วัน 309

คำเตือนด้วยความรัก

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต
พันธสัญญาใหม่ ฮีบรู 5:11-6:12
พันธสัญญาเดิม เอเสเคียล 4:1-6:14

เกริ่นนำ

ปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งที่คุณซื้อดูเหมือนจะมีคำเตือนอยู่ คำเตือนเหล่านี้บางส่วนอาจดูไร้สาระเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น

ถั่วลิสงของ Sainsbury: ‘คำเตือน - มีส่วนผสมของถั่วชนิดต่างๆ
Nytol Nighttime Sleep-Aid (ยานอนหลับ) ‘คำเตือน – อาจทำให้ง่วงนอน’
ข้อความบนสว่าน DIY ที่ใช้ในบ้าน ‘ไม่ได้มีไว้สำหรับใช้เป็นสว่านสำหรับทันตแพทย์

เนื่องจากการเตือนจำนวนมากเกือบจะไร้สาระ สิ่งที่อันตรายคือเราเพิกเฉยต่อคำเตือนเหล่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกคำเตือนที่ไร้สาระ

วันที่หมอกลงจัดในวันที่ 13 มีนาคม 1991 ได้นำไปสู่อุบัติเหตุทางถนนที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของสหราชอาณาจักร มีผู้เสียชีวิต 10 รายและบาดเจ็บ 25 ราย จากเหตุภัยพิบัติบนมอเตอร์เวย์ M4 ท่ามกลางอุบัติเหตุมีชายคนหนึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ อลัน เบทแมน ปีนขึ้นจากรถที่เสียหายของเขาและวิ่งไปตามพื้นที่เขตสงวนส่วนกลางเพื่อพยายามเตือนยานพาหนะที่จะมาถึงซากปรักหักพังข้างหน้า ไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชมคำเตือน คนขับบางคนบีบเสียงแตรใส่เขาและขับตรงไปยังที่เกิดอุบัติเหตุ

คำเตือนของอลันต่อคนขับรถคนอื่น ๆ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่กล้าหาญเท่านั้น แต่เป็นการแสดงออกถึงความรักของพระเยซูเองมักจะเตือนถึงอันตรายที่อยู่ข้างหน้า (ดูตัวอย่างใน มัทธิว 7:13, 19, 26–27) พระเยซูทรงทราบว่า ในระยะยาวเป็นการดีกว่าที่จะบอกผู้คนด้วยความจริง

พระเจ้ารักคุณ พระองค์ไม่อยากให้คุณเจ็บปวด มีคำเตือนมากมายในพระคัมภีร์และทั้งหมดเกิดจากความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณ

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต

23ปากที่เผ็ดร้อนกับใจชั่ว
 ก็เหมือนขี้เงินที่เคลือบอยู่บนภาชนะดิน
24คนที่เกลียดผู้อื่น ก็กลบเกลื่อนด้วยวาจา
 และเก็บการหลอกลวงไว้ภายใน
25เมื่อน้ำเสียงเขาเหมือนมีเมตตาจิต ก็อย่าเชื่อเขา
 เพราะมีสิ่งน่าเกลียดน่าชังร้อยแปดในใจเขา
26ถึงเขาจะปกปิดความเกลียดชังไว้ด้วยเล่ห์
 แต่ความชั่วของเขาจะถูกเปิดโปงในที่ประชุม
27คนที่ขุดหลุมพรางจะตกลงไปเอง
 คนที่กลิ้งก้อนหินขึ้นไป มันจะกลิ้งกลับมาทับเขาเอง
28ลิ้นมุสาเกลียดพวกที่มันทำลาย
 และปากป้อยอก็ทำให้พินาศ

สุภาษิต 27

1อย่าคุยอวดถึงพรุ่งนี้
 เพราะเจ้าไม่ทราบว่าวันหนึ่งๆ จะนำอะไรมาให้บ้าง
2จงให้คนอื่นสรรเสริญเจ้า และไม่ใช่ปากของเจ้าเอง
 ให้คนต่างด้าวสรรเสริญ และไม่ใช่ริมฝีปากของเจ้าเอง
3หินก็หนัก และทรายก็มีน้ำหนัก
 แต่การยั่วเย้าของคนโง่ก็หนักกว่าทั้งสองอย่างนั้น
4ความพิโรธก็ดุร้าย ความโกรธก็ท่วมท้น
 แต่ใครจะยืนต่อหน้าความริษยาได้

อรรถาธิบาย

เตือนเรื่องธรรมชาติของมนุษย์

หลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่คุณหว่านวันนี้คุณจะเก็บเกี่ยวในภายหลัง คำสอนส่วนใหญ่ในพระธรรมสุภาษิตตอนนี้โดยสรุปคือ ‘คนที่ขุดหลุมพรางจะตกลงไปเอง คนที่กลิ้งก้อนหินขึ้นไป มันจะกลิ้งกลับมาทับเขาเอง’ (26:27) อีกนัยหนึ่งคือคุณจะเก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณหว่าน

ผู้เขียนเตือนเรื่องความใส่ร้าย: ‘ความมุ่งร้ายส่งผลในทางตรงกันข้ามและเจตนาร้ายทำอันตรายอย่างไม่คาดคิดกับผู้ริเริ่ม' (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ยิ่งเราปกปิดความปรารถนาที่จะทำร้ายผู้อื่น ในที่สุดมันจะต้องเปิดเผย ซึ่งเราจะต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน

คำเตือนต่อมาคือเรื่อง ‘ลิ้นที่มุสา’ (ข้อ 28) ให้ระมัดระวังเมื่อพูดถึงผู้อื่นด้วยความจริง มักเป็นอะไรที่ล่อลวงเราที่พูดเกินจริงเมื่อต้องพูดเรื่องเกี่ยวกับศัตรูของเรา แต่ผู้เขียนพระธรรมนี้เตือนว่า ‘ลิ้นมุสาเกลียดพวกที่มันทำลาย’ (ข้อ 28)

และยังคงเตือนต่อเรื่องการคุยโอ้อวด (27:1) อย่าโอ้อวดในสิ่งที่คุณสำเร็จ เพราะคุณไม่รู้อนาคตจะเป็นเช่นไร คุณมีสิทธิ์ที่จะได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นแต่ไม่ควรให้มันออกมาจากปากคุณเอง (ข้อ 2)

ผู้เขียนยังเตือนเรื่องการยั่วยุ ‘หินก็หนัก ทรายก็มีน้ำหนัก แต่การยั่วเย้าของคนโง่ก็หนักกว่าทั้งสองอย่างนั้น’ (ข้อ 3)

ท้ายที่สุด ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ เตือนเราเรื่องความริษยาซึ่งเช็คสเปียร์บรรยายว่าเป็นดั่ง ‘สัตว์ประหลาดตาเขียว’ ที่เย้ยหยัน ‘เนื้อที่มันกิน’ ความริษยามีพลังและอันตรายความโกรธและความเกรี้ยวกราด (ข้อ 4) ‘เราระเบิดอารมณ์ด้วยโกรธและท่วมท้นด้วยความเดือดดาล ใครจะรอดจากความริษยา? (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดปกป้องใจของข้าพระองค์ โปรดอภัยบาปของข้าพระองค์อย่างที่ข้าพระองค์อภัยผู้อื่น โปรดอย่านำข้าพระองค์ไปสู่การทดลอง แต่ทรงช่วยกู้จากความชั่วร้าย

พันธสัญญาใหม่

ฮีบรู 5:11-6:12

คำเตือนไม่ให้ละทิ้งความเชื่อ

 11เรามีหลายอย่างที่จะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยากที่จะอธิบายเพราะพวกท่านเรียนรู้ได้ช้ามาก 12ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีกในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่านต้องการน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง 13เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้นยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นทารกอยู่ 14อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับคนที่ฝึกฝนจนมีความสามารถแยกแยะดีชั่วได้แล้ว

ฮีบรู 6

 1เพราะฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า 2และคำสอนเรื่องพิธีล้างชำระต่างๆ การวางมือ การเป็นขึ้นจากความตาย และการลงโทษชั่วนิรันดร์ 3ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต เราก็จะได้เดินหน้าต่อไป 4เพราะว่าคนเหล่านั้นที่ได้รับความสว่างมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้ลิ้มรสของประทานจากสวรรค์ ได้มีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ 5และได้ลิ้มรสความดีงามแห่งพระวจนะของพระเจ้า และฤทธิ์เดชแห่งยุคที่จะมาถึงนั้น 6แล้วยังหลงไป ก็เหลือวิสัยที่จะนำพวกเขามาสู่การกลับใจอีกได้ เพราะพวกเขาเองได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าอีก และได้ประจานพระองค์ให้อับอายต่อสาธารณชน 7เพราะว่าพื้นดินที่ได้รับน้ำฝนอยู่เสมอ และทำให้เกิดพืชผักอันเป็นประโยชน์แก่คนที่เพาะปลูก ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า 8แต่ถ้าพื้นดินนั้นผลิตต้นหนามใหญ่และหนามย่อย มันก็ไร้ค่าจนเกือบจะถูกแช่งสาป แล้วในที่สุดก็จะถูกเผาไฟ
 9แต่ท่านที่รักทั้งหลาย แม้พวกเราจะพูดอย่างนั้นเราก็เชื่อแน่ว่า ในกรณีของพวกท่านนั้นมีสิ่งที่ดีกว่า นั่นก็คือสิ่งที่เกี่ยวกับความรอด 10เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรมที่จะทรงลืมการงานของพวกท่านและความรักที่พวกท่านแสดงต่อพระนามของพระองค์ คือการปรนนิบัติพวกธรรมิกชนนั้น ดังที่พวกท่านยังปรนนิบัติอยู่ 11และเราปรารถนาให้ท่านแต่ละคนแสดงความกระตือรือร้นอย่างเดียวกันจนถึงที่สุด เพื่อจะพบความสำเร็จตามที่หวังไว้ 12เพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นคนเฉื่อยช้า แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้นที่โดยทางความเชื่อและความอดทน จึงได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้เป็นมรดก

อรรถาธิบาย

ตักเตือนเรื่องความไม่เติบโต

ความปรารถนาของพระเจ้าที่มีต่อคุณคือการที่ให้คุณ ‘เติบโตในพระคริสต์’ (6:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ให้กลายเป็นผู้ติดตามพระเยซูที่สมบูรณ์ แข็งแรง และเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

การเติบโตต้องอาศัยท่าทีในการฟัง คริสเตียนที่กล่าวถึงในที่นี้ ‘เก็บเอานิสัยแย่ ๆ ที่ไม่ยอมฟัง’ (5:11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้ากำลังตรัสกับเราอย่างต่อเนื่อง (มัทธิว 4:4) ให้เราพัฒนานิสัยปกติในการฟังในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัส ที่หลัก ๆ ทรงตรัสผ่านทางพระคัมภีร์

ผู้เขียนฮีบรูเตือนผู้อ่านของเขาเกี่ยวกับความไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ พวกเขา ‘ควรจะเป็นครูได้แล้ว’ (ฮีบรู 5:12) นี่ไม่ได้หมายถึงคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่หมายถึงใครก็ตามที่ได้รับคำสั่งสอนด้วยความเชื่อก็ถูกคาดหวังให้สอนคนอื่น ต่อ (1 เปโตร 3:15) วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเริ่มเติบโตในความเชื่อของคุณคือการส่งต่อให้ผู้อื่น นี่คือเหตุผลที่เรามักจะเชิญผู้ที่พบพระเยซู ซึ่งอยู่ที่หลักสูตรอัลฟ่าให้กลับมาช่วยสอนในหลักสูตรครั้งต่อไป

เขาต้องการให้บรรดาคนเหล่านั้นเปลี่ยนจากการดื่มนมไปเป็นอาหารแข็ง การสอนเป็นส่วนหนึ่งของความเติบโตของคริสเตียน ผู้เขียนหนุนใจให้ก้าวต่อไปจากคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ การกลับใจ ความเชื่อ การบัพติศมา การวางมือ การเป็นขึ้นจากความตายและการพิพากษาชั่วนิรันดร์ (ฮีบรู 6:1–2)

นี่เป็นรายการสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นหลักการพื้นฐาน และเป็นการท้าทายสำหรับพวกเราทุกคนที่สอนในคริสตจักร เราต้องแน่ใจว่าเรากำลังฝึกคนทุกคนในเรื่องเหล่านี้แล้วย้ายพวกเขาไปสู่ ‘อาหารแข็ง’ (5:14) คุณกินอาหารเองได้ผ่านการนมัสการ การเป็นชุมชนคริสตจักร ศึกษาพระคัมภีร์ อ่านหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจ และฟังคำสอนที่ดี

ผู้เขียนกล่าวว่า ‘อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับคนที่ฝึกฝนจนมีความสามารถแยกแยะดีชั่วได้แล้ว’ (ข้อ 14) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความเติบโตเกิดจากการฝึกฝน นั่นคือการนำพระวจนะของพระเจ้ามาใช้กับชีวิตของเรา อย่างที่ จอห์น วิมเบอร์ เคยกล่าวไว้ว่า ‘อาหารแข็งอยู่บนท้องถนน’ การเติบโตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความรู้ในสมอง แต่คุณสามารภเรียนรู้เมื่อคุณดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อของคุณ คุณสามารถมีสติปัญญา ‘บนท้องถนน’ และนั่นทำให้คุณได้รับ ‘อาหารแข็ง’

จากนั้นผู้เขียนเตือนพวกเขาถึงอันตรายของการละทิ้ง หรือล้มเลิกความเชื่อของพวกเขา (6:4–8) พระคัมภีร์ข้อนี้ยากมาก เพราะในตอนแรกดูเหมือนว่าคริสเตียนสามารถละทิ้งความเชื่อได้และมีบางคนที่ไม่สามารถกลับใจได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสองสิ่งที่ ข้อพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้น (ดูโดยเฉพาะ โรม 5–8)

เป้าหมายหลักของเขาคือการหนุนใจให้พากเพียรอุตสาหะ ความรุนแรงของคำเตือนเหล่านี้ (ฮีบรู 6:4–8) แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งนี้สำคัญเพียงใด อย่างไรก็ตาม ประเด็นเกี่ยวกับการหลงไปนั้นไม่ได้ถูกพูดต่อเพราะเขามั่นใจว่าบรรดาคนเหล่านั้นจะไม่ทำเช่นนั้น ‘เราแน่ใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับพวกท่าน มิตรสหายเอ๋ย’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

จากนั้นเขาก็แสดงความยินดีกับบรรดาคนเหล่านั้นต่อผลที่สำแดงออกมาในชีวิตของพวกเขา การกระทำที่สำแดงถึงความเมตตาของพวกเขาพระเจ้าทรงนับไว้แล้วขณะที่เขาทำเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 10) พระองค์จะทรงประทานบำเหน็จแก่พวกเขา

พวกเขาเริ่มต้นด้วยดีและเขาก็หนุนใจให้จบด้วยดีเช่นกัน ‘แสดงความกระตือรือร้นอย่างเดียวกันจนถึงที่สุด’ (ข้อ 11)

โดยทั่วไปแล้ว ในชีวิตนั้น การเริ่มต้นทำสิ่งต่าง ๆ ง่ายกว่าการทำให้เสร็จ เมื่อความกระตือรือร้นในตอนแรกหมดลง การติดตามผลต้องใช้ความพยายาม ความอดทน และความกล้าหาญ ความสำเร็จ การเกิดผล และรางวัลมาถึงผู้ที่ ‘ยึดมั่นในเส้นทางด้วยความเชื่อ ที่มุ่งมั่นและได้รับทุกสิ่งที่ทรงสัญญาไว้กับพวกเขา’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เติบโตฝ่ายวิญญาณ ให้ข้าพระองค์เลียนแบบผู้ที่มีความเชื่อ และอดทนที่จะได้รับพระสัญญาเป็นมรดก (ข้อ 12)

พันธสัญญาเดิม

เอเสเคียล 4:1-6:14

การพรรณนาให้เห็นภาพการล้อมกรุงเยรูซาเล็ม

 1“เจ้าบุตรมนุษย์เอ๋ย จงเอาก้อนอิฐมาวางไว้ข้างหน้าเจ้า และแกะรูปเมืองหนึ่งไว้บนนั้น คือนครเยรูซาเล็ม 2จงล้อมนครนั้นไว้และก่อกำแพงล้อมรอบนครนั้นด้วย และก่อเชิงเทินไว้สู้นครนั้น และตั้งค่ายรอบนครไว้ และตั้งเครื่องทะลวงกำแพงไว้รอบนคร 3จงเอาเหล็กแผ่นมา และทำให้มันเป็นเหมือนกำแพงเหล็กระหว่างเจ้ากับนครนั้น แล้วหันหน้าไปทางนครนั้น ให้นครนั้นถูกล้อมไว้ เจ้าจงล้อมนครนั้นไว้ นี่เป็นหมายสำคัญต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล
 4“และจงนอนตะแคงข้างซ้าย แล้ววางความผิดบาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอลไว้เหนือตัวเจ้า เจ้านอนอยู่กี่วัน เจ้าก็จะแบกความผิดบาปของนครนั้นเท่านั้นวัน 5และเราได้กำหนดจำนวนวันแก่เจ้าคือ 390 วันซึ่งเท่ากับจำนวนปีของความผิดบาปพวกเขา เป็นวันซึ่งเจ้าจะต้องแบกความผิดบาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอล 6และเมื่อเจ้าทำเช่นนี้จนครบจำนวนวันแล้ว เจ้าจะต้องนอนลงเป็นครั้งที่สองโดยนอนตะแคงข้างขวาและแบกความผิดบาปของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เรากำหนดแก่เจ้า 40 วัน 1 วันแทน 1 ปี 7และเจ้าต้องหันหน้าไปยังการล้อมกรุงเยรูซาเล็มไว้ และด้วยแขนเปลือยเปล่า เจ้าจงเผยพระวจนะต่อสู้นครนั้น 8และดูสิ เราจะเอาเชือกมัดเจ้าไว้ เจ้าจะพลิกจากข้างนี้ไปข้างโน้นไม่ได้จนกว่าจะครบตามกำหนดวันในการล้อมของเจ้า
 9“และเจ้าจงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่ว ถั่วแดง ข้าวฟ่าง และข้าวสเปลต์ มาใส่ในภาชนะอันเดียวกันใช้ทำเป็นขนมปังสำหรับเจ้า เจ้าจงกินอาหารนี้ระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตามกำหนด 390 วัน 10และอาหารที่เจ้ากินจะต้องชั่ง คือวันละ 230 กรัม เจ้าจงกินตามเวลากำหนด 11และน้ำที่เจ้าดื่มก็ต้องตวงดื่ม คือประมาณครึ่งลิตร เจ้าจงดื่มน้ำตามเวลากำหนด 12และเจ้าจะต้องกินดังขนมปังข้าวบาร์เลย์ โดยปิ้งบนไฟที่ก่อจากอุจจาระมนุษย์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย” 13แล้วพระยาห์เวห์ตรัสว่า “ประชาชนอิสราเอลจะต้องกินขนมปังของเขาอย่างเป็นมลทินเช่นนี้ ณ ท่ามกลางบรรดาประชาชาติซึ่งเราจะขับไล่เขาไปอยู่” 14แล้วข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ดูสิ ข้าพระองค์ไม่เคยทำตัวให้เป็นมลทินเลย ตั้งแต่หนุ่มๆ มาจนบัดนี้ ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานสิ่งที่ตายเอง หรือที่ถูกสัตว์ฉีกกัดตาย ไม่มีเนื้อสัตว์มลทินเคยเข้าไปในปากของข้าพระองค์” 15แล้วพระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เอาเถอะ เราจะยอมให้เจ้าใช้มูลโคแทนอุจจาระมนุษย์ ซึ่งเจ้าจะใช้ปิ้งขนมปังของเจ้า” 16พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย นี่แน่ะ เราจะทำลายอาหารหลักในเยรูซาเล็ม พวกเขาจะต้องชั่งขนมปังกิน และกินด้วยความกลัว และเขาจะตวงน้ำดื่ม ทั้งดื่มด้วยความอกสั่นขวัญหาย 17เมื่อขาดขนมปังและน้ำ ต่างคนต่างอกสั่นขวัญหาย แล้วจะซูบผอมไปเพราะความผิดบาปของเขาทั้งหลาย”

เอเสเคียล 5

ดาบที่ต่อสู้กรุงเยรูซาเล็ม

 1“ส่วนเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเอาดาบคมเล่มหนึ่งมา และใช้โกนศีรษะและเคราของเจ้าอย่างมีดโกนของช่างตัดผม แล้วเอาตาชั่งน้ำหนักมาแบ่งเส้นผมเหล่านั้น 2เจ้าจงเอาหนึ่งส่วนสามไปเผาไฟที่กลางเมืองในวันที่การล้อมครบถ้วน และเอาอีกหนึ่งส่วนสามมาฟันด้วยดาบไปรอบๆ เมือง อีกหนึ่งส่วนสามนั้นจงปล่อยให้ปลิวกระจายไปตามลม แล้วเราจะชักดาบไล่ตามไป 3แล้วจงเอาเส้นผมพวกนั้นหน่อยหนึ่งมาห่อไว้ในเสื้อคลุมของเจ้า 4และเจ้าจงเอาเส้นผมพวกนั้นมาอีกหน่อยหนึ่ง แล้วโยนเข้าไปในไฟ เจ้าจงเผาเสียด้วยไฟนั้น จะมีไฟจากที่นั่นเข้าไปในพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด” 5พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า “นี่คือเยรูซาเล็ม เราตั้งเธอไว้ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และมีหลายประเทศอยู่ล้อมรอบ 6แต่เยรูซาเล็มได้กบฏต่อกฎหมายของเราอย่างชั่วร้ายยิ่งกว่าประชาชาติใดๆ และกบฏต่อกฎเกณฑ์ของเรายิ่งกว่าประเทศที่อยู่ล้อมรอบ คือพวกเขาปฏิเสธกฎหมายของเรา และไม่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา 7เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเจ้าไม่อยู่กับร่องกับรอยยิ่งกว่าประชาชาติที่อยู่รอบๆ เจ้า และพวกเจ้าไม่ได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ หรือทำตามกฎหมายของเรา และไม่ได้ทำตามแม้แต่กฎหมายของบรรดาประชาชาติที่อยู่รอบเจ้า 8เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ดูสิ เรานี่แหละจะเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เราจะทำการพิพากษาท่ามกลางเจ้าต่อหน้าประชาชาติทั้งหลาย 9และเพราะสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน และเราจะไม่ทำเช่นนั้นอีก 10เพราะฉะนั้น บิดาจะกินบุตรของตนท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย และบุตรจะกินบิดาของเขา และเราจะทำการพิพากษาเจ้า ใครที่เหลืออยู่ในพวกเจ้า เราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมในทุกทิศทาง 11เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เพราะเจ้าได้ทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินไปด้วยสิ่งน่าขยะแขยงทั้งหมดของเจ้า ทั้งด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหมดของเจ้า เพราะฉะนั้น เราจะลดทอนเจ้าลง ตาของเราจะไม่ปรานี และเราจะไม่กรุณาด้วย 12หนึ่งส่วนสามของพวกเจ้าจะล้มตายเพราะโรคระบาด หรือถูกผลาญด้วยความอดอยากท่ามกลางพวกเจ้า อีกหนึ่งส่วนสามจะล้มตายด้วยดาบอยู่รอบๆ เจ้า และอีกหนึ่งส่วนสามนั้น เราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมในทุกทิศทาง และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาทั้งหลายไป
 13“เช่นนี้แหละ ความกริ้วของเราจึงระบายออกได้หมด และความโกรธของเราต่อพวกเขาจึงจะสงบ เราจึงจะหายจากความเคืองใจ แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ผู้กล่าวด้วยความหวงแหน เมื่อความโกรธของเราต่อพวกเขาถูกระบายออกหมด 14ยิ่งกว่านั้น เราจะปล่อยให้เจ้าร้างเปล่า และถูกประณามท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบเจ้าและในสายตาของทุกคนที่ผ่านไป 15แล้วเจ้าจะเป็นที่คนเขาประณามและเย้ยหยัน ทั้งเป็นคำเตือนและเป็นที่เกลียดกลัวของประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบเจ้า เมื่อเรานำการพิพากษามาสู่เจ้าด้วยความกริ้ว ด้วยความโกรธ และด้วยการตีสอนอันเกรี้ยวกราดของเรา เราคือยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว 16เมื่อเรายิงลูกธนูแห่งความอดอยากร้ายแรง คือลูกธนูแห่งการทำลายไปท่ามกลางเจ้า ซึ่งเราจะยิงไปทำลายเจ้าทั้งหลาย แล้วเราจะเพิ่มความอดอยากแก่เจ้า และเราจะทำลายอาหารหลักของพวกเจ้าเสีย 17เราจะส่งความอดอยากและสัตว์ป่ามายังเจ้าทั้งหลาย และพวกมันจะเอาลูกหลานของเจ้าไปเสีย โรคระบาดและการหลั่งเลือดจะผ่านตัวเจ้า และเราจะนำดาบมาเหนือเจ้า เราคือยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว”

เอเสเคียล 6

พิพากษาอิสราเอลที่ไหว้รูปเคารพ

 1พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาทั้งหลายของอิสราเอล และจงเผยพระวจนะกล่าวโทษภูเขาเหล่านั้น 3และกล่าวว่า ภูเขาทั้งหลายของอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แก่ภูเขาทั้งหลาย แก่เนินเขา แก่ห้วยและหุบเขาทั้งหลายว่า ดูสิ เราจะนำดาบมาเหนือเจ้าทั้งหลาย และเราจะทำลายปูชนียสถานสูงของพวกเจ้าเสีย 4แท่นบูชาของพวกเจ้าจะร้างเปล่า และแท่นเผาเครื่องหอมของเจ้าจะถูกพังลง และคนของเจ้าที่ถูกฆ่านั้น เราจะเหวี่ยงลงต่อหน้ารูปเคารพของพวกเจ้า 5และเราจะวางศพคนอิสราเอลไว้หน้ารูปเคารพของพวกเขา และเราจะกระจายกระดูกของเจ้าทั้งหลายรอบแท่นบูชาของเจ้า 6ในที่อาศัยทุกแห่งของพวกเจ้า เมืองต่างๆ จะร้างเปล่าและปูชนียสถานสูงจะพัง ดังนั้นแหละ แท่นบูชาของเจ้าจะถูกทิ้งร้างและถูกลงโทษ รูปเคารพของพวกเจ้าจะหักและสูญสิ้น แท่นเผาเครื่องหอมของเจ้าจะถูกโค่นลง และสิ่งที่เจ้าทำขึ้นจะถูกกวาดทิ้งไปหมด 7คนที่ถูกฆ่าจะล้มลงท่ามกลางพวกเจ้า และเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์
8“แต่เราจะให้บางคนเหลืออยู่ คือพวกเจ้าบางคนจะหนีพ้นดาบไปในท่ามกลางประชาชาติ และถูกกระจายไปในดินแดนต่างๆ 9แล้วพวกเขาที่หนีรอดไปนั้นจะระลึกถึงเราในท่ามกลางประชาชาติ ซึ่งเขาทั้งหลายถูกกวาดไปเป็นเชลยนั้น และรู้ว่าเราปวดร้าวเพราะใจแพศยาของพวกเขาที่หันไปจากเรา และเพราะสายตาแพศยาที่โหยหารูปเคารพของเขา แล้วเขาทั้งหลายจะเกลียดตัวเองเนื่องจากความชั่วซึ่งเขาได้ทำ และเนื่องด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเขาด้วย 10แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ เราไม่ได้พูดพล่อยๆ ว่าเราจะนำความวิบัติมายังพวกเขา”
 11พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า “จงตบมือและกระทืบเท้าของเจ้า และกล่าวว่า เพราะสิ่งน่าสะอิดสะเอียนอันชั่วช้าทุกอย่างของพงศ์พันธุ์อิสราเอลหนอ เขาทั้งหลายจึงล้มลงด้วยดาบ ด้วยความอดอยากและด้วยโรคระบาด 12ผู้ที่อยู่ห่างไกลจะตายด้วยโรคระบาด ผู้ที่อยู่ใกล้ก็จะตายด้วยดาบ และผู้ที่เหลืออยู่และได้รับการปกป้องจะตายด้วยความอดอยาก ดังนี้แหละ เราจึงระบายความโกรธของเราต่อพวกเขาได้หมดสิ้น 13แล้วเจ้าทั้งหลายจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ เมื่อพวกที่ถูกฆ่าอยู่ท่ามกลางรูปเคารพของเขา รอบแท่นบูชาของเขา บนเนินเขาสูงทุกแห่ง บนยอดเขาทั้งหมด ที่ใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น และใต้ต้นโอ๊กใบดกทุกต้น คือสถานที่ซึ่งเขาถวายกลิ่นที่พึงใจแก่รูปเคารพทั้งหมดของพวกเขา 14และเราจะยื่นมือของเราออกต่อสู้พวกเขา แล้วทำให้แผ่นดินที่เขาอาศัยทุกแห่งร้างเปล่าและถูกทิ้งร้าง คือตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารถึงริบลาห์ แล้วเขาทั้งหลายจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์”

อรรถาธิบาย

ตักเตือนเรื่องการพิพากษา

ตั้งแต่เริ่มต้น มีความชัดเจนว่าการเตือนผู้คนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย! เนื้อหาตอนนี้เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงเตือนประชาชนของพระองค์ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับอิสราเอลก็ถือเป็น ‘คำเตือน…ของประชาชาติ’ (5:15)

พระเจ้าทรงให้เอเสเคียลประกาศด้วยการทำให้เห็นภาพ เพื่อแสดงถึงความรุนแรงของความบาป และเตือนถึงการพิพากษาที่จะเกิดขึ้นหากผู้คนไม่กลับใจ

การนอนตะแคงเป็นเวลา 430 วันของเอเสเคียล (4:5–6) คงจะดูแปลกไปสักหน่อย แต่มันเป็นภาพสะท้องที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง (อาจเป็นกรณีที่ผู้คนมักจะจดจำสิ่งที่พวกเขาเห็นมากกว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยิน) การพิพากษากำลังมาถึงเพราะประชากรของพระเจ้า ‘ไม่ปฏิบัติตามแม้แต่กฎหมายของบรรดาประชาชาติรอบ ๆ [พวกเขา]’ (5:7)

พระเจ้าไม่กล่าวคำเตือนโดยเปล่าประโยชน์: ‘เราไม่ได้พูดพล่อย ๆ’ (6:10) คำเตือนของพระเจ้าเป็นการกระทำด้วยความรักเสมอ พระองค์ทรงปรารถนาให้ทุกคนกลับใจและ ‘รู้ความจริง’ (1 ทิโมธี 2:4)

ทุกวันนี้เราอาจกังวลเรื่องเสียงในแง่ลบ หรือคำวิพากษ์วิจารณ์มากจนเกินไป จนทำให้เราขาดความรัก และความกล้าพอที่จะตักเตือนผู้คนถึงอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า

เพราะความรักที่มีต่อพระเจ้า และต่อประชากรของพระเจ้าทำให้เอเสเคียลสำแดงภาพเหล่านี้เพื่อเตือนถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่รออยู่ข้างหน้า เอเสเคียลได้รับคำสั่งให้ ‘แบกความผิดบาป’ ของผู้คน (เอเสเคียล 4:4–6) ภาพที่แสดงนี้ยังเป็นสัญญาณของสิ่งที่กำลังจะมาถึง พระเยซูทรงทำในสิ่งที่เอเสเคียลทำได้เพียงทำนายล่วงหน้า นั่นคือการที่ทรงแบกบาปของคุณบนไม้กางเขน (1 เปโตร 2:24) พระองค์ทรงรับการพิพากษาของพระเจ้าไว้กับพระองค์เอง และทำให้คุณและผมได้รับพระสัญญาอันยอดเยี่ยมทั้งหมดแห่งพระพรสำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์

ชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง แต่คำเตือนสำหรับเรายังคงเป็นเรื่องจริงและจริงจังเสมอ อันที่จริง คำเตือนเหล่านี้ทำให้ความเป็นจริงของความรอดและพระพรมากมายที่มีในพระคริสต์นั้นน่าทึ่งยิ่งขึ้น พระกิตติคุณเป็นข่าวดี

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานสติปัญญา ให้ข้าพระองค์ประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู ด้วยความจริงใจและความเชื่อ โปรดประทานใจกล้าหาญประกาศแผนการทั้งหมดของพระเจ้า

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เอเสเคียล 4:1–14

เอเสเคียลผู้น่าสงสาร! นอนตะแคงข้างหนึ่งนาน 390 วัน กินอาหารที่ปรุงด้วยมูลสัตว์ ฉันไม่คิดว่าพระเจ้าเคยขอให้ฉันทำอะไรแบบนั้น ขอบคุณพระเจ้า ที่เราทุกคนไม่จำเป็นต้องทำอะไรผิดแผกเช่นนี้

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม