การตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน
เกริ่นนำ
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 ผมกำลังเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ผมมั่นใจผ่านการอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ แต่ผมไม่ต้องการเป็นคริสเตียนเพราะกลัวว่าจะสูญเสียอิสรภาพ สิ่งสุดท้ายที่ผมเชื่อมโยงกับความเชื่อคือความรักและเสรีภาพ ผมเชื่อมโยงความเชื่อกับการสูญเสียอิสรภาพของตัวผมเอง ผมคิดว่าพระเจ้าคงอยากให้ผมเลิกทำทุกสิ่งที่สนุกสนานและมีความสุข
อันที่จริง ผมได้ค้นพบตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมาว่าความเชื่อนำไปสู่อิสรภาพและความรักที่แท้จริง ความรัก ความเชื่อ และเสรีภาพนั้นผูกพันกันอย่างแยกไม่ออก
สดุดี 119:41-48
ו (วาว)
41ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอความรักมั่นคงของพระองค์มาถึงข้าพระองค์
คือความรอดของพระองค์ตามพระสัญญาของพระองค์
42แล้วข้าพระองค์จะมีคำตอบให้ผู้ที่เยาะเย้ยข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์วางใจในพระวจนะของพระองค์
43ขออย่าทรงนำพระวจนะแห่งความจริงไปจากปากข้าพระองค์อย่างสิ้นเชิง
เพราะข้าพระองค์ฝากความหวังไว้กับกฎหมายของพระองค์
44ข้าพระองค์จะปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระองค์
เสมอไปเป็นนิตย์นิรันดร์
45และข้าพระองค์จะเดินอย่างอิสระ
เพราะข้าพระองค์ได้แสวงหาข้อบังคับของพระองค์
46ข้าพระองค์จะกล่าวถึงพระโอวาทของพระองค์เฉพาะพระพักตร์บรรดาพระราชา
และจะไม่อับอาย
47ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์รัก 48`ข้าพระองค์เคารพพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพระองค์รัก
และข้าพระองค์จะตรึกตรองกฎเกณฑ์ของพระองค์
อรรถาธิบาย
ไว้วางใจในพระวจนะของพระเจ้า
‘ขอความรักมั่นคงของพระองค์มาถึงข้าพระองค์’ (ข้อ 41ก) ผู้เขียนสดุดีคร่ำครวญออกมาขณะที่เขาเริ่มต้นบทเพลงสดุดี 119 ‘ขอให้ความรักของพระองค์ทรงหล่อหลอมชีวิตข้าพระองค์’ (ข้อ 41ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และจบลงด้วยการตอบสนองด้วยความรัก: ‘ข้าพระองค์จะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ - โอ้ ข้าพระองค์รักสิ่งเหล่านั้น! – ข้าพระองค์ยินดีในคำแนะนำของพระองค์’ (ข้อ 47ข–48, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เขาได้กล่าวถึง ความเชื่อของเขาในพระวจนะของพระเจ้าที่ประกาศว่า ‘แล้วข้าพระองค์จะมีคำตอบให้ผู้ที่เยาะเย้ยข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์วางใจในพระวจนะของพระองค์’ (ข้อ 42) ความไว้วางใจและความเชื่อแทบจะเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน
ผู้คนที่มีความเชื่อนั้นถูกเยาะเย้ยเหมือนเช่นเคย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงวางใจในพระวจนะของพระเจ้าต่อไป ความไว้วางใจนี้ช่วยให้คุณตอบสนองต่อการเยาะเย้ยด้วยความมั่นใจ
ขอให้พระเจ้าเปิดเผยความรักมั่นคงของพระองค์แก่คุณมากขึ้นเรื่อย ๆ (ข้อ 41) ตอบสนองด้วยความรัก (ข้อ 47–48) ความไว้วางใจ ความหวัง และการเชื่อฟัง (ข้อ 42–44) แสวงหาหนทางของพระเจ้าผ่านพระคัมภีร์ แล้วคุณจะพบเสรีภาพที่แท้จริงและสามารถพูดได้ว่า ‘ข้าพระองค์จะก้าวไปอย่างอิสระ ขณะที่ข้าพระองค์มองหาความจริงและสติปัญญาของพระองค์’ (ข้อ 45, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ได้มีประสบการณ์ในความรักมั่นคงของพระองค์ และตอบสนองด้วยความรักต่อผู้คนที่ข้าพระองค์ได้พบและพูดคุยด้วย เมื่อข้าพระองค์วางใจในพระองค์และพระวจนะของพระองค์ ขอให้ข้าพระองค์เดินในเสรีภาพ
1 ทิโมธี 1:1-20
การทักทาย
1จาก เปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระบัญชาของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความหวังของเรา
2ถึง ทิโมธี ผู้เป็นบุตรที่แท้จริงของข้าพเจ้าในความเชื่อ
ขอพระคุณ พระเมตตา และสันติสุข จากพระเจ้าพระบิดาและจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงดำรงอยู่กับท่านเถิด
ตักเตือนเรื่องคำสอนเท็จ
3ขณะที่ข้าพเจ้าไปยังแคว้นมาซิโดเนียนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านอยู่ที่เมืองเอเฟซัสต่อไป เพื่อจะได้กำชับบางคนไม่ให้สอนผิดแปลกไป 4และไม่ให้สนใจในเรื่องเทพนิยายต่างๆ และเรื่องลำดับวงศ์ตระกูลที่ไม่รู้จบสิ้น ซึ่งก่อความขัดแย้งแปลได้อีกว่า ซึ่งทำให้เกิดการเดาสุ่มมากกว่าการทำพระราชกิจของพระเจ้า 5แต่เป้าหมายของการกำชับนั้นก็คือ ความรักที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ จากมโนธรรมที่ดี และจากความเชื่อที่จริงใจ 6บางคนหันออกจากเป้าหมายเหล่านี้ไปสู่การพูดที่ไร้สาระ 7เขาทั้งหลายอยากเป็นอาจารย์สอนธรรมบัญญัติทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรือยืนยัน
8เรารู้ว่าธรรมบัญญัตินั้นดีถ้าใช้ให้ถูก 9คือรู้ว่าธรรมบัญญัตินั้น ไม่ได้บัญญัติไว้สำหรับคนชอบธรรม แต่สำหรับพวกที่ไม่ยึดถือบัญญัติและพวกดื้อด้าน พวกที่ไร้ธรรม พวกคนบาป พวกคนชั่วร้าย พวกที่ไม่นับถือพระเจ้า พวกที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ พวกฆ่าคน 10พวกที่ล่วงประเวณี ชายรักร่วมเพศทั้งหลาย พวกโจรลักพาตัว พวกโกหก พยานเท็จทั้งหลาย และอะไรต่อมิอะไร ที่ขัดกับคำสอนที่ถูกต้อง 11ตามข่าวประเสริฐอันรุ่งโรจน์ของพระเจ้าผู้สมควรแก่การสรรเสริญ ที่ทรงมอบไว้กับข้าพเจ้านั้น
ขอบพระคุณสำหรับพระเมตตา
12ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเห็นว่าข้าพเจ้าไว้ใจได้ จึงทรงแต่งตั้งข้าพเจ้าให้ทำพันธกิจของพระองค์ 13แม้ว่าเมื่อก่อนข้าพเจ้าจะเป็นคนหมิ่นพระเกียรติ ข่มเหง และทำการรุนแรง แต่ข้าพเจ้าก็ยังได้รับพระเมตตา เพราะข้าพเจ้าทำไปด้วยความโฉดเขลาเพราะความไม่เชื่อ 14แต่พระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นมีเหลือล้นสำหรับข้าพเจ้า รวมทั้งความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ 15คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้ 16แต่เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้รับพระเมตตา เพื่อว่าพระเยซูคริสต์จะได้ทรงสำแดงความอดทนอย่างยิ่งต่อข้าพเจ้าซึ่งเป็นตัวเอ้นั้น เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลาย ที่จะเชื่อในพระองค์ แล้วได้รับชีวิตนิรันดร์ 17พระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ผู้เป็นองค์อมตะ และไม่ทรงปรากฏแก่ตา ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว ขอพระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน
18ทิโมธีลูกรัก คำกำชับนี้ ข้าพเจ้ามอบไว้กับท่านตามคำเผยพระวจนะซึ่งเล็งถึงท่าน เพื่อว่าข้อความเหล่านี้จะช่วยให้ท่านสู้รบได้ดี 19ให้ยึดความเชื่อไว้ และรักษามโนธรรมให้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่บางคนละทิ้งไป ทำให้ความเชื่อของพวกเขาอับปางลง 20ในคนพวกนั้นมีฮีเมเนอัสและอเล็กซานเดอร์ ผู้ซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับซาตานแล้ว เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะไม่หมิ่นพระเกียรติพระเจ้า
อรรถาธิบาย
ยึดมั่นในความเชื่อ
อัครสาวกเปาโลมีหน้าที่นำทิโมธีให้เชื่อในพระเยซูและเป็นบิดาฝ่ายวิญญาณของทิโมธีด้วย วิธีการนี้ เป็นเช่นเดียวกับพ่อที่ดีคนอื่น ๆ เปาโลเป็นห่วงทิโมธีและต้องการให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เปาโลได้บรรยายถึงทิโมธีซึ่งเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเขาว่าเป็น ‘บุตรที่แท้จริงของข้าพเจ้าในความเชื่อ’ (ข้อ 2)
ทิโมธียังกลายเป็นผู้นำ ศิษยาภิบาล และครูอีกด้วย เปาโลให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเป็นผู้นำและวิธีจัดการกับปัญหาในคริสตจักร สิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับพวกเราทุกคนในทุกวันนี้
การทำพระราชกิจของพระเจ้าโดยความเชื่อ (ข้อ 4): ‘เป้าหมายของการกำชับนั้นก็คือ ความรักที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ จากมโนธรรมที่ดี และจากความเชื่อที่จริงใจ’ (ข้อ 5) ความรักและความเชื่อควรมาคู่กันเสมอ
เปาโลได้แจกแจงรายการความบาปต่าง ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง (ข้อ 8–11) กลุ่มคนเหล่านี้เปรียบเหมือนการค้าทาส (ข้อ10) การเป็นทาสเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเสรีภาพและการค้ามนุษย์เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
เปาโลยังได้กล่าวคำพยานของตนเองว่าความเชื่อ ความรัก และเสรีภาพนั้นถูกเชื่อมโยงกัน เมื่อก่อนเขาเป็น ‘คนหมิ่นพระเกียรติ ข่มเหง และทำการรุนแรง’ (ข้อ 13) เขาอธิบายตัวเองว่าเป็น ‘ตัวเอ้’ (ข้อ 16)
ผมพบว่า น่าสนใจที่ได้เห็นความก้าวหน้าในแบบที่อัครสาวกเปาโลบรรยายถึงตนเอง:
ก่อนหน้านี้ เขาพรรณนาว่าตนเองเป็น ‘ผู้เล็กน้อยที่สุดในพวกอัครทูต’ ซึ่งไม่ ‘สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครทูต’ (1 โครินธ์ 15:9)
ต่อมา ท่านกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะเป็นคนเล็กน้อยยิ่งกว่าคนเล็กน้อยที่สุดในพวกธรรมิกชนทั้งหมด’ (เอเฟซัส 3:8)
ตอนนี้ เขาบรรยายตัวเองว่าเป็น ‘ตัวเอ้’ (1 ทิโมธี 1:16)
ดูเหมือนว่ายิ่งเขาเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและยิ่งเข้าใกล้ความสว่างของพระคริสต์มากขึ้น เขาก็ยิ่งเห็นความไม่มีค่าที่คู่ควรของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ผมคิดว่าบ่อยครั้งเป็นความจริงที่เมื่อเราดำเนินชีวิตคริสเตียนต่อไป จิตสำนึกในบาปของเราเพิ่มขึ้น และความซาบซึ้งต่อการให้อภัย ความรัก และความเมตตาของพระเจ้าก็เติบโตขึ้น
ความรู้สึกผิดอย่างแท้จริงไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดี หากตามมาด้วยการกลับใจและการให้อภัย นักศาสนศาตร์ชาวสก็อต พี.ที. ฟอร์ไซธ (1848–1921) เคยกล่าวไว้ว่า ‘คริสตจักรของเราเต็มไปด้วยผู้คนที่ดีและใจดีที่สุดที่ไม่เคยรู้จักความสิ้นหวังของความรู้สึกผิดหรือการยกโทษให้กับคนที่ไม่น่าให้อภัย’
พระเยซูคริสต์ทรงปลดปล่อยเราให้มีเสรีภาพ: ‘พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้’ (ข้อ 15) ความรอดหมายถึงเสรีภาพที่เกิดขึ้นโดยพระคุณ ดังนั้นจงยินดีในเสรีภาพและพระคุณ แทนที่จะจมปลักอยู่กับอดีต: ‘พระคุณพร้อมด้วยความเชื่อและความรักหลั่งไหลมาเหนือข้าพเจ้าและในตัวข้าพเจ้า และทั้งหมดเป็นเพราะพระเยซู’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความรักแบบคริสเตียนเกิดจากความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณ ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เทลงในหัวใจของคุณ (โรม 5:5) มันเป็นมากกว่าแค่อารมณ์ความรู้สึก ความรักแบบคริสเตียนไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อารมณ์ความรู้สึกของคุณ แต่อยู่ภายใต้เจตจำนงของคุณ ความรักคืออารมณ์ 10% ความเข้าใจ 20% เจตจำนง 70%
เปาโลเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่น ๆ ที่จะเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้รับชีวิตนิรันดร์ (1 ทิโมธี 1:16) ‘การเชื่อในพระองค์’ เป็นการกระทำของความเชื่อ
การแสดงออกทางความเชื่อนั้นต้องตามมาด้วยชีวิตแห่งความเชื่อ ดังนั้นเปาโลจึงกระตุ้นให้ทิโมธี ‘ต่อสู้อย่างดีที่สุด ยึดมั่นในความเชื่อ’ (ข้อ 18–19) ท่านเตือนคนอื่น ๆ ‘ความเชื่อของพวกเขาอับปางลง’ (ข้อ 19) คำแนะนำนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญสำหรับเราทุกคนในการ ‘ทำตามเปาโล’ และ ‘ฝึกฝนทิโมธี’
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่แม้ว่าเปาโลจะเคยเป็น ‘ตัวเอ้’ แต่พระองค์ก็ปลดปล่อยเขาให้มีอิสระที่จะใช้ชีวิตแห่งความรัก ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้นต่อข้าพระองค์ และทุกคนที่เชื่อในพระเยซู
เยเรมีย์ 32:26-34:22
พระเจ้าทรงรับรองว่าประชาชนจะได้กลับมา
26พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเยเรมีย์ว่า 27“นี่แน่ะ เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของมนุษย์และสัตว์ทั้งสิ้น มีสิ่งใดที่ยากเกินสำหรับเราหรือ? 28เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราจะมอบเมืองนี้ไว้ในมือของคนเคลเดีย และในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เขาจะยึดเอาแน่ 29คนเคลเดียผู้ต่อสู้กับเมืองนี้จะมาจุดไฟเผาเมืองนี้เสีย รวมทั้งบรรดาบ้านที่เขาเผาเครื่องหอมถวายพระบาอัลที่บนหลังคา และเทเครื่องดื่มบูชาถวายแก่พระอื่นเพื่อยั่วเย้าเราให้โกรธ 30เพราะพงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทำแต่ความชั่วในสายตาของเราตั้งแต่วัยหนุ่มสาว พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้ยั่วเย้าเราให้โกรธด้วยผลงานแห่งมือของเขา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ 31“เมืองนี้ได้เร้าความกริ้วและความโกรธของเรา ตั้งแต่วันที่ได้สร้างมันขึ้นจนถึงวันนี้ เพราะฉะนั้น เราจะเอามันออกไปให้พ้นหน้าของเรา 32เพราะว่าความชั่วทั้งสิ้นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ซึ่งเขาได้กระทำที่ยั่วเย้าให้เราโกรธ คือทั้งตัวเขา บรรดากษัตริย์และเจ้านายของเขา บรรดาปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะของเขา คนยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็ม 33พวกเขาได้หันหลังให้เรา แทนที่จะหันหน้า แม้ว่าเราได้สอนเขาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ไม่ได้ฟังเพื่อรับการสั่งสอน 34แต่พวกเขาได้ตั้งสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเขาไว้ในนิเวศซึ่งเรียกตามชื่อของเราทำให้มีมลทิน 35พวกเขาได้สร้างปูชนียสถานสูงสำหรับพระบาอัลในหุบเขาเบนฮินโนม เพื่อถวายบุตรชายและบุตรหญิงของเขาแก่พระโมเลค แม้ว่าเราไม่ได้บัญชาเขา หรือคิดอยู่ในใจของเราว่า เขาควรจะทำสิ่งน่าเกลียดน่าชังนี้ซึ่งทำให้ยูดาห์ผิดบาป”
36เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสเกี่ยวกับเมืองนี้ว่า “พวกเจ้ากล่าวว่า ‘มันจะถูกยกให้ไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด’ 37นี่แน่ะ เราจะรวบรวมพวกเขามาจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้นด้วยความกริ้ว ด้วยความพิโรธ และความโกรธอย่างรุนแรงของเรา เราจะนำเขาทั้งหลายกลับมายังสถานที่นี้ และจะทำให้เขาอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย 38พวกเขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา 39เราจะให้ใจเดียวและทางเดียวแก่เขา เพื่อเขาจะยำเกรงเราอยู่เป็นนิตย์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่เขาและแก่ลูกหลานของเขาที่ตามมา 40เราจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับพวกเขาว่าเราจะไม่หันไปจากการทำความดีแก่พวกเขา และเราจะบรรจุความยำเกรงเราไว้ในใจของพวกเขา เพื่อเขาจะไม่หันไปจากเรา 41เราจะยินดีทำความดีแก่เขา และเราจะตั้งเขาไว้ในแผ่นดินนี้อย่างมั่นคง ด้วยสุดใจและสุดจิตของเรา”
42เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ดังที่เราได้นำสิ่งร้ายอย่างยิ่งมาเหนือชนชาตินี้ เราก็จะนำสิ่งดีทั้งปวงซึ่งเราได้สัญญาไว้นั้นมาเหนือเขาเช่นกัน 43จะมีการซื้อขายนากันในแผ่นดินซึ่งเจ้ากล่าวถึงว่า ‘เป็นที่ร้างเปล่า ไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ เพราะแผ่นดินถูกมอบไว้ในมือของคนเคลเดีย’ 44ที่นานั้นจะซื้อกันด้วยเงิน ใบโฉนดก็จะต้องลงนามและประทับตรา และลงนามพยาน ที่ในแผ่นดินของเบนยามิน ในที่ต่างๆ แถบกรุงเยรูซาเล็ม และในเมืองของยูดาห์ ในเมืองแถบแดนเทือกเขา ในเมืองแถบเนินเชเฟลาห์และในเมืองแถบเนเกบ เพราะเราจะให้พวกเขากลับสู่สภาพเดิม” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
เยเรมีย์ 33
การรักษาหลังจากการลงโทษ
1พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเยเรมีย์เป็นครั้งที่สอง เมื่อท่านยังถูกกักตัวอยู่ในบริเวณของทหารรักษาพระองค์ว่า 2“พระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างแผ่นดินโลกแผ่นดินโลก พระยาห์เวห์ผู้ทรงปั้นมันเพื่อสถาปนาไว้ พระยาห์เวห์คือพระนามของพระองค์ ตรัสดังนี้ว่า 3‘จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นแก่เจ้า’ 4เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ตรัสดังนี้เกี่ยวกับเรื่องบ้านในกรุงนี้ และพระราชวังของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ซึ่งถูกรื้อลงเพื่อใช้ต้านเชิงเทินและดาบ 5พวกเขาจะไปรบกับคนเคลเดียและสถานที่เหล่านี้จะเต็มไปด้วยศพของคนที่เราสังหารด้วยความกริ้วและความพิโรธของเรา เพราะเราได้ซ่อนหน้าของเราจากกรุงนี้ เนื่องจากความอธรรมของพวกเขา 6นี่แน่ะ เราจะนำการเยียวยา และการรักษามาให้ และเราจะรักษาเขาทั้งหลายให้หายและเผยสวัสดิภาพและความมั่นคงอย่างอุดม 7เราจะให้ยูดาห์และอิสราเอลกลับสู่สภาพเดิม และสร้างเขาทั้งหลายใหม่อย่างที่เขาเป็นมาแต่เดิมนั้น 8เราจะชำระเขาจากความผิดบาปทั้งสิ้นซึ่งเขาทำต่อเรา และจะให้อภัยความผิดบาปทั้งสิ้นของเขาซึ่งเขาทำโดยกบฏต่อเรา 9และกรุงนี้จะเป็นชื่อที่ชื่นบานสำหรับเรา เป็นที่สรรเสริญ และเป็นศักดิ์ศรีต่อหน้าประชาชาติทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก ซึ่งจะได้ยินถึงสิ่งดีทั้งปวงซึ่งเราได้ทำเพื่อพวกเขา เขาจะเกรงกลัวและตัวสั่น เพราะสิ่งดีทั้งปวงและสวัสดิภาพทั้งสิ้นซึ่งเราได้จัดหาให้กรุงนั้น”
10พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ในสถานที่นี้ซึ่งเจ้ากล่าวว่า ‘เป็นที่ทิ้งร้าง ไม่มีมนุษย์หรือสัตว์’ คือในเมืองต่างๆ ของยูดาห์และตามถนนกรุงเยรูซาเล็มซึ่งร้างเปล่า ไม่มีมนุษย์หรือชาวเมืองหรือสัตว์ อีกครั้งหนึ่งสถานที่นี้จะได้ยิน 11เสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว และเสียงบรรดาคนเหล่านั้นที่กล่าวว่า
‘จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์จอมทัพ
เพราะพระยาห์เวห์ประเสริฐ
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์’
ขณะที่นำเครื่องบูชาขอบพระคุณมายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ เพราะเราจะให้แผ่นดินนั้นกลับสู่สภาพเดิม” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
12พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า “ในสถานที่นี้ซึ่งเป็นที่ทิ้งร้าง ไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ จะมีทุ่งหญ้าอีกครั้งในทุกเมืองเพื่อผู้เลี้ยงแกะจะพาแกะของพวกเขามาพัก” 13พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ในเมืองต่างๆ แถบแดนเทือกเขา ในเมืองต่างๆ แถบเนินเชเฟลาห์ ในเมืองต่างๆ แถบเนเกบ ในแผ่นดินแห่งเบนยามิน ตามสถานที่รอบกรุงเยรูซาเล็ม ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์จะมีฝูงแกะผ่านใต้มือของผู้ที่นับอีก”
กิ่งชอบธรรมและพันธสัญญากับดาวิด
14พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ดูสิ วันนั้นจะมาถึง คือเมื่อเราจะให้สิ่งดีที่เราสัญญาไว้ต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์สำเร็จ 15ในวันเหล่านั้นและในเวลานั้น เราจะให้กิ่งชอบธรรมเกิดมาเพื่อดาวิด และท่านจะให้ความยุติธรรมและความชอบธรรมแก่แผ่นดินนั้น 16ในวันเหล่านั้น ยูดาห์จะได้รับการช่วยให้รอด และเยรูซาเล็มจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่เป็นชื่อซึ่งเขาจะเรียกเมืองนั้นคือ ‘พระยาห์เวห์ทรงเป็นความชอบธรรมของเรา’ ”
17เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ดาวิดจะไม่ขาดบุรุษที่จะประทับบนพระที่นั่งแห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอล 18และปุโรหิตเผ่าเลวีจะไม่ขาดบุรุษที่อยู่ต่อหน้าเรา เพื่อถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเผาธัญบูชา และทำการสักการบูชาเป็นนิตย์”
19พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเยเรมีย์ว่า 20“พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ถ้าพวกเจ้าล้มเลิกพันธสัญญาของเราต่อวันและพันธสัญญาของเราต่อคืนได้ จนวันและคืนไม่มาตามเวลากำหนด 21แล้วเราจึงจะล้มเลิกพันธสัญญาของเราต่อดาวิดผู้รับใช้ของเรา จนท่านไม่มีโอรสที่จะครองราชย์บนพระที่นั่งของท่าน และล้มเลิกพันธสัญญาของเราต่อปุโรหิตเผ่าเลวีผู้ปรนนิบัติของเราเสีย 22บริวารของฟ้าสวรรค์นั้นนับไม่ถ้วน และเม็ดทรายที่ทะเลก็ตวงไม่ได้ฉันใด เราก็จะให้เชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ของเราและปุโรหิตเผ่าเลวีผู้ปรนนิบัติของเราทวีมากขึ้นฉันนั้น”
23พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงเยเรมีย์อีกว่า 24“เจ้าไม่ได้สังเกตเห็นหรือว่า ประชาชนเหล่านี้พูดกันอย่างไร? คือพูดกันว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงทอดทิ้งสองตระกูลที่พระองค์ทรงเลือกไว้หมายถึง อาณาจักรอิสราเอลและอาณาจักรยูดาห์เสียแล้ว’ ดังนี้แหละ เขาทั้งหลายได้ดูหมิ่นประชากรของเรา และถือว่าไม่ใช่ประชาชาติในสายตาเขาทั้งหลายอีกต่อไป 25พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ถ้าเราไม่ได้สถาปนาพันธสัญญาของเรากับวันและคืน และสถาปนากฎเกณฑ์ต่างๆ ของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแล้ว 26เราจะทอดทิ้งเชื้อสายของยาโคบและดาวิดผู้รับใช้ของเรา และจะไม่เลือกผู้หนึ่งจากเชื้อสายของท่านให้ครอบครองเหนือพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะเราจะให้พวกเขากลับสู่สภาพเดิม และจะเมตตาพวกเขา”
เยเรมีย์ 34
คำทำนายถึงมรณกรรมของเศเดคียาห์เมื่อถูกจับเป็นเชลย
1ขณะเมื่อเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน กองทัพทั้งหมดของพระองค์ บรรดาราชอาณาจักรในแผ่นดินโลกซึ่งอยู่ใต้การครอบครองของพระองค์ และชนชาติทั้งหลายกำลังต่อสู้กับกรุงเยรูซาเล็ม และเมืองทั้งปวงของกรุงนั้น มีพระวจนะจากพระยาห์เวห์ถึงเยเรมีย์ว่า 2“พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปพูดกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และกล่าวแก่ท่านว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “นี่แน่ะ เราจะมอบกรุงนี้ไว้ในมือกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะเผาเสียด้วยไฟ 3ท่านจะไม่รอดไปจากมือของเขา แต่จะถูกจับแน่และถูกมอบไว้ในมือของเขา ท่านจะได้เห็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนตาต่อตา และจะได้พูดกันปากต่อปาก และท่านจะต้องไปยังบาบิโลน” ’ ” 4ข้าแต่เศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ อย่างไรก็ดีขอทรงสดับพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ตรัสเกี่ยวกับฝ่าพระบาทดังนี้ว่า “ท่านจะไม่ตายด้วยดาบ 5ท่านจะตายด้วยความสงบ และเขาก่อเพลิงเพื่อบรรพบุรุษของท่านคือบรรดากษัตริย์ซึ่งอยู่ก่อนท่านอย่างไร เขาจะก่อเพลิงเพื่อท่านอย่างนั้น และเขาจะคร่ำครวญเพื่อท่านว่า ‘อนิจจาเอ๋ย พระองค์เจ้าข้า’ เพราะเราได้ลั่นวาจาไว้แล้ว” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
6แล้วเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะได้ทูลพระวจนะเหล่านี้ต่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม 7ขณะเมื่อกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังสู้รบกรุงเยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ ของยูดาห์ที่ยังเหลืออยู่คือ เมืองลาคีชและเมืองอาเซคาห์ ที่ยังเหลืออยู่สองเมืองนี้เท่านั้นเพราะเป็นเมืองของยูดาห์ที่มีกำแพงป้อม
การปฏิบัติอย่างไร้สัตย์ต่อทาส
8พระวจนะมาจากพระยาห์เวห์ยังเยเรมีย์ หลังจากกษัตริย์เศเดคียาห์ได้ทรงทำพันธสัญญากับประชาชนในกรุงเยรูซาเล็มว่า จะประกาศพระราชกฤษฎีกาเรื่องอิสรภาพแก่เขาทั้งหลายดังนี้ 9ให้ทุกคนปล่อยทาสฮีบรูของตนทั้งชายและหญิงให้เป็นอิสระ เพื่อจะไม่มีใครทำให้คนยูดาห์พี่น้องของตนเป็นทาส 10และพวกเขาก็เชื่อฟัง คือทั้งบรรดาเจ้านายและบรรดาประชาชนผู้เข้าทำพันธสัญญาว่า ทุกคนจะปล่อยทาสของตนทั้งชายและหญิง เพื่อพวกเขาจะไม่ตกเป็นทาสอีก เขาทั้งหลายก็ได้เชื่อฟังและปล่อยทาสให้เป็นอิสระ 11แต่ภายหลังเขาได้หวนกลับและจับทาสชายและหญิง ซึ่งเขาได้ปล่อยให้เป็นอิสระนั้นมาให้เป็นทาสอยู่ใต้บังคับอีก 12พระวจนะแห่งพระยาห์เวห์มายังเยเรมีย์จากพระยาห์เวห์ว่า 13“พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้ทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของเจ้า เมื่อเรานำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ออกจากเรือนทาสว่า 14เมื่อถึงปีที่ 7 ทุกคนจะต้องปล่อยพี่น้องฮีบรูผู้ที่ถูกขายไว้กับเจ้า และได้รับใช้เจ้ามา 6 ปี เจ้าต้องปล่อยเขาให้เป็นอิสระพ้นจากการรับใช้เจ้า แต่บรรพบุรุษของเจ้าไม่ฟังเราและไม่เงี่ยหูฟังเรา 15เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าได้กลับใจและทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเราโดยการประกาศอิสรภาพแก่เพื่อนบ้านของตน และเจ้าได้ทำพันธสัญญาต่อหน้าเราในนิเวศซึ่งเรียกตามชื่อของเรา 16แต่แล้วเจ้าก็หวนกลับทำให้นามของเราเป็นมลทิน เมื่อเจ้าทุกคนจับทาสชายหญิงของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ปล่อยให้เป็นอิสระไปตามความปรารถนาของพวกเขาแล้วนั้นกลับมาให้เป็นทาสอยู่ใต้บังคับอีก 17เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสดังนี้ว่า พวกเจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา ที่ให้ประกาศอิสรภาพแก่พี่น้องและเพื่อนบ้านของตน พระยาห์เวห์ตรัสว่า นี่แน่ะ เราจะประกาศอิสรภาพแก่พวกเจ้าด้วย ดาบ โรคระบาด และการกันดารอาหาร เราจะทำให้เจ้าเป็นที่หวาดกลัวแก่บรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลก 18และคนที่ทำผิดต่อพันธสัญญาของเรา และไม่ได้ทำตามข้อตกลงในพันธสัญญาซึ่งเขาได้กระทำต่อหน้าเรานั้น เราจะทำให้เขาเหล่านั้นเป็นดังลูกวัวที่ถูกตัดออกเป็นสองท่อน และมีคนเดินผ่านกลางท่อนเหล่านั้นไป 19เจ้านายแห่งยูดาห์ก็ดี เจ้านายแห่งกรุงเยรูซาเล็มก็ดี ข้าราชสำนักก็ดี ปุโรหิตและบรรดาประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นก็ดี ผู้ผ่านระหว่างท่อนลูกวัวนั้น 20เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือศัตรูของเขา และในมือของบรรดาผู้ที่แสวงเอาชีวิตของเขา ศพของพวกเขาจะเป็นอาหารของนกในอากาศและของสัตว์บนแผ่นดินโลก 21ส่วนเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์และเจ้านายทั้งหลายของเขานั้น เราจะมอบไว้ในมือศัตรูของเขาและบรรดาผู้ที่แสวงเอาชีวิตของเขา และกองทัพแห่งกษัตริย์บาบิโลนซึ่งได้ถอยไปจากเจ้าแล้วนั้น 22พระยาห์เวห์ตรัสว่า นี่แน่ะ เราจะบัญชาและจะนำพวกเขากลับมายังกรุงนี้ เขาจะสู้รบกับกรุงนี้ ยึดเอาจนได้ และเผาเสียด้วยไฟ เราจะทำให้เมืองต่างๆ ของยูดาห์เป็นที่ร้างเปล่าไม่มีคนอาศัย”
อรรถาธิบาย
จงวางใจในพระเยซู
บิลลี่ เกรแฮม ได้เขียนไว้ว่า ‘อะไรก็ตามที่คุณรักมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ความพึงพอใจ ธุรกิจ หรือพระเจ้า นั่นคือพระเจ้าของคุณ!’ การล่อลวงอย่างต่อเนื่องของโลกคือการแบ่งใจของเรา แต่พระเจ้ากำลังมองหาคนที่มีใจเดียว พระเจ้าเองทรงยินดีในการทำดีต่อเราด้วยสุดใจและสุดจิต (32:41) แน่นอนหรือไม่ว่าเราสามารถตอบแทนความรักของพระองค์ได้โดยรับใช้พระองค์ด้วยสุดใจและสุดจิต ด้วยความจริงใจ?
ความรักของพระเจ้าดำรงอยู่เป็นนิตย์ (33:11) พระองค์รักคุณ พระองค์ปรารถนาให้คุณเดินในความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ พระองค์ทรงผิดหวังอย่างยิ่งเมื่อผู้คนของพระองค์ ‘หันหลังให้กับเรา - จะไม่แม้แต่มองหน้าเราด้วยซ้ำ!’ (32:33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ทรงปรารถนาเวลาที่พวกเขาจะเกี่ยวข้องกับพระองค์ ‘เราจะให้ใจเดียวและทางเดียวแก่เขา’ (ข้อ 39)
พระเจ้าต้องการสื่อสารความรักที่พระองค์มีต่อคุณ : ‘จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นแก่เจ้า’ (33:3) พระองค์ต้องการนำการเยียวยาและการรักษามาให้คุณ (ข้อ 6ก) พระองค์ต้องการให้คุณมีสวัสดิภาพและความมั่นคง (ข้อ 6ข) พระองค์ต้องการชำระคุณให้พ้นจากความผิดบาปทั้งหมดที่คุณได้ทำและยกโทษให้คุณอย่างสมบูรณ์ (ข้อ 8)
พระองค์ต้องการให้คุณมีอิสระจากการเป็นเชลย (ข้อ 7) พระองค์ต้องการนำความปีติยินดีมาสู่คุณ (ข้อ 11) ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เกิดชื่อเสียง ความยินดี การสรรเสริญ และเกียรติแด่พระเจ้า (ข้อ 9) มันจะนำไปสู่การขอบพระคุณ: ‘จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์จอมทัพ เพราะพระยาห์เวห์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์’ (ข้อ 11)
พระเจ้าต้องการให้คนของพระองค์เป็นอิสระ เยเรมีย์ถูกจับกุม (ข้อ 1) ซึ่งขัดกับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับประชากรของเขา พระเจ้าต้องการปลดปล่อยประชากรของพระองค์จากการเป็นเชลยและการถูกเนรเทศไปสู่ที่ที่พวกเขาควรจะไป ในแง่ของพระคัมภีร์ภาคฝพันธสัญญาใหม่ การฟื้นฟูและการไถ่จากการถูกเนรเทศได้สำเร็จในที่สุดโดยความเชื่อในพระเยซู และเสรีภาพที่พระองค์นำมาจากการตกเป็นเชลยของบาป
พระเจ้ายังคงสนใจเกี่ยวกับการถูกจองจำทางร่างกาย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการเป็นทาสจึงเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเราเห็นสัญญาณบางอย่างเกี่ยวข้องกับการที่พระเจ้าไม่ยอมรับการเป็นทาส พระองค์ทรงบอกให้เยเรมีย์ ‘ประกาศพระราชกฤษฎีกาเรื่องอิสรภาพแก่เขาทั้งหลาย’ (34:8) ในตอนแรกผู้คนตอบสนองโดยปล่อยทาสของตนให้เป็นอิสระ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนใจและจับพวกเขากลับคืนมา (ข้อ 10–11) พระเจ้าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขาอย่างยิ่ง
พระเจ้าตรัสว่า ‘พวกเจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา ที่ให้ประกาศอิสรภาพแก่พี่น้องและเพื่อนบ้านของตน พระยาห์เวห์ตรัสว่า นี่แน่ะ เราจะประกาศ "อิสรภาพ" แก่พวกเจ้า… "อิสรภาพ" ด้วย ดาบ โรคระบาด และการกันดารอาหาร เราจะทำให้เจ้าเป็นที่หวาดกลัวแก่บรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลก’ (ข้อ 17) ‘อิสรภาพ’ นี้เป็นอิสรภาพเท็จที่เรามักพบเห็นในโลกปัจจุบัน อิสรภาพในการทำบาปนำไปสู่ความพินาศ แต่อิสรภาพที่พระเจ้าต้องการนำเข้ามาในชีวิตของคุณจะนำไปสู่ชีวิตแห่งความเชื่อและความรัก นี่คืออิสรภาพที่แท้จริง
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับอิสรภาพที่พระองค์นำมาสู่ชีวิตของข้าพระองค์ บัดนี้ข้าพระองค์หันกลับมาหาพระองค์ ข้าพระองค์ต้องการร้องทูลต่อพระองค์และได้ยินเสียงของพระองค์ - เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่ยิ่งใหญ่และไม่สามารถค้นหาได้ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์รับใช้พระองค์ในวันนี้ด้วยความจริงใจ เพื่อขอบพระคุณสำหรับความดีทั้งหมดของพระองค์และสำหรับความรักของพระองค์ซึ่งคงอยู่เป็นนิตย์
เพิ่มเติมโดยพิพพา
เยเรมีย์ 32:27
เมื่อเผชิญกับเรื่องใหญ่ในชีวิต หนุนใจให้อ่านพระคำข้อนี้ ‘มีสิ่งใดที่ยากเกินสำหรับเราหรือ?’

App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)