนั้น 14แต่ความคิดของพวกเขามืดมัวไป เพราะว่าตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาทั้งหลายอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกเปิดออก เพราะผ้าคลุมนั้นจะถูกเปิดออกโดยพระคริสต์ 15แต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ เมื่อใดที่อ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นยังปิดบังใจของเขาไว้ 16แต่ถ้าใครหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะถูกเปิดออก 17องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น 18แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ

อรรถาธิบาย

ใบหน้าของเรา

ใบหน้าของเราควรจะเปล่งประกายยิ่งกว่าใบหน้าของโมเสส ใบหน้าของ ‘โมเสสขณะที่นำแผ่นศิลานั้นเต็มไปด้วยรัศมี (ถึงแม้จะจางหายไปในไม่ช้าก็ตาม) ทำให้ชาวอิสราเอลไม่สามารถเพ่งดูใบหน้าของโมเสสได้ยิ่งกว่าการจ้องมองที่ดวงอาทิตย์’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พันธกิจของพันธสัญญาเดิมนั้นดี ‘คือตามตัวอักษรที่จารึกไว้บนแผ่นศิลา’ แต่ก็มา ‘ด้วยรัศมี’ (ข้อ 7) โมเสสมองดูพระพักตร์ของพระเจ้าและด้วยเหตุนี้ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยรัศมี (อพยพ 34:29 เป็นต้นไป) โมเสสต้อง “เอาผ้าคลุมไว้บนใบหน้า เพื่อไม่ให้ชนชาติอิสราเอลเพ่งดูการสิ้นสุดของรัศมีที่ค่อย ๆ จางหายไปนั้น” (2 โครินธ์ 3:13)

แม้ว่าพันธกิจแห่งพันธสัญญาเดิมนั้นดี แต่แท้จริงแล้ว ‘ทำให้ตาย’ (ข้อ 7) เราไม่สามารถ (ด้วยตัวของเราเอง) ที่จะรักษาธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ถูกเขียนเอาไว้ เราทำบาป และ ‘ค่าจ้างของความบาปคือความตาย’ (โรม 6:23)

เปาโลยังคงเปรียบเทียบพันธกิจแห่งพันธสัญญาเดิมกับพันธกิจของพระวิญญาณ การปรนนิบัติตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนั้นดี (2 โครินธ์ 3:7) อย่างไรก็ตาม การปรนนิบัติตามพระวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่กว่าและยั่งยืนยิ่งกว่าเดิม (ข้อ 9–11)

การปรนนิบัติตามพันธสัญญาเดิมเกี่ยวข้องกับโมเสสที่สวมผ้าคลุมหน้า ไม่ได้ถูกเปิดออก เปาโลกล่าวว่าแม้แต่ทุกวันนี้ผู้คนก็ยังไม่เห็นหรือเข้าใจจริง ๆ ว่า ‘ความคิดของพวกเขามืดมัวไป’ (ข้อ 14) แต่ถ้าใครหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะถูกเปิดออก (ข้อ 16)

นี่เป็นประสบการณ์ของผม ผมเคยได้ยินคนอ่านพระคัมภีร์ และพูดถึงความเชื่อของคริสเตียน แต่ผมไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร มันไม่สมเหตุสมผลสำหรับผมเลย ดวงตาฝ่ายวิญญาณของผมมืดบอด ทันทีที่ผมหันไปหาพระเจ้า มันราวกับว่าผ้าคลุมถูกถอดออกไป ผมมองเห็นและเข้าใจ

เปาโลยังคงเขียนบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง: ‘และเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยพระองค์เอง พระวิญญาณแห่งชีวิต กฎเก่า ๆ ที่รัดกุมนั้นก็ถือว่าล้าสมัยแล้ว เราเป็นอิสระจากสิ่งนี้! เราทั้งหมด! ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างเรากับพระเจ้า ใบหน้าของเราเปล่งประกายด้วยความสว่างแห่งพระพักตร์ของพระเจ้า เราจึงกลายร่างเหมือนพระเมสสิยาห์ ชีวิตเราค่อยๆ สว่างขึ้นและสวยงามขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรา และเราก็เป็นเหมือนพระองค์’ (ข้อ 17–18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ทั้งสามพระภาคมีการทำงานร่วมกัน สง่าราศีของพระเจ้า (พระบิดา) ปรากฏในพระพักตร์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจนเปาโลสามารถเขียนได้ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระวิญญาณ… พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 17–18) พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระวิญญาณของพระเยซู (กิจการ 16:7)

พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้านำเสรีภาพเข้ามาในชีวิต เสรีภาพจากการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ความรู้สึกผิด ความละอาย การฟ้องผิด ความเกลียดชังตนเอง และการปฏิเสธตนเอง เป็นอิสระจากอำนาจของความบาป ความเห็นแก่ตัว การถูกควบคุม เป็นอิสระจากความกลัวความตาย และความกลัวในสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรา อิสระจากการเปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่น

คุณมีอิสระที่จะรู้จัก รัก และรับใช้พระเจ้า คุณมีอิสระที่จะใช้ชีวิต และพลังของคุณเพื่อรักผู้อื่น คุณมีอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเอง คุณสามารถเข้าหาพระเจ้าด้วยความกล้าหาญ (2 โครินธ์ 3:12) คุณไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้าของคุณ

ในขณะที่คุณมองดูพระพักตร์ของพระเยซู พระองค์จะทรงเปลี่ยนคุณให้เป็นเหมือนพระองค์ การเปลี่ยนแปลงจะค่อยเป็นค่อยไป ‘โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป’ (ข้อ 18) เมื่อคุณใช้เวลากับผู้อื่น คุณมักจะเป็นเหมือนเขามากขึ้น ผู้คนต่างเพ่งดูคนมีชื่อเสียงและเลียนแบบกิริยาท่าทาง และรูปลักษณ์ของพวกเขา หากคุณใช้เวลากับพระเยซู คุณก็จะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายของพระองค์

คุณอาจเห็นใบหน้าของคนนับพันต่อวัน พระฉายนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่พระวิญญาณทรงเปิดเผยใบหน้าที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา เมื่อคุณใช้เวลาในการทรงสถิตของพระเจ้า คุณจะเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะถูกเปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับพระองค์ในศักดิ์ศรีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นพระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่นี้ ที่ข้าพระองค์สามารถเข้าหาพระองค์อย่างมีเสรีภาพและด้วยความกล้าหาญ ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถมองเข้าไปในพระพักตร์ของพระองค์ และสะท้อนสง่าราศีของพระองค์ในโลก ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ที่จะเพ่งมองดูที่พระองค์

พันธสัญญาเดิม

2 พงศาวดาร 35:20-36:23

โยสิยาห์ทรงพ่ายแพ้ฟาโรห์เนโคและสิ้นพระชนม์

 20ภายหลังสิ่งทั้งหมดนี้เมื่อโยสิยาห์ทรงจัดพระวิหารภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า พระนิเวศเสร็จแล้ว เนโคพระราชาแห่งอียิปต์เสด็จขึ้นไปสู้รบที่คารคะมีชที่แม่น้ำยูเฟรติส และโยสิยาห์เสด็จไปสู้รบกับพระองค์ 21แต่พระองค์ทรงส่งทูตไปทูลโยสิยาห์ว่า “พระราชาแห่งยูดาห์ เรามีเรื่องอะไรกับท่านหรือ? วันนี้เราไม่ได้มาต่อสู้กับท่านแต่มาต่อสู้กับประเทศภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า สู้กับบ้านซึ่งเราทำสงครามด้วย และพระเจ้าทรงบัญชาเราให้รีบไป จงหยุดขัดขวางพระเจ้าผู้สถิตกับเรา มิฉะนั้นพระองค์จะทรงทำลายท่าน” 22อย่างไรก็ตามโยสิยาห์ไม่ยอมหันไปจากเนโค แต่ทรงปลอมพระองค์เพื่อจะสู้รบกับเนโค พระองค์ทรงไม่ฟังพระดำรัสของเนโคที่มาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และทรงเข้าสู้รบ ณ ที่ราบเมกิดโด 23นักธนูยิงพระราชาโยสิยาห์ พระราชาจึงตรัสกับข้าราชการของพระองค์ว่า “จงพาเราออกไป เพราะเราบาดเจ็บสาหัส” 24ข้าราชการของพระองค์จึงพาพระองค์ออกจากรถรบ และให้พระองค์ประทับในรถรบคันที่สองของพระองค์ แล้วนำพระองค์มายังกรุงเยรูซาเล็มและพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ เขาทั้งหลายฝังพระองค์ไว้ในอุโมงค์ของบรรพบุรุษของพระองค์ ยูดาห์และเยรูซาเล็มทั้งหมดก็ไว้ทุกข์ให้โยสิยาห์ 25เยเรมีย์กล่าวคำคร่ำครวญถวายโยสิยาห์ด้วย นักร้องชายและนักร้องหญิงทั้งหมดก็กล่าวถึงโยสิยาห์ในคำคร่ำครวญของพวกเขาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาทำสิ่งนี้ให้เป็นธรรมเนียมแปลได้อีกว่า เป็นกฎเกณฑ์ในอิสราเอล ดูสิ มีการบันทึกไว้ในหนังสือคร่ำครวญ 26ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของโยสิยาห์และการกระทำอย่างซื่อสัตย์ ตามสิ่งที่เขียนไว้ในธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ 27และพระราชกิจของพระองค์ ตั้งแต่ต้นจนจบนั้น ดูสิ มีบันทึกไว้ในหนังสือพงศ์กษัตริย์อิสราเอลและยูดาห์

2 พงศาวดาร 36

รัชกาลเยโฮอาหาส

 1แล้วประชาชนในแผ่นดินนั้นก็นำเยโฮอาหาสพระราชโอรสของโยสิยาห์มา และตั้งให้เป็นกษัตริย์แทนพระราชบิดาในกรุงเยรูซาเล็ม 2เยโฮอาหาสมีพระชนมายุ 23 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามเดือน 3และพระราชาแห่งอียิปต์ทรงถอดถอนพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม และปรับแผ่นดินนั้นให้ถวายบรรณาการเป็นเงินหนัก 3,400 กิโลกรัม และทองคำหนัก 34 กิโลกรัม 4และพระราชาแห่งอียิปต์ทรงตั้งเอลียาคิมพระเชษฐาของเยโฮอาหาส ให้เป็นกษัตริย์เหนือยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม และทรงเปลี่ยนพระนามให้ใหม่ว่า เยโฮยาคิม แต่เนโคทรงจับเยโฮอาหาส พระอนุชา แล้วนำไปยังอียิปต์

เยโฮยาคิมทรงปกครองและถูกจับเป็นเชลย

 5เยโฮยาคิมมีพระชนมายุ 25 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 11 ปี พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ 6เนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลนเสด็จมาต่อสู้กับพระองค์ และล่ามพระองค์ด้วยโซ่ตรวนเพื่อนำไปยังบาบิโลน 7เนบูคัดเนสซาร์ทรงนำเครื่องใช้ส่วนหนึ่งแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ไปยังบาบิโลน และทรงเก็บไว้ในพระวิหารของพระองค์ในบาบิโลน 8ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโฮยาคิม และสิ่งน่าเกลียดน่าชังที่พระองค์ทรงกระทำ รวมทั้งสิ่งที่ไม่ดีอื่นๆ ซึ่งพบในพระองค์ ดูสิ มีบันทึกในหนังสือพงศ์กษัตริย์ของอิสราเอล และยูดาห์ และเยโฮยาคีนพระราชโอรสของพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์แทน

เยโฮยาคีนทรงปกครองและถูกจับเป็นเชลย

 9เยโฮยาคีนมีพระชนมายุ 18 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 3 เดือนกับ 10 วัน พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ 10เมื่อถึงฤดูแล้งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงใช้คนไปนำเยโฮยาคีนมายังบาบิโลนพร้อมกับเครื่องใช้มีค่าแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และทรงตั้งเศเดคียาห์พระญาติของพระองค์เป็นกษัตริย์เหนือยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม

รัชกาลเศเดคียาห์

 11เศเดคียาห์ มีพระชนมายุ 21 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 11 ปี 12พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ และพระองค์ทรงไม่ถ่อมตัวลงต่อเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ ผู้กล่าวจากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ 13ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังทรงกบฏต่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ผู้ทรงให้พระองค์สาบานโดยอ้างพระเจ้า พระองค์แข็งพระศอของพระองค์และทำพระทัยให้กระด้าง โดยไม่หันไปหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล 14พวกหัวหน้าปุโรหิตและบรรดาผู้นำของประชาชนก็เหมือนกัน คือล้วนไม่ซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาติดตามสิ่งน่าเกลียดน่าชังของประชาชาติ และเขาทั้งหลายทำให้พระนิเวศของพระยาห์เวห์ในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งพระองค์ทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้นเป็นมลทินไป

กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย

 15พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเขาทรงกล่าวโดยไม่หยุดยั้ง เพราะพระองค์ทรงเมตตาสงสารประชากรและที่ประทับของพระองค์ 16แต่เขาทั้งหลายเย้ยหยันบรรดาทูตของพระเจ้าอยู่เสมอ และดูหมิ่นพระวจนะของพระองค์ ทั้งเยาะเย้ยบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ จนพระพิโรธของพระยาห์เวห์พลุ่งขึ้นต่อประชากรของพระองค์จนแก้ไขไม่ได้ 17พระเจ้าจึงทรงนำพระราชาของคนเคลเดียหมายถึง พวกบาบิโลนมาต่อสู้กับเขาทั้งหลาย พระราชานั้นทรงฆ่าชายหนุ่มของพวกเขาด้วยดาบในพระนิเวศ อันเป็นสถานนมัสการของเขาและไม่มีความกรุณาต่อชายหนุ่ม หรือหญิงพรหมจารี คนแก่หรือคนชราแปลได้อีกว่า หรือคนอ่อนแอ พระเจ้าทรงมอบทุกคนไว้ในพระหัตถ์ของพระราชานั้น 18รวมทั้งเครื่องใช้ทั้งหมดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทั้งใหญ่และเล็ก กับทรัพย์สมบัติแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์และพวกเจ้านายของพระองค์ พระราชานั้นทรงนำของทั้งหมดมายังบาบิโลน 19เขาทั้งหลายเผาพระนิเวศของพระเจ้า พังกำแพงกรุงเยรูซาเล็มลงและเอาไฟเผาวังทั้งหมดของเมืองนั้น ทั้งทำลายเครื่องใช้มีค่าทุกอย่างในนั้น 20และพวกที่เหลือรอดจากดาบนั้น พระราชานั้นทรงกวาดต้อนไปยังบาบิโลน พวกเขาจึงเป็นทาสรับใช้ของพระองค์ และของบรรดาราชวงศ์ของพระองค์จนถึงสมัยที่อาณาจักรเปอร์เซียเรืองอำนาจ 21เพื่อให้สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ผ่านปากของเยเรมีย์ จนกว่าแผ่นดินได้พักตามสะบาโตที่ควรมี คือตลอดวันเวลาที่ถูกทิ้งร้างนั้น มันได้พักตามสะบาโต จนครบกำหนดเจ็ดสิบปี

ไซรัสประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย

 22ในปีแรกแห่งรัชสมัยของไซรัสพระราชาแห่งเปอร์เซีย เพื่อให้พระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ผ่านปากของเยเรมีย์สำเร็จ พระยาห์เวห์ทรงเร่งเร้าใจของไซรัสพระราชาแห่งเปอร์เซีย พระราชาจึงทรงให้มีการประกาศทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ และยังให้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย กล่าวว่า 23“ไซรัสพระราชาแห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานอาณาจักรทั้งหมดแห่งแผ่นดินโลกแก่เรา และพระองค์ทรงกำชับเราให้สร้างพระนิเวศแด่พระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งอยู่ในยูดาห์ มีใครในท่ามกลางพวกท่านที่เป็นประชากรของพระองค์ ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา ขอให้เขากลับไปเถิด’ ”

อรรถาธิบาย

พระเนตรของพระเจ้า

พระเนตรของพระเจ้าเห็นทุกสิ่งที่คุณทำ แม้แต่คำพูดและความคิด เราสามารถหนีจากสายตามนุษย์ได้ แต่เราไม่สามารถหนีจากสายพระเนตรของพระเจ้าได้

ประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าของประชากรของพระเจ้ายังคงดำเนินต่อไปในพระธรรมตอนนี้ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง มีการสู้รบ การทะเลาะวิวาท และสงคราม (35:20–21) โยสิยาห์ได้ส่งต่อบัลลังก์ต่อกษัตริย์ที่ไม่ทำตามแบบอย่างที่ดีของเขา เยโฮอาคิม เยโฮยาคีน (บุตรชายของเขา) และ เศเดคียาห์ (อาของเยโฮยาคีน) ล้วน “ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์” (36:5, 9, 12)

ปัญหาของเศเดคียาห์ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ คือเขา “พระทัยแข็งกระด้าง โดยไม่หันไปหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล” (ข้อ 13) การปฏิเสธที่จะยอมลงต่อพระพักตร์พระเจ้า การทำใจให้แข็งกระด้างเป็นวิธีที่เราจะปฏิเสธการทำงานพระวิญญาณบริสุทธิ์

‘พระเจ้า… ทรงกล่าวโดยทูตของพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง เพราะพระองค์ทรงเมตตาสงสารประชากรและที่ประทับของพระองค์ พระองค์ทรงต้องการให้โอกาสพวกเขาทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แต่พวกเขาไม่ฟัง’ (2 พงศาวดาร 36:15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนในทุกวันนี้ ‘เย้ยหยันบรรดาทูตของพระเจ้าอยู่เสมอ ดูหมิ่นพระวจนะของพระองค์ ทั้งทำกับบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์อย่างคนโง่เขลา’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในที่สุด พระเจ้าก็มอบพวกเขา (ข้อ 17) ให้กับมหาอำนาจในเวลานั้น คือบาบิโลน (อิรักในปัจจุบัน) และเปอร์เซีย (อิหร่านในปัจจุบัน)

หนังสือพงศาวดารจบลงด้วยข้อความแห่งความหวังเพียงเล็กน้อย พระธรรมตอนนี้อธิบายถึงความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารใน 597 ปีก่อนคริสตกาลและการตกไปเป็นเชลย แต่จบลงด้วยความหวังว่าจะมีการฟื้นฟูและสร้างใหม่ซึ่งเริ่มขึ้นใน 538 ปีก่อนคริสตกาล

การฟื้นฟูนี้ชี้ให้เห็นถึงความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นโดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พันธกิจของพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เกินกว่าพันธกิจตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ความหวังของเราแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เปาโลเขียนว่า ‘เมื่อมีความหวังเช่นนั้นแล้วเราจึงพูดด้วยความกล้าอย่างยิ่ง’ (2 โครินธ์ 3:12) เป็นความหวังที่จะสะท้อนพระรัศมีของพระเจ้าและถูกเปลี่ยนให้เป็นเหมือนพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป (ข้อ 18)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความหวังที่เรามี ซึ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคิดหรือจินตนาการได้ ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถจ้องมองที่พระพักตร์ของพระเยซู ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถสะท้อนรัศมีของพระเจ้าและเปลี่ยนให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์ โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 โครินธ์ 3:18

‘แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ’

ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะไม่มีการเติบโต

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม