วัน 248

เราจะเป็นประโยชน์ต่อพระเจ้าได้อย่างไร?

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 105:23-36
พันธสัญญาใหม่ 2 โครินธ์ 7:2-16
พันธสัญญาเดิม อิสยาห์ 5:8-8:10

เกริ่นนำ

พิพพากับผมเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล ในช่วงเช้าของวันนั้นแม่ของผมเสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ขณะที่เธออยู่ที่โต๊ะทำงาน เธออายุหกสิบเก้าปี

ผมอยู่ในสภาวะช็อก และว้าวุ่นภายในใจ ผมเดินออกจากบ้านเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ และกำลังคิดว่าคนเดียวที่ผมอยากจะพบคือแซนดี้ มิลลาร์ ศิษยาภิบาล และเพื่อนรักของพวกเรา

ในขณะนั้น ผมเงยหน้ามองและตระหนักว่ารถยนต์ของเขากำลังแล่นเข้ามาใกล้ เขาเพิ่งได้ข่าวเกี่ยวกับเราและรีบขับรถตรงมาหาเรา พระเจ้าใช้การมาของแซนดี้ในวันนั้นเพื่อปลอบโยน และให้กำลังใจแก่เรา

ข้อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ในวันนี้ เราจะได้เห็นว่าพระเจ้าใช้การมาของทิตัสได้ปลอบประโลมใจและหนุนใจเปาโลอย่างมาก ท่านกำลังอยู่ในสภาวะสับสน วุ่นวาย อ่อนเพลีย โดนกดดันกดขี่ อยู่ในความทุกข์ ความครั่นคร้าม และตกอยู่ในความกลัว 'แต่พระเจ้าผู้ทรงหนุนใจคนที่ท้อใจ ได้ทรงหนุนใจเราด้วยการมาของทิตัส’ (2 โครินธ์ 7:6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Amplified Bible โดยผู้แปล)

การมาของทิตัสถือเป็นการหนุนน้ำใจเป็นอย่างมาก เพราะเขานำข่าวมาแจ้งว่า ชาวโครินธ์เป็นประโยชน์ต่องานของพระเจ้าอย่างไร ผลที่ได้คือ เปาโล ‘ชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Amplified Bible โดยผู้แปล)

แม้ว่าสิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูคนที่พระองค์ทรงใช้เสมอ 'เป็นภาชนะพิเศษ ... เหมาะที่เจ้าของจะใช้เป็นประโยชน์ และพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง’ (2 ทิโมธี 2:21) คุณกับผมจะเป็นประโยชน์ต่อพระเจ้าได้อย่างไร?

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 105:23-36

23แล้วอิสราเอลได้มาที่อียิปต์
 ยาโคบได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของฮาม
24และพระเจ้าทรงทำให้ประชากรของพระองค์มีลูกดก  และทรงทำให้พวกเขาแข็งแรงกว่าคู่อริ 25พระองค์ทรงหันใจเขาเหล่านั้นให้เกลียดประชากรของพระองค์  ให้ใช้กลอุบายแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
26พระองค์ทรงใช้โมเสสผู้รับใช้ของพระองค์  และอาโรนผู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้
27เขาทั้งสองทำหมายสำคัญของพระองค์ท่ามกลางคนเหล่านั้น  ทำการอัศจรรย์ในแผ่นดินของฮาม 28พระองค์ทรงใช้ความมืดมาทำให้แผ่นดินมืด
 เขาทั้งหลายมิได้กบฏต่อพระวจนะของพระองค์ 29พระองค์ทรงทำให้น้ำกลายเป็นเลือด  และให้ปลาของพวกเขาตาย
30แผ่นดินของพวกเขาเต็มไปด้วยกบ  แม้แต่ในห้องบรรทมพระราชาของเขา
31พระองค์ตรัส แล้วฝูงเหลือบก็มา
 และริ้นมีไปทั่วเขตแดนของพวกเขา
32พระองค์ประทานลูกเห็บแทนฝนแก่พวกเขา  และฟ้าผ่าในแผ่นดินของพวกเขา 33พระองค์ทรงตีเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของพวกเขา  และทรงฟาดต้นไม้ในเขตแดนของพวกเขาแหลกไป
34พระองค์ตรัส แล้วตั๊กแตนวัยบินก็มา  และตั๊กแตนวัยกระโดดมานับไม่ถ้วน 35มากินพืชในแผ่นดินของพวกเขาหมด  และกินผลแห่งดินของพวกเขาสิ้น
36พระองค์ทรงสังหารบุตรหัวปีในแผ่นดินของพวกเขา  คือผลแรกแห่งกำลังทั้งสิ้นของพวกเขา

อรรถาธิบาย

เตรียมตัวเป็นผู้นำ

บางครั้งคุณรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในที่รกร้างในฝ่ายวิญญาณในที่ทำงาน เมืองของคุณ หรือแม้แต่ในประเทศของคุณหรือเปล่า?

ผู้เขียนสดุดีเล่าถึงช่วงเวลาที่หนาวเยือกที่สุดช่วงหนึ่งสำหรับผู้คนของพระเจ้า พระเจ้าได้อวยพรพวกอิสราเอล พวกเขากลายเป็นคนที่ ‘มีลูกดก’ (ข้อ 24) แต่ความสำเร็จของพวกเขาทำให้พวกเขาถูกเกลียดชัง (ข้อ 25ก) ศัตรูของพวกเขาสมคบคิดกันเล่นงานพวกเขา (ข้อ 25ข) ‘พวกเขาทำร้ายและโกงผู้รับใช้ของพระเจ้า’ (ข้อ 25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ประชากรของพระเจ้าถูกกดขี่และตกเป็นทาส พวกเขาอยู่ใน ‘ที่รกร้างทางฝ่ายวิญญาณ’ (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่พระเจ้า ‘พระองค์ทรงใช้โมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ และอาโรนผู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้’ (ข้อ 26) พระเจ้าเลือกโมเสสและอาโรน พวกเขาตอบรับ (ยอมรับอย่างไม่เต็มใจในกรณีของโมเสส) ต่อการเรียกให้เป็นผู้นำ พวกเขาแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และปลดปล่อยประชากรของพระเจ้าให้เป็นอิสระ ‘พวกเขาทำสิ่งอัศจรรย์ในดินแดนรกร้างฝ่ายวิญญาณนั้น’ (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มองดูประเทศของข้าพระองค์ และเห็นสภาพของคริสตจักร ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ให้พระองค์ทรงยกคนเช่นโมเสส และอาโรนขึ้นมา เพื่อนำผู้คนของพระองค์ออกจากดินแดนที่รกร้างฝ่ายวิญญาณ

พันธสัญญาใหม่

2 โครินธ์ 7:2-16

เปาโลปลื้มปีติที่คริสตจักรกลับใจใหม่

 2จงเปิดใจรับเราเถิด เราไม่ได้ทำผิดต่อใคร หรือทำลายใคร หรือเอาเปรียบใครเลย 3ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อจะลงโทษพวกท่าน เพราะข้าพเจ้าได้บอกก่อนหน้านี้แล้วว่า ท่านทั้งหลายอยู่ในใจของเรา จะตายหรือจะเป็นก็อยู่ด้วยกัน 4ข้าพเจ้าไว้ใจและภูมิใจในพวกท่านมาก ข้าพเจ้าได้รับการหนุนใจอย่างบริบูรณ์ และมีความยินดีอย่างเหลือล้นในความยากลำบากทุกอย่างของเรา
 5เพราะว่าเมื่อมาถึงแคว้นมาซิโดเนียแล้ว ร่างกายของเราไม่ได้พักผ่อนเลย แต่พบความลำบากรอบด้าน ภายนอกมีการต่อสู้ ภายในมีความกลัว 6แต่พระเจ้าผู้ทรงหนุนใจคนที่ท้อใจ ได้ทรงหนุนใจเราด้วยการมาของทิตัส 7และไม่เฉพาะเพียงการมาของเขาเท่านั้น แต่ยังด้วยการหนุนน้ำใจที่เขาได้รับจากพวกท่าน เขาบอกเราถึงความอาลัยและความโศกเศร้าของท่าน ทั้งความกระตือรือร้นของท่านทั้งหลายที่มีต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งมีความยินดีมากขึ้น 8เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าทำให้ท่านเสียใจเพราะจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ (แม้ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าจะเสียใจ เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าจดหมายฉบับนั้นทำให้พวกท่านเสียใจแม้เพียงชั่วขณะ) 9แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความยินดี ไม่ใช่เพราะพวกท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจ เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้รับผลร้ายจากเราเลย 10เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดการกลับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย 11จงดูสิว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นนี้ นำไปสู่การเอาจริงเอาจังเพียงไร และยังทำให้เกิดการขวนขวายที่จะพิสูจน์ตัวเอง เกิดความขุ่นเคือง ความตื่นตัว ความอาลัย ความกระตือรือร้น และเกิดการลงโทษ พวกท่านพิสูจน์ตัวเองในทุกด้านแล้วว่าเป็นผู้ปราศจากความผิดในเรื่องนี้ 12ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลาย ก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนที่ทำผิด หรือเพราะเห็นแก่คนที่ต้องทนต่อการร้าย แต่เพื่อให้การเอาจริงเอาจังที่ท่านมีต่อเรา ปรากฏกับพวกท่านเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า 13เพราะเหตุนี้เราจึงได้รับการหนุนใจ
 นอกจากได้รับการหนุนใจแล้ว เรายังมีความยินดีมากยิ่งขึ้นเนื่องจากความยินดีของทิตัส เพราะพวกท่านทุกคนทำให้จิตใจของเขาสงบ 14เพราะที่ข้าพเจ้าอวดเรื่องของท่านแก่ทิตัส ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องละอายเลย แต่ทุกสิ่งที่เราพูดกับท่านทั้งหลายเป็นความจริงอย่างไร สิ่งที่เราอวดกับทิตัสก็ปรากฏเป็นจริงอย่างนั้น 15และความรักที่เขามีต่อพวกท่านก็เพิ่มพูนขึ้น เมื่อเขาระลึกถึงความเชื่อฟังของพวกท่าน และการที่พวกท่านทุกคนต้อนรับเขาด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น 16ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี เพราะข้าพเจ้ามั่นใจพวกท่านได้อย่างเต็มที่

อรรถาธิบาย

หันไปหาพระเจ้าในยามลำบาก

บางครั้งในชีวิต เราชนกำแพงแห่งความเจ็บปวดและความทุกข์ใจ มันครอบงำเรา อาจเกิดจากความสูญเสียความซ้ำซาก การเจ็บป่วย ความผิดหวัง หรือสถานการณ์อื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา แม้กระทั่งในกรณีของชาวโครินธ์ที่ต้นเหตุอาจจะเป็นความบาปหรือความผิดพลาดของมนุษย์เอง ไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้

สิ่งที่สำคัญคือวิธีการตอบสนอง สำหรับบางคน เวลาแห่งความยากลำบากเช่นนี้จะพรากพวกเขาออกห่างจากพระเจ้า แต่สำหรับหลาย ๆ คน เช่นพวกชาวโครินธ์ เวลาแห่งความยากลำบากสร้างพวกเขาขึ้น ความทุกข์ยากของพวกเขาผลักดันให้พวกเขามาหาพระเจ้า มันเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นผู้คนที่พระเจ้าสามารถใช้ได้อย่างมาก

เปาโลเป็นคนที่พระเจ้าใช้อย่างมาก แต่เส้นทางกลับไม่ได้ราบรื่นนัก มันไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากความเครียดแต่อย่างใด อาจารย์เปาโลไม่ได้ทำอะไรเพื่อหาเรื่องใส่ตัวเอง เขาเขียนไว้ว่า 'เราไม่เคยทำร้ายจิตใจ ไม่เคยเอาเปรียบหรือหาผลประโยชน์จากคนอื่น’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อย่างไรก็ตาม เขายังคงพูดถึง ‘ความยากลำบากทุกอย่างของเรา’ (ข้อ 4) และเขียนเกี่ยวกับ ‘การขัดแย้งภายในคริสตจักร’ และ ‘ความกลัวในใจของเรา’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เปาโลรักชาวโครินธ์ (ข้อ 3-4ก) แม้ว่าความรักที่มีต่อพวกเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนเสมอไป แต่ก็ทำให้มีความสุขอย่างมากเมื่อถึงเวลานั้น เมื่อเปาโลได้ยินจากทิตัสเกี่ยวกับการที่ชาวโครินธ์รอคอยท่าน ท่านรับรู้ถึงความโศกเศร้าและความห่วงใยที่ทุกคนมีต่อเขา และกล่าวว่า ‘ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งมีความยินดีมากขึ้น’ (ข้อ 7)

เปาโลมีความกล้าที่จะเขียนจดหมายฝากถึงพวกเขา เนื้อหาในจดหมายตอนแรกทำให้พวกเขาเจ็บปวด (ข้อ 8) เช่นเดียวกับการเผชิญหน้าทำนองนี้ในหลาย ๆ ตอนแรกเปาโลเสียใจที่ได้เขียนจดหมายฝากฉบับนั้น แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ชาวโครินธ์ตอบสนองอย่างถูกต้อง พวกเขายอมให้เนื้อความในจดหมายดึงพวกเขาให้เข้ามาใกล้พระเจ้ามากขึ้น เราทุกคนสับสนในบางครั้งในเวลายากลำบากแบบที่ชาวโครินธ์เผชิญ กษัตริย์ดาวิดได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง (2 ซามูเอล 11 และ 12) แม้อัครสาวกเปาโลก็ยังทำพลาด แต่สิ่งสำคัญคือวิธีการตอบสนองของคุณ

'เราปล่อยให้ความทุกข์พาเรามาหาพระเจ้า ไม่ใช่ลากเราออกห่างจากพระองค์... เราไม่มีวันเสียใจให้กับความเจ็บปวดที่ดึงเราเข้าใกล้แบบนั้น แต่ผู้ที่ปล่อยให้ความทุกข์ยากลากจูงพวกเขาออกไปจากพระเจ้า... จบลงด้วยความเสียใจจนแทบดับชีวิตลง’ (2 โครินธ์ 7:9-10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ความโศกเศร้าแบบผิด ๆ ที่ซาอูลแสดงให้เห็นในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม และยูดาส อิสคาริโอทที่ทำลงไป ไม่ได้นำไปสู่การกลับใจ แต่นำไปสู่ความตาย ‘ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย’ (ข้อ 10ค) ชาวโครินธ์เช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวิด (ดู สดุดี บทที่ 51) และอัครสาวกเปโตร พวกเขาตอบสนองอย่างถูกต้อง

'และตอนนี้มันวิเศษหรือไม่ที่ความทุกข์ยากนี้ได้นำพาท่านเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ท่านมีชีวิตมากขึ้น พะวักพะวงมากขึ้น ไวต่อความรู้สึกมากขึ้น ให้เกียรติมากขึ้น เห็นอกเห็นใจมากขึ้น กระตือรือร้นมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ทิตัสเป็นพยานถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของชาวโครินธ์ อันเป็นผลมาจากการตอบสนองต่อความทุกข์ยาก เขาฮึกเหิมต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาเองก็ฟื้นฟู และสดชื่นด้วยทุกสิ่งที่ชาวโครินธ์ทำเพื่อเขา

ทิตัสไม่สามารถหยุดพูดกับเปาโลเกี่ยวกับชาวโครินธ์ได้ 'ระลึกถึงเรื่องความเชื่อฟังของพวกท่านครั้งแล้วครั้งเล่า เกียรติและความไวต่อการเป็นเจ้าบ้านของพวกท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกท่วมท้นไปกับการต้อนรับทั้งหมด!และข้าพเจ้าไม่อาจจะพอใจมากไปกว่านี้แล้ว ข้าพเจ้ามั่นใจและภูมิใจในตัวพวกท่านมาก’ (ข้อ 15-16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ขอบคุณพระเจ้า เมื่อข้าพระองค์หันไปหาพระองค์ในยามยากลำบาก พระองค์เปลี่ยนข้าพระองค์และทำให้ข้าพระองค์มีชีวิตมากขึ้น พะวักพะวงมากขึ้น ไวต่อความรู้สึกมากขึ้น ให้เกียรติมากขึ้น เห็นอกเห็นใจมากขึ้น กระตือรือร้นมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น และเป็นประโยชน์แก่พระองค์มากขึ้น

พันธสัญญาเดิม

อิสยาห์ 5:8-8:10

ประณามความอยุติธรรมในสังคม

8วิบัติแก่พวกที่เสริมบ้านด้วยบ้าน
 และเพิ่มนาด้วยนา
จนไม่มีเหลือให้คนอื่นอีกแล้ว
 และพวกเจ้าอยู่เพียงลำพังในแผ่นดินนั้น
9พระยาห์เวห์จอมทัพทรงกล่าวกับข้าพเจ้า
 “แน่ทีเดียวบ้านหลายหลังจะต้องร้างเปล่า
 บ้านใหญ่และบ้านงามจะไม่มีคนอาศัย
10เพราะว่าสวนองุ่น 25 ไร่จำนวนไร่จะได้น้ำองุ่นเพียง 8 ลิตร
 และเมล็ดพืช 180 ลิตรจะให้ผลผลิตเพียง 18 ลิตร”
11วิบัติแก่พวกที่ลุกขึ้นแต่เช้ามืด
 เพื่อวิ่งหาเมรัย
และพวกที่อยู่จนดึกดื่น
 แล้วเหล้าองุ่นทำให้เขาเมาหยำเป
12งานเลี้ยงของเขามีพิณเขาคู่และพิณใหญ่
 รำมะนา ขลุ่ยและเหล้าองุ่น
แต่พวกเขาไม่ได้สนใจพระราชกิจของพระยาห์เวห์
 หรือพิจารณาพระหัตถกิจของพระองค์
13เพราะฉะนั้นชนชาติของเราจึงตกเป็นเชลยเพราะขาดความรู้
 คนสูงศักดิ์ของเขาเป็นคนหิวโหย
 และมวลชนของเขาก็แห้งผากเพราะความกระหาย
14เพราะฉะนั้นแดนคนตายก็ขยายคอของมันออก
 และอ้าปากกว้างอย่างไม่จำกัด
และพวกเจ้านายของเยรูซาเล็มและมวลชนของเมืองนั้นก็ลงไป
 พร้อมทั้งเสียงอึกทึกและความรื่นเริงที่อยู่ในนั้น
15มนุษย์ก็ถูกลดต่ำลงและคนก็ต่ำต้อยลง
 และนัยน์ตาของผู้ผยองก็ต่ำต้อยลง
16แต่พระยาห์เวห์จอมทัพจะได้รับการเทิดทูนไว้โดยความยุติธรรม
 และพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ทรงสำแดงความบริสุทธิ์โดยความชอบธรรม
17แล้วลูกแกะจะหากินเหมือนเป็นลานหญ้าของพวกมัน
 คนต่างด้าวจะหากินอยู่ในที่ปรักหักพังของคนร่ำรวย
18วิบัติแก่พวกที่ลากความผิดด้วยสายเชือกของความเท็จ
 และลากความบาปเหมือนกับใช้เชือกโยงเกวียน
19คือพวกที่กล่าวว่า “ให้พระองค์รีบเร่ง
 ให้พระองค์เร่งงานของพระองค์
เพื่อเราจะได้เห็น
 ให้แผนงานขององค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอลสำเร็จโดยเร็ว
 เพื่อเราจะได้รู้”
20วิบัติแก่พวกที่เรียกความชั่วว่าความดี
 และเรียกความดีว่าความชั่ว
พวกที่ถือว่าความมืดคือความสว่าง
 และความสว่างคือความมืด
พวกที่ถือว่าความขมคือความหวาน
 และความหวานคือความขม
21วิบัติแก่พวกคนที่ฉลาดในสายตาของตัวเอง
 และเฉียบแหลมในสายตาของตน
22วิบัติแก่พวกที่เป็นวีรบุรุษในการดื่มเหล้าองุ่น
 และเป็นคนแกล้วกล้าในการผสมเมรัย
23พวกที่ตัดสินคนชั่วให้พ้นผิดเพราะสินบน
 และเอาความเป็นธรรมไปจากผู้ชอบธรรม
24ดังนั้น เปลวไฟเผาผลาญตอข้าวเช่นไร
 และหญ้าแห้งยุบลงในเปลวเพลิงเช่นไร
รากของพวกเขาก็จะเป็นเหมือนความเปื่อยเน่า
 และความเบ่งบานของเขาจะฟุ้งกระจายไปเหมือนผงคลีเช่นนั้น
เพราะเขาทั้งหลายได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์จอมทัพ
 และดูหมิ่นพระวจนะขององค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล
25เหตุฉะนั้น พระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่อชนชาติของพระองค์
 และพระองค์เหยียดพระหัตถ์พระองค์ออกต่อต้านเขาและโจมตีเขา
แล้วภูเขาทั้งหลายก็สั่นสะเทือน
 และซากศพของพวกเขาก็เหมือนกองขยะ
อยู่กลางถนน
 ถึงกระนั้น พระพิโรธของพระองค์ก็ไม่สร่างซา
 และพระหัตถ์ของพระองค์ก็ยังเหยียดออกอยู่
26พระองค์จะทรงให้สัญญาณแก่ประชาชาติที่อยู่ไกล
 และผิวพระโอษฐ์เรียกเขามาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก
 และนี่แน่ะ เขาจะมาอย่างเร็วและรีบเร่ง
27ไม่มีใครในพวกเขาอ่อนเปลี้ย และไม่มีใครสะดุดล้ม
 ไม่มีใครง่วงเหงาหรือนอนหลับ
ไม่มีสายคาดเอวสักเส้นหลุดอยู่
 ไม่มีสายรัดรองเท้าสักสายขาดไป
28ลูกธนูทั้งหมดของเขาล้วนแหลมคม
 คันธนูทั้งสิ้นของเขาก็โก่งไว้ กีบม้าทั้งหลายของเขาเหมือนหินเหล็กไฟ
 และล้อรถของเขาเหมือนพายุหมุน
29เสียงคำรามของเขาเหมือนสิงโต
 เขาคำรามดั่งสิงโตหนุ่มทั้งหลาย
เขาคำรนขณะตะครุบเหยื่อ
 แล้วเขาขนไปโดยไม่มีใครช่วยกู้ได้
30ในวันนั้นเขาจะคำรนเหนือเหยื่อนั้น
 เหมือนดังเสียงคะนองของทะเล
และถ้าใครมองไปยังแผ่นดิน
 ดูสิ มีแต่ความมืดและความทุกข์ใจ
แม้ความสว่างก็ถูกเมฆบดบังเสีย

อิสยาห์ 6

นิมิตที่พระเจ้าทรงปรากฏในพระวิหาร

 1ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์เจ้านายประทับบนพระที่นั่งอันสูงส่งและรับการเทิดทูน และชายฉลองพระองค์ชายฉลองพระองค์ของพระองค์เต็มพระวิหาร 2เหนือพระองค์มีพวกเสราฟิมยืนอยู่ แต่ละองค์มีปีก 6 ปีก ใช้ 2 ปีกปิดหน้า ใช้ 2 ปีกปิดเท้า และใช้ 2 ปีกบินไป 3ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า

 “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระยาห์เวห์จอมทัพ
  แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์”

 4แล้วฐานของธรณีประตูทั้งหลายก็สั่นไหวเนื่องด้วยเสียงของผู้ร้อง และพระนิเวศก็เต็มด้วยควัน 5และข้าพเจ้ากล่าวว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาดและข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด แต่ดวงตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์ คือพระยาห์เวห์จอมทัพ”
 6แล้วองค์หนึ่งในพวกเสราฟิมบินมาหาข้าพเจ้า ในมือมีถ่านเพลิงซึ่งท่านเอาคีมคีบมาจากแท่นบูชา 7และท่านแตะต้องปากของข้าพเจ้าพูดว่า “นี่แน่ะ สิ่งนี้ได้แตะต้องริมฝีปากของเจ้าแล้ว ความผิดของเจ้าก็ถูกขจัด และบาปของเจ้าก็ได้รับการลบล้าง” 8และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์เจ้านายตรัสว่า “เราจะใช้ผู้ใดไป? และผู้ใดจะไปแทนพวกเรา? ” แล้วข้าพเจ้าทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด” 9และพระองค์ตรัสว่า “ไปเถอะและกล่าวแก่ชนชาตินี้ว่า

‘ฟังแล้วฟังอีก แต่อย่าเข้าใจ
 ดูแล้วดูอีก แต่อย่ามองเห็น’
10จงทำให้ใจของชนชาตินี้มืดทึบ
 และทำให้หูของเขาตึง
และทำให้ตาของเขาบอด
 มิฉะนั้นเขาจะเห็นด้วยตาของเขา
ได้ยินด้วยหูของเขา
 และเข้าใจด้วยใจของเขา
 แล้วหันกลับมาและได้รับการรักษาให้หาย”

 11แล้วข้าพเจ้าว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย นานเท่าไร? ” และพระองค์ตรัสว่า

 จนกว่าเมืองทั้งหลายถูกทิ้งร้าง ไม่มีผู้อยู่อาศัย  และบ้านเรือนไม่มีคน แผ่นดินก็ร้างเปล่าอย่างสิ้นเชิง 12และพระยาห์เวห์ทรงกวาดคนออกไปไกล
 และที่ที่ถูกทิ้งร้างท่ามกลางแผ่นดินนั้นมีมากมาย
13และแม้ว่ายังมีเหลืออยู่ในนั้นสักหนึ่งในสิบ
 ก็จะต้องถูกไฟเผาอีก
เหมือนต้นสนหรือต้นโอ๊ก
 ซึ่งเหลืออยู่แต่ตอ
เมื่อถูกโค่น”
 ตอของมันคือเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์

อิสยาห์ 7

อิสยาห์ให้ความมั่นใจต่อกษัตริย์อาหัส

 1ในรัชกาลของอาหัสพระราชโอรสของโยธาม พระราชโอรสของอุสซียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ เรซีนกษัตริย์แห่งซีเรีย และเปคาห์บุตรของเรมาลิยาห์ กษัตริย์แห่งอิสราเอลขึ้นมายังเยรูซาเล็ม เพื่อทำสงครามกับเมืองนั้น แต่ไม่อาจรบชนะเมืองนั้น 2เมื่อเขาไปรายงานต่อราชวงศ์ของดาวิดว่า “ซีเรียมาตั้งค่ายอยู่ในเขตเอฟราอิมแล้ว” พระทัยของพระองค์และใจของประชาชนของพระองค์ก็สั่นเหมือนต้นไม้ในป่าสั่นขณะต้องแรง
 3และพระยาห์เวห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า “จงออกไปพบอาหัส ทั้งตัวเจ้าและเชอารยาชูบแปลว่า ส่วนที่เหลืออยู่จะกลับมาบุตรชายของเจ้า ณ ปลายท่อส่งน้ำของสระบนตรงถนนลานซักฟอก 4และจงกล่าวกับเขาว่า ‘จงระวัง จงสงบ และอย่ากลัว อย่าให้ใจของเจ้าขลาดกลัว เนื่องจากเศษดุ้นฟืนจวนมอดสองชิ้นนี้ เพราะความกริ้วรุนแรงของเรซีน ซีเรียและบุตรของเรมาลิยาห์ 5เพราะว่าซีเรียและเอฟราอิมรวมทั้งบุตรของเรมาลิยาห์ได้วางแผนชั่วร้ายต่อเจ้า กล่าวว่า 6“ให้เราทั้งหลายขึ้นไปต่อสู้กับยูดาห์ และทำให้มันหวาดกลัว แล้วให้เราทะลวงเมืองของเขาเพื่อพวกเราเอง และตั้งบุตรของทาเบเอลให้เป็นกษัตริย์ในเมืองนั้น” ’ ”

 7พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า

 “มันจะไม่เป็นเช่นนั้น
และมันจะไม่เกิดขึ้น
8เพราะเศียรของซีเรียคือดามัสกัส
 และเศียรของดามัสกัสคือเรซีน
(เอฟราอิมจะแตกเป็นชิ้นๆ จนไม่เป็นชนชาติภายใน 65 ปี)
9และเศียรของเอฟราอิมคือสะมาเรีย
 และเศียรของสะมาเรียคือบุตรของเรมาลิยาห์
ถ้าเจ้าไม่เชื่อมั่น
 เจ้าก็ไม่อาจตั้งมั่น”

อิสยาห์ให้หมายสำคัญแก่อาหัสเกี่ยวกับอิมมานูเอล

 10พระยาห์เวห์ตรัสกับอาหัสอีกว่า 11“จงขอหมายสำคัญจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ไม่ว่าจะให้ลึกถึงแดนคนตายหรือสูงเทียมฟ้าก็ได้” 12แต่อาหัสตอบว่า “เราจะไม่ทูลขอ และเราจะไม่ลองพระยาห์เวห์ดู” 13และอิสยาห์กล่าวว่า “ข้าแต่ราชวงศ์ของดาวิด ขอทรงฟัง การทำให้มนุษย์อ่อนใจนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกฝ่าพระบาทหรือ? และพวกฝ่าพระบาทยังให้พระเจ้าของข้าพระบาทอ่อนพระทัยด้วยหรือ? 14เพราะฉะนั้น องค์เจ้านายจะประทานหมายสำคัญด้วยพระองค์เอง นี่แน่ะ หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และคนจะเรียกนามของเขาว่า อิมมานูเอล 15เขาจะรับประทานนมข้นและน้ำผึ้ง ในเวลาที่เขารู้จักปฏิเสธความชั่วและเลือกความดี 16เพราะก่อนที่เด็กนั้นจะรู้จักปฏิเสธความชั่วและเลือกความดี แผ่นดินของกษัตริย์ทั้งสององค์ซึ่งฝ่าพระบาทหวาดกลัวนั้นจะร้างเปล่าไป 17พระยาห์เวห์จะทรงนำวันเวลานั้นมาเหนือฝ่าพระบาท เหนือชนชาติของฝ่าพระบาทและเหนือเชื้อสายพระราชบิดาของฝ่าพระบาท เป็นวันเวลาอย่างที่ไม่เคยปรากฏตั้งแต่สมัยเอฟราอิมแยกจากยูดาห์ คือวันเวลาของพระราชาของอัสซีเรีย
 18“ในวันเวลานั้น พระยาห์เวห์จะทรงผิวพระโอษฐ์เรียกเหลือบซึ่งอยู่ทางต้นน้ำของแม่น้ำแห่งอียิปต์ และเรียกผึ้งซึ่งอยู่ในแผ่นดินอัสซีเรีย 19แล้วพวกมันจะมากันหมด และเกาะอยู่ตามห้วยชัน ในซอกหิน และบนต้นหนามขี้แรดทั้งหมดและบนลานหญ้าทั้งสิ้น
 20“ในวันนั้น องค์เจ้านายจะทรงใช้มีดโกนซึ่งเช่ามาจากดินแดนอีกฟากของแม่น้ำยูเฟรติส คือพระราชาของอัสซีเรีย ในการโกนศีรษะ ขนในที่ลับ และจะทึ้งหนวดเคราออกไปด้วย
 21“ในวันนั้นชายคนหนึ่งจะเลี้ยงแม่โคสาวไว้ตัวหนึ่งและแกะสองตัว 22และเพราะมันให้นมมากมาย เขาจะรับประทานนมข้น เพราะว่าทุกคนที่เหลืออยู่ในแผ่นดินจะรับประทานนมข้นและน้ำผึ้ง
 23“ในวันนั้น ทุกแห่งที่เคยมีเถาองุ่นหนึ่งพันเถา ซึ่งมีค่าเป็นเงิน 1,000 เชเขล จะกลายเป็นต้นหนามย่อยและหนามใหญ่ 24ผู้คนจะไปที่นั่นพร้อมกับคันธนูและลูกธนู เพราะว่าทั้งแผ่นดินจะมีแต่หนามย่อยและหนามใหญ่ 25ส่วนเนินเขาทุกแห่งที่เคยถูกขุดด้วยจอบ เจ้าจะไม่ไปที่นั่นเพราะกลัวหนามย่อยและหนามใหญ่ แต่เนินเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นที่ซึ่งเขาปล่อยฝูงโคเดินเล่น และที่ซึ่งให้ฝูงแกะเหยียบย่ำ”

อิสยาห์ 8

บุตรอิสยาห์เป็นหมายสำคัญถึงการรุกรานของอัสซีเรีย

 1แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเอากระดานแผ่นใหญ่มาแผ่นหนึ่ง และจงเขียนลงบนนั้นด้วยอักษรง่ายๆ ว่า ‘มาเฮร์-ชาลาล-หัช-บัส’ ” 2และข้าพเจ้าได้พยานที่น่าเชื่อถือคืออุรียาห์ปุโรหิต และเศคาริยาห์บุตรของเยเบเรคียาห์เพื่อเป็นพยานให้ข้าพเจ้า 3แล้วข้าพเจ้าเข้าไปหาผู้เผยพระวจนะหญิงคือ ภรรยาของท่านอิสยาห์เอง นางก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า ‘มาเฮร์-ชาลาล-หัช-บัส’ 4เพราะก่อนที่เด็กนั้นจะรู้จักเรียก ‘พ่อ แม่’ ได้ ทรัพย์สมบัติของดามัสกัสและของที่ริบได้จากสะมาเรียจะถูกขนเอาไปเฉพาะพระพักตร์พระราชาของอัสซีเรีย” 5แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า 6“เพราะว่าชนชาตินี้ได้ปฏิเสธน้ำแห่งชิโลอาห์ที่ไหลเอื่อยๆ และยินดีเกี่ยวกับเรซีนและบุตรของเรมาลิยาห์” 7เพราะฉะนั้น ดูซิ องค์เจ้านายจะทรงนำน้ำแห่งแม่น้ำยูเฟรติสที่มีกำลังและมีมากมาย คือพระราชาของอัสซีเรียและศักดิ์ศรีทั้งหมดของพระองค์มาสู้กับพวกเขา น้ำนั้นจะไหลล้นลำคลองทุกสายของมัน และท่วมฝั่งทั้งหมดของมัน 8และจะกวาดต่อเข้าไปในยูดาห์ มันจะท่วมท้นและไหลผ่านไปจนถึงลำคอ และปีกที่แผ่ออกของมันจะปกคลุมความกว้างของแผ่นดินของท่านนะ ท่านอิมมานูเอล

9ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงรู้ความหมายและจงหวาดกลัว
 ทุกดินแดนที่ห่างไกลเอ๋ย จงเงี่ยหูฟัง
จงคาดเอวของพวกเจ้าไว้และจงหวาดกลัว
 จงคาดเอวของพวกเจ้าไว้และจงหวาดกลัว
10จงวางแผนร่วมกัน แต่ก็จะล้มเหลว
 จงหารือกัน แต่จะยืนหยัดอยู่ไม่ได้
 เพราะพระเจ้าสถิตกับเรา

อรรถาธิบาย

ตอบรับการทรงเรียกของพระเจ้า และพูดว่า ‘ข้าพระองค์จะไป’

ในทุกวันนี้เมื่อเรามองไปทั่วโลก เราเห็นหลายประเทศอยู่ในความสิ้นหวัง คำอธิบายในเนื้อหาตอนนี้กำลังกล่าวถึงประเทศที่อุดมไปด้วยความอยุติธรรม

พวกผู้นำ ‘ยึดครองดินแดนทั้งหมด... ขับไล่เจ้าของเก่า... เข้ายึดประเทศ ปล่อยให้ทุกคนไร้ที่อยู่และไม่มีที่ดิน... ที่ดินฟุ่มเฟือยเหล่านั้นจะถูกทิ้งร้าง ไร่องุ่นขนาดสิบเอเคอร์จะผลิตไวน์เพียงหนึ่งไพน์’ (5:8-10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในขณะเดียวกัน ผู้นำกลับจดจ่ออยู่กับ ‘งานเลี้ยงของพวกเขาได้รับการตกแต่งอย่างดี ด้วยดนตรีและไวน์มากมาย’ ในขณะที่คนทั่วไป ‘ตายเพราะการกระหายน้ำ’ ผู้นำของพวกเขาเรียกความชั่วว่าดีและความดีว่าชั่ว (ข้อ 8-22 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

แต่อิสยาห์มีสิทธิอำนาจอะไรพูดกับสังคมแบบนี้? ระหว่างช่วงเวลาที่มืดมนในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล พระเจ้าทรงเรียกเขา อิสยาห์บรรยายถึงนิมิตที่เขามีขึ้นเมื่อ 740 ปีก่อนคริสตกาล ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ (6:1)

1. เขาได้พบกับพระเจ้า
อิสยาห์บรรยายความรู้สึกอันท่วมท้นถึงการรับรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ สง่าราศีและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ (ข้อ 1-4) คำสำคัญ คือ ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์เจ้านาย’ (ข้อ 1) กุญแจสำคัญสู่การทรงเรียกของเขาในภายภาคหน้าไม่ใช่แค่ประสบการณ์ที่ดีจากการได้รับรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าเท่านั้น แต่ชีวิตของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลง

2. เขาได้รับการชำระ
อิสยาห์ได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าและกล่าวว่า ‘วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาดและข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางชนชาติที่ริมฝีปากไม่สะอาด แต่ดวงตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์ คือพระยาห์เวห์จอมทัพ’ (ข้อ 5) ยิ่งคุณอยู่ใกล้ความสว่างมากเท่าไร ความสว่างก็ยิ่งเผยให้เห็นบาปของคุณมากขึ้นเท่านั้น

แต่แล้วพระเจ้าทรงริเริ่ม และจัดเตรียมการชำระให้บริสุทธิ์ ‘ดูเถอะ ถ่านเพลิงได้แตะต้องริมฝีปากของท่านแล้ว ความผิดของท่านมลายไป บาปของท่านถูกเช็ดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์บนไม้กางเขน ความผิดและบาปที่คุณต้องชดใช้ถูกนำออกไป คุณไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกผิด แต่คุณสามารถเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าความรักของพระเจ้ามีไว้สำหรับคุณ

3. เขาทูลพระเจ้าว่า ‘ข้าพระองค์จะไป’
อิสยาห์ตอบรับการทรงเรียกของพระเจ้า พระเจ้าถามคำถามกับเขาว่า เราทำทั้งหมดนี้เพื่อพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าจะออกไปเพื่อเราไหม ทั้งชีวิตของพวกเจ้าอยู่ต่อหน้าพวกเจ้า พวกเจ้าจะทำอย่างไรกับมัน อิสยาห์กล่าวว่า ‘เราจะใช้ผู้ใดไป? และผู้ใดจะไปแทนพวกเรา?’ (ข้อ 8ก)

อิสยาห์ตอบว่า ‘ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด’ (ข้อ 8ข) เขาเห็นว่านี่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้หลีกเลี่ยง ไม่ได้ปล่อยให้ล่าช้าไป เขากล่าวกับพระเจ้าว่า ‘ข้าพระองค์จะไป’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แล้วพระเจ้าใช้เขาได้อย่างมาก

สิ่งนี้เทียบไม่ได้กับผู้ที่อิสยาห์พยากรณ์ไว้ เขากล่าวว่า ‘องค์เจ้านายจะประทานหมายสำคัญด้วยพระองค์เอง นี่แน่ะ หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และคนจะเรียกนามของเขาว่า อิมมานูเอล’ (7:14) สิ่งที่ว่าไว้นี้สำเร็จเป็นจริงตามประวัติศาสตร์ด้วยการถือกำเนิดของมาเฮร์-ชาลาล-หัช-บัส (8:1) อย่างไรก็ตาม ตามคำพยากรณ์นี้สำเร็จโดยสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นอิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา (ข้อ 8,10 ดูมัทธิว 1:23)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘ความผิดของเจ้าก็ถูกขจัด และบาปของเจ้าก็ได้รับการลบล้าง’ (อิสยาห์ 6:7) ข้าพระองค์ตอบวันนี้แก่พระองค์ว่า ‘ข้าพระองค์อยู่นี่ ขอทรงใช้ข้าพระองค์เถิด!’

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 โครินธ์ 7:2

‘จงเปิดใจรับเราเถิด’

หลักสูตรใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น หลักสูตรอัลฟ่าจะเริ่มต้นอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ มีคนใหม่ ๆ เข้ามาในคริสตจักรมากมาย มันอาจจะน่าหวั่นใจอยู่บ้าง แต่นี่เป็นเครื่องเตือนใจให้ฉันเปิดใจให้กับทุกคนที่ฉันพบ

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม