วัน 26

เหตุใดพระเจ้าจึงอนุญาตให้เกิดความทุกข์ยาก

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 16:1-11
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 18:10-35
พันธสัญญาเดิม โยบ 1:1-3:26

เกริ่นนำ

เด็กชายวัย 1 ขวบหลังหักจากการตกบันได เขาเลยต้องใช้ชีวิตเข้าออกโรงพยาบาลตั้งแต่เด็กจนเป็นหนุ่ม กาวิน รีด อดีตบิชอปแห่งเมดสโตน สัมภาษณ์เขาในคริสตจักร เด็กหนุ่มเอ่ยว่า ‘พระเจ้าทรงยุติธรรม’ กาวินถามต่อว่า ‘คุณอายุเท่าไหร่?’ เด็กหนุ่มตอบว่าม ‘สิบเจ็ดครับ’ ‘คุณนอนโรงพยาบาลกี่ปี?’ เด็กชายตอบว่า ‘สิบสามปีครับ’ กาวินถามอีกว่า ‘คุณคิดว่านั่นยุติธรรมหรือไม่?’ เขาตอบว่า ‘พระเจ้ามีเวลาอีกไม่จำกัดในชีวิตนิรันดร์ ที่จะชดเชยให้กับผม’

เราอยู่ในโลกที่ได้รับการตอบสนองความต้องการอย่างทันท่วงที ทำให้สูญเสียมุมมองชีวิตนิรันดร์ไปเกือบทั้งหมด ในพันธสัญญาใหม่นั้นเต็มไปด้วยพระสัญญาเกี่ยวกับอนาคต สรรพสิ่งทั้งปวงจะได้รับการฟื้นฟู พระเยซูจะกลับมาสร้าง ‘ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่’ (วิวรณ์ 21:1) จะไม่มีการร้องไห้อีกต่อไปและความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจะไม่มีอีกต่อไป เนื้อหนังที่อ่อนแอและเน่าเปื่อยของเราจะถูกเปลี่ยนใหม่เป็นกายที่เปล่งประกายดั่งพระเยซูคริสต์

ความทุกข์ยากไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้างแต่แรกเริ่ม (ดู ปฐมกาล 1-2) ไม่มีความทุกข์ใดในโลกที่เกิดขึ้นก่อนการกบฏต่อองค์พระผู้เป็นพระเจ้า จะไม่มีความทุกข์โศกเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ (วิวรณ์ 21:3–4) ดังนั้นความทุกข์จึงถือเป็นผู้บุกรุกเข้ามาในโลกของพระเจ้า

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์สำหรับคำถามที่ว่า ‘เหตุใดพระเจ้าจึงอนุญาตให้เกิดความทุกข์ยาก?’ อย่างที่เราได้เห็นเมื่อวานนี้ ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายหรือสมบูรณ์แบบ พระธรรมแต่ละตอนในวันนี้จะให้ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นแก่เรา

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 16:1-11

บทเพลงแห่งความวางใจในพระเจ้า

มิคทามบทหนึ่งของดาวิด

1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพิทักษ์ข้าพระองค์ไว้
 เพราะข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์
2ข้าพเจ้าทูลพระยาห์เวห์ว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์เจ้านายของข้าพระองค์
 นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีสิ่งดีใดเลย”
3วิสุทธิชนในแผ่นดินเป็นผู้ประเสริฐ
 เป็นพวกที่ข้าพเจ้าปีติยินดี
4แต่ผู้ที่หันหาพระอื่น ความทุกข์โศกของเขาก็ทวีขึ้น
 ข้าพเจ้าจะไม่เทเลือดเป็นเครื่องดื่มบูชาแก่พระเหล่านั้น
 และริมฝีปากของข้าพเจ้าก็จะไม่ออกนามพระเหล่านั้นเลย
5พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพเจ้าและทรงเป็นจอกของข้าพเจ้า
 พระองค์ทรงรักษาส่วนมรดกของข้าพระองค์ไว้
6เขตแดนของข้าพเจ้าเป็นที่ร่มรื่น
 เออ ข้าพเจ้ามีมรดกที่ดี
7ข้าพเจ้าถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ประทานคำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า
 เออ ตอนกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า
8ข้าพเจ้าตั้งพระยาห์เวห์ไว้ตรงหน้าเสมอ
 เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือ ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว
9เพราะฉะนั้น ใจข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณก็เปรมปรีดิ์
 ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย
10เพราะพระองค์มิได้ทรงมอบข้าพระองค์ไว้กับแดนคนตาย
 หรือให้ผู้จงรักภักดีของพระองค์ต้องเห็นหลุมมรณะนั้น
11พระองค์ทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์
 ต่อพระพักตร์พระองค์มีความยินดีเปี่ยมล้น
 ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์

อรรถาธิบาย

มองความทุกข์ยากของชีวิตนี้ผ่านบริบทของความเป็นนิรันดร์

พระธรรมสดุดีบางตอนในวันนี้เป็นหนึ่งในพระคัมภีร์เดิมที่เล็งถึงความหวังเกี่ยวกับความเป็นนิรันดร์แห่งการทรงสถิตของพระผู้เป็นเจ้า ดาวิดเขียนไว้ว่า ‘เพราะพระองค์มิได้ทรงมอบข้าพระองค์ไว้กับแดนคนตาย หรือให้ผู้จงรักภักดีของพระองค์ต้องเห็นหลุมมรณะนั้น พระองค์ทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ ต่อพระพักตร์พระองค์มีความยินดีเปี่ยมล้นในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์’ (ข้อ 10–11)

นี่คือความหวังในอนาคตของเรา พระคำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ได้กล่าวถึงไว้ล่วงหน้าแล้วในพระคัมภีร์ (ดูกิจการ 2:25–28) ชีวิตนี้ไม่ใช่จุดจบ คุณสามารถรอคอยความเป็นนิรัดร์กาลแห่งการทรงสถิตของพระผู้เป็นเจ้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชนยินดีและความสุขนิจนิรันดร์ ‘ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่ควรจะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรีซึ่งจะเผยให้แก่เราในอนาคต’ (โรม 8:18)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ในพระคริสต์ ข้าพระองค์สามารถตั้งตารอคอยการฟื้นฟูกายใหม่ และความเป็นนิรันดร์แห่งการทรงสถิตของพระองค์ที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และความสุขนิจนิรันดร์หาที่เปรียบมิได้

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 18:10-35

อุปมาเรื่องแกะหาย

 10“จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ของพวกเขาคอยเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เสมอ 11เพราะว่าบุตรมนุษย์เสด็จมา เพื่อทรงช่วยคนที่หลงหายไปนั้นให้รอด 12พวกท่านคิดอย่างไร? ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงไปจากฝูง คนนั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา แล้วไปเที่ยวหาตัวที่หลงไปนั้นหรือ? 13เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นพบมัน เขาจะมีความเปรมปรีดิ์มากยิ่งกว่าที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลงไปนั้น 14พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย

การตักเตือนผู้อื่นที่ทำความผิดบาป

 15“หากพี่น้องของท่านคนหนึ่งทำผิดต่อท่าน จงไปหาและชี้ความผิดต่อเขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา 16แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย เพื่อให้คำพูดทุกคำได้รับการยืนยันด้วยปากของสองสามคน เพื่อทุกคำจะเป็นหลักฐานได้ 17ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก ก็ให้ถือว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี 18เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งใดๆ ที่พวกท่านจะกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดๆ ที่พวกท่านจะกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์ 19เราบอกพวกท่านอีกว่า ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกันทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลก พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ก็จะทรงทำสิ่งนั้นให้ 20เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น”

อุปมาเรื่องทาสที่ไม่ยอมให้อภัย

 21ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?” 22พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด
 23“เพราะเหตุนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็เปรียบเหมือนเจ้าองค์หนึ่งที่มีพระประสงค์จะคิดบัญชีกับบรรดาทาสของตน 24เมื่อท่านทรงเริ่มต้นคิดบัญชี คนหนึ่งที่เป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ ก็ถูกพามาเข้าเฝ้า 25ท่านจึงมีรับสั่งให้ขายตัวเขาพร้อมกับเมียและลูก รวมทั้งบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเพื่อเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินที่จะใช้หนี้นั้น 26ทาสคนนั้นจึงกราบลงวิงวอนว่า ‘ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพระองค์จะใช้หนี้ทั้งหมด’ 27เจ้าองค์นั้นทรงสงสาร จึงทรงปล่อยตัวเขาและทรงยกหนี้ 28แต่เมื่อทาสคนนั้นออกไปก็พบคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนทาสด้วยกัน ที่เป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน เขาก็จับคนนั้นบีบคอบอกว่า ‘แกต้องใช้หนี้ให้ข้า’ 29เพื่อนทาสคนนั้นจึงกราบลงอ้อนวอนว่า ‘ขอผัดไว้ก่อนแล้วข้าจะใช้ให้’ 30แต่เขาไม่ยอม จึงนำทาสลูกหนี้นั้นไปขังคุกไว้จนกว่าจะสามารถใช้หนี้ได้ 31พวกเพื่อนทาสเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็เป็นทุกข์อย่างยิ่ง และนำเหตุการณ์ทั้งหมดไปกราบทูลเจ้าองค์นั้น 32ท่านจึงเรียกทาสนั้นมาตรัสว่า ‘ไอ้ข้าชั่วร้าย เรายกหนี้ให้เอ็งทั้งหมด ก็เพราะเอ็งอ้อนวอนเรา 33เอ็งควรจะเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน เหมือนเราเมตตาเอ็งไม่ใช่หรือ?’ 34แล้วเจ้าองค์นั้นก็กริ้ว จึงทรงมอบทาสคนนั้นไว้ให้เจ้าหน้าที่ทรมานจนกว่าจะใช้หนี้หมด 35พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะทรงทำต่อพวกท่านอย่างนั้น ถ้าพวกท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจของพวกท่าน”

อรรถาธิบาย

เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอิสระภาพและความทุกข์ยากของมนุษย์

พระเจ้ารักคุณ ความรักไม่ใช่การถูกบังคับ แต่จะเป็นความรักได้ก็ต่อเมื่อมีทางเลือกที่แท้จริง พระเจ้ามอบทางเลือกและอิสระให้มนุษย์ที่จะรักหรือไม่รัก ความทุกข์ทรมานมากมาย เกิดจากการที่เราเลือกที่จะไม่รักพระเจ้าหรือผู้อื่น ดังนั้น ‘ผู้ที่หันหาพระอื่น ความทุกข์โศกของเขาก็ทวีขึ้น’ (สดุดี 16:4)

อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงแสดงความไม่เชื่อมโยงกันระหว่างความบาปและความทุกข์ทรมาน (ยอห์น 9:1–3) พระองค์ชี้ให้เห็นว่าภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นการลงโทษจากพระเจ้าเสมอไป (ลูกา 13:1–5) แต่ความทุกข์บางอย่างเป็นผลโดยตรงจากบาปของเราเองหรือบาปของผู้อื่น ในพระธรรมตอนนี้เราจะพบสามตัวอย่าง:

1.\tหลงหาย

พระเยซูตรัสเกี่ยวกับแกะที่ ‘หลงหาย' (มัทธิว 18:12)

เมื่อเราออกห่างจากการเลี้ยงดูขององค์พระผู้เลี้ยง เราจะล้มลงในบาป แต่พระเจ้าไม่มีวันหยุดที่จะตามหาเรา เพราะพระองค์ ‘ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย’ (ข้อ 14)

2. บาปของผู้อื่น

พระเยซูตรัสว่า ‘หากพี่น้องของท่านคนหนึ่งทำผิดต่อท่าน’ (ข้อ 15) ความทุกข์ยากมากมายบนโลกนี้ ทั้งในระดับโลกและระดับชุมชน และในแต่ละบุคคลนั้น เป็นผลมาจากบาปของผู้คนต่าง ๆ ในพระธรรมตอนนี้พระเยซูทรงกำหนดแนวทางการคืนดีให้กับเรา

พระองค์เรียกสาวกให้อภัยบาปต่อผู้อื่นอย่างนับไม่ถ้วน พระเยซูตรัสว่า เมื่อผู้คนทำบาปต่อเรา เราต้องให้อภัยพวกเขาไม่ใช่แค่เจ็ดครั้ง แต่เป็นเจ็ดสิบเจ็ดครั้ง (ข้อ 21–22)

การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย ไม้กางเขนเป็นเครื่องเตือนเราว่าต้องจ่ายราคาและปวดร้าวมากเพียงใด การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายทำ ในคำแก้ตัว หรือปฏิเสธมัน หรือแสร้งทำเป็นว่าคุณไม่เจ็บปวด แต่คือการคุณตระหนักถึงสิ่งที่อีกฝ่ายทำและยังถูกเรียกให้คุณให้อภัย ให้คุณละทิ้งความอาฆาตพยาบาท การจองล้างจองผลาญ และการแก้แค้นในความสัมพันธ์ของคุณ และแสดงความเมตตา และความกรุณาต่อคนที่ทำร้ายคุณ

3. การไม่ให้อภัย

บางครั้งการให้อภัยอาจเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังที่ ซี.เอส. ลูอิส เขียนไว้ว่า ‘ทุกคนคิดว่าการให้อภัยเป็นความคิดที่ดี จนกระทั้งพวกเขาจะมีบางอย่างที่ต้องให้อภัย’

ในคำอุปมาตอนท้ายเราสามารถเห็นความพินาศของการไม่ให้อภัย การที่ทาสคนแรกที่ไม่ยอมยกหนี้ให้เพื่อน ทั้งที่เป็นจำนวนซึ่งเล็กน้อยกว่าหนี้ของตัวเขาเองมาก ถ้าจะให้คิดเป็นค่าจ้างของคนทั่วไปก็คงเป็นเงินราว ๆ สามเดือนครึ่ง เทียบกับ 160,000 ปี นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับทาสคนอื่น ๆ พังลง และเป็นเหตุให้ทาสคนที่สองต้องถูกโยนเข้าไปในคุก บ่อยครั้งที่การไม่ให้อภัยทำลายความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน และส่งผลให้พวกเขาทำร้ายคนที่คิดว่าทำบาปต่อกัน เราได้เห็นผลลัพธ์นี้ในชีวิตคู่ที่พังทลายลง ความสัมพันธ์ที่แตกสลาย หรือในความขัดแย้งกันในสังคมต่าง ๆ

เราไม่อาจทำให้ตัวเองได้รับการอภัยได้ แต่พระเยซูทรงทำสำเร็จเพื่อเราบนไม้กางเขนแล้ว แต่การเต็มใจที่จะให้อภัยเป็นหลักฐานว่าเรารู้จักกับการให้อภัยของพระเจ้า จงให้โอกาสผู้อื่นให้ได้รับการให้อภัย เพราะเราทุกคนล้วนได้รับการให้อภัยจากพระเจ้าอย่างเหลือล้น จนเราสมควรต้องให้อภัยความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นที่ผู้อื่นได้ทำกับเรา

ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ไม่ได้จำกัดว่าจะให้อภัยผมบ่อยเพียงใด แต่เมื่อผมมองผู้อื่น ผมกลับมีแนวโน้มที่จะคิดว่า ‘ผมยินดีที่จะให้อภัยหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง แต่ถ้าพวกเขาทำแบบนี้อีก ผมก็ไม่คาดหวังที่จะให้อภัยพวกเขาต่อไปอีก’

ให้เราปลูกฝังทัศนคติต่อผู้อื่นในใจของคุณเช่นเดียวกับที่พระเจ้ามีต่อคุณ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ใช้เสรีภาพที่มีในการรัก ค้นหาผู้ที่หลงหาย และมีความเมตตา โปรดช่วยข้าพระองค์ไม่ให้ก่อความทุกข์ยาก แต่ให้ยอมที่จะอุทิศชีวิต โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง ในการช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยาก

พันธสัญญาเดิม

โยบ 1:1-3:26

โยบกับครอบครัว

 1มีชายคนหนึ่งในแผ่นดินอูส ชื่อโยบ ชายคนนั้นเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย 2ท่านมีบุตรชาย 7 คนและบุตรหญิง 3 คน 3ส่วนทรัพย์สมบัติของท่าน มีแกะ 7,000 ตัว อูฐ 3,000 ตัว วัว 500 คู่ ลาตัวเมีย 500 ตัว และคนใช้มากมาย ดังนั้นชายผู้นี้จึงมั่งคั่งที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก 4บุตรของท่านเคยจัดงานเลี้ยงในบ้านของแต่ละคนตามวันกำหนดของตน พวกเขาจะเชิญน้องสาวทั้งสามคนมารับประทานและดื่มกับพวกเขาด้วย 5และเมื่องานเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า “บางทีลูกๆ ของข้าได้ทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ” โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา

ซาตานโจมตีคุณธรรมของโยบ

 6อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเหล่าทูตสวรรค์มารายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ ซาตานได้มาในหมู่เขาด้วย 7พระยาห์เวห์ตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากไหน?” ซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” 8และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?” 9แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ? 10พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ? พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน 11แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์” 12และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด ทุกสิ่งที่เขามีก็อยู่ในมือของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขา” ซาตานจึงออกไปจากเบื้องพระพักตร์พระยาห์เวห์

โยบสูญเสียทรัพย์สินและบุตร

 13อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบุตรชายหญิงของท่านกำลังรับประทานและดื่มเหล้าองุ่นอยู่ในบ้านพี่ชายคนโตของเขา 14มีผู้สื่อสารมาหาโยบเรียนว่า “ฝูงวัวกำลังไถนาอยู่ และฝูงลาตัวเมียกำลังกินหญ้าอยู่ข้างๆ 15คนเสบาก็มาโจมตีเอามันไป และฆ่าคนใช้ด้วยคมดาบ และข้าพเจ้าคนเดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน” 16ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “ไฟของพระเจ้าตกจากฟ้าไหม้แกะกับคนใช้ และเผาผลาญหมด และข้าพเจ้าคนเดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน” 17ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “ชาวเคลเดียจัดเป็นสามกองเข้าปล้นเอาอูฐไป และฆ่าคนใช้ด้วยคมดาบ และข้าพเจ้าคนเดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน” 18ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “ลูกชายกับลูกสาวของท่านกำลังรับประทานและดื่มเหล้าองุ่นอยู่ในบ้านพี่ชายคนโตของเขา 19และดูเถิด มีพายุข้ามถิ่นทุรกันดารมาปะทะบ้านทั้งสี่มุมจนพังลงทับคนหนุ่มสาว และพวกเขาก็ตาย ข้าพเจ้าคนเดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน”
 20แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ 21ท่านว่า “ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์”
 22ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบไม่ได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้า

โยบ 2

ซาตานโจมตีสุขภาพของโยบ

 1และอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเหล่าทูตสวรรค์มารายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ ซาตานได้มาในหมู่เขา เพื่อรายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ด้วย 2และพระยาห์เวห์ตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากไหน?” ซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” 3และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย? เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าชวนเราให้ต่อสู้กับเขา เพื่อทำลายเขาโดยไม่มีเหตุ” 4แล้วซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า “หนังแทนหนัง คนย่อมให้ทุกอย่างที่เขามีอยู่แทนชีวิตของเขา 5แต่บัดนี้ขอเหยียดพระหัตถ์แตะต้องกระดูกและเนื้อของเขา แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์” 6และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น”
 7ซาตานจึงออกไปจากเบื้องพระพักตร์พระยาห์เวห์ และทำให้โยบเป็นฝีร้าย ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อม 8และท่านก็เอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัว และนั่งอยู่ในกองขี้เถ้า 9แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ? จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ”
 10แต่ท่านตอบนางว่า “เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของตน

สหายสามคนของโยบ

 11เมื่อสหายทั้งสามของโยบได้ยินเรื่องภัยพิบัติทั้งสิ้นนี้ที่ได้เกิดขึ้นแก่ท่าน พวกเขาต่างก็มาจากที่ของตน คือ เอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ พวกเขาได้นัดมาพร้อมกันเพื่อร่วมในความทุกข์ใจกับท่านและปลอบโยนท่าน 12เมื่อพวกเขาเห็นท่านแต่ไกลก็จำท่านไม่ได้ จึงเปล่งเสียงร้องไห้ ต่างก็ฉีกเสื้อคลุมของตน และซัดผงคลีดินขึ้นฟ้าเหนือศีรษะ 13พวกเขานั่งบนพื้นดินกับท่านเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่มีใครพูดกับท่านสักคำ เพราะเห็นว่าความทุกข์ระทมของท่านนั้นใหญ่ยิ่งนัก

โยบ 3

โยบแช่งวันเกิดของตน

 1ต่อมา โยบอ้าปากแช่งวันเกิดของตน 2และโยบกล่าวว่า
3“ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ
 อีกทั้งคืนที่พูดว่า
 ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย
4ขอให้วันนั้นเป็นความมืด
 ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น
 หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น
5ขอความมืดและเงามัจจุราชยึดเอาวันนั้นไว้
 ขอให้เมฆคลุมมัน
 ขอให้ความดำมืดของกลางวันทำให้มันหวาดกลัว
6คืนนั้นน่ะ ขอให้ความมืดทึบฉวยมันไว้
 อย่าให้มันเข้าส่วนท่ามกลางบรรดาวันของปี
 อย่านับมันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเดือนเลย
7เออ ขอให้คืนนั้นเป็นหมัน
 ขออย่าให้เสียงร้องอันชื่นบานได้ยินในคืนนั้น
8ขอให้บรรดาผู้สาปวันได้สาปคืนนั้นด้วย
 คือผู้มีฝีมือที่จะปลุกเลวีอาธานขึ้นมา
9ขอให้ดาวเวลารุ่งสางของมันมืดมิด
 ขอให้มันรอความสว่าง แต่ไม่พบ
 อย่าให้มันเห็นแสงอรุณ
10เพราะว่ามันมิได้ปิดประตูครรภ์มารดาของข้า
 หรือซ่อนความยากลำบากไว้จากดวงตาของข้า
11“ทำไมข้าไม่ตายเสียตั้งแต่ออกจากครรภ์?
 ทำไมข้าไม่ออกจากครรภ์มารดาแล้วสิ้นใจ?
12ไฉนมีหัวเข่ารับข้าไว้?
 ไฉนมีหัวนมให้ข้าดูด?
13ไม่เช่นนั้น ข้าจะนอนแน่นิ่ง
 ข้าจะล่วงหลับ แล้วจะได้หยุดพัก
14กับบรรดาพระราชาและที่ปรึกษาของแผ่นดินโลก
 ผู้ได้สร้างที่ปรักหักพังขึ้นใหม่สำหรับตัวเอง
15หรือกับเจ้านายผู้มีทองคำ
 ผู้บรรจุเงินไว้เต็มบ้าน
16หรือทำไมข้าไม่เป็นอย่างลูกที่แท้งซึ่งถูกซ่อนไว้
 อย่างทารกซึ่งไม่เคยเห็นแสงสว่าง?
17ที่นั่นคนอธรรมหยุดดิ้นรน
 และที่นั่นผู้เหนื่อยอ่อนได้หยุดพัก
18ที่นั่นผู้ถูกจองจำก็สบายด้วยกัน
 พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของนายงาน
19ผู้น้อยและผู้ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น
 และทาสก็เป็นอิสระพ้นจากนายของเขา
20“ไฉนประทานแสงสว่างแก่ผู้ทนทุกขเวทนา
 และประทานชีวิตแก่ผู้มีใจระทมทุกข์?
21ผู้คอยความตาย แต่มันก็ไม่มา
 และขุดหามันยิ่งกว่าหาทรัพย์ที่ซ่อนอยู่
22ผู้เปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง
 และยินดีเมื่อเขาพบหลุมศพ
23ไฉนประทานความสว่างแก่ผู้ที่ทางของเขาซ่อนอยู่
 ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงล้อมรั้วกั้นไว้?
24เพราะการถอนหายใจของข้ามาแทนอาหาร
 และการครวญครางของข้าก็เทออกมาเหมือนน้ำ
25เพราะสิ่งที่ข้ากลัวก็มาเหนือข้า
 และสิ่งที่ข้าครั่นคร้ามก็ตกแก่ข้า
26ข้าไม่สบายใจเลย และข้าไม่สงบ
 ข้าไม่ได้หยุดพัก แต่ความวุ่นวายได้มาหา”

อรรถาธิบาย

ตอบสนองความทุกข์ด้วยความเมตตาอยู่เสมอ

ในพระธรรมโยบเป็นเนื้อหาเกี่ยวข้องความทุกยาก โดยหลักแล้วคำถามคือ ‘เราควรตอบสนองต่อความทุกข์อย่างไร?’

บางทีเราอาจเห็นคำใบ้เกี่ยวกับที่มาของความทุกข์ เมื่อทูตสวรรค์มารวมตัวกันต่อหน้าพระเจ้า ‘ซาตานได้มาในหมู่เขาด้วย’ (1:6) มันเคย ‘จากไป ๆ มา ๆ บนแผ่นดินโลก’ (ข้อ 7) เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของซาตาน คือสร้างความทุกข์ทรมานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เป็นที่ปรากฏชัดว่าซาตานคือทูตสวรรค์ที่ตกลงมา ดูเหมือนว่าก่อนที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์ พระองค์ได้สร้างชีวิตที่มีอิสระ มีจินตนาการและชาญฉลาดอื่น ๆ ไว้ และเกิดการกบฏภายในอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณนี้ก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้นด้วยซ้ำ

ความทุกข์ทรมานมากมายสามารถอธิบายได้ว่าเป็นผลมาจากการที่เราอาศัยอยู่ในโลกที่ล่มสลายนี้ ซึ่งเป็นโลกที่สรรพสิ่งทั้งหมดได้รับผลกระทบ ไม่เพียงแต่จากบาปของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบาปของซาตานก่อนหน้านั้นด้วย งูมีอยู่ก่อนอาดัมและเอวาจะทำบาป และผลที่มาจากบาปของอาดัมและเอวา ‘ต้นไม้และพืชที่มีหนาม’ จึงเข้ามาในโลก (ปฐมกาล 3:18) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ‘สรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง’ (โรม 8:20) รวมถึงภัย ‘ธรรมชาติ’ ก็เป็นผลมาจากความวุ่นวายนี้

ซาตานได้รับอนุญาตให้นำโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่หลายอย่างเข้ามาในชีวิตของชายคนหนึ่งที่ไร้ตำหนิ และชอบธรรมเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย (โยบ 1:1) โยบเผชิญกับความสูญเสียทรัพท์สินเงินทองและวัตถุ (ข้อ 13–17) ชีวิตครอบครัว (ข้อ 18–19) สุขภาพส่วนตัว (2:1–10) และรวมถึงการสนับสนุนจากเพื่อน ๆ

เมื่อเราเผชิญกับความทุกข์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ การต่อว่าพระเจ้าอาจเป็นเรื่องง่ายมาก แม้ว่าโยบไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทุกข์ทรมาน แต่เขาก็ตอบสนองโดยการไว้วางใจ และนมัสการพระเจ้าต่อไปเช่นเดียวกับตอนที่เขาประสบความสำเร็จ (1:21,2:10) ผู้เขียนบอกเราด้วยความชื่นชมว่า ‘ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของตน’ (ข้อ 10ข) เขายังคงสัตย์ซื่อในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดนี้

ในตอนแรกเพื่อนของโยบตอบสนองในทางที่ถูกต้อง ‘ไม่มีใครพูดกับท่านสักคำ เพราะเห็นว่าความทุกข์ระทมของท่านนั้นใหญ่ยิ่งนัก' (ข้อ 13) เมื่อเผชิญกับความทุกข์ทรมานที่หนักหนาสาหัส ความพยายามที่จะหาเหตุผลเข้าข้างตนเองสามารถยับยั้งได้ โดยการโอบกอดกันไว้ซึ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ และ ‘ร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้’ (โรม 12:15) ให้เราร่วมทุกร่วมสุขให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในท้ายที่สุดพระเจ้าก็ให้โยบกลับสู่สภาพดี และทวีคูณให้เขาเป็นสองเท่าของที่มีมาก่อน ตอนนี้เรารู้แล้วว่าในพระเยซู พระเจ้าทรงประทานสิ่งที่มากกว่าการชดเชยต่อความเจ็บปวดทั้งหมดของเราในชีวิตนี้ ได้อย่างไม่มีจำกัด

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ได้เจอกับความทุกข์ยาก โปรดช่วยข้าพระองค์แสดงความเห็นอกเห็นใจ และร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 16:7

‘ตอนกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า’

หลายอย่างมักเข้ามาในความคิดหรือความกังวลในช่วงเวลากลางดึก เมื่อเราเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นคำอธิษฐาน พระเจ้าสามารถตรัสกับเรา ชี้แนะเรา และร่างกายของเราก็จะสามารถเข้าสู่การ 'หยุดพักอยู่อย่างปลอดภัย' (ข้อ 9)

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม