วัน 296

หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของคุณ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 119:81-88
พันธสัญญาใหม่ 2 ทิโมธี 1:1-18
พันธสัญญาเดิม เยเรมีย์ 48-49:6

เกริ่นนำ

‘ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ทุกคนมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน พวกเขารู้ว่าการได้มาและการรักษาคนดี ๆ เอาไว้เป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของผู้นำ’ จอห์น แม็กซ์เวลล์ เขียนในหนังสือของเขาชื่อ Developing the Leaders Around You (การพัฒนาผู้นำที่อยู่รอบตัวคุณ) เขาปลุกเร้าผู้อ่านว่า ‘ออกไปหาคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่คุณจะหาได้ จากนั้นพัฒนาพวกเขาให้กลายเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาจะเป็นได้’

เปาโลถูกตัดสินและขังคุกใต้ดินที่ทั้งมืดและเปียกชื้น มีเพียงช่องเล็ก ๆ บนเพดานที่แสงและอากาศลอดผ่านเข้ามา เขาถูก ‘ล่ามโซ่’ (2 ทิโมธี 1:16) ‘เหมือนกับผู้ร้าย’ (ข้อ 2:9) เขาโดดเดี่ยว เบื่อหน่าย และหนาวสั่น (ข้อ 4:9-13) ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามธรรมเนียมแล้วท่านถูกตัดสินประหารโดยการตัดหัว ภายใต้การข่มเหงของจักรพรรดิเนโร

ทิโมธีบทที่ 2 น่าจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายของเปาโล เขาเลือกที่จะเขียนถึงบุคคลแทนการเขียนถึงคริสตจักร ทิโมธีคือผู้นำที่เปาโลได้พบเจอ ฝึกฝน และพัฒนา เปาโลคงจะอายุประมาณ 60 ปี และทิโมธีน่าจะอายุประมาณ 30 ปีต้น ๆ

เมื่อเปาโลรู้ตัวว่าตนกำลังหยิบยื่นข่าวประเสริฐให้คนรุ่นต่อไป ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของเขาเป็นสิ่งที่ทิโมธีจะต้องรักษามันไว้ (ข้อ 1:11-14) ยิ่งผมแก่ตัวลง ผมยิ่งชื่นชมในสติปัญญาของคนรุ่นก่อนหน้าผม และผมยิ่งเห็นถึงความรับผิดชอบที่พวกเราทุกคนมีในการส่งต่อไม้ผลัดให้คนรุ่นต่อไป

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 119:81-88

כ (คาฟ)
81จิตใจของข้าพระองค์เหนื่อยอ่อนคอยความรอดของพระองค์
 ข้าพระองค์หวังในพระวจนะของพระองค์
82ดวงตาของข้าพระองค์เมื่อยล้า เพราะคอยพระสัญญาของพระองค์
 ข้าพระองค์ทูลถามว่า “เมื่อไรพระองค์จะทรงปลอบโยนข้าพระองค์?”
83เพราะข้าพระองค์ไร้ประโยชน์เหมือนถุงหนังเหล้าองุ่นที่ถูกรมควัน
 แต่ข้าพระองค์ยังไม่ลืมกฎเกณฑ์ของพระองค์
84ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องทนอยู่นานเท่าไร?
 พระองค์จะทรงทำการพิพากษาบรรดาผู้ข่มเหงข้าพระองค์เมื่อไร?
85คนโอหังได้ขุดหลุมพรางดักข้าพระองค์
 คือคนเหล่านั้นที่ไม่ใส่ใจกับธรรมบัญญัติของพระองค์
86พระบัญญัติทุกข้อของพระองค์ก็สัตย์จริง
 พวกเขาข่มเหงข้าพระองค์ด้วยความเท็จ
87พวกเขาเกือบทำให้ข้าพระองค์สูญสิ้นไปจากแผ่นดินโลกแล้ว
 แต่ข้าพระองค์ไม่ทอดทิ้งข้อบังคับของพระองค์
88ขอทรงรักษาชีวิตข้าพระองค์ตามความรักมั่นคงของพระองค์
 และข้าพระองค์จะปฏิบัติตามพระโอวาทจากพระโอษฐ์ของพระองค์

อรรถาธิบาย

รากฐานที่ถูกต้องสำหรับคนรุ่นต่อไป

สดุดีตอนนี้เป็นการสะท้อนถึงชีวิตในมุมมองส่วนตัวและเป็นเนื้อหาที่ผู้เขียนผลิตออกมาเพื่อช่วยผู้อื่นในการสร้างชีวิตของพวกเขาและสร้างความเป็นผู้นำบนรากฐานที่ถูกต้อง

เขาเป็นแบบอย่างของความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า ‘ข้าพระองค์หวังในพระวจนะของพระองค์… พระบัญญัติทุกข้อของพระองค์ก็สัตย์จริง… ข้าพระองค์ไม่ทอดทิ้งข้อบังคับของพระองค์’ (ข้อ 81ข, 86ก, 87ข)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์สัตย์ซื่อท่ามกลาง ‘หลุมพราง’ ทั้งหมด (ข้อ 85) และการข่มเหง (ข้อ 86) โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อฝึกฝนผู้นำรุ่นใหม่

พันธสัญญาใหม่

2 ทิโมธี 1:1-18

การทักทาย

 1จาก เปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระทัยของพระเจ้า เพื่อพระสัญญาแห่งชีวิตที่มีในพระเยซูคริสต์
 2ถึง ทิโมธี บุตรที่รักของข้าพเจ้า
 ขอพระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราดำรงอยู่กับท่านเถิด

จงรักภักดีต่อข่าวประเสริฐ

 3ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าผู้ที่ข้าพเจ้ารับใช้ด้วยมโนธรรมอันบริสุทธิ์เช่นบรรพบุรุษทั้งหลายของข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเสมอในการทูลวิงวอนทั้งกลางวันกลางคืน 4เมื่อระลึกถึงน้ำตาของท่าน ข้าพเจ้าก็อยากจะพบท่าน ซึ่งจะทำให้ข้าพเจ้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง 5ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่านซึ่งเป็นความเชื่อที่โลอิสยายของท่านมีเป็นคนแรก แล้วมีในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามีอยู่ในตัวท่านด้วย 6เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอเตือนความจำท่านว่า ของประทานของพระเจ้าที่มีในตัวท่านโดยผ่านทางการวางมือของข้าพเจ้านั้น จงทำให้รุ่งเรืองขึ้น 7เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา
 8เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเพราะรับใช้พระองค์ แต่จงมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในความทุกข์ยากเพื่อข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า 9ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเราด้วยการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา แต่ตามพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง คือพระคุณที่ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา 10และบัดนี้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ 11สำหรับข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครทูต และเป็นอาจารย์ 12เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อับอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับข้าพเจ้าสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับข้าพเจ้า แปลได้อีกว่า สิ่งที่ข้าพเจ้ามอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันพิพากษาได้ 13จงประพฤติตามแบบอย่างของคำสอนที่ถูกต้องที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ 14จงรักษาสิ่งประเสริฐที่ทรงมอบไว้แก่ท่าน โดยพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตภายในเรา
 15ท่านก็ทราบแล้วว่าทุกคนที่อยู่ในแคว้นเอเชียนั้น ต่างก็ผละจากข้าพเจ้าไปหมด ในพวกนั้นมีฟีเจลัสและเฮอร์โมเกเนสรวมอยู่ด้วย 16ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อครอบครัวของโอเนสิโฟรัสด้วยเถิด เนื่องจากเขาทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อยๆ เขาไม่มีความอับอายในโซ่ตรวนของข้าพเจ้าเลย 17เพราะเมื่อเขามาถึงกรุงโรม เขาเสาะหาข้าพเจ้าอย่างกระตือรือร้นจนพบ 18เขาปรนนิบัติข้าพเจ้าที่เมืองเอเฟซัสมากเพียงไรท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เขาได้รับพระเมตตาจากพระองค์ ในวันพิพากษาด้วยเถิด

อรรถาธิบาย

วิธีการพัฒนาคนรุ่นต่อไป

พวกเราทุกคนสามารถมีลูกหลานในฝ่ายวิญญาณ

เปาโลอาจจะไม่ได้มีลูกหลานโดยธรรมชาติ แต่มีลูกหลานในฝ่ายวิญญาณ เขาเรียกทิโมธีว่า ‘บุตรที่รักของข้าพเจ้า' (ข้อ 2) และได้นำทิโมธีมาสู่ความเชื่อในพระเจ้า (กิจการ 16:1-2) เป็นเวลา 15 ปีที่ทิโมธีได้เป็นทั้งเพื่อนของเปาโลและร่วมเดินทางในทริปพันธกิจครั้งที่สองและสาม (โรม 16:21; 1 เธสะโลนิกา 3:2; ฟีลิปปี 2:19–20) ตอนนี้ทิโมธีอยู่ในตำแหน่งของผู้นำในเอเฟซัส

เปาโลได้ให้คำปรึกษา ฝึกฝน สอนวินัยแก่ทิโมธี และถ่ายทอดสติปัญญาให้กับเขา เปาโลเป็นต้นแบบและแบบอย่างของวิธีการพัฒนาผู้นำชนรุ่นต่อไป

1. รักพวกเขา
‘ลูกชายที่ข้าพเจ้ารักอย่างมาก’ เป็นชื่อที่เปาโลเรียกทิโมธี ( 2 ทิโมธี 1:2 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เปาโลขอบคุณพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอสำหรับทิโมธี (ข้อ 3) เปาโลเป็นคนที่ร้อนรนและอ่อนไหวด้านอารมณ์ เมื่อผู้คนบอกลาเขา ก็มักจะลงเอยด้วยน้ำตา ‘ข้าพเจ้าคิดถึงพวกท่าน โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงการลาจากครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้ฟูมฟาย และตั้งตารอการพบกันอีกครั้งที่จะเต็มด้วยความชื่นชมยินดี’ (ข้อ 4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

2. อธิษฐานเผื่อพวกเขา
‘ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเสมอในการทูลวิงวอนทั้งกลางวันกลางคืน’ (ข้อ 3) การอธิษฐานเผื่อคนอื่นไม่เป็นการเสียเวลา แต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง การอธิษฐานวิงวอนเป็นการกระทำด้วยความรัก

3. เชื่อในพวกเขา
‘ข้าพเจ้าระลึกถึง ความเชื่ออย่างจริงใจ ของท่านซึ่งเป็นความเชื่อที่โลอิสยายของท่านมีเป็นคนแรก แล้วมีในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามีอยู่ในตัวท่านด้วย’ (ข้อ 5) เปาโลไว้ใจทิโมธีให้รับผิดชอบแม้เขาจะอายุน้อย คนที่มีอิทธิผลกับเราคือคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา

4. ปรนนิบัติพวกเขา
‘...ข้าพเจ้าจึงขอเตือนความจำท่านว่า ของประทานของพระเจ้าที่มีในตัวท่านโดยผ่านทางการวางมือของข้าพเจ้านั้น จงทำให้รุ่งเรืองขึ้น’ (ข้อ 6) ก่อนหน้านั้นเปาโลได้เขียนว่า ‘อย่าละเลยของประทานที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งประทานแก่ท่านตามคำเผยพระวจนะ เมื่อคณะผู้ปกครองวางมือบนตัวท่าน’ (1 ทิโมธี 4:14)

พวกเขาอาจจะอธิษฐานเผื่อทิโมธีให้มีของประทานในการประกาศหรือแต่งตั้งให้เป็นทีมผู้นำในคริสตจักร อาจจะเป็นการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณและการรับของประทานในการพูดภาษาแปลก ๆ หรือการเผยพระวจนะ เราไม่รู้ว่าของประทานนั้นคืออะไร แต่มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพันธกิจการอธิษฐาน นี่เป็นเหตุผลที่เราวางมืออธิษฐานให้ผู้คน เช่น ในช่วงตอนท้ายของการประชุมทุกครั้งที่คริสตจักร โฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตั้น

5. ให้กำลังใจพวกเขา
ทิโมธีต้องการกำลังใจ กำลังใจเป็นเหมือนออกซิเจนสำหรับจิตใจ ทิโมธีนั้นมีอายุน้อย เขามีความอ่อนแอด้านร่างกาย ( ‘โรคที่เป็นอยู่บ่อย ๆ’ 1 ทิโมธี 5:23) เขาคงจะขี้อายและมีบุคลิกที่เก็บตัว

เปาโลเขียนว่า ‘พระเจ้าไม่ได้ประทานวิญญาณของความกลัว (ขลาดกลัว หัวหด ขี้รำคาญ)’ ( 2 ทิโมธี 1:7 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เราไม่ได้เป็นคนขี้ขลาดเมื่อเรารู้สึกหวาดกลัว จริง ๆ แล้วความกล้าหาญไม่อาจเกิดขึ้นได้จากสิ่งที่คุณกลัว แต่ความกล้าหาญคือการทำสิ่งที่คุณกลัวและไม่ยอมให้ความกลัวครอบงำการตัดสินใจของคุณ

พระเจ้าได้สวมคุณด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วย ‘ใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา’ (ข้อ 7ข) เพื่อช่วยให้คุณเอาชนะความกลัวของคุณ

6. ท้าทายพวกเขา
เปาโลปลุกเร้าทิโมธีให้ ‘กระตุ้น’ และทำของประทาน ‘ให้รุ่งเรืองขึ้น’ (ข้อ 6) คนอื่น ๆ สามารถช่วยคุณได้แต่ท้ายที่สุดแล้วคุณเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาฝ่ายวิญญาณของตัวคุณเอง ขอให้กระตุ้นตัวเองอยู่เสมอ ให้ความเชื่อจำเริญโดยการนมัสการ อธิษฐาน อ่านพระวจนะ รับใช้เพื่อชุมชน หรืออะไรก็ตามที่จำเป็น

7. วางใจพวกเขา
‘จงรักษาสิ่งประเสริฐที่ทรงมอบไว้แก่ท่าน โดยพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตภายในเรา’ (ข้อ 14) สิ่งประเสริฐคือข่าวประเสริฐที่เปาโลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครทูต และเป็นอาจารย์ (ข้อ 12) เรารอดโดยพระคุณ ‘ไม่ใช่ตามการกระทำของเรา’ (ข้อ 9) พระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด ‘ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัด โดยทางข่าวประเสริฐ’ (ข้อ 10)

เปาโลปลุกเร้าทิโมธีไม่ให้อับอายในมิตรภาพของพวกเขา หรือละอายที่จะเป็นพยานถึงองค์พระเยซู (ข้อ 8) พวกเขาต้องประกาศและอารักขาข่าวประเสริฐ (ข้อ 9-14) เปาโลมั่นใจว่เขาได้เลือกคนที่ถูกต้องให้ถ่ายทอดไปยังชนรุ่นต่อไป ‘โดยพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตภายในเรา’ (ข้อ 14)

8. แบ่งปันให้กับพวกเขา
‘จงมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในความทุกข์ยากเพื่อข่าวประเสริฐ’ (ข้อ 8) ถึงแม้ว่าเปาโลได้รับใช้พระเจ้าด้วย ‘มโนธรรมอันบริสุทธิ์’ (ข้อ 3) แต่เขาไม่ได้รอดพ้นจากความทุกข์ยาก ท่านถูกล่าม ‘โซ่ตรวน’ ไว้ (ข้อ 16) ถูกคริสเตียนคนอื่นทำให้ผิดหวัง ‘ท่านก็ทราบแล้วว่าทุกคนที่อยู่ในแคว้นเอเชียนั้น ต่างก็ผละจากข้าพเจ้าไปหมด ในพวกนั้นมีฟีเจลัสและเฮอร์โมเกเนสรวมอยู่ด้วย’ (ข้อ 15)

แต่มีคนหนึ่งโดดเด่น... อย่าวิ่งหนีไปจากคนที่เดือดร้อน แต่ให้เป็นเหมือนโอเนสิโฟรัส ‘เนื่องจากเขาทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อย ๆ เขาไม่มีความอับอายในโซ่ตรวนของข้าพเจ้าเลย’ (ข้อ 16)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ส่งต่อไม้ผลัดให้ชนรุ่นต่อไป ให้อธิษฐานเผื่อพวกเขา รักพวกเขา เชื่อในพวกเขา ปรนนิบัติพวกเขา หนุนใจพวกเขา ไว้วางใจพวกเขา และแบ่งปันกับพวกเขา

พันธสัญญาเดิม

เยเรมีย์ 48-49:6

การพิพากษาโมอับ

1เกี่ยวกับโมอับ
 พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า
“วิบัติแก่เนโบ เพราะเป็นที่ถูกทิ้งร้าง
 เมืองคีริยาธาอิมต้องอับอาย มันถูกยึดแล้ว
 ป้อมปราการก็ต้องอับอายและพังลง
2ไม่มีการสรรเสริญโมอับอีก
 แล้วในเมืองเฮชโบนนั้น เขาคิดอุบายต่อสู้โมอับว่า
‘มาเถอะ ให้เราตัดมันออกเสียอย่าให้เป็นชนชาติ’
 เมืองมัดเมนเอ๋ย เจ้าจะถูกทำให้เงียบเหมือนกัน
 ดาบจะไล่ตามเจ้าไป’
3“มีเสียงร้องมาจากเมืองโฮโรนาอิมว่า
 ‘การล้างผลาญและการทำลายอย่างใหญ่หลวง’
4เมืองโมอับถูกทำลายแล้ว
 เด็กๆ ของเธอร้องระงม
5พวกเขาขึ้นไปตามทางสู่เมืองลูฮีท
 ร้องไห้อย่างขมขื่น
ตามทางลงจากเมืองโฮโรนาอิม
 เขาได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญเพราะถูกทำลาย
6หนีเถิด เอาตัวรอดเถิด
 ให้เป็นเหมือนพุ่มสนในถิ่นทุรกันดาร
7เพราะว่าเจ้าได้วางใจในที่กำบังเข้มแข็งและในทรัพย์สมบัติของเจ้า
 เจ้าจะต้องถูกยึดด้วย
และพระเคโมชจะต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย
 พร้อมกับปุโรหิตและเจ้านายของเขา
8ผู้ทำลายจะมาถึงทุกเมือง
 และจะไม่มีเมืองใดรอดพ้นไปได้
ที่ลุ่มจะต้องพินาศ
 และที่ราบจะต้องถูกทำลาย  ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้
9“จงให้ปีกแก่โมอับ
 เพื่อมันจะบินไปเสีย
เมืองต่างๆ ของมันจะกลายเป็นที่ร้างเปล่า
 ไม่มีคนอาศัยอยู่ในนั้นเลย
10“ใครทำงานของพระยาห์เวห์อย่างไม่เอาใจใส่ คนนั้นจะถูกสาป คนที่กันไม่ให้ดาบของตนทำให้โลหิตตก คนนั้นก็ถูกสาป
11“โมอับสบายตั้งแต่หนุ่มๆ มา
 และนิ่งอยู่บนตะกอนของตน
มันไม่ได้ถูกถ่ายออกจากภาชนะนี้ไปยังภาชนะนั้น
 หรือต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย
ดังนั้นรสจึงยังอยู่ในนั้น
 และกลิ่นก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
 12พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้น นี่แน่ะ วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะส่งผู้ถ่ายเทมายังเขาเพื่อถ่ายเทเขา และเทภาชนะของเขาให้เกลี้ยง และทุบไหของเขาให้แตกเป็นชิ้นๆ 13แล้วโมอับก็จะต้องอับอายเพราะพระเคโมชอย่างที่พงศ์พันธุ์อิสราเอลต้องอับอายเพราะเมืองเบธเอล ซึ่งเป็นที่วางใจของเขา
14“เจ้าพูดได้อย่างไรว่า
 ‘เราเป็นพวกวีรชนและนักรบกล้าหาญในสงคราม’
15ผู้ทำลายโมอับและเมืองต่างๆ ของมันขึ้นมาแล้ว
 และคนหนุ่มๆ ที่เก่งที่สุดของเมืองก็ลงไปเพื่อถูกฆ่า
 กษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ
16ภัยพิบัติของโมอับมาใกล้แล้ว
 และความทุกข์ใจของเขามาถึงอย่างรวดเร็ว
17บรรดาท่านที่อยู่รอบเขา จงเสียใจเพราะเขาเถิด
 ทั้งคนที่รู้จักชื่อเขาด้วย
จงกล่าวว่า ‘ธารพระกรอันทรงฤทธิ์หักเสียแล้ว
 คือคทาอันรุ่งโรจน์นั้น’
18“ชาวเมืองผู้อาศัยในดีโบนเอ๋ย
 จงลงมาจากศักดิ์ศรีของเจ้า
และนั่งบนดินที่แตกระแหง
 เพราะผู้ทำลายโมอับได้มาสู้กับเจ้า
 เขาได้ทำลายที่กำบังเข้มแข็งของเจ้าแล้ว
19ชาวเมืองอาโรเออร์เอ๋ย
 จงยืนเฝ้าอยู่ข้างทาง
จงถามผู้ชายที่หนีมาและผู้หญิงที่รอดพ้นมา
 ว่า ‘เกิดอะไรขึ้น?’
20โมอับต้องอับอาย เพราะมันแตกเสียแล้ว
 จงคร่ำครวญและร้องไห้
จงประกาศทั่วแถบแม่น้ำอารโนนว่า  โมอับถูกทิ้งร้างเสียแล้ว
 21“การพิพากษาได้ตกมาเหนือที่ราบเหนือโฮโลน ยาซาห์ เมฟาอาท 22ดีโบน เนโบ เบธดิบลาธาอิม 23คีริยาธาอิม เบธกามุล เบธเมโอน 24เคริโอท โบสราห์ และเมืองทั้งสิ้นของแผ่นดินโมอับ ทั้งไกลและใกล้ 25พระยาห์เวห์ตรัสว่า เขาของโมอับถูกตัดออกแล้ว และแขนของมันก็หัก
 26“จงทำให้เขามึนเมา เพราะว่าเขาได้พองตัวขึ้นต่อพระยาห์เวห์ เพราะฉะนั้น โมอับจะต้องกลิ้งเกลือกอยู่ในอาเจียนของตัว และเขาจะถูกเยาะเย้ยด้วย 27อิสราเอลไม่ถูกเจ้าเยาะเย้ยหรือ? เจ้าพบเขาอยู่ท่ามกลางโจรหรือ? เจ้าจึงสั่นศีรษะ เมื่อเจ้าพูดถึงเขา
28“ชาวเมืองโมอับเอ๋ย จงออกจากเมือง
 ไปอาศัยอยู่ในซอกหิน
จงเป็นเหมือนนกพิราบ
 ซึ่งทำรังอยู่ที่ข้างปากถ้ำ
29เราได้ยินถึงความเห่อเหิมของโมอับ
 เขาเห่อเหิมมาก
ได้ยินถึงความยโส ความเห่อเหิมของเขา และความจองหองของเขา
 และความหยิ่งในใจของเขา
30พระยาห์เวห์ตรัสว่า เรารู้ความโอหังของเขา
 การโอ้อวดของเขาเป็นความเท็จ
 การกระทำทั้งหลายของเขาก็ไม่เป็นความจริง
31เพราะฉะนั้น เราจึงคร่ำครวญเพื่อโมอับ
 เราร่ำร้องเพื่อโมอับทั้งมวล
 เราโอดครวญเพื่อคนของคีร์เฮเรส
32เถาองุ่นแห่งสิบมาห์เอ๋ย
 เราร้องไห้เพื่อเจ้ามากกว่าเพื่อยาเซอร์
กิ่งทั้งหลายของเจ้ายื่นข้ามทะเล
 จนถึงทะเลแห่งยาเซอร์
ผู้ทำลายได้โจมตี
 ผลไม้ฤดูร้อนและการเก็บองุ่นของเจ้า
33ความยินดีและความชื่นบานได้ถูกกวาดออกไปเสีย
 จากเรือกสวนไร่นาและแผ่นดินของโมอับ
เราได้ทำให้เหล้าองุ่นหยุดไหลจากบ่อย่ำองุ่น
 ไม่มีคนย่ำด้วยเสียงโห่ร้องเพราะความชื่นบาน
 เสียงโห่ร้องนั้นไม่ใช่เสียงโห่ร้องแห่งความชื่นบาน
 34“จากเสียงร้องในเมืองเฮชโบนจนถึงเมืองเอเลอาเลห์ เขาทั้งหลายส่งเสียงร้องไกลถึงเมืองยาฮาสจากโศอาร์ถึงโฮโรนาอิม และเอก-ลัทเชลีชิยาห์เพราะแหล่งน้ำของนิมริมก็เหือดแห้งด้วย 35พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราจะนำอวสานมาสู่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาในปูชนียสถานสูง และเผาเครื่องหอมถวายพระของเขาในโมอับ 36เพราะฉะนั้น ใจของเราจึงโอดครวญเพื่อโมอับเหมือนอย่างปี่ และใจของเราโอดครวญเหมือนปี่เพื่อคนเมืองคีร์เฮเรส เพราะฉะนั้น ทรัพย์สมบัติที่เขาได้มาก็พินาศไป
 37“ทุกศีรษะก็ถูกโกนและทุกเคราก็ถูกตัด บนมือทั้งปวงก็มีรอยเชือดเฉือน และมีผ้ากระสอบเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ที่บั้นเอว 38บนหลังคาเรือนทั้งสิ้นของโมอับและตามบรรดาลานเมือง มีแต่เสียงโอดครวญทั่วไป เพราะเราทุบโมอับเหมือนทุบภาชนะที่เราไม่ต้องการ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ 39โมอับแตกแล้วหนอ เขาทั้งหลายคร่ำครวญ โมอับหันหลังกลับอย่างอับอาย ดังนั้นแหละโมอับได้กลายเป็นที่เยาะเย้ย และเป็นที่หวาดเสียวแก่บรรดาผู้ที่อยู่ล้อมรอบเขา”
40เพราะพระยาห์เวห์ตรัสว่า
 “ดูสิ ผู้หนึ่งโฉบลงเหมือนนกอินทรี
 และกางปีกออกสู้โมอับ
41เขาจะเอาเมืองต่างๆ ไป  และที่กำบังเข้มแข็งจะถูกยึด
จิตใจของบรรดานักรบแห่งโมอับในวันนั้น
 จะเหมือนจิตใจของผู้หญิงซึ่งกำลังเจ็บครรภ์คลอดบุตร
42โมอับจะถูกทำลายและไม่เป็นชนชาติอีกต่อไป
 เพราะว่าเขายกตัวขึ้นต่อพระยาห์เวห์
43พระยาห์เวห์ตรัสว่า ชาวเมืองโมอับเอ๋ย
 ความสยดสยอง หลุมพราง และกับดัก อยู่ต่อหน้าเจ้า
44ผู้ที่หนีจากความสยดสยอง
 จะตกหลุมพราง
และผู้ที่ปีนออกจากหลุมพรางก็จะติดกับ
 เพราะเราจะนำสิ่งเหล่านี้มาเหนือโมอับ  ในปีแห่งการลงโทษเขา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
45“ผู้ลี้ภัยได้ไปยืนอยู่อย่างหมดแรง
 ในเงาของเมืองเฮชโบน
เพราะว่าไฟออกมาจากเฮชโบน
 เปลวไฟออกมาจากเรือนของสิโหน
มันทำลายหน้าผากของโมอับ
 กระหม่อมของบรรดาบุตรแห่งความอลเวง
46โมอับเอ๋ย วิบัติแก่เจ้า
 ชนชาติแห่งพระเคโมชกำลังวอดวาย
เพราะบรรดาบุตรชายของเจ้าถูกจับไปเป็นเชลย
 และบุตรีของเจ้าก็เข้าสู่การเป็นเชลย 47แต่เรายังจะให้โมอับ
 กลับสู่สภาพเดิมในกาลต่อไป” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
 การพิพากษาโมอับมีเท่านี้

เยเรมีย์ 49

การพิพากษาคนอัมโมน

1เกี่ยวกับคนอัมโมน พระยาห์เวห์ตรัสว่า
 “อิสราเอลไม่มีบุตรหรือ?
เขาไม่มีทายาทหรือ?
 ทำไมพระมิลโคมจึงเข้ายึดกาด
 และให้ประชาชนของท่านไปอยู่ในเมืองทั้งหลายของกาด?
2พระยาห์เวห์ตรัสว่า เพราะฉะนั้น นี่แน่ะ
 วันเวลาจะมาถึง
เมื่อเราจะทำให้ได้ยินเสียงสัญญาณสงคราม
 สู้กับนครรับบาห์ของคนอัมโมน
มันจะกลายเป็นกองซากเมืองที่ร้างเปล่า
 และชนบทของเมืองนั้นจะถูกเผาเสียด้วยไฟ
แล้วอิสราเอลจะเข้ายึดผู้ที่เข้ายึดเขา
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
3“เฮชโบนเอ๋ย จงคร่ำครวญเพราะเมืองอัยถูกทิ้งร้าง
 ชาวนครรับบาห์เอ๋ย จงร้องร่ำไร
จงเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้
 จงโอดครวญ วิ่งไปวิ่งมาอยู่ภายในกำแพง
เพราะพระมิลโคมจะต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย
 พร้อมกับปุโรหิตและเจ้านายของมัน
4บุตรีผู้กลับสัตย์เอ๋ย
 ทำไมเจ้าโอ้อวดถึงบรรดาที่ลุ่ม ที่ลุ่มของเจ้ามีน้ำไหล
ผู้วางใจในสมบัติของตนว่า
 ‘ใครจะมาสู้ฉัน?’
5พระยาห์เวห์องค์เจ้านายผู้ทรงเป็นจอมทัพตรัสว่า
 นี่แน่ะ เราจะนำความสยดสยองมาเหนือเจ้า
จากทุกคนที่อยู่รอบตัวเจ้า
 และเจ้าทุกคนจะถูกขับไล่ออกไปต่อหน้าเขา
 และจะไม่มีใครรวบรวมคนลี้ภัยได้
6แต่ภายหลังเราจะให้คนอัมโมนกลับสู่สภาพเดิม”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ

อรรถาธิบาย

ความสำคัญของการพัฒนาคนรุ่นต่อไป

หนึ่งในปัญหาที่ถูกเน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าในเยเรมีย์ คือความอ่อนแอและความชั่วร้ายของผู้นำของประชาชน ตรงนี้ เราได้เห็นผลเลวร้ายที่ตามมาเมื่อสิ่งต่าง ๆ ผิดพลาด เพราะขาดการนำที่ถูกต้อง

‘อิสราเอลไม่มีลูกหลานหรือ ไม่มีใครก้าวเข้ามารับมรดกหรือ’ (ข้อ 49 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) มรดกนั้นเปิดให้ครอบครองแต่กลับไม่มีใครสืบทอดต่อไปได้

สิ่งที่ตรงกันข้ามกับวิธีการนำในแบบของพระเจ้าคือความเย่อหยิ่งและความจองหอง ซึ่งเป็นบาปหนักของโมอับ ‘ผู้ที่เย่อหยิ่งอย่างมหันต์ - ความทะนงของเขา ความหยิ่งยโสของเขา ความถือดีของเขา และความทะนงในหัวใจของเขา’ (ข้อ 48:29 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

ความเย่อหยิ่งและความเป็นอิสระมักถูกมองโดยโลกนี้ว่าเป็นลักษณะที่ดี แต่มันเป็นบาปใหญ่ในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะว่ามันนำเราออกห่างจากพระองค์ ความเย่อหยิ่งและความเป็นอิสระพูดว่า ‘ฉันไม่ต้องการเธอ’

ขณะที่ประกาศคำพิพากษาเหนือโมอับและอัมโมน เยเรมีย์บอกว่า ‘ใครทำงานของพระยาห์เวห์อย่างไม่เอาใจใส่ คนนั้นจะถูกสาป’ (ข้อ 10) ‘โมอับมักง่ายอยู่เสมอ ขี้เกียจเหมือนสุนัขที่อยู่กลางแดด ไม่เคยต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่เคยเผชิญความลำบาก ไม่เคยต้องเติบโต ไม่เคยทำงานด้วยหยาดเหงื่อเลย’ (ข้อ 11 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

การทำงานหนักนั้นสำคัญยิ่งกว่าทักษะที่มีมาแต่กำเนิด โธมัส เอดิสันกล่าว (ประโยคที่เป็นที่รู้จัก) ว่า ‘ความเฉลียวฉลาด คือแรงบันดาลใจเพียง 1% หยาดเหงื่อมีถึง 99%’ การพัฒนาชนรุ่นตัวไปจะเป็นงานหนัก

มีหลักการสำคัญอย่างหนึ่ง คือ เราควรใช้มาตรฐานเดียวกับงานของพระเจ้า เมื่อเราทำงานของโลกด้วย (ถ้าเราทุ่มเทกับมัน!) ในงานฝ่ายโลกส่วนใหญ่ จะต้องมีประสิทธิภาพและการทุ่มเท 100% ผมมักจะชื่นชมอาสาสมัครของเราที่มาด้วยความสม่ำเสมอ ความรัก และความทุ่มเท มันช่างอัศจรรย์ที่ได้เห็นการอุทิศของพวกเขาปีแล้วปีเล่า

สำหรับหลายคนแล้ว การรับใช้เป็นความรับผิดชอบตลอดชีวิต

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ไม่หละหลวมในการทำงานของพระองค์ โปรดช่วยให้ชนรุ่นของเราเป็นรุ่นที่อารักขาข่าวประเสริฐ พัฒนาผู้นำ และส่งไม้ผลัดให้ชนรุ่นต่อไป

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 ทิโมธี 1:5

'ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่านซึ่งเป็นความเชื่อที่โลอิสยายของท่านมีเป็นคนแรก แล้วมีในยูนีสมารดาของท่าน’

ผ่านคำอธิษฐานและแบบอย่างของพวกเขา ความเชื่อของพวกเขาถูกถ่ายทอดให้ทิโมธี

มันยอดเยี่ยมที่ได้เห็นความเชื่อส่งต่อไปถึงคน 3 รุ่น ทำได้ดีมากโลอิส!

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม