เป็นคนที่คุณรู้จัก
เกริ่นนำ
ในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา เนื่องจากโศกนาฏกรรมในครอบครัว ทหารได้รับอนุญาตให้ขอการพิจารณาจากประธานาธิบดี เขาต้องการข้อยกเว้นการรับใช้ทางการทหาร อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามาถึงทำเนียบขาว เขากลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าและถูกเชิญให้ออกไป เขาได้ไปนั่งในสวนสาธารณะใกล้ ๆ
จู่ ๆ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหานายทหารคนนี้และสังเกตเห็นว่านายทหารคนนี้ดูเศร้าผิดปกติ นายทหารได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้เด็กหนุ่มฟัง และในที่สุด เด็กชายก็พูดว่า 'มากับผมสิ' เด็กหนุ่มพานายทหารที่แสนหดหู่นี้กลับไปที่ทำเนียบขาว แต่พวกเขาเดินอ้อมไปด้านหลัง ไม่มีแม้กระทั่งทหารยามคนใดห้ามพวกเขา แม้แต่นายพลและข้าราชการระดับสูงก็ยังให้ความสนใจและปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้าไปได้
ทหารคนนั้นประหลาดใจ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทำเนียบประธานาธิบดี เด็กชายเปิดประตูและเดินตรงเข้าไปโดยไม่เคาะประตู อับราฮัม ลินคอล์น ที่ยืนอยู่ที่นั่นหันหลังจากการสนทนากับรัฐมนตรีต่างประเทศและพูดว่า 'แทด มีอะไรให้ช่วยไหม?’
แทดตอบว่า ‘พ่อครับ ทหารคนนี้ต้องการคุยกับพ่อครับ’
นายทหารสามารถเข้าถึงตัวประธานาธิบดี ‘ผ่านทางลูกชาย’ ที่จริงตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น คุณสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้ ‘ผ่านทางพระบุตร’ นั่นคือพระเยซู
ทุกคนอธิษฐานแต่ไม่ใช่ทุกคำอธิษฐานเป็นของคริสเตียน คำอธิษฐานของคริสเตียนมีความแตกต่าง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ อัครทูตเปาโล เขียนไว้ว่า ‘โดยทางพระคริสต์เราทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน’ (เอเฟซัส 2:18)
ด้วยเหตุนี้การอธิษฐานจึงเป็นสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่ คุณสามารถพูดกับพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในฐานะพ่อของคุณได้ คุณมาหาพระองค์โดยทางพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้า เป็นองค์เจ้านาย เป็นพี่ชายและเพื่อน คำอธิษฐานของคุณได้รับการเร้าใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในใจของคุณ
สดุดี 119:169-176
ת (ทาว)
169ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้เสียงร้องทูลของข้าพระองค์ขึ้นมาถึงพระองค์
ขอประทานความเข้าใจแก่ข้าพระองค์ ตามพระวจนะของพระองค์
170ขอทรงสดับคำวิงวอนของข้าพระองค์
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ตามพระสัญญาของพระองค์
171ริมฝีปากของข้าพระองค์จะพรั่งพรูคำสรรเสริญออกมา
เพราะพระองค์ทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์
172ลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่องพระดำรัสของพระองค์
เพราะพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ก็ชอบธรรม
173ขอพระหัตถ์ของพระองค์พร้อมที่จะช่วยข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ได้เลือกข้อบังคับของพระองค์
174ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์โหยหาการช่วยกู้ของพระองค์
และธรรมบัญญัติของพระองค์ก็เป็นความปีติยินดีของข้าพระองค์
175ขอทรงให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ เพื่อจะได้สรรเสริญพระองค์
และให้กฎหมายของพระองค์ช่วยข้าพระองค์
176ข้าพระองค์หลงเจิ่นดังแกะที่หายไป ขอทรงเสาะหาผู้รับใช้ของพระองค์
เพราะข้าพระองค์ไม่ลืมพระบัญญัติของพระองค์
อรรถาธิบาย
การเข้าถึง...พระบิดา
เมื่อผมพบพระเยซูครั้งแรก ผมได้รับการสอนรูปแบบการอธิษฐานโดยใช้คำช่วยจำ 'A.C.T.S.' ย่อมาจาก Adoration (การเทิดทูนบูชา), Confession (การสารภาพ) Thanksgiving (การขอบพระคุณ) และ Supplication (คำร้องทูล) (ดู พระคัมภีร์ใน 1 ปี วันที่ 61 ด้วย) แต่ละรายการมีแสดงไว้ในข้อพระคำตอนนี้
คำอธิษฐานของผู้เขียนพระธรรมสดุดีต่อพระเจ้า พระเยซูทรงสอนให้เราเรียกพระเจ้าว่าเป็นพระบิดาของเรา เมื่อสดุดีบทที่ 119 ใกล้จบ ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้อธิฐานอีกหลายบท ซึ่งรวมถึง 'A.C.T.S.' ดังนี้
A: Adore (เทิดทูน)
จงสรรเสริญพระเจ้าในผู้ที่พระองค์ทรงเป็น และในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ
‘โปรดให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่เพื่อสรรเสริญพระองค์’ (ข้อ 175, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
C: Confess (สารภาพ)
ขอการอภัยจากพระเจ้าสำหรับสิ่งที่คุณได้ทำผิดไป
'ข้าพระองค์หลงไปเหมือนแกะที่หลงทาง' (ข้อ 176, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
\t\t
T: Thanksgiving (การขอบพระคุณ)
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสุขภาพ ครอบครัวและเรื่องอื่น ๆ
‘ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญ (ด้วยการขอบพระคุณ และการวางใจ)’ (ข้อ 171, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
\t\t
S: Supplication (คำร้องทูล)
อธิษฐานเพื่อตัวเอง เพื่อเพื่อน ๆ และเพื่อคนอื่น
‘ขอสดับคำวิงวอนของข้าพระองค์’ (ข้อ 170)
คำอธิษฐาน
A: Adore (เทิดทูน) - องค์พระผู้เป็นเจ้า พระบิดา ข้าพระองค์เทิดทูนพระองค์ ข้าพระองค์รักพระองค์ สรรเสริญพระองค์ที่ข้าพระองค์ได้เข้ามาหาพระองค์ ผู้ทรงสร้างจักรวาล
C: Confess (สารภาพ) - ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ และขอการยกโทษ
T: Thanks (ขอบพระคุณ) - ขอบพระคุณสำหรับพระพรในชีวิตของข้าพระองค์ ขอบพระคุณสำหรับครอบครัวและเพื่อน ขอบพระคุณสำหรับการตอบคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์ ขอบพระคุณสำหรับ....
S: Supplication (คำร้องทูล) - องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานในวันนี้เผื่อ.....
ฮีบรู 7:11-28
11ดังนั้น ถ้าความบริบูรณ์บรรลุได้ทางระบบปุโรหิตเผ่าเลวี (เพราะว่าประชาชนได้รับธรรมบัญญัติโดยระบบนี้) ทำไมจะต้องมีปุโรหิตอีกตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค ไม่ใช่ตามแบบอย่างของอาโรน? 12เพราะเมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลงแล้ว ธรรมบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปด้วย 13เพราะว่าพระองค์ที่เรากล่าวถึงนั้นมาจากเผ่าอื่น ซึ่งเป็นเผ่าที่ยังไม่มีใครเคยทำหน้าที่ปรนนิบัติที่แท่นบูชาเลย 14เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงสืบเชื้อสายมาจากเผ่ายูดาห์ และโมเสสก็ไม่เคยกล่าวว่าจะมีปุโรหิตมาจากเผ่านั้นเลย
15ข้อนี้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นอีก เมื่อปรากฏว่ามีปุโรหิตอีกผู้หนึ่งตามแบบอย่างของเมลคีเซเดคเกิดขึ้น 16ผู้ซึ่งเป็นปุโรหิตโดยไม่ได้รับการแต่งตั้งตามธรรมบัญญัติเรื่องเชื้อสาย แต่โดยฤทธิ์เดชแห่งชีวิตอันไม่สามารถจะทำลายได้ 17เพราะมีพยานกล่าวถึงพระองค์ว่า “พระเจ้าตรัสว่า
‘เจ้าจะเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์
ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค’ ”
18ในด้านหนึ่ง บัญญัติเดิมนั้นก็ได้ยกเลิกไปเพราะมีจุดอ่อนและไร้ประสิทธิภาพ 19ในอีกด้านหนึ่ง เนื่องจากธรรมบัญญัตินั้นไม่สามารถทำสิ่งใดให้สมบูรณ์ได้ พระเจ้าจึงทรงให้ความหวังที่ดีกว่านั้น ซึ่งโดยความหวังนั้นเอง เราจึงเข้าใกล้พระเจ้าได้
20พระเจ้าทรงยืนยันเรื่องนี้โดยคำปฏิญาณของพระองค์ เพราะว่าคนอื่นๆ เข้ารับตำแหน่งปุโรหิตโดยไม่มีคำปฏิญาณเลย 21แต่พระเยซูทรงเป็นปุโรหิตโดยมีคำปฏิญาณตรัสถึงพระองค์ว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงปฏิญาณแล้ว
และจะไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย
เจ้าจะเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์”
22โดยคำปฏิญาณนี้ พระเยซูจึงทรงเป็นผู้ค้ำประกันพันธสัญญาที่ดีกว่าเก่า
23ปุโรหิตเผ่าเลวีนั้นมีการสืบตำแหน่งกันหลายคน เพราะความตายขัดขวางไม่ให้พวกเขาปฏิบัติงานได้ตลอดไป 24แต่พระเยซูองค์นี้ทรงดำรงตำแหน่งปุโรหิตตลอดกาล เพราะพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ 25เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่ เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอเผื่อคนเหล่านั้น
26มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับพวกเรา คือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งหลาย และอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์ 27พระเยซูไม่ต้องนำเครื่องบูชามาทุกๆ วัน (เหมือนอย่างมหาปุโรหิตคนอื่นๆ ที่ตอนแรกถวายสำหรับบาปของตัวเอง แล้วจึงถวายสำหรับบาปของประชาชน) เพราะพระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เมื่อพระองค์ทรงถวายพระองค์เอง 28เพราะว่าธรรมบัญญัติแต่งตั้งมนุษย์ผู้อ่อนแอให้เป็นมหาปุโรหิต แต่ถ้อยคำปฏิญาณซึ่งตรัสภายหลังธรรมบัญญัตินั้น แต่งตั้งพระบุตรขึ้น ผู้ที่พระเจ้าทำให้เพียบพร้อมชั่วนิรันดร์
อรรถาธิบาย
เข้ามา...ทางพระเยซู
พระเยซู ‘นำเราไปสู่ที่ประทับของพระเจ้า’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การเข้าถึงพระบิดาเกิดขึ้นได้ผ่านทางพระเยซู คุณสามารถ ‘เข้าใกล้พระเจ้า’ (ข้อ 19) พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คุณสามารถ ‘มาหาพระเจ้าโดยทางพระองค์’ (ข้อ 25)
พระเยซูทรงเป็นพระบุตร ‘ผู้ทรงทำให้ดีพร้อมเป็นนิตย์’ (ข้อ 28) พระองค์ประทานความหวังที่ ‘ดีกว่า’ แก่คุณ (ข้อ 19) คำว่า 'ดีกว่า' ปรากฏอยู่หลายครั้งในหนังสือฮีบรู ผู้เขียนยกสิ่งที่แตกต่างกันให้เห็นภาพอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายกับสิ่งที่ดี แต่เป็นสิ่งที่ดีกับบางสิ่งที่ 'สมบูรณ์แบบ' และด้วยเหตุนี้จึงเรียกได้ว่า ‘ดีกว่า'
ในฐานะปุโรหิตของพระเยซูตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ประเสริฐกว่า ผู้เขียนอ้างอิงสดุดี 110:4 เพื่อแสดงให้เห็นว่าฐานะปุโรหิตของพระเยซูได้รับการสถาปนาผ่านพระสัญญาของพระเจ้า ฐานะปุโรหิตของพระเยซูไม่เหมือนกับอดีตปุโรหิตชั่วคราว ฐานะปุโรหิตของพระเยซูได้รับการยืนยันโดยพระสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า (ฮีบรู 7:20–21) พระเยซูตอบสนองทุกความต้องการของคุณอย่างสมบูรณ์แบบ (ข้อ 26)
1.\tมีชัยชนะเหนือความตายเพื่อคุณ
โดย ‘ฤทธิ์เดชแห่งชีวิตสูงสุด คือ พระองค์ทรงพระชนม์!’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเยซูทรงอยู่ตลอดไปและ สถานะการเป็นปุโรหิตของพระองค์นั้นถาวร ไม่เหมือนปุโรหิตใด ๆ ที่มาก่อนหน้าพระองค์ (ข้อ 23–24)
2.\tพระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อเราเสมอ
พระเยซูทรงอธิษฐานวิงวอนอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ที่มาหาพระเจ้าโดยทางพระองค์: ‘พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่เพื่อทูลขอต่อพระเจ้าและทูลวิงวอนพระองค์และเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อพวกเขาเสมอ’ (ข้อ 25ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
โรเบิร์ต เมอร์เรย์ เอ็มไชน์ (1813–1843) ได้เขียนว่า ‘ถ้าผมได้ยินพระคริสต์ทรงอธิษฐานให้ผมในห้องถัดไป ผมจะไม่กลัวศัตรูนับล้าน ทว่าระยะทางก็ไม่ต่างกัน พระองค์ก็กำลังอธิษฐานเพื่อผมอยู่เช่นกัน’
3.\tพระเยซูทรงสามารถเป็นตัวแทนที่ไม่มีใครเหมือนของคุณได้
ปุโรหิตต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเองก่อน แต่พระเยซูทรง 'บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ปราศจากความบาป ด้วยอำนาจที่สูงถึงที่ทรงสถิตของพระเจ้าในสวรรค์’ (ข้อ 26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ทรงเป็นตัวแทนที่ไม่มีใครเหมือนซึ่งทรงเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์และเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
4.\tพระองค์ถวายเครื่องบูชาที่สมบูรณ์แก่บาปของคุณ
‘พระองค์ไม่เหมือนกับมหาปุโรหิตอื่น ๆ ที่ต้องถวายเครื่องบูชาทุก ๆ วัน ที่ต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเองก่อน และจากนั้นก็สำหรับบาปของประชาชน’ (ข้อ 27) เมื่อพระเยซูทรงถวายพระองค์เองบนไม้กางเขน จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชานี้เพียงครั้งเดียว เพราะครั้งเดียวก็ส่งผลโดยสมบูรณ์: ‘พระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เมื่อพระองค์ถวายพระองค์เอง’ (ข้อ 27)
คุณลักษณะของชีวิตพระเยซูที่อยู่เหนือทุกสิ่ง ทั้งยังมีพระสัญญาที่ประเสริฐ และทรงเป็นทั้ง ‘ผู้ถวายที่สูงสุด’ รวมถึงทรงเป็นเครื่องบูชาที่เหนือกว่าทุกสิ่ง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าฐานะปุโรหิตของพระองค์มีประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์ในการให้คุณเข้าถึงพระบิดาได้ เนื่องด้วยฐานะปุโรหิตที่สมบูรณ์และถาวรของพระเยซู คุณจึงสามารถ ‘เข้าใกล้พระเจ้า' (ข้อ 19) คุณสามารถ 'มาหาพระเจ้าโดยทางพระองค์' (ข้อ 25)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์สามารถเข้าใกล้พระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และข้าพระองค์ได้รู้ว่า พระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อข้าพระองค์
เอเสเคียล 10:1-12:28
พระสิริของพระเจ้าพรากจากกรุงเยรูซาเล็ม
1แล้วข้าพเจ้ามองดู นี่แน่ะ ที่พื้นฟ้าซึ่งอยู่เหนือศีรษะเหล่าเครูบนั้น มีสิ่งที่มีลักษณะคล้ายพระที่นั่งที่เป็นเหมือนไพลินปรากฏขึ้นเหนือเครูบเหล่านั้น 2และพระองค์ตรัสกับชายสวมเสื้อผ้าป่านว่า “จงเข้าไปในที่ระหว่างวงล้อซึ่งอยู่ใต้เครูบ จงกอบถ่านคุเต็มอุ้งมือทั้งสองของเจ้าจากที่ระหว่างพวกเครูบ แล้วนำไปโปรยเหนือนครนั้น” และชายคนนั้นก็เข้าไปต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า 3ส่วนพวกเครูบนั้นยืนอยู่ที่ด้านใต้ของพระนิเวศในขณะที่ชายคนนั้นเข้าไป และลานชั้นในก็เต็มด้วยเมฆ 4แล้วพระสิริของพระยาห์เวห์ก็ขึ้นจากเครูบไปยังธรณีประตูพระนิเวศ และพระนิเวศนั้นก็เต็มด้วยเมฆ และลานนั้นก็เต็มด้วยความสุกใสของพระสิริของพระยาห์เวห์ 5ส่วนเสียงปีกของพวกเครูบก็ได้ยินไปถึงลานชั้นนอก เหมือนพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อพระองค์ตรัส
6และเมื่อพระองค์ทรงบัญชาชายที่สวมเสื้อผ้าป่านว่า “จงไปเอาไฟมาจากที่ระหว่างวงล้อ คือจากระหว่างพวกเครูบ” ชายคนนั้นก็เข้าไปและยืนอยู่ข้างวงล้อวงหนึ่ง 7เครูบตนหนึ่งได้ยื่นมือของตนจากระหว่างพวกเครูบไปยังไฟซึ่งอยู่ระหว่างเครูบ แล้วหยิบไฟขึ้นมาบ้างและใส่อุ้งมือของชายที่สวมเสื้อผ้าป่าน ชายนั้นก็รับและนำออกไป 8และในพวกเครูบนั้นมีสิ่งที่ปรากฏเหมือนมือมนุษย์อยู่ใต้ปีก
9แล้วข้าพเจ้ามองดู ดูสิ มีวงล้ออยู่ 4 วงข้างๆ พวกเครูบ วงล้ออยู่ข้างเครูบตนละหนึ่งวงล้อ ลักษณะวงล้อนั้นเหมือนแสงของเบริล 10วงล้อทั้งสี่มีรูปลักษณ์เหมือนกัน คือเป็นเหมือนวงล้อซ้อนในวงล้อ 11เมื่อเคลื่อนที่ พวกเครูบจะไปทางด้านใดของใบหน้าทั้งสี่ก็ได้ทั้งนั้น พวกเขาเคลื่อนที่โดยไม่ต้องหันเลย เพราะพวกเขาจะไปตามทิศที่ศีรษะมุ่งหน้าไปนั้น เคลื่อนโดยไม่ต้องหันเลย 12และทั่วร่างกายของพวกเขา รวมทั้งหลัง มือ ปีก และวงล้อคือวงล้อของทั้งสี่ตนนั้นล้วนเต็มด้วยนัยน์ตาโดยรอบ 13ข้าพเจ้าได้ยินกับหูว่าวงล้อเหล่านั้นเรียกว่า วงล้อหมุน 14เครูบแต่ละตนมีหน้า 4 หน้า หน้าแรกเป็นหน้าเครูบ หน้าที่สองเป็นหน้ามนุษย์ หน้าที่สามเป็นหน้าสิงโต และหน้าที่สี่เป็นหน้านกอินทรี
15แล้วพวกเครูบก็เหาะขึ้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่ข้าพเจ้าเคยเห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ 16เมื่อเครูบเคลื่อนไป วงล้อก็ตามไปข้างๆ พวกเขาด้วย และเมื่อพวกเครูบกางปีกออกเพื่อบินขึ้นจากพิภพ วงล้อเหล่านั้นก็ไม่หันไปจากข้างๆ พวกเครูบเลย 17เมื่อพวกเครูบหยุดนิ่ง วงล้อเหล่านั้นก็หยุดนิ่ง เมื่อเครูบเหาะขึ้น วงล้อก็เหาะขึ้นไปกับพวกเขาด้วย เพราะว่าวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนั้นอยู่ในวงล้อ
18แล้วพระสิริของพระยาห์เวห์ไปจากธรณีประตูพระนิเวศ สถิตเหนือพวกเครูบ 19เมื่อพวกเครูบกางปีกบินขึ้นพวกเขาเหาะไปจากพิภพต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า (เมื่อพวกเขาออกไป วงล้อก็ตามไปข้างๆ ด้วย) และไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูด้านตะวันออกของพระนิเวศพระยาห์เวห์ และพระสิริของพระเจ้าของอิสราเอลก็อยู่เหนือเครูบพวกนั้น
20นี่คือสิ่งมีชีวิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นซึ่งอยู่ใต้พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่ริมแม่น้ำเคบาร์ แล้วข้าพเจ้าทราบว่าเป็นเครูบ 21เครูบทุกตนมี 4 หน้าและ 4 ปีก และใต้ปีกมีรูปลักษณ์ของมือมนุษย์ 22ส่วนรูปลักษณ์ของใบหน้าเหล่านี้เป็นใบหน้าซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ทั้งลักษณะและลำตัว แต่ละตนเคลื่อนที่ตรงไปข้างหน้าของเขา
เอเสเคียล 11
พิพากษาพวกให้ปรึกษาผู้ชั่วร้าย
1แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้ามายังประตูด้านตะวันออกของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ซึ่งหันหน้าไปทิศตะวันออก ดูสิ ตรงทางเข้าประตูมีผู้ชายอยู่ 25 คน และท่ามกลางพวกนั้น ข้าพเจ้าเห็นยาอาซันยาห์บุตรอัสซูร์ และเป-ลาทียาห์บุตรเบไนยาห์ เจ้านายของประชาชน 2แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย คนพวกนี้คือผู้วางแผนทำความผิดบาป และเป็นผู้ให้คำปรึกษาชั่วร้ายในนครนี้ 3ผู้กล่าวว่า ‘เวลาปลูกบ้านยังไม่มาใกล้ นครนี้เป็นหม้อและเราเป็นเนื้อ’ 4เพราะฉะนั้น จงเผยพระวจนะกล่าวโทษพวกเขา บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยพระวจนะ” 5แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ลงมาบนข้าพเจ้า และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า จงกล่าวเถิดว่า พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย พวกเจ้าพูดเช่นนี้ และเรารู้สิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเจ้า 6เจ้าได้ทวีคนที่เจ้าได้ฆ่าในนครนี้ และทิ้งคนถูกฆ่าไว้เต็มถนน 7เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า พวกคนที่เจ้าได้ฆ่าซึ่งเจ้าทิ้งไว้ในนครนี้เป็นเนื้อ และนครนี้เป็นหม้อ แต่พวกเจ้าจะถูกนำออกมาจากนคร 8พวกเจ้ากลัวดาบ แต่เราจะนำดาบมาเหนือพวกเจ้า” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
9“เราจะนำพวกเจ้าออกมาจากนคร แล้วมอบเจ้าไว้ในมือคนต่างด้าวและนำการพิพากษาโทษมายังพวกเจ้า 10พวกเจ้าจะล้มลงด้วยดาบ เราจะพิพากษาโทษเจ้าที่พรมแดนอิสราเอล แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ 11นครนี้จะไม่ใช่หม้อของพวกเจ้า และเจ้าไม่ใช่เนื้อในนั้น เราจะพิพากษาโทษเจ้าที่พรมแดนอิสราเอล 12และพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ พวกเจ้าไม่ได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา หรือทำตามกฎหมายของเรา แต่ได้ทำตามกฎหมายของประชาชาติทั้งหลายที่อยู่รอบๆ เจ้า”
13อยู่มาเมื่อข้าพเจ้ากำลังเผยพระวจนะ เป-ลาทียาห์บุตรเบไนยาห์ก็เสียชีวิต แล้วข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์จะทรงทำให้คนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นหมดสิ้นไปหรือ?”
พระเจ้าจะทรงฟื้นฟูอิสราเอล
14แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 15“บุตรมนุษย์เอ๋ย พี่น้องของเจ้า คือพี่น้องของเจ้าที่เป็นเครือญาติและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด ซึ่งเป็นพวกที่ชาวเยรูซาเล็มเคยกล่าวว่า ‘เขาทั้งหลายได้เหินห่างไปจากพระยาห์เวห์ เราจึงได้รับมอบแผ่นดินนี้ไว้เป็นกรรมสิทธิ์’ 16เพราะฉะนั้น จงกล่าวว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า แม้เราย้ายพวกเขาไปไกลยังประชาชาติทั้งหลาย คือเรากระจายพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางประเทศทั้งหมด เราก็ยังเป็นสถานนมัสการชั่วคราวของเขาในประเทศที่เขาได้ไปอยู่นั้น 17เพราะฉะนั้น จงกล่าวว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เราจะรวบรวมเจ้าทั้งหลายมาจากชนชาติทั้งหลาย และจะชุมนุมพวกเจ้าจากประเทศที่เจ้ากระจัดกระจายไปอยู่นั้น และเราจะมอบแผ่นดินอิสราเอลให้พวกเจ้า 18และเมื่อพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เขาจะรื้อสิ่งน่าขยะแขยงและสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหมดออกไปจากที่นั่น 19และเราจะให้ใจเดียวแก่เขาทั้งหลาย และเราจะใส่วิญญาณใหม่ไว้ภายในพวกเขา เราจะนำใจหินออกไปจากเนื้อของเขา และให้ใจเนื้อแก่เขาทั้งหลาย 20เพื่อเขาจะดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเราและรักษากฎหมายของเรา ทั้งทำตามสิ่งเหล่านั้น แล้วเขาทั้งหลายจะเป็นประชาชนของเรา และเราเองจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย 21แต่พวกที่ใจของเขาดำเนินตามสิ่งน่าขยะแขยงและสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของพวกเขานั้น เราจะลงโทษการกระทำของพวกเขาบนศีรษะของเขาเอง” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
22แล้วพวกเครูบก็กางปีกออก โดยมีวงล้ออยู่ข้างๆ และพระสิริของพระเจ้าของอิสราเอลก็อยู่เหนือเหล่าเครูบ 23พระสิริของพระยาห์เวห์ขึ้นไปจากกลางนคร ไปสถิตอยู่บนภูเขาซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของนครนั้น 24แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้ามาด้วยนิมิตโดยพระวิญญาณของพระเจ้าถึงเมืองเคลเดีย มายังพวกเชลย แล้วนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้นก็ขึ้นไปจากข้าพเจ้า 25ข้าพเจ้าจึงได้บอกถึงสิ่งต่างๆ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าให้พวกเชลยได้รู้
เอเสเคียล 12
การพรรณนาให้เห็นภาพการเป็นเชลยของยูดาห์
1พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางพงศ์พันธุ์มักกบฏ ผู้มีตาไว้ดูแต่ไม่เห็น ผู้มีหูไว้ฟัง แต่ไม่ได้ยิน เพราะเขาทั้งหลายเป็นพงศ์พันธุ์มักกบฏ 3เพราะฉะนั้น บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับการเป็นเชลยให้ตัวเอง และจงไปเป็นเชลยในเวลากลางวันต่อหน้าต่อตาเขาทั้งหลาย เจ้าจะต้องจากสถานที่ของเจ้าไปเป็นเชลยยังอีกที่หนึ่งต่อหน้าต่อตาพวกเขา บางทีพวกเขาจะเข้าใจแม้ว่าเขาเป็นพงศ์พันธุ์มักกบฏ 4เจ้าจงนำข้าวของของเจ้า คือข้าวของสำหรับการเป็นเชลยออกมาในเวลากลางวันต่อหน้าต่อตาเขาทั้งหลาย และในเวลาเย็นเจ้าจงออกไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาเหมือนอย่างออกไปเป็นเชลย 5จงเจาะกำแพงต่อหน้าต่อตาพวกเขา แล้วนำข้าวของออกไปตามช่องกำแพงนั้น 6จงยกข้าวของใส่บ่าของเจ้าต่อหน้าต่อตาพวกเขา แล้วแบกออกไปในเวลามืด เจ้าจงคลุมหน้าไม่ให้เห็นแผ่นดิน เพราะเราจะทำให้เจ้าเป็นหมายสำคัญแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล”
7แล้วข้าพเจ้าก็ทำตามที่ข้าพเจ้าได้รับบัญชา ข้าพเจ้านำข้าวของเหมือนข้าวของสำหรับการเป็นเชลยออกมาในเวลากลางวัน ในเวลาเย็นข้าพเจ้าก็เจาะกำแพงด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้านำข้าวของออกไปในเวลามืด แบกบนบ่าของข้าพเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเขา
8ในเวลาเช้า พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า 9“บุตรมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลคือพงศ์พันธุ์มักกบฏนั้น ได้พูดกับเจ้าไม่ใช่หรือว่า ‘เจ้าทำอะไร?’ 10จงกล่าวแก่พวกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ครุวาทนี้เกี่ยวกับเจ้านายผู้นั้นในเยรูซาเล็ม และพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดซึ่งอยู่ในนครนั้น’ 11จงกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นหมายสำคัญต่อพวกท่าน สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำไปแล้วนั้น เขาทั้งหลายก็จะถูกทำแบบเดียวกันนี้ด้วย เขาจะถูกกวาดไปเป็นเชลยและถูกคุมขัง 12และเจ้านายผู้นั้นซึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา จะยกข้าวของขึ้นใส่บ่าในเวลามืด แล้วออกไป เขาทั้งหลายจะเจาะกำแพงและนำข้าวของออกไปทางนั้น เขาจะคลุมหน้าของเขา เพื่อว่าเขาจะไม่เห็นแผ่นดินด้วยตาของเขาเอง 13และเราจะกางข่ายของเราคลุมเขาและเขาจะติดกับดักของเรา แล้วเราจะนำเขาเข้าไปในบาบิโลน ในแผ่นดินของคนเคลเดีย ถึงกระนั้นเขาก็จะไม่เห็นแผ่นดินนั้น และเขาจะต้องตายที่นั่น 14พวกคนที่อยู่รอบตัวเขา คือทั้งผู้ช่วยและกองทัพของเขานั้น เราจะกระจายไปตามลมทุกทิศทาง และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาทั้งหลายไป 15และเมื่อเราให้เขาแตกกระเจิงไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติ และกระจายเขาไปตามประเทศต่างๆ พวกเขาก็จะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ 16แต่เราจะให้พวกเขาบางคนเหลือรอดจากดาบ จากการอดอยากและจากโรคระบาดเพื่อพวกเขาจะเล่าถึงสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหมดของเขา ในท่ามกลางประชาชาติซึ่งเขาไปอยู่นั้น แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
การพิพากษาจะไม่เลื่อนออกไปอีก
17แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าอีกว่า 18“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินอาหารของเจ้าด้วยตัวสั่น และดื่มน้ำด้วยความกระวนกระวายและด้วยอาการสั่นเทา 19แล้วกล่าวกับประชาชนในแผ่นดินว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้เกี่ยวกับชาวเยรูซาเล็มในแผ่นดินอิสราเอลว่า เขาจะกินอาหารของเขาด้วยความกระวนกระวาย และดื่มน้ำด้วยอกสั่นขวัญหาย เพราะสิ่งที่มีอยู่เต็มแผ่นดินของเขานั้นจะต้องถูกทำให้ร้างเปล่าไป เนื่องจากความทารุณของคนทั้งหมดที่อยู่ในนั้น 20และเมืองที่มีคนอาศัยอยู่จะเป็นที่ร้าง และแผ่นดินนั้นก็จะร้างเปล่า แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
21และพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า 22“บุตรมนุษย์เอ๋ย สุภาษิตบทนี้ของพวกเจ้าซึ่งกล่าวถึงแผ่นดินอิสราเอลที่ว่า ‘วันเหล่านั้นก็ไกลออกไป และนิมิตทุกเรื่องก็เหลว’ นั้น หมายความว่าอะไร? 23เพราะฉะนั้น จงบอกพวกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เราจะให้สุภาษิตบทนี้สิ้นสุดลงไป และคนจะไม่ใช้เป็นสุภาษิตในอิสราเอลอีก แต่จงกล่าวแก่พวกเขาว่า วันเหล่านั้นก็ใกล้และนิมิตทุกเรื่องก็จะสำเร็จ 24เพราะว่าจะไม่มีนิมิตปลอมหรือคำทำนายประจบประแจงในพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกเลย 25แต่ตัวเรา ยาห์เวห์จะพูดสิ่งที่เราจะพูด และคำพูดนั้นจะต้องเป็นไปตามนั้นโดยไม่ล่าช้าอีกต่อไป และในสมัยของพวกเจ้า พงศ์พันธุ์มักกบฏเอ๋ย เราลั่นวาจาแล้ว เราจะทำตามนั้น” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
26และพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 27“บุตรมนุษย์เอ๋ย ดูสิ พงศ์พันธุ์อิสราเอลกล่าวว่า ‘นิมิตที่เขาเห็นเป็นเรื่องของอีกหลายวันข้างหน้า และเขาเผยพระวจนะถึงช่วงเวลาที่อยู่ห่างไกลโน้น’ 28เพราะฉะนั้น จงกล่าวกับพวกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไป และวาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปตามนั้น” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
อรรถาธิบาย
เข้ามา...ทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
ในขณะที่คุณอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในคุณจะช่วยคุณอธิษฐาน เป็นสิทธิพิเศษที่ไม่ธรรมดาที่จะมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานี้ เมื่อคริสเตียนทุกคนมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในพวกเขา ก่อนวันเพ็นเทคอสต์ (ซึ่งเราอ่านในกิจการบทที่ 2) พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือเฉพาะคนบางกลุ่มในช่วงเวลาที่เฉพาะและสำหรับงานที่เฉพาะเจาะจง
เอเสเคียลเป็นหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น นิมิตพิเศษของพระเจ้าประทานแก่เขาผ่านทางพระวิญญาณผู้ทรงยกเขาขึ้น เกิดขึ้นสองครั้งในข้อนี้เขาพูดว่า 'แล้วพระวิญญาณก็ยกข้าพเจ้าขึ้น ...’ (11:1,24) นั่นคือ ‘พระวิญญาณของพระเจ้า’ ที่ ‘เสด็จมาเหนือ’ เขา และ ‘บอก’ ว่าต้องพูดอะไร: ‘นี่คือสิ่งที่พระเจ้าตรัส...' (ข้อ 5)
เอเสเคียลไปเผยพระวจนะว่าวันหนึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าจะไม่เพียงอยู่ในตัวเขาเท่านั้น แต่จะสถิตอยู่ในคนทั้งปวงด้วย ‘เราจะให้ใจเดียวแก่เขาทั้งหลาย และเราจะใส่วิญญาณใหม่ไว้ภายในพวกเขา เราจะนำใจหินออกไปจากเนื้อของเขา และให้ใจเนื้อแก่เขาทั้งหลาย’ (ข้อ 19)
พระเจ้าได้ประทานมโนธรรมแก่มนุษย์ทุกคน อย่างไรก็ตาม หากเราต่อต้านมโนธรรมของเราบ่อยเกินไป เราก็จะกลายเป็นคนใจแข็ง ตัวอย่างเช่น หากเราถูกผู้อื่นทำร้าย เราสามารถทำใจของเราให้แข็งกระด้าง เพื่อพยายามปิดกั้นความเจ็บปวดทางอารมณ์
เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนจิตใจของคุณเพียงแค่มีความตั้งใจ แต่พระเจ้าสัญญาที่จะให้ 'ใจที่อ่อนนุ่ม' แก่คุณนั่นคือ 'ใจเนื้อ' (ข้อ 19) พระองค์ทรงทำสิ่งนี้โดยใส่พระวิญญาณใหม่ในตัวคุณ (นี่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดู เอเสเคียล 36:26–27) ตอนนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในคุณ ทรงทำการเปลี่ยนใจคุณ พระองค์ทรงแทนที่ใจหินด้วยใจเนื้อ
พระวิญญาณบริสุทธิ์เทความรักของพระเจ้าลงในหัวใจของคุณ (โรม 5:5) พระองค์ทรงเยียวยาความเจ็บปวดและบาดแผลของคุณและทำให้หัวใจของคุณอ่อนโยน ทรงประทาน ‘ใจที่อ่อนนุ่ม' ให้แก่คุณซึ่งตอบสนองต่อการสัมผัสที่อ่อนโยนของพระองค์และเติมเต็มด้วยความรักและความอ่อนไหวต่อความต้องการของผู้อื่น
การเผยพระวจนะของเอเสเคียลสำเร็จในวันเพ็นเทคอสต์ ในพระธรรมกิจการ อัครสาวกเปาโลอธิบายพระสัญญาเหล่านั้น (รวมถึงในเอเสเคียล) ที่สำเร็จเป็นจริง 'เพราะฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว และเมื่อพระองค์ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญาแล้ว พระองค์ทรงเทลงมาดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็น’ (กิจการ 2:33)
ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในพวกเขา สิ่งนี้ยังคงเหมือนเดิมสำหรับคริสเตียนทุกคนในทุกวันนี้ พระองค์สัญญาจะประทานใจเดียว วิญญาณใหม่ และใจเนื้อ พระองค์ตรัสว่าคุณจะเชื่อฟังและจะเป็นประชากรของพระเจ้า พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าของคุณ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกันนี้เราเข้าเฝ้าพระบิดาผ่านทางพระเยซู (เอเฟซัส 2:18)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานใจเดียวให้กับข้าพระองค์ ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์วันนี้ ให้ข้าพระองค์ระมัดระวังที่จะกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์ ขอบพระคุณที่ทรงช่วยให้ข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระบิดาผ่านทางพระเยซู โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 119:173
‘ขอพระหัตถ์ของพระองค์พร้อมที่จะช่วยข้าพระองค์'
ฉันต้องทำอะไรหลายอย่างในวันนี้ ดังนั้นฉันแสวงหาความช่วยเหลือที่มาจากพระองค์
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)