วัน 301

ความขัดแย้งที่ท้าทาย

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 26:3-12
พันธสัญญาใหม่ ทิตัส 2:1-15
พันธสัญญาเดิม  ฮาบากุก 1:1-3:19

เกริ่นนำ

ผมมักได้ยินคนพูดว่า ‘พระคัมภีร์เต็มไปด้วยสิ่งที่ขัดแย้งกัน’ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีความขัดแย้งมากมายปรากฎอยู่

เมื่อคุณเจอกับความขัดแย้งที่แสนท้าทาย :

  • ให้เราพยายามที่จะหาจุดร่วมกันความขัดแย้งนั้นกับพระคัมภีร์ทั้งบริบท
  • หลีกเลี่ยงจุดร่วมของความเชื่อที่เทียมเท็จ
  • อดทน เตรียมตัวที่จะรอคอย และอยู่กับคำถามที่ยังไม่ถูกเปิดเผยให้ได้
ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 26:3-12

3แส้สำหรับม้า บังเหียนสำหรับลา
 และไม้เรียวสำหรับหลังคนโง่
4อย่าตอบคนโง่ตามความโง่ของเขา
 เกรงว่าเจ้าจะเป็นเหมือนเขา
5จงตอบคนโง่ตามความโง่ของเขา
 เกรงว่าเขาจะคิดว่าตัวเองมีปัญญา
6ผู้ที่ส่งข่าวไปด้วยมือของคนโง่
 ก็เหมือนตัดเท้าทั้งสองข้างออกและดื่มความรุนแรง
7สุภาษิตที่อยู่ในปากของคนโง่
 ก็เหมือนขาของคนพิการที่ห้อยอยู่อย่างไร้ประโยชน์
8ผู้ที่ให้เกียรติคนโง่
 ก็เหมือนคนที่มัดก้อนหินไว้กับสลิง
9สุภาษิตที่อยู่ในปากของคนโง่
 ก็เหมือนต้นหนามอยู่ในมือคนขี้เมา
10ผู้ที่จ้างคนโง่หรือคนที่ผ่านมา
 ก็เหมือนนักธนูที่ยิงทุกคน
11คนโง่ที่ทำความโง่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
 ก็เหมือนสุนัขที่กลับไปหาสิ่งที่มันสำรอกออกมา
12เจ้าเห็นคนที่คิดว่าตัวเองมีปัญญาหรือ?
 ยังมีความหวังในคนโง่มากกว่าในเขา

อรรถาธิบาย

จะตอบหรือไม่ตอบดี?

คำว่า ‘คนโง่’ ‘โง่’ และ ‘เขลา’ ปรากฏเก้าสิบหกครั้งในพระธรรมสุภาษิต คนโง่นั้นตรงข้ามกับคนฉลาดที่ผู้เขียนสุภาษิตกล่าวชม

เขาเขียนว่า

  • อย่าตอบคนโง่ตามความโง่ของเขา เกรงว่าเจ้าจะเป็นเหมือนเขา’ (ข้อ 4)
  • จงตอบคนโง่ตามความโง่ของเขา เกรงว่าเขาจะคิดว่าตัวเองมีปัญญา’ (ข้อ 5)

นี่เป็นความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ถ้า 2 ข้อนี้ปรากฏในส่วนที่แตกต่างกันในพระคัมภีร์ มันคงจะถูกยกย่องว่า เป็นความขัดแย้งที่เห็นได้ชัด แต่การที่ทั้งสองข้อนี้ปรากฏต่อกัน แสดงให้เห็นว่า นี่ไม่ได้ขัดแย้งกันในมุมมองของผู้เขียน

การวิจารณ์มักจะเป็นประโยชน์อย่างมาก และเราสามารถเรียนรู้จากมัน ทว่าบางครั้งการวิพากษ์วิจารณ์มาจากคนที่ไม่รู้ (จาก 'คนโง่') เราจะตอบสนองอย่างไร? เกิดความตึงเครียด ในแง่หนึ่งเราไม่อยากตอบเพราะว่ามันเหมือนเป็นการลดระดับของผู้ที่ถูกวิจารณ์ (คนโง่, ข้อ 4)

แต่อีกด้านหนึ่ง เราอยากจะตอบเพราะไม่อย่างนั้นผู้ที่ถูกวิจารณ์อาจจะเข้าใจว่าตัวเองคิดถูก และ ‘เกรงว่าเขาจะคิดว่าตัวเองมีปัญญา’ (ข้อ 5)

ผู้เขียนสุภาษิตอาจจะกำลังใช้ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้เป็นประเด็นขำขัน คือ ในการพูดคุยกับคนโง่ ไม่ว่าคุณจะตอบหรือเงียบ ยังไงคุณก็ไม่อาจชนะ

เป็นเรื่องล่อใจที่จะคิดว่าคนโง่ คือ คนอื่นไม่ใช่ตัวเรา ถ้าเราคิดแบบนั้น เราจะ ‘คิดว่าตัวเองมีปัญญา’ ...’เจ้าเห็นคนที่คิดว่าตัวเองมีปัญญาหรือ? ยังมีความหวังในคนโง่มากกว่าในเขา’ (ข้อ 12)! นี่เป็นตอนจบที่ไม่สวย หลังจากที่เรายิ้มเพราะเห็นว่าคนโง่ไร้เหตุผลแค่ไหน เราจึงตระหนักว่า เมื่อเราคิดว่าตัวเองฉลาด เรากลับแย่กว่าคนโง่เสียอีก!

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดปกป้องข้าพระองค์ไว้จากการมองว่าตัวเองฉลาด โปรดประทานสติปัญญาให้แก่ข้าพระองค์ในทุก ๆ การตัดสินใจและวิธีที่ข้าพระองค์จะตอบคนที่วิจารณ์

พันธสัญญาใหม่

ทิตัส 2:1-15

การสอนที่ถูกต้อง

 1ส่วนท่านจงสอนให้สอดคล้องกับคำสอนที่ถูกต้อง 2สอนบรรดาผู้ชายสูงอายุให้รู้จักประมาณตน มีความน่านับถือ มีสติสัมปชัญญะ มีความเชื่อที่ถูกต้อง มีความรัก และความทรหดอดทน 3ส่วนบรรดาผู้หญิงสูงอายุก็เหมือนกัน สอนพวกนางให้ประพฤติด้วยความน่านับถือ ไม่ใส่ร้าย ไม่ติดเหล้า แต่เป็นผู้สอนสิ่งที่ดีงาม 4เพื่ออบรมหญิงสาวให้รักสามีและบุตรของพวกตน 5มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนบริสุทธิ์ ดูแลบ้านเรือนอย่างดี มีความเมตตาและเชื่อฟังสามีของตน เพื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าจะไม่ถูกดูหมิ่น 6ส่วนพวกชายหนุ่มก็เหมือนกัน จงเตือนสติพวกเขาให้มีสติสัมปชัญญะ 7ท่านเองจงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกด้าน ในการสอนอย่างจริงใจ จริงจัง 8และถูกต้องที่ไม่มีใครจะตำหนิได้ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามอับอายและไม่สามารถกล่าวร้ายอะไรต่อเรา 9จงให้ทาสทั้งหลายเชื่อฟังนายของตน และทำสิ่งที่ถูกใจนายทุกอย่าง อย่าให้เถียงเลย 10อย่าให้ยักยอกแต่ให้สำแดงความซื่อสัตย์และดีงามในทุกอย่าง เพื่อเขาทั้งหลายจะเทิดพระเกียรติพระดำรัสสอนของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเราในทุกๆ ด้าน
 11เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าปรากฏแล้ว เพื่อช่วยทุกคนให้รอด 12และเพื่อสอนเราให้ละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และให้ดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่างชอบธรรมและให้ดำเนินตามทางพระเจ้า 13ในขณะที่เรากำลังรอคอยความหวังอันน่ายินดี และการมาปรากฏของพระสิริของพระเจ้ายิ่งใหญ่คือพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา 14พระองค์ประทานพระองค์เองแก่เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และเพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์ จะได้เป็นประชากรของพระองค์โดยเฉพาะซึ่งมีใจกระตือรือร้นที่จะทำการดี
 15จงใช้ข้อความข้างบนนี้พูด เตือนสติและตักเตือนพวกเขาด้วยอำนาจอย่างเต็มที่ อย่าให้ใครสบประมาทท่านได้

อรรถาธิบาย

'น่าเบื่อ' หรือ 'น่าดึงดูด'?

ถ้าความเชื่อคริสเตียนเป็นที่น่าเชื่อถือและน่าดึงดูดสำหรับโลก คริสเตียนจะต้องดำเนินชีวิตที่น่าเชื่อถือและน่าจับตามอง

เปาโลเขียนถึงทิตัสว่าเราควรจะ ‘เทิดพระเกียรติพระดำรัสสอนของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเราในทุก ๆ ด้าน’ (ข้อ 10) คำสั่งที่เปาโลให้เกี่ยวกับการสอนผู้หญิง คือ ให้เป็นที่น่านับถือ ควบคุมตัวเอง บริสุทธิ์ มีเมตตา และอื่น ๆ ‘เพื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าจะไม่ถูกดูหมิ่น’ (ข้อ 5)

คำสั่งที่เปาโลให้กับทิตัสนั้นเกี่ยวข้องกับการควบคุมตัวเอง ความซื่อสัตย์ และอื่น ๆ ก็เพื่อว่าฝ่ายตรงข้าม ‘ไม่สามารถกล่าวร้ายอะไรต่อเรา’ (ข้อ 8) ถึงกระนั้น เมื่อเราอ่านคำสั่งของเปาโล มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่วัฒนธรรมของเราในศตวรรษที่ 21 มองว่าดึงดูด อาจารย์เปาโลพูดถึง ‘คำสอนที่ถูกต้อง’ (ข้อ 1) ‘รู้จักประมาณตน’ ‘มีสติสัมปชัญญะ’ ‘มีความเชื่อที่ถูกต้อง’ (ข้อ 2) ‘ประพฤติด้วยความน่านับถือ’ ‘ไม่ติดเหล้า” (ข้อ 3) ‘มีคุณธรรมและบริสุทธิ์’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘มีชีวิตที่มีวินัย’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แสดงถึงความสัตย์ซื่อ ความจริงจัง และมีสติในการพูด (ข้อ 7-8) ปฏิเสธความอธรรมและตัณหาของโลก และดำเนินชีวิตโดยที่ควบคุมตัวเอง เที่ยงตรงและดำเนินในทางของพระเจ้า (ข้อ 12)

ทั้งหมดนี้ฟังดูไม่น่าดึงดูดสำหรับหูของคนในปัจจุบัน แต่เมื่อเรามองเห็นคนที่ดำเนินชีวิตแบบนี้ เช่น แม่ชีเทเรซาหรือพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งผมยกตัวอย่างแค่สองชื่อนี้ เพราะเป็นอะไรที่ช่างดึงดูดนัก วัฒนธรรมของเราไม่ชอบแนวคิดของความบริสุทธิ์ แต่เมื่อผู้คนได้เห็นชีวิตที่บริสุทธิ์พวกเขาก็หลงรักชีวิตเช่นนี้ ‘ความบริสุทธิ์’ ที่แท้จริงคือการที่เมื่อคุณทำให้ทุกคนมีชีวิตชีวากว่าตอนแรกเจอ

ซิโมน เวล บอกว่า ‘ความชั่วร้ายในจินตนาการนั้น โรแมนติก และมีความหลากหลาย แต่ความชั่วร้ายที่แท้จริงกลับมืดมน ซ้ำซากจำเจ แห้งแล้ง และน่าเบื่อ ส่วนการความดีในจินตนาการนั้นช่างน่าเบื่อ แต่ความดีที่แท้จริงนั้นสดใหม่ แสนวิเศษ และน่าหลงใหลอยู่เสมอ’

มีบางอย่างที่งดงามมากในชีวิตแห่ง ‘เกียรติและปัญญา’ ‘ความเชื่อที่แข็งแรง’ และ ‘ความรัก' (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ผู้คนที่เป็น ‘ต้นแบบของความดี’ มี ‘คุณธรรมและบริสุทธิ์’ (ข้อ 3,5, พระคัมภีร์ตอนนี้ The Message โดยผู้แปล) คือชีวิตที่มีลักษณะที่เป็นอย่างที่ดีซึ่งส่องสว่างผ่านการกระทำ ‘เต็มล้นด้วยพระเจ้า ชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อคุณ และผม ‘เพื่อปลดปล่อยเราจากชีวิตที่มืดมนและกบฏ มาสู่ชีวิตที่ดีและบริสุทธิ์นี้ ทำให้เราเป็นคนที่พระองค์ภาคภูมิใจ และกระตือรือร้นในการทำดี’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ฉบับ The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ชีวิตและความรักของข้าพระองค์เป็นช่องทางที่ทำให้คำสอนเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นที่น่าดึงดูด

พันธสัญญาเดิม

 ฮาบากุก 1:1-3:19

 1ครุวาทซึ่งฮาบากุกผู้เผยพระวจนะได้เห็นมา

คำอุทธรณ์ของฮาบากุก

2ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะร้องทุกข์นานสักเท่าใด?
 และพระองค์มิทรงฟัง
หรือข้าพระองค์จะร้องทูลพระองค์ว่า “ทารุณ พระเจ้าข้า”
 และพระองค์ก็ไม่ทรงช่วย
3ไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เห็นการชั่ว
 และให้มองเห็นความยากลำบาก?
ทั้งการทำลายและความทารุณก็อยู่ตรงหน้าข้าพระองค์
 การวิวาทและการทุ่มเถียงกันก็เกิดขึ้น
4ดังนั้น ธรรมบัญญัติจึงหย่อนยาน
 และความยุติธรรมก็มิได้ปรากฏเลย
เพราะว่าคนอธรรมล้อมรอบคนชอบธรรมไว้
 ดังนั้น ความยุติธรรมจึงออกมาวิปลาส
 คำตอบของพระยาห์เวห์
5จงมองบรรดาประชาชาติ และจงดูให้ดี
 จงประหลาดใจ และจงตกตะลึง
เพราะเรากำลังทำงานอย่างหนึ่งในสมัยของเจ้า
 ถึงจะบอก เจ้าก็จะไม่เชื่อ
6เพราะนี่แน่ะ เรากำลังเร้าคนเคลเดีย
 ประชาชาติที่มุทะลุดุร้ายนั้น
ผู้กรีธาทัพไปทั่วโลก
 เพื่อยึดเอาบ้านเรือนที่มิใช่ของตน
7เขาเป็นพวกที่น่าครั่นคร้ามและสยดสยอง
 เขาตั้งความยุติธรรมและเกียรติของตัวเอง
8ม้าของเขาก็เร็วกว่าเสือดาว
 และดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่ายามเย็น
พลม้าของเขาควบตะบึง
 เออ พลม้าของเขามาจากถิ่นที่ไกล
 พวกมันเหมือนนกอินทรีที่บินเข้าโฉบเหยื่อ
9เขาทุกคนพากันมาเพื่อความทารุณ
 ใบหน้าของพวกเขามองตรงไปข้างหน้า
 เขารวบรวมเชลยไว้มากดังเม็ดทราย
10เขาเยาะเย้ยกษัตริย์ทั้งหลาย
 บรรดาเจ้านายจะเป็นตัวตลกของเขา
เขาหัวเราะเยาะป้อมปราการทุกแห่ง
 และเขาจะพูนดินขึ้นเพื่อยึดมัน
11แล้วเขาก็กวาดผ่านไปเหมือนลมพัดเลยไป
 เขาเป็นคนมีกรรมชั่ว กำลังของเขาก็คือพระเจ้าของเขา
 คำอุทธรณ์ครั้งที่สองของฮาบากุก
12ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ องค์บริสุทธิ์ของข้าพระองค์
 พระองค์เองทรงดำรงมาแต่นิรันดร์มิใช่หรือ?
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะไม่ตาย
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงสถาปนาเขาไว้เพื่อให้พิพากษา
 โอ พระศิลา พระองค์ทรงตั้งเขาไว้เพื่อให้ลงโทษ
13พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะทอดพระเนตรการชั่ว
 จะทรงมองดูความบาปก็ไม่ได้
ไฉนพระองค์ทอดพระเนตรคนทรยศ
 และทรงเงียบอยู่เมื่อคนอธรรมกลืน
 คนที่ชอบธรรมกว่าตัวเขาเสีย?
14พระองค์ทรงให้มนุษย์เป็นดังปลาในทะเล
 เป็นดังสัตว์เลื้อยคลานที่ไม่มีจ่าฝูง
15คนเคลเดียตวัดคนทั้งหลายขึ้นมาด้วยเบ็ด
 เขาลากคนมาด้วยแห
เขารวบคนมาด้วยอวนของเขา
 ดังนั้น เขาจึงเปรมปรีดิ์และลิงโลด
16ดังนั้น เขาจึงถวายสัตวบูชาแก่แหของเขา
 และเผาเครื่องหอมให้แก่อวนของเขา
เพราะโดยอาศัยสิ่งเหล่านี้ ส่วนแบ่งของเขาก็อุดม
 และอาหารของเขาก็สมบูรณ์
17แล้วเขาจะปลดสิ่งที่ติดแหของเขาออกหมด
 และฆ่าประชาชาติทั้งหลายอย่างไร้เมตตาเรื่อยไปหรือ?

ฮาบากุก 2

1ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้าดูอยู่
 ข้าพเจ้าจะยืนที่หอคอย
และเฝ้ารอเพื่อจะดูว่า พระองค์จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า
 และข้าพเจ้าจะทูลตอบอย่างไรในเรื่องการร้องทุกข์ของข้าพเจ้า
 คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์
2แล้วพระยาห์เวห์ตรัสตอบข้าพเจ้าว่า
 “จงเขียนนิมิตนั้นลงไป
จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้ชัดเจน
 เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง
3เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่
 มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันจะไม่มุสา
ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย
 มันจะมาถึงแน่นอน คงไม่ล่าช้านัก
4ดูเถิด คนหยิ่งจองหอง จิตใจภายในเขาไม่ซื่อตรง
 แต่ว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์
5ยิ่งกว่านั้น เหล้าองุ่นเป็นของอันตราย วางใจไม่ได้
 คนจองหองจะไม่ได้พักสงบ
คอของเขาเปิดกว้างดุจแดนคนตาย
 และเขาเหมือนมัจจุราชที่ไม่รู้จักอิ่ม
เขากอบโกยประชาชาติทั้งสิ้นมาเพื่อตัวเอง
 และรวบรวมทุกชนชาติมาเป็นคนของตน”

วิบัติแก่คนเคลเดีย

 6ประชาชาติทั้งหมดนี้จะยกคำเย้ยหยันกล่าวแก่เขา และยกคำปริศนาเยาะเขาไม่ใช่หรือ ว่า
 “วิบัติแก่ผู้สะสมสิ่งที่มิใช่ของตนไว้
 ยังอีกนานเท่าใดนะ ที่เจ้าจะบรรทุกของที่ยึดเป็นประกันไว้เต็มตัว?
7เจ้าหนี้ของเจ้าจะไม่ลุกขึ้นมาอย่างฉับพลันหรือ?
 และผู้ที่ทำให้เจ้ากลัวจนตัวสั่นจะไม่ตื่นขึ้นหรือ?
 แล้วเจ้าก็จะเป็นเหยื่อของพวกเขา
8เพราะเจ้าปล้นมาหลายประชาชาติแล้ว
 ชนชาติทั้งสิ้นที่เหลืออยู่ก็จะมาปล้นเจ้า
เพราะเจ้าทำให้โลหิตมนุษย์ตกและทำการทารุณต่อแผ่นดิน
 ต่อนครและต่อชาวนครนั้นทั้งสิ้น
9“วิบัติแก่ผู้ที่ได้กำไรมาสู่เรือนของตนด้วยความชั่ว
 เพื่อจะวางรังของตัวให้สูงเด่นขึ้น
 เพื่อให้พ้นจากอันตราย
10เจ้าได้ออกอุบายหาความอับอายมาสู่เรือนของเจ้า
 โดยกำจัดชนชาติเป็นอันมากเสีย
 เจ้าทำบาปต่อตัวเอง
11เพราะศิลาจะตะโกนออกจากกำแพง
 และขื่อจะขานตอบจากส่วนที่เป็นไม้
12“วิบัติแก่ผู้สร้างเมืองด้วยโลหิต
 และก่อตั้งนครขึ้นด้วยความชั่ว
13ดูเถิด ที่บรรดาประชาชนตรากตรำทำงานก็เพื่อให้ไฟเผาผลาญ
 และชนชาติทั้งหลายทำงานจนเหนื่อยล้าก็เพื่อความว่างเปล่า
 ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระยาห์เวห์จอมทัพไม่ใช่หรือ?
14เพราะว่าพิภพจะเต็มไปด้วย
 ความรู้ในเรื่องพระสิริของพระยาห์เวห์
 ดังน้ำที่เต็มทะเล
15“วิบัติแก่ผู้ทำให้เพื่อนบ้านดื่มเหล้า
 ผู้เคล้าความโกรธของตนเข้าด้วย และทำให้เขามึนเมา
 เพื่อจะเพ่งดูความเปลือยเปล่าของเขา
16เจ้าจะเต็มไปด้วยความอับอาย ไม่ใช่ด้วยศักดิ์ศรี
 เจ้าจงดื่มเองซิ แล้วก็เปลือยกาย
ถ้วยซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ขวาของพระยาห์เวห์
 จะเวียนมาถึงเจ้า
 แล้วความอับอายจะปกคลุมศักดิ์ศรีของเจ้า
17ความทารุณที่เจ้าทำแก่เลบานอนจะท่วมเจ้า
 ความพินาศของสัตว์ป่าจะทำให้เจ้ากลัว
เพราะเจ้าทำให้โลหิตมนุษย์ตกและทำการทารุณต่อแผ่นดิน
 ต่อนครและต่อชาวนครนั้นทั้งสิ้น
18“รูปแกะสลักให้ประโยชน์อะไรเล่า?
 คือรูปที่ช่างได้แกะสลักไว้
รูปหล่อโลหะอันเป็นครูสอนความเท็จให้ประโยชน์อะไรเล่า?
 เพราะช่างย่อมวางใจในสิ่งที่เขาสร้างขึ้น
 แม้เขาสร้างรูปเคารพที่พูดไม่ได้
19วิบัติแก่ผู้กล่าวแก่สิ่งที่ทำด้วยไม้ว่า จงตื่นเถิด
 กล่าวแก่หินใบ้ว่า จงลุกขึ้นเถิด
สิ่งนี้สั่งสอนอะไรได้หรือ?
 ดูเถิด สิ่งนั้นหุ้มด้วยทองและเงิน
 แต่ไม่มีลมหายใจในสิ่งนั้นเลย
20“แต่พระยาห์เวห์สถิตในพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
 จงให้ทั่วทั้งแผ่นดินโลกสงบนิ่งต่อพระพักตร์พระองค์เถิด”

ฮาบากุก 3

คำอธิษฐานของฮาบากุก

 1คำอธิษฐานของฮาบากุกผู้เผยพระวจนะ ตามทำนองชิกิโอโนท
2ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ยำเกรงพระราชกิจของพระองค์
ในสมัยของข้าพระองค์ ขอจงรื้อฟื้นพระราชกิจนั้นขึ้นใหม่
 ในสมัยของข้าพระองค์ ขอทรงแจ้งให้ทราบทั่วกัน
 เมื่อกริ้ว ขอทรงระลึกถึงพระกรุณา
3พระเจ้าเสด็จจากเทมาน
 องค์บริสุทธิ์เสด็จจากภูเขาปาราน
ความสง่างามของพระองค์คลุมทั่วฟ้าสวรรค์
 และโลกก็เต็มด้วยคำสรรเสริญพระองค์
4พระรัศมีของพระองค์ดังแสงสว่าง
 มีลำแสงแวบมาจากพระหัตถ์ของพระองค์
 ที่นั่น พระองค์ทรงซ่อนฤทธานุภาพของพระองค์
5โรคระบาดเดินนำหน้าพระองค์
 ภัยพิบัติมาชิดตามหลังพระองค์
6พระองค์ทรงยืนและเขย่าแผ่นดิน
 พระองค์ทอดพระเนตรและทำให้ประชาชาติตกใจตัวสั่น
แล้วบรรดาภูเขานิรันดร์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
 และเหล่าเนินเขาอันอยู่เนืองนิตย์ก็ยุบต่ำลง
 การเสด็จของพระองค์ก็เป็นดังดั้งเดิม
7ข้าพเจ้าได้เห็นเต็นท์ของคนคูชันอยู่ในสภาพทุกข์ใจ
 และม่านเต็นท์ของแผ่นดินมีเดียนหวั่นไหว
8ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงพระพิโรธแม่น้ำหรือ?
 พระองค์กริ้วแม่น้ำหรือ?
พระองค์ทรงโกรธทะเล
 เมื่อพระองค์ทรงม้า
 คือทรงรถรบแห่งชัยชนะหรือ?
9พระองค์ทรงเอาคันธนูออกมา
 แล้วใส่ลูกธนูไว้ในสายของมัน
 พระองค์ทรงแยกแผ่นดินด้วยแม่น้ำ
10ภูเขาทั้งหลายเห็นพระองค์แล้วบิดเบี้ยวไป
 กระแสน้ำเชี่ยวกรากก็กวาดผ่านไป
ที่ลึกก็ส่งเสียง
 มันชูมือของมันขึ้นเบื้องสูง
11ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หยุดนิ่งบนที่สูง
 เมื่อแสงแห่งลูกธนูทั้งหลายของพระองค์พุ่งผ่านไป
 เมื่อแสงแวบวาบแห่งหอกของพระองค์พุ่งไป
12ด้วยความกริ้ว พระองค์เสด็จไปเหนือพิภพ
 ด้วยความโกรธ พระองค์ทรงเหยียบย่ำบรรดาประชาชาติ
13พระองค์เสด็จออกมาเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด
 เพื่อช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ให้รอด
พระองค์ทรงตีหัวเจ้าบ้านของคนอธรรมจนแหลก
 ทิ้งให้เปลือยเปล่าตั้งแต่ขาอ่อนจนถึงคอ
14พระองค์ทรงแทงหัวหน้านักรบของเขาด้วยหอกทั้งหลายของเขาเอง
 ผู้มาอย่างพายุหมุน เพื่อจะกระจายข้าพเจ้าเสีย
 พวกเขาจะเปรมปรีดิ์ดังว่ากินคนจนในที่ซ่อนตัว
15พระองค์ทรงย่ำไปบนทะเลด้วยบรรดาม้าของพระองค์
 ทำให้น้ำมากหลายปั่นป่วน
16ข้าพเจ้าได้ยิน และท้องของข้าพเจ้าก็สั่นเทา
 พอได้ยินเสียง ริมฝีปากของข้าพเจ้าก็สั่น
กระดูกของข้าพเจ้าก็ผุพัง
 และข้าพเจ้าก็สั่นเทาอยู่ในที่ของข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าจะคอยวันแห่งความลำบากอย่างเงียบๆ
 คือวันที่จะมาถึงประชาชนที่บุกรุกพวกเรา
 ฮาบากุกร่าเริงในพระยาห์เวห์
17แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน
 หรือเถาองุ่นไม่มีผล
ผลมะกอกก็ขาดไป
 ทุ่งนามิได้ผลิตอาหาร
แม้ฝูงแพะแกะขาดไปจากคอก
 และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง
18ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์
 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า
19พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า
 พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนตีนกวางตัวเมีย
 พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเดินไปบนที่สูงทั้งหลาย

อรรถาธิบาย

ความเชื่อและความสงสัย?

ความสงสัย การตั้งคำถาม และความกลัวนั้นอยู่ร่วมกับความเชื่อได้ไหม? คุณกำลังเจอกับปัญหาในความสัมพันธ์ ชีวิตสมรส (หรือปราศจากการสมรส) ครอบครัว อาชีพการงาน สุขภาพ การเงิน หรือทั้งหมดนี้รวมกัน? มันทำให้คุณสงสัยในการดำรงอยู่ของพระเจ้าไหม? คุณควรจะหยุดเชื่อไหม?

หลายคนถือว่าความเชื่อคือการไม่ตั้งคำถาม พวกเขาคิดว่าความเชื่อและความสงสัยเป็นสิ่งตรงกันข้าม แท้จริงแล้ว ความเชื่อและความสงสัยเป็นดั่งเหรียญที่ต้องมีสองด้าน เหมือนที่ 2+2=4 ถูกต้องโดยไม่ต้องสงสัย ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อเพื่อจะเข้าใจในข้อนั้น แต่ในทางกลับกันการที่เชื่อว่าบางคนรักคุณนั้นย่อมเปิดช่องให้มีการสงสัย การวางความเชื่อของเราในพระเจ้าก็เหมือนกับการรักใครสักคน ย่อมเป็นไปได้เสมอที่จะสงสัย เพราะถ้าปราศจากความสงสัยแล้ว ความเชื่อก็จะไม่เป็นความเชื่อ

เช่นเดียวกัน มันไม่ผิดที่จะตั้งคำถามกับพระเจ้าภายในบริบทของความเชื่อ พระธรรมฮาบากุกเริ่มด้วยชายคนหนึ่งที่เชื่อ แต่ก็มีคำถาม และจบลงด้วยการแสดงออกถึงความเชื่ออันสูงส่ง ซึ่งแทบไม่มีความเชื่อแบบนี้ปรากฏในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม

ฮาบากุกมองดูโลก เขางงงวยและหวาดกลัว เขาเห็น ‘การทารุณ’ (ข้อ 1:2) ‘การชั่ว’ (ข้อ 3ก) ‘การทำลาย’ (ข้อ 3ค) ‘การวิวาท’ และ ‘การทุ่มเถียง’ (ข้อ 3ง) ถึงกระนั้นพระเจ้าดูเหมือนว่าไม่ทำอะไรเรื่องนั้นเลย (ข้อ 2-4) เขาได้เห็นความเจ็บปวดและการทนทุกข์ และถามว่า ‘นานสักเท่าใด... ข้าแต่พระยาห์เวห์... ไฉน…?’ (ข้อ 2-3)

เขานำปัญหามาที่พระเจ้าและทูลถามจากใจจริง พระเจ้าตอบว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งที่อัศจรรย์ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ฮาบากุกคาดหวัง (ข้อ 5) พระองค์กำลังเร้าคนเคลเดีย (ข้อ 6) ผลสุดท้ายอิสราเอลจะถูกปราบและต้องถูกกวาดต้อน

ฮาบากุกนั้นงงงวย จริงหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงควบคุมประวัติศาสตร์และทรงฤทธานุภาพสูงสุด? (ข้อ 12) พระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะใช้คนบาบิโลนที่โหดร้ายและนับถือรูปเคารพให้ลงโทษชนชาติของพระองค์ได้อย่างไร? ‘ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเลือกคนบาบิโลนสำหรับงานพิพากษาของพระองค์หรือ? ... พระองค์คงไม่ทำเช่นนั้นเป็นแน่ พระองค์ไม่อาจยอมต่อความชั่วร้าย!’ (ข้อ 12-13, พระคัมภีร์ฉบับ The Message โดยผู้แปล) ดูเหมือนว่าฮาบากุกจะไม่ได้คำตอบโดยตรง ถึงกระนั้นเขาได้นำการบ่นต่อว่าที่สับสนของตนและปัญหาเหล่านั้นมาที่พระเจ้า และฝากไว้กับพระองค์ ขณะที่เขาคอยอยู่ (2:1)

พระเจ้าบอกให้เขาเขียนนิมิตลงไปเป็นอย่างแรก (ข้อ 2) เมื่อคุณรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับคุณและประทานนิมิตให้ คุณควรจะเขียนมันลงไปเพื่อคุณจะสามารถย้อนกลับมาดูและยึดถือเอาไว้ ต่อจากนั้นพระเจ้าบอกกับเขาว่าเขาอาจจะต้องรอคอยคำตอบ 'มันจะไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย' (ข้อ 3)

พระเจ้าต้องการให้คุณนำข้อสงสัย ปัญหา และคำถามต่าง ๆ มาหาพระองค์ คุณอาจจะไม่ได้คำตอบสำหรับคำถามทั้งหมดในทันทีทันใด เมื่อคุณรอคอยคำตอบ คุณถูกเรียกให้วางใจในพระเจ้า ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เข้าใจทั้งหมดว่าพระองค์กำลังทำอะไร

ความเชื่อนั้นรวมถึงการเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัสท่ามกลางอุปสรรคที่คุณเผชิญ ‘แต่ว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์’ (ข้อ 4) ฮาบากุกเห็นล่วงหน้าว่าการพิพากษาจะมาถึงชาวบาบิโลนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขายังได้เห็นว่าวันหนึ่งพวกคนชั่วจะถูกกำจัดไป ‘เพราะว่าพิภพจะเต็มไปด้วยความรู้ในเรื่องพระสิริของพระยาห์เวห์ ดังน้ำที่เต็มทะเล’ (ข้อ 14) เขามองเห็นล่วงหน้าถึง ชัยชนะของความดีเหนือความชั่ว

จนกว่าจะถึงเวลานั้น เขาตัดสินใจที่จะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ขอให้เรายอมจำนนและไม่บ่นต่อว่าเหมือนอย่างฮาบากุก ตัดสินใจที่จะมองในไปข้างหน้าและอดทน ตัดสินใจที่จะชื่นชมยินดีไม่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ตั้งมั่นในความเชื่อแม้ว่าจะไม่เห็นผล (3:17-19)

พระเจ้าทรงเป็นห่วงการเก็บเกี่ยวไม่มากเท่ากับหัวใจของคุณ ถึงแม้คุณจะไม่พบสิ่งอื่นใดอีก คุณสามารถชื่นชมยินดีในความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า ฮาบากุกบอกว่า ‘ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า’ (ข้อ 18)

พระเจ้าทรงทำให้เขายืนอย่างมั่นคงและเบาใจ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนตีนกวางตัวเมีย พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเดินไปบนที่สูงทั้งหลาย’ (ข้อ 19) จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนว่า ‘เราจะต้องยอมให้ความยากลำบากช่วยให้เราพัฒนา "เท้าหลัง" เมื่อเรามีเท้าหลัง... เราจะเดินไปได้ไกล ผ่านอุปสรรค การทนทุกข์ ความรับผิดชอบ หรือสิ่งใดก็ตามที่พยายามหยุดยั้งเรา’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์วางใจในพระองค์อย่างหมดใจ ขณะที่ข้าพระองค์แสดงออกถึงความสงสัยและตั้งคำถามกับพระองค์ตรง ๆ และขอให้ข้าพระองค์ได้เปรมปรีดิ์ในพระองค์ ถึงแม้จะยังไม่เห็นคำตอบในทันที

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ฮาบากุก 3:17-18

‘แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกก็ขาดไป ทุ่งนามิได้ผลิตอาหาร แม้ฝูงแพะแกะขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า’

ฉันจำได้ว่าแอนดรูว์ ไวท์ (อดีตวิคาร์ของเมืองแบกแดด) พูดถึงข้อพระคำตอนนี้หลังจากที่เมืองและคริสตจักรของเขาถูกระเบิดลง ความเชื่อของเขาและงานของเขาในอิรักได้สร้างแรงบันดาลใจ ฉันรู้สึกว่าถูกท้าทายอย่างลึกซึ้งผ่านคริสเตียนที่อาศัยอยู่ในประเทศอย่างอิรักและซีเรีย คนที่บากบั่นแม้เจอกับภัยคุกคามอย่าง ISIS ถูกห้อมล้อมไปด้วยการข่มเหงและความทุกข์ยาก มันง่ายสำหรับฉันที่จะชื่นชมยินดี แต่ฉันก็รู้สึกถ่อมใจอย่างลึกซึ้งกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำ

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม