อธิษฐานอย่างไร
เกริ่นนำ
การอธิษฐานเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระบิดาในสวรรค์ ถ้าคุณรักใครซักคน คุณมักจะต้องการใช้เวลาอยู่ต่อหน้าเขาเพื่อสื่อสารกับเขาเป็นเช่นเดียวกันในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ซึ่งการสื่อสารก็มีได้หลายรูปแบบ
แลนสล็อต แอนดรูว์ส (1555–1626) เป็นหนึ่งในนักศาสนศาสตร์และนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ หลังจากที่เขาเสียชีวิต สมุดบันทึกส่วนตัวของเขาเกี่ยวกับคำอธิษฐานก็ถูกค้นพบและตีพิมพ์ ในนั้นเขาได้เขียนสองรายการ:
ประการแรก เขาบันทึกช่วงเวลาอธิษฐานที่ปรากฏในพระคัมภีร์:
‘เสมอ...
อย่างไม่หยุดหย่อน...
ตลอดเวลา...
วันละสามครั้ง...
เช้า สาย บ่าย เย็น...
เจ็ดครั้งต่อวัน...
ช่วงเช้า ก่อนเริ่มต้นวัน...
ตอนรุ่งสาง...
ชั่วโมงที่สามของวัน...
ประมาณชั่วโมงที่หก...
ชั่วโมงอธิษฐาน ที่เก้า...
ตอนเย็น...
กลางคืน...
ในเวลาเที่ยงคืน...’
จากนั้น เขาได้บันทึกรายการสถานที่อธิษฐานในพระคัมภีร์:
‘ในที่ประชุม...และการชุมนุม...
ตู้เสื้อผ้าของคุณ...
ห้องชั้นบน...
หลังคาบ้าน...
พระวิหาร...
บนฝั่ง...
สวน...
บนเตียงของพวกเขา...
ถิ่นทุรกันดาร...
ในทุกที่...’
ไม่มีการจำกัดเวลา สถานที่ และวิธีต่าง ๆ ที่คุณสามารถอธิษฐานได้
สดุดี 119:49-56
ז (ซายิน)
49ขอทรงระลึกถึงพระวจนะของพระองค์ที่มีต่อผู้รับใช้ของพระองค์
ซึ่งพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์หวังอยู่นั้น
50นี่คือการปลอบโยนในความทุกข์ยากของข้าพระองค์
คือพระสัญญาของพระองค์ให้ชีวิตแก่ข้าพระองค์
51คนโอหังเย้ยหยันข้าพระองค์ยิ่งนัก
แต่ข้าพระองค์ไม่หันออกจากธรรมบัญญัติของพระองค์
52เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงกฎหมายของพระองค์ที่มีมาแต่กาลก่อน
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ได้รับการปลอบโยน
53ความกริ้วอันร้อนแรงได้เกาะกุมใจข้าพระองค์เนื่องจากคนอธรรม
ผู้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระองค์
54กฎเกณฑ์ของพระองค์ได้เป็นบทเพลงของข้าพระองค์
ในบ้านที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่ชั่วคราว
55ข้าแต่พระยาห์เวห์ ในยามค่ำคืนข้าพระองค์ระลึกถึงพระนามของพระองค์
และปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระองค์
56สิ่งนี้ได้เกิดแก่ข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์ไว้
อรรถาธิบาย
พระวจนะของพระเจ้า เพลง และคำอธิษฐานในยามค่ำคืน
การอธิษฐานเป็นการสื่อสารสองทาง การอธิษฐานเกี่ยวข้องกับการฟังพระเจ้าและพูดกับพระองค์ วิธีหลักที่เราได้ยินพระเจ้าในวันนี้คือผ่านทางพระวจนะของพระองค์ พระเยซูเป็นพระคำของพระเจ้า (ยอห์น 1:1) และพระคัมภีร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ ในขณะที่คุณศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐานขอพระเจ้าตรัสกับคุณผ่านทางนั้น
สิ่งนี้จะให้ ‘ความหวัง’ แก่คุณ (สดุดี 119:49) ท่ามกลางความยากลำบากทั้งหมดของชีวิต: ‘ถ้อยคำเหล่านี้ฉุดรั้งข้าพเจ้าไว้ในยามเลวร้าย ใช่แล้ว คำสัญญาของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ากระปรี้กระเปร่า’ (ข้อ 50, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คุณจะพบการปลอบโยนผ่านพระวจนะของพระเจ้าที่มีต่อคุณ (ข้อ 52)
ถ้อยคำเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้เรานมัสการพระเจ้า: ‘กฎเกณฑ์ของพระองค์ได้เป็นบทเพลงของข้าพระองค์’ (ข้อ 54) เพลงนมัสการที่มีชื่อเสียงหลายเพลงมีพื้นฐานมาจากถ้อยคำในพระคัมภีร์
คุณไม่จำเป็นต้องจำกัดการอธิษฐานของคุณในเวลากลางวัน ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ในยามค่ำคืนข้าพระองค์ระลึกถึงพระนามของพระองค์’ (ข้อ 55 ก): นี่เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการใช้เวลาขณะที่ยังคงตื่นตัวในช่วงกลางคืน อาจเป็นวิธีรักษาอาการนอนไม่หลับได้ด้วย!
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดตรัสกับข้าพระองค์ในวันนี้ด้วยพระวจนะของพระองค์ โปรดประทานความหวังและการปลอบโยนแก่ข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์อธิษฐาน
1 ทิโมธี 2:1-15
คำแนะนำเกี่ยวกับการอธิษฐาน
1เพราะฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด ข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้วิงวอน อธิษฐาน ทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อทุกคน 2เพื่อกษัตริย์ทั้งหลายและทุกคนที่มีตำแหน่งสูง เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสงบและมีสันติในทางพระเจ้า และเป็นที่นับถือ 3การกระทำเช่นนี้เป็นการดี และเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา 4พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง 5เพราะว่าพระเจ้ามีองค์เดียว และคนกลางก็มีแต่เพียงผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพมนุษย์ 6ผู้ประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับทุกคน เหตุการณ์นี้เป็นพยานในเวลาที่เหมาะสมของมันเอง 7เพราะเรื่องนี้ข้าพเจ้าจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศและเป็นอัครทูต (ข้าพเจ้าพูดความจริงและไม่ได้โกหกเลย) เป็นอาจารย์ของพวกต่างชาติในเรื่องความเชื่อและความจริง
8เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าปรารถนาให้พวกผู้ชายยกมืออันบริสุทธิ์ขึ้นอธิษฐานในทุกแห่งหน โดยปราศจากความโกรธหรือการทุ่มเถียงกัน 9ส่วนพวกผู้หญิงก็เหมือนกัน ควรแต่งกายให้สุภาพด้วยความเหมาะสม และพอเหมาะพอควร ไม่ต้องถักผมหรือประดับกายด้วยทองคำ ไข่มุก หรือเสื้อผ้าราคาแพง 10แต่ประดับด้วยการทำดี สมกับเป็นหญิงที่ประกาศตนว่านมัสการพระเจ้า 11ให้ผู้หญิงเรียนอย่างเงียบๆ ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง 12ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือควบคุมแปลได้อีกว่า หรือมีอำนาจเหนือผู้ชาย แต่ให้เธออยู่เงียบๆ 13เพราะพระเจ้าทรงสร้างอาดัมก่อน แล้วจึงสร้างเอวา 14และอาดัมไม่ได้ถูกล่อลวง แต่ผู้หญิงถูกล่อลวงและทำบาป 15แต่ถึงกระนั้นเธอก็จะได้รับความรอดในการมีบุตร ถ้าหากพวกเธอดำรงอยู่ในความเชื่อ ความรัก และความบริสุทธิ์ ด้วยความสงบเสงี่ยม
อรรถาธิบาย
ร้องทูล อธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณ และสรรเสริญ
ความสำคัญอันดับแรกของคุณคืออะไร? เปาโลเขียนว่า ‘สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทำคือการอธิษฐาน อธิษฐานทุกวิถีทางที่ท่านรู้ เพื่อทุกคนที่ท่านรู้จัก’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คุณเคยบ่นเกี่ยวกับรัฐบาลหรือนักการเมืองของคุณหรือไม่? หากคุณต้องการรัฐบาลที่ดี คุณต้องอธิษฐานเผื่อสิ่งนั้น เปาโลจัดลำดับความสำคัญของการอธิษฐาน ‘เพื่อกษัตริย์ทั้งหลายและทุกคนที่มีตำแหน่งสูง เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสงบและมีสันติในทางพระเจ้า และเป็นที่นับถือ’ (ข้อ 2)
หากคุณอาศัยอยู่ในประเทศที่มีรัฐบาลที่ค่อนข้างมั่นคง จงขอบคุณพระเจ้า และอธิษฐานเผื่อความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ในโลกส่วนใหญ่ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานจากรัฐบาลที่ไม่มั่นคงและการปกครองแบบเผด็จการ หลักนิติธรรมมีความสำคัญสูงในคำอธิษฐานของอัครสาวกเปาโล
เมื่อมีการปกครองที่ดีและสงบสุข จะทำให้การเผยแพร่พระกิตติคุณง่ายขึ้นและทำให้คนจำนวนมากได้ยินข่าวดีนั้น ‘การกระทำเช่นนี้เป็นการดี และเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง’ (ข้อ 3–4) พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครเลยที่พระเจ้ากำหนดให้หลงทาง พระเจ้าต้องการให้ทุกคนได้รับความรอด
พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อเราทุกคน พระองค์ทรง 'ประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับทุกคน' (ข้อ 6) นี่เป็นบทสรุปที่สวยงามในพระราชกิจของพระเยซู โดยผ่านการทรงไถ่ของพระองค์ จึงทำให้ทุกคนสามารถมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระบิดาได้
อธิษฐาน ‘เผื่อทุกคนที่คุณรู้จัก’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ซึ่งรวมถึงครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน และใครก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเร้าใจให้คุณอธิษฐาน
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีความคาดหวังว่าผู้คนจะยกมือขึ้นในการอธิษฐาน ‘ไม่ยกหมัดที่โกรธแค้นใส่ศัตรู แต่ยกมืออันบริสุทธิ์ต่อพระเจ้า’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ถือเป็นเรื่องปกติที่คริสเตียนเช่นเดียวกับชาวยิวจะยกมือขึ้นในการอธิษฐาน (ข้อ 8)
นี่เป็นรูปแบบการอธิษฐานแบบดั้งเดิม ผมมักจะหยอกว่า ‘ถ้าคุณเข้าไปในคริสตจักรและเห็นทุกคนยกมือต่างพูดว่า "นี่คือคริสตจักรแบบดั้งเดิมที่นมัสการตามแบบโบราณ" ถ้าพวกเขาทุกคนเอามือลงข้างตัวก็ไม่เป็นไรเช่นกัน แค่พูดว่า "นี่คือคริสตจักรที่ทันสมัย และกำลังทดลองนมัสการในรูปแบบใหม่!"’
มีส่วนที่ยากจะอธิบายในตอนท้ายของข้อพระคัมภีร์ในวันนี้ (ข้อ 9–15) การตีความข้อนี้หลายครั้งไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งชัดเจนว่าสตรีมีบทบาทเป็นผู้นำในคริสตจักร เปาโลพูดถึงสตรีในฐานะอัครสาวกและมัคนายก (โรม 16) เปาโลคาดหวังให้พวกเขาอธิษฐานและเผยพระวจนะในที่ประชุม (1 โครินธ์ 11)
เปาโลยังเขียนอีกว่าพระคริสต์ทรงยุติความแตกแยกและอคติเกี่ยวกับเพศ ในพระคริสต์ ‘ไม่มี... ชายหรือหญิง’ (กาลาเทีย 3:28) ในพันธกิจของพระเยซูเราได้อ่านเรื่องของมารีย์แห่งเบธานีนั่งแทบพระบาทของพระเยซู กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเธอเข้าร่วมกับพวกผู้ชายในการเป็นสาวกและเป็นผู้เรียน (ลูกา 10:38–42)
ประเด็นพื้นฐานของเปาโล คือการยืนกรานว่าผู้หญิงต้องได้รับอนุญาตให้เรียนรู้ (1 ทิโมธี 2:11) และได้รับการศึกษาในฐานะคริสเตียน การที่จะทำเช่นนั้นได้พวกเขาจำเป็นต้องถ่อมใจและไม่อยู่เหนือกว่ากระบวนการ เปาโลใช้คำว่า ‘สิทธิอำนาจ’ (authentein) ซึ่งถูกนำมาใช้ในที่อื่น ๆ สำหรับรูปแบบการเป็นผู้นำที่โหดเหี้ยมหรือใช้อำนาจเหนือ ดังนั้นอาจหมายถึงประเด็นเฉพาะในที่ประชุมนี้มากกว่าที่จะเป็นความคิดเห็นทั่วไปเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของผู้หญิง
ตามที่พระคัมภีร์ฉบับ The Message ระบุไว้ว่า ‘ข้าพเจ้าต้องการให้ผู้หญิงเข้าไปที่นั่นพร้อมกับผู้ชายด้วยความนอบน้อมต่อพระพักตร์พระเจ้า... ทำสิ่งที่สวยงามเพื่อพระเจ้าและสวยงามเมื่อทำมัน’ (ข้อ 9–10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์เป็นพิเศษในวันนี้เพื่อผู้มีอำนาจ ขอให้กฎแห่งธรรมบัญญัติได้รับการสถาปนาขึ้นและให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตอยู่อย่างสงบสุขในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์
เยเรมีย์ 35:1-37:21
คนตระกูลเรคาบได้รับการยกย่อง
1พระวจนะมาจากพระยาห์เวห์ถึงเยเรมีย์ ในรัชกาลเยโฮยาคิม โอรสของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า 2“จงไปหาคนตระกูลเรคาบและพูดกับพวกเขา และนำพวกเขามาที่พระนิเวศของพระยาห์เวห์ เข้ามาในห้องเฉลียงห้องหนึ่ง แล้วเชิญให้พวกเขาดื่มเหล้าองุ่น” 3ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงนำยาอาซันยาห์บุตรเยเรมีย์ผู้เป็นบุตรฮาบาซินยาห์ กับพี่น้องของเขา และบุตรชายทั้งหมดของเขาและคนตระกูลเรคาบทุกคน 4ข้าพเจ้านำพวกเขามายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ มาในห้องเฉลียงของบุตรของฮานัน ผู้เป็นบุตรอิกดาลิยาห์ คนของพระเจ้า ซึ่งอยู่ใกล้กับห้องเฉลียงของเจ้านาย เหนือห้องเฉลียงของมาอาเสยาห์บุตรชัลลูม คนดูแลธรณีประตู 5แล้วข้าพเจ้าก็วางเหยือกเหล้าองุ่นกับถ้วยหลายใบไว้ต่อหน้าคนตระกูลเรคาบ และพูดกับพวกเขาว่า “เชิญดื่มเหล้าองุ่น” 6แต่เขาทั้งหลายตอบว่า “พวกเราไม่ดื่มเหล้าองุ่น เพราะโยนาดับบุตรเรคาบผู้เป็นบิดาของเราสั่งเราว่า ‘อย่าดื่มเหล้าองุ่น ทั้งตัวเจ้าและลูกหลานของเจ้าเป็นนิตย์ 7อย่าสร้างบ้าน อย่าหว่านพืช อย่าปลูกหรือมีสวนองุ่น แต่จงอาศัยอยู่ในเต็นท์ตลอดชีวิตของเจ้า เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนานในแผ่นดินซึ่งเจ้าอาศัยอยู่’ 8พวกเราได้เชื่อฟังเสียงของโยนาดับบุตรเรคาบ ผู้เป็นบิดาของเราในทุกสิ่งซึ่งท่านได้สั่งเรา คือไม่ดื่มเหล้าองุ่นตลอดชีวิต ทั้งตัวเรา ภรรยา บุตรชายและบุตรหญิงของเรา 9ไม่สร้างบ้านเพื่อจะอาศัยอยู่ เราไม่มีสวนองุ่นหรือนาหรือพืช 10แต่เราได้อาศัยอยู่ในเต็นท์ ได้เชื่อฟังและทำทุกสิ่งซึ่งโยนาดับบิดาของเราได้บัญชาเราไว้ 11แต่ต่อมาเมื่อเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยกมาต่อสู้กับแผ่นดินนี้ เราพูดว่า มาเถิด ให้เราไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพราะกลัวกองทัพคนเคลเดียและกองทัพคนซีเรีย ดังนั้นเราจึงอาศัยอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม”
12แล้วพระวจนะแห่งพระยาห์เวห์มาถึงเยเรมีย์ว่า 13“พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปบอกบรรดาผู้ชายของยูดาห์ และบอกชาวกรุงเยรูซาเล็มว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสว่า เจ้าจะไม่รับคำแนะนำและเชื่อฟังถ้อยคำของเราหรือ? 14ถ้อยคำของโยนาดับบุตรเรคาบที่ได้สั่งบุตรชายทั้งหลายของตนไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นนั้น พวกเขาก็ได้รักษากันไว้แล้ว และพวกเขาไม่ได้ดื่มเลยจนถึงวันนี้ เพราะพวกเขาได้เชื่อฟังคำสั่งของบิดาของเขา แต่เราเองได้พูดกับพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเจ้าก็ไม่ฟังเรา 15เราได้ส่งบรรดาผู้รับใช้ของเราคือผู้เผยพระวจนะมาหาเจ้า ส่งพวกเขามาครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าวว่า ‘บัดนี้เจ้าทุกคนจงหันกลับจากทางชั่วของตน และแก้ไขการกระทำของพวกเจ้าเสีย อย่าไปติดตามพระอื่นและปรนนิบัติพระเหล่านั้น แล้วเจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า’ แต่เจ้าไม่ได้เงี่ยหูหรือฟังเรา 16บุตรทั้งหลายของโยนาดับบุตรของเรคาบได้รักษาคำบัญชาซึ่งบิดาของเขาได้สั่งไว้ แต่ชนชาตินี้ไม่ได้เชื่อฟังเรา’ 17ดังนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘นี่แน่ะ เราจะนำโทษทั้งสิ้นซึ่งเราประกาศไว้มาเหนือยูดาห์ และบรรดาชาวกรุงเยรูซาเล็ม เพราะว่าเราพูดกับพวกเขาแต่เขาไม่ฟัง เราได้เรียกเขาแต่เขาไม่ตอบ”
18แต่เยเรมีย์ได้พูดกับคนตระกูลเรคาบว่า “พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของโยนาดับบิดาของเจ้าและถือรักษาข้อบังคับของท่านทั้งสิ้น และทำทุกอย่างที่ท่านบัญชาเจ้า 19เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘โยนาดับบุตรเรคาบจะไม่ขาดผู้ชายที่จะยืนอยู่ต่อหน้าเราตลอดไป’ ”
เยเรมีย์ 36
การอ่านหนังสือม้วนในพระวิหาร
1ในปีที่ 4 แห่งรัชกาลเยโฮยาคิม โอรสของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระวจนะต่อไปนี้มาจากพระยาห์เวห์ถึงเยเรมีย์ว่า 2“เจ้าจงนำหนังสือม้วนม้วนหนึ่งมา และเขียนถ้อยคำนี้ทั้งสิ้นลงไว้ เป็นคำที่เราได้พูดกับเจ้าเกี่ยวกับอิสราเอล ยูดาห์และบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น ตั้งแต่วันที่เราได้พูดกับเจ้า ตั้งแต่รัชกาลโยสิยาห์จนถึงวันนี้ 3บางทีคนยูดาห์จะได้ยินถึงการร้ายทั้งสิ้นซึ่งเราคิดจะทำต่อพวกเขา เผื่อว่าทุกคนจะหันกลับจากทางชั่วร้ายของตน แล้วเราจะได้อภัยโทษความผิดบาปและบาปของเขา”
4แล้วเยเรมีย์จึงเรียกบารุคบุตรเนริยาห์มาเพื่อให้บารุคเขียนพระวจนะซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสกับเยเรมีย์ตามคำบอกของท่านลงในหนังสือม้วน 5และเยเรมีย์สั่งบารุคว่า “ข้าพเจ้าถูกกักตัว ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 6ฉะนั้นเจ้าต้องเข้าไป และในวันถืออดอาหาร เจ้าจงอ่านพระวจนะของพระยาห์เวห์จากหนังสือม้วน ซึ่งเจ้าเขียนตามคำบอกของข้าพเจ้าให้ประชาชนทั้งสิ้นในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ได้ยิน เจ้าจงอ่านให้คนทั้งปวงแห่งยูดาห์ ผู้ออกมาจากเมืองต่างๆ ของเขาได้ยินด้วย 7บางทีคำทูลวิงวอนของเขาจะมาถึงพระยาห์เวห์ และทุกคนจะหันกลับจากทางชั่วของตน เพราะความกริ้วและพระพิโรธ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงประกาศเป็นโทษเหนือชนชาตินี้นั้นใหญ่หลวงนัก” 8และบารุคบุตรเนริยาห์ได้ทำตามซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะสั่งเขาให้อ่านพระวจนะของพระยาห์เวห์จากหนังสือม้วนในพระนิเวศของพระยาห์เวห์
9ในปีที่ 5 แห่งรัชกาลเยโฮยาคิม โอรสของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ณ เดือนที่ 9 ประชาชนทั้งสิ้นในกรุงเยรูซาเล็มและประชาชนทั้งสิ้นผู้มาจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์ยังกรุงเยรูซาเล็มได้ประกาศให้ถืออดอาหารเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 10แล้วบารุคจึงอ่านถ้อยคำของเยเรมีย์จากหนังสือม้วนให้ประชาชนทั้งสิ้นได้ยินในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ในห้องเฉลียงของเกมาริยาห์บุตรชาฟาน ผู้เป็นเลขานุการ ซึ่งอยู่ในลานบนตรงทางเข้าประตูใหม่แห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์
การอ่านหนังสือม้วนในพระราชวัง
11เมื่อมีคายาห์บุตรเกมาริยาห์ ผู้เป็นบุตรชาฟาน ได้ยินพระวจนะทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์จากหนังสือม้วนแล้ว 12ท่านได้ลงมาที่ห้องราชเลขาในพระราชวังของกษัตริย์และเจ้านายทั้งสิ้นก็นั่งอยู่ที่นั่น คือเอลีชามาราชเลขา เดไลยาห์บุตรเชไมยาห์ เอลนาธันบุตรอัคโบร์ เกมาริยาห์บุตรชาฟาน เศเดคียาห์บุตรฮานันยาห์ และบรรดาเจ้านายทั้งสิ้น 13แล้วมีคายาห์ก็เล่าถ้อยคำทั้งสิ้นซึ่งท่านได้ยิน เมื่อบารุคอ่านจากหนังสือม้วนให้ประชาชนฟังนั้น 14และบรรดาเจ้านายจึงใช้เยฮูดีบุตรเนธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรของเชเลมิยาห์ ผู้เป็นบุตรของคูชี ให้ไปพูดกับบารุคว่า “จงถือหนังสือม้วนซึ่งเจ้าอ่านให้ประชาชนฟังนั้นมา” ดังนั้นบารุคบุตรเนริยาห์จึงถือหนังสือม้วนนั้นมาหาเขาทั้งหลาย 15และเขาทั้งหลายจึงพูดกับเขาว่า “จงนั่งลงอ่านหนังสือนั้นให้เราฟัง” บารุคจึงอ่านให้เขาฟัง 16เมื่อเขาได้ยินคำทั้งหมดนั้นก็หันมาหากันด้วยความกลัว เขาทั้งหลายจึงพูดกับบารุคว่า “เราต้องบอกถ้อยคำเหล่านี้ต่อกษัตริย์” 17แล้วเขาทั้งหลายจึงถามบารุคว่า “จงบอกเราว่าเจ้าเขียนถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นอย่างไร? เขียนตามคำบอกของเขาหรือ?” 18บารุคตอบเขาทั้งหลายว่า “ท่านได้บอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็เขียนมันไว้ด้วยหมึกในหนังสือม้วน” 19แล้วเจ้านายทั้งหลายบอกบารุคว่า “ทั้งเจ้าและเยเรมีย์จงไปซ่อนเสีย อย่าให้ใครรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน”
เยโฮยาคิมทรงเผาหนังสือม้วน
20แล้วเขาทั้งหลายก็เข้าไปในท้องพระโรงเพื่อเฝ้ากษัตริย์ เมื่อเอาหนังสือม้วนเก็บไว้ในห้องของเอลีชามาราชเลขาแล้ว พวกเขาก็กราบทูลถ้อยคำทั้งสิ้นนั้นต่อกษัตริย์ 21กษัตริย์จึงรับสั่งให้เยฮูดีไปเอาหนังสือม้วนนั้นมา เขาก็ไปเอามาจากห้องของเอลีชามาราชเลขา และเยฮูดีก็อ่านถวายกษัตริย์และแก่เจ้านายทั้งสิ้นผู้ยืนอยู่ข้างๆ กษัตริย์ 22เวลานั้นเป็นเดือนที่ 9 กษัตริย์ประทับอยู่ในพระราชวังเหมันต์ และมีไฟลุกอยู่ในเตาผิงเฉพาะพระพักตร์ 23เมื่อเยฮูดีอ่านไปได้สามหรือสี่แถบ กษัตริย์ทรงเอามีดอาลักษณ์ตัดออก และทรงโยนเข้าไปในไฟในเตาผิง จนหนังสือม้วนนั้นถูกไฟเผาไหม้หมด 24ถึงกระนั้นกษัตริย์หรือข้าราชการของพระองค์ผู้ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก็ไม่ได้เกรงกลัวหรือฉีกเสื้อผ้าของตน 25แม้ว่าเมื่อเอลนาธันและเดลายาห์และเกมาริยาห์ได้ทูลวิงวอนกษัตริย์ไม่ให้พระองค์ทรงเผาหนังสือม้วนพระองค์ก็ไม่ทรงฟัง 26กษัตริย์ทรงบัญชาให้เยราเมเอลราชโอรส และเสไรยาห์บุตรอัสรีเอลและเชเลมิยาห์บุตรอับเดเอลจับบารุคอาลักษณ์และเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ แต่พระยาห์เวห์ทรงซ่อนท่านทั้งสองเสีย
เยเรมีย์บอกให้เขียนอีกม้วนหนึ่ง
27หลังจากที่กษัตริย์ทรงเผาหนังสือม้วนที่มีถ้อยคำซึ่งบารุคเขียนตามคำบอกของเยเรมีย์แล้ว พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเยเรมีย์ว่า 28“จงเอาหนังสือม้วนอีกม้วนหนึ่งมา และจงเขียนถ้อยคำเดิมซึ่งอยู่ในหนังสือม้วนแรกลงไว้ทั้งหมด คือที่เยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงเผาเสียนั้น 29และเกี่ยวกับเรื่องเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์นั้นเจ้าจงกล่าวดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ท่านได้เผาหนังสือม้วนนี้เสียและกล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงได้เขียนไว้ในนั้นว่า ‘กษัตริย์บาบิโลนจะมาทำลายแผ่นดินนี้เป็นแน่ และจะตัดมนุษย์และสัตว์ออกเสียจากแผ่นดินนั้น?’ 30เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสดังนี้เกี่ยวกับเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า เยโฮยาคิมจะไม่มีบุตรที่จะประทับบนพระที่นั่งของดาวิด และศพของท่านจะถูกทิ้งไว้ให้ตากแดดกลางวันและตากน้ำค้างแข็งเวลากลางคืน 31เราจะลงโทษท่านและเผ่าพันธุ์ของท่านและข้าราชการของท่าน เพราะความผิดบาปของพวกเขา เราจะนำเหตุร้ายทั้งสิ้นที่เราได้ประกาศลงโทษเขา แต่เขาไม่ฟังนั้น ให้ตกลงบนเขา และบนชาวกรุงเยรูซาเล็ม และบนคนยูดาห์” ’ ”
32แล้วเยเรมีย์จึงเอาหนังสือม้วนอีกม้วนหนึ่ง มอบให้บารุคบุตรเนริยาห์เสมียน ผู้เขียนถ้อยคำทั้งสิ้นในนั้นตามคำบอกของเยเรมีย์ คือถ้อยคำในหนังสือม้วนซึ่งเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เผาเสียในไฟ และมีถ้อยคำเป็นอันมากที่คล้ายคลึงกันเพิ่มขึ้นอีก
เยเรมีย์ 37
ความหวังที่สูญเปล่าของเศเดคียาห์
1เศเดคียาห์โอรสของโยสิยาห์ ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทรงตั้งให้เป็นกษัตริย์ในแผ่นดินยูดาห์ ได้ครองราชย์แทนโคนิยาห์โอรสของเยโฮยาคิม 2แต่ท่านเอง และข้าราชการของท่าน และประชาชนแห่งแผ่นดิน ไม่ได้ฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ตรัสผ่านทางเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ
3กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้เยฮูคัลบุตรเชเลมิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรมาอาเสยาห์ให้ไปหาเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ กล่าวว่า “ขออธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราเพื่อเรา” 4ส่วนเยเรมีย์นั้นยังเข้านอกออกในท่ามกลางประชาชนอยู่ เพราะท่านยังไม่ได้ถูกขังคุก 5กองทัพของฟาโรห์ได้ออกมาจากอียิปต์ เมื่อคนเคลเดียผู้ซึ่งกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่ได้ทราบข่าวนั้น เขาทั้งหลายก็ถอยทัพไปจากกรุงเยรูซาเล็ม
6พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า 7“พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เจ้าจงไปบอกกษัตริย์แห่งยูดาห์ ผู้ใช้เจ้ามาไต่ถามเรา ว่า ‘ดูสิ กองทัพของฟาโรห์ซึ่งมาช่วยเจ้ากำลังจะกลับไปยังอียิปต์ แผ่นดินของเขา 8และคนเคลเดียจะกลับมาต่อสู้กับกรุงนี้ พวกเขาจะยึดได้และเผาเสียด้วยไฟ 9พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า อย่าล่อลวงตัวเองโดยกล่าวว่า “คนเคลเดียจะถอยออกไปจากเราแน่” เพราะว่าเขาจะไม่ถอยออกไป 10ถึงแม้ว่าเจ้าทำให้กองทัพทั้งสิ้นของคนเคลเดียที่กำลังต่อสู้เจ้าพ่ายแพ้ และมีเหลือแต่คนที่บาดเจ็บอยู่ในเต็นท์ของเขาเท่านั้น พวกเขาก็จะลุกขึ้น และเผากรุงนี้เสียด้วยไฟ’ ”
เยเรมีย์ถูกจำคุก
11เมื่อกองทัพของคนเคลเดียได้ถอยจากกรุงเยรูซาเล็ม เพราะกองทัพของฟาโรห์เข้ามาประชิด 12เยเรมีย์ก็ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มมุ่งไปยังแผ่นดินเบนยามิน เพื่อจะรับส่วนแบ่งของท่านท่ามกลางประชาชนที่นั่น 13เมื่อท่านอยู่ที่ประตูเบนยามิน ทหารยามคนหนึ่งชื่ออิรียาห์บุตรเชเลมิยาห์ ผู้เป็นบุตรฮานันยาห์ได้จับเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “ท่านกำลังหนีไปหาคนเคลเดีย” 14และเยเรมีย์ตอบว่า “ไม่จริง ข้าพเจ้าไม่ได้หนีไปหาคนเคลเดีย” แต่อิรียาห์ไม่ฟังท่านและจับเยเรมีย์นำมาหาเจ้านาย 15และบรรดาเจ้านายก็เดือดดาลต่อเยเรมีย์ และพวกเขาก็ตีท่านและขังท่านไว้ในบ้านของโยนาธานเลขานุการ ซึ่งได้ทำให้เป็นคุก 16ดังนั้นเยเรมีย์จึงถูกขังอยู่ในคุกมืด และอยู่ที่นั่นหลายวัน
17แล้วกษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้ให้คนไปเอาตัวท่านมา กษัตริย์ทรงสอบถามท่านเป็นการลับที่ในพระราชวังว่า “มีพระวจนะมาจากพระยาห์เวห์บ้างหรือไม่?” เยเรมีย์ทูลว่า “มีพ่ะย่ะค่ะ” แล้วท่านทูลอีกว่า “ฝ่าพระบาทจะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน” 18เยเรมีย์ได้ทูลกษัตริย์เศเดคียาห์อีกว่า “ข้าพระบาทได้ทำอะไรผิดต่อฝ่าพระบาท หรือต่อข้าราชการของฝ่าพระบาท หรือต่อชนชาตินี้ ฝ่าพระบาทจึงได้จำขังข้าพระบาทไว้ในคุก? 19ผู้เผยพระวจนะของฝ่าพระบาทผู้ได้ทูลเผยพระวจนะต่อฝ่าพระบาทว่า ‘กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะไม่มาต่อสู้ฝ่าพระบาท หรือต่อสู้แผ่นดินนี้’ นั้นอยู่ที่ไหน? 20บัดนี้ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระบาท ขอทรงฟัง ขอคำทูลของข้าพระบาทมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของฝ่าพระบาท ขออย่าทรงส่งข้าพระบาทกลับไปที่บ้านของโยนาธานเลขานุการนั้นเลย เกรงว่าข้าพระบาทจะตายเสียที่นั่น” 21กษัตริย์เศเดคียาห์จึงมีรับสั่งและเขาก็มอบเยเรมีย์ไว้ที่บริเวณทหารรักษาพระองค์ และเขาให้ขนมปังแก่ท่านวันละก้อนจากถนนช่างทำขนมจนขนมปังในกรุงนั้นหมด เยเรมีย์จึงค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์อย่างนั้น
อรรถาธิบาย
ฟังพระเจ้าและอธิษฐานเผื่อผู้อื่น
คุณเคยรู้สึกท้อแท้กับความจริงที่ว่าหลายคนไม่สนใจที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังหรือไม่?
พระเจ้าตรัสกับเยเรมีย์ เยเรมีย์จึงกล่าวว่าพระเจ้า ‘เริ่มตรัสกับ [เขา] ตั้งแต่รัชสมัยของโยสิยาห์’ (36:2) เยเรมีย์บอกบารุคว่า ‘พระวจนะทั้งหมดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขา’ (ข้อ 4)
ครั้งแล้วครั้งเล่า ‘พระวจนะของพระเจ้ามาถึงเยเรมีย์’ (ตัวอย่างเช่น ในข้อ 35:1,12; 36:1,27; 37:6) สันนิษฐานว่าเยเรมีย์ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าขณะที่เขากำลังอธิษฐาน
เยเรมีย์กระตุ้นให้ผู้คนฟังพระเจ้า พระเจ้าตรัส ‘ครั้งแล้วครั้งเล่า’ (35:14) พระเจ้าตรัสว่า ‘นี่แน่ะ! ... เราพูดกับพวกเขาแต่เขาไม่ฟัง’ (ข้อ 17)
แม้ว่าพระเจ้าตรัสผ่านเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะของพระองค์ กษัตริย์เยโฮยาคิมก็ยังปฏิเสธที่จะฟังคำเตือนของที่ปรึกษาของพระองค์ (36:25) เยเรมีย์เขียนพระวจนะของพระเจ้าไว้บนม้วนหนังสือด้วยปากกาขนนกและหมึกอย่างระมัดระวัง แต่เยโฮยาคิมซึ่งนั่งอยู่หน้าเตาผิงที่ถ่านกำลังอุ่นอยู่ ได้ตัดม้วนหนังสือทั้งหมดแล้วเผาทีละชิ้น (ข้อ 23)
เยเรมีย์คงเสียใจมากที่ได้ยินสิ่งที่กษัตริย์ทรงกระทำกับงานทั้งหมดที่เขาทุ่มเททำอย่างหนัก พระเจ้าบอกให้เยเรมีย์ ‘ทำใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาไม่ได้เกลียดชังจากการถูกปฏิเสธ เราเองก็เช่นเดียวกันต้องเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปแม้ว่าสิ่งที่เราสื่อสารไปจะถูกปฏิเสธ: ‘ทำใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง’
ภัยพิบัติมาถึง 'เพราะพวกเขาไม่ฟัง' (ข้อ 31) เมื่อเศเดคียาห์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ ‘แต่ท่านเอง และข้าราชการของท่าน และประชาชนแห่งแผ่นดิน ไม่ได้ฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ตรัสผ่านทางเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ’ (37:2) พวกเขาดูหมิ่นเยเรมีย์และถ้อยคำของเขา แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่ยอมฟัง ผู้มีอำนาจก็ตระหนักถึงพลังของคำอธิษฐานของเยเรมีย์ กษัตริย์เศเดคียาห์ส่งข้อความถึงเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ: ‘ขออธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราเพื่อเรา’ (ข้อ 3)
ต่อมาเขาถูกจับ โบยตี และคุมขัง (ข้อ 14–15) เขา ‘ถูกขังอยู่ในคุกมืด และอยู่ที่นั่นหลายวัน’ (ข้อ 16) แต่เมื่อเขาถูกนำตัวออกจากคุกเพื่อไปเฝ้ากษัตริย์และถูกถามว่า ‘มีพระวจนะมาจากพระยาห์เวห์บ้างหรือไม่?’ (ข้อ 17) เขามีความกล้าหาญที่จะพูดออกมาอีกครั้ง ขีวิตเขาอยู่ขึ้นกับความเมตตาของกษัตริย์ แต่เขาก็ไม่กลัว
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดช่วยให้ข้าพระองค์ตั้งใจฟังถ้อยคำของพระองค์ และมีความกล้าที่จะพูดโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา
เพิ่มเติมโดยพิพพา
เยเรมีย์ 37:15
‘และบรรดาเจ้านายก็เดือดดาลต่อเยเรมีย์ และพวกเขาก็ตีท่านและขังท่านไว้ในบ้านของโยนาธานเลขานุการ ซึ่งได้ทำให้เป็นคุก’
เยเรมีย์ไม่เคยได้เจองานง่ายๆ เลย เขาถูกเรียกให้เตือนชาวยิวถึงความพินาศที่จะมาถึง และก็แทบจะไม่มีใครฟัง
มันไม่ง่ายเลยที่จะต่อต้านกระแสน้ำ เยเรมีย์เป็นแบบอย่างและหนุนใจให้เราก้าวต่อไปแม้ในยามยากลำบาก

App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)