วัน 317

ความเชื่อคืออะไร?

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 27:15-22
พันธสัญญาใหม่ ฮีบรู 11:1-16
พันธสัญญาเดิม เอเสเคียล 22:23-23:49

เกริ่นนำ

ผมเรียนกฏหมายที่มหาวิทยาลัย และฝึกว่าความเป็นเนติบัณฑิตหลายปี ผมมีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีทางอาญาหลายครั้ง ซึ่งผู้พิพากษาบอกคณะลูกขุนว่า พวกเขาต้องตัดสินแล้ว แต่พวกเขาไม่พบว่า จำเลยมีความผิด เว้นแต่ว่าคณะลูกขุนจะ ‘หมดข้อข้องใจจนมั่นใจว่าผิดจริง’ ทุกคำตัดสินดังกล่าวเป็นการกระทำของความเชื่อ คณะลูกขุนไม่ได้อยู่ตอนที่ก่ออาชญากรรม พวกเขาจำเป็นต้องเชื่อในหลักฐาน

ควมเชื่อและ ‘ความมั่นใจ’ ไม่ขัดแย้งกัน ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า ‘ความเชื่อ คือ ความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น' (ฮีบรู 11:1) นักบุญออกัสตินเขียนว่า ‘พระเจ้าไม่ได้คาดหวังให้เรามอบความเชื่อของเราต่อพระองค์โดยไม่มีเหตุผล แต่เหตุผลอันจำกัดของเราทำให้ความเชื่อเป็นสิ่งจำเป็น’

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 27:15-22

15หยาดฝนหยดลงมาไม่หยุดในวันฝนตกพรำๆ ฉันใด
 ผู้หญิงขี้ทะเลาะก็เหมือนกันฉันนั้น
16คนที่ห้ามเธอก็เหมือนห้ามลม
 หรือจับน้ำมันด้วยมือขวา
17เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด
 คนหนึ่งก็ลับเพื่อนของตนให้เฉียบแหลมได้ฉันนั้น
18คนที่ดูแลต้นมะเดื่อจะได้กินผลของมัน
 และคนที่คุ้มกันนายของตนจะได้รับเกียรติ
19ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด
 ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น
20แดนคนตายและแดนพินาศไม่รู้จักอิ่ม
 ดวงตาของมนุษย์ก็ไม่รู้จักอิ่ม
21เบ้าหลอมมีไว้สำหรับเงิน และเตาถลุงสำหรับทองคำ
 ส่วนคนเราจะพิสูจน์ได้โดยคำยกย่องที่เขาได้รับ
22เอาคนโง่ใส่ครกตำด้วยสาก
 พร้อมกับเมล็ดข้าว
 คนโง่ก็ยังโง่อยู่นั่นเอง

อรรถาธิบาย

ความเชื่อคือวิถีทางแห่งความพอใจที่แท้จริง

‘ผมไม่เคยมีความพอใจ’ ร้องโดย มิค แจ็คเกอร์ ปี 1965 เพลงของวงโรลลิ่ง สโตนสะท้อนถึง ‘หัวใจของมนุษย์’ ที่เรา พยายามแล้วพยามอีก แต่ดวงตาของมนุษย์ ‘ไม่รู้จักอิ่ม’ (ข้อ 20) เราจะพบความพึงพอจากที่ใด?

ข้อพระธรรมนี้ประกอบด้วยขุมทรัพท์แห่งสติปํญญาในทางปฏิบัติ เป็นการเตือนเรื่องการทะเลาะเบาะเเว้ง (ข้อ 15-16) กล่าวถึงมิตรภาพสามารถปรับปรุงให้ชีวิตของคุณเกิดผลได้อย่างไร ‘เหล็กลับเหล็กให้คมได้ เพื่อนก็ลับเพื่อนได้ฉันนั้น’ (ข้อ 17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The New Living Translation โดยผู้แปล)

ความเชื่อหมายถึงการรับใช้พระเจ้า คือการปรนนิบัตินายของตน ‘คนที่ดูแลต้นมะเดื่อจะได้กินผมของมัน และคนที่คุ้มกันนายของตนจะได้รับเกียรติ’ (ข้อ 18)

ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า ‘แดนคนตายและแดนพินาศไม่รู้จักอิ่ม ดวงตาของมนุษย์ก็ไม่รู้จักอิ่ม’ (ข้อ 20) ‘นรกมีความอยากอาหารอย่างตะกละตะกลาม และตัณหาไม่เคยเลิกรา’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความพอใจที่แท้จริงเกิดขึ้นจากความเชื่อในพระเยซูผู้ทรงตรัสว่า ‘เรามาเพื่อ (พวกเขา) จะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์’ (ยอห์น 10:10)

ผู้เขียนจึงชี้ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสำคัญของวิธีที่เราจัดการกับคำชมว่า ‘เบ้าหลอมมีไว้สำหรับเงิน และเตาถลุงสำหรับทองคำ ส่วนคนเราจะพิสูจน์ได้โดยคำยกย่องที่เขาได้รับ’ (สุภาษิต 27:21) ผู้มีความเชื่อตระหนักดีว่าพระเจ้าเป็นสาเหตุหลักของความสำเร็จที่เรามีเสมอ พระองค์ทรงสร้างคุณ และประทานของประทานและโอกาสที่จะมาถึงคุณ

เมื่อคนยกย่องคุณ ไม่ควรให้มันเข้ามาในความคิดคุณ เมื่อคนวิจารณ์คุณ ไม่ควรให้มันเข้ามาในใจ (ดูข้อ 19)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ ให้มีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ ให้มองพระองค์เป็นองค์จอมเจ้านาย ถวายพระเกียรติพระองค์ และรับใช้พระองค์ทุกวัน

พันธสัญญาใหม่

ฮีบรู 11:1-16

ความเชื่อ

 1ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น 2โดยความเชื่อนี้เองคนสมัยก่อนจึงได้รับการรับรองจากพระเจ้า 3โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
 4โดยความเชื่อ อาเบลจึงนำเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า โดยทางความเชื่อนั้นท่านได้รับการรับรองว่าเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทรงรับรองของถวายของท่าน แม้ว่าอาเบลตายไปแล้ว แต่โดยทางความเชื่อท่านจึงยังพูดอยู่ 5โดยความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับขึ้นไปเพื่อไม่ให้ท่านประสบกับความตาย ไม่มีผู้ใดพบท่านเพราะพระเจ้าทรงรับท่านไปแล้ว เพราะก่อนที่จะรับท่านขึ้นไปนั้น ท่านได้รับการรับรองแล้วว่าท่านเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า 6แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์ 7โดยความเชื่อ เมื่อโนอาห์ได้รับพระดำรัสเตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ยังมองไม่เห็น ท่านจึงยำเกรงและต่อเรือใหญ่ เพื่อช่วยครอบครัวของตนให้ปลอดภัย และโดยทางความเชื่อนั้น ท่านจึงกล่าวโทษชาวโลก และกลายเป็นทายาทแห่งความชอบธรรมซึ่งมาโดยความเชื่อ
 8โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้ออกเดินทางไปยังที่ที่ท่านจะรับเป็นมรดก ท่านก็เชื่อฟังและเดินทางออกไปโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน 9โดยความเชื่อ ท่านได้อาศัยในแผ่นดินแห่งพระสัญญาเหมือนเป็นคนต่างด้าว โดยพักอยู่ในเต็นท์ร่วมกับอิสอัคและยาโคบผู้เป็นทายาทตามพระสัญญาเดียวกันนั้น 10ท่านเฝ้าคอยนครที่ตั้งอยู่บนรากฐานซึ่งพระเจ้าทรงเป็นสถาปนิกและทรงเป็นผู้สร้าง 11โดยความเชื่อ อับราฮัมได้รับพลังที่จะมีบุตร แม้ท่านชรามากแล้ว และนางซาราห์เองก็เป็นหมัน เพราะท่านถือว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นซื่อสัตย์ 12เหตุฉะนั้น จากชายคนเดียวซึ่งเป็นเสมือนคนตายแล้วนั้น ก็ทำให้มีผู้สืบเชื้อสายเกิดมามากมายดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายอันนับไม่ถ้วนที่ฝั่งทะเล
 13คนเหล่านี้ทั้งหมดตายในขณะที่ยังมีความเชื่ออยู่ และยังไม่ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ทรงสัญญาไว้ แต่พวกเขาก็สังเกตเห็นแต่ไกลและรอรับด้วยใจยินดี และยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก 14เพราะคนที่พูดอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า พวกเขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้เป็นของตนเอง 15ถ้าพวกเขาคิดถึงบ้านเมืองที่จากมานั้น พวกเขาก็คงจะมีโอกาสกลับไปได้ 16แต่ความจริงพวกเขาปรารถนาบ้านเมืองที่ประเสริฐกว่านั้นคือเมืองสวรรค์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ได้ทรงละอายที่จะได้รับการเรียกว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขา เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับพวกเขาแล้ว

อรรถาธิบาย

ความเชื่อคือการวางใจพระเจ้า

‘ความจริงพื้นฐานของการดำรงอยู่ คือ ความวางใจในพระเจ้า ซึ่งความเชื่อนี้เป็นรากฐานที่มั่นคงภายใต้ทุกสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีค่าควรแก่การดำรงอยู่ นี่คือการจัดการในสิ่งที่มองไม่เห็นของเรา การกระทำด้วยความเชื่อคือสิ่งที่ทำให้บรรพบุรุษของเราแตกต่าง ทำให้พวกเขาอยู่เหนือฝูงชนอื่น ๆ’ (ข้อ 1–2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ความเชื่อเป็นอย่างไรในทางปฏิบัติ?

  1. ความเชื่อนำมาสู่ความเข้าใจ
    ‘โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น’ (ข้อ 3) นักบุญออกัสตินชี้ให้เห็นว่า ‘ความเชื่อเป็นก้าวแรกสู่ความเข้าใจ ความเข้าใจเป็นรางวัลแห่งความเชื่อ ดังนั้นอย่าแสวงหาความเข้าใจที่คุณอาจเชื่อ แต่เชื่อว่าคุณจะเข้าใจ’

  2. ความเชื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย
    ชีวิตของเอโนคทำให้พระเจ้าพอพระทัยดังนี้ เขา ‘ก้าวข้ามความตายอย่างสมบูรณ์’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ผู้เขียนอธิบายต่อว่า ‘เป็นไปไม่ได้ที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยโดยปราศจากความเชื่อ ทำไมหรือ? ก็เพราะว่าใครก็ตามที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่และทรงห่วงใยที่จะตอบกลับผู้ที่แสวงหาพระองค์’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  3. ความเชื่อนำมาสู่ความใกล้ชิดพระเจ้า
    ‘โดยความเชื่อโนอาห์สร้างเรือบนดินแห้ง โนอาห์ได้รับคำเตือนและกระทำในสิ่งที่พระเจ้าบอกเขา ...ดังนั้น โนอาห์จึงมีความใกล้ชิดกับพระเจ้า’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  4. ความเชื่อหมายถึงการตอบ ‘ตกลง’ กับพระเจ้า
    ‘โดยการกระทำด้วยความเชื่อ อับราฮัมตอบตกลงกับการทรงเรียกของพระเจ้าในการออกเดินทางในสถานที่ที่ไม่รู้จักซึ่งจะกลายเป็นบ้านของเขา เมื่ออับราฮัมออกเดินทางเขาไม่รู้ว่าเขาจะไปไหน’ ความเชื่อที่แท้จริงทำให้เรามีการเชื่อฟัง (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อับราฮัมออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย ณ จุดสูงสุดของความเจริญรุ่งเรือง (2006-1950 ก่อนคริสตกาล) เขาได้ยินการทรงนำของพระเจ้าและ ‘เชื่อฟังและเดินทางออกไป’ ทันที (ข้อ 8) เขาไม่ ‘รู้ว่าจะไปที่ไหน’ (ข้อ 8) แต่เขารู้ว่าเขาไปกับใคร ความเชื่อของอับราฮัมนำพระพรมาสู่ตัวเขา ครอบครัว ชนชาติของเขา รวมทั้งคุณและผมด้วย

เขาวางใจพระเจ้าแม้ว่าหลักฐานจะชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม ความผิดหวังอย่างมากเรื่องหนึ่งของอับราฮัมคือภรรยาของเขาไม่สามารถมีบุตรเพื่อสืบสายของตระกูลเขาได้ (ปฐมกาล 11) เราได้อ่านเรื่องครอบครัวของอับราฮัมว่า ‘เสมือนคนตายแล้ว' (ฮีบรู 11:12)

อับราฮัมเชื่อพระเจ้า (ดู โรม 4) ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสงสัยเลย อันที่จริง เขาเบื่อกับการรอคอยและพยายามทำให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จด้วยวิธีการของมนุษย์ ขอบคุณพระเจ้าที่ พระเจ้าไม่ได้ตัดสินเราโดยพิจารณาจากความพลาดพลั้ง ความล้มเหลว หรือความยุ่งเหยิงของเรา พระองค์เห็นทัศนคติที่มั่นคงในความเชื่อของอับราฮัม (โรม 4:3, 18)

  1. ความเชื่อเห็นสิ่งที่นอกเหนือชีวิตนี้
    อับราฮัมมองการณ์ไกล เราอยู่ในวัฒนธรรมที่ทุกอย่าง ‘สำเร็จรูป’ เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจที่ต้องให้ได้ทันใจ อับราฮัมอยู่ที่นั่นระยะยาว เขาเป็น ‘คนต่างด้าว’ (ฮีบรู 11:9) เขาพักอาศัยอยู่ในเต็นท์แต่เขารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงนำเขาไปที่ใด

เขาไม่ได้มองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังผ่านการก้าวด้วยความเชื่อ แต่ ‘ท่านเฝ้าคอยนครที่ตั้งอยู่บนรากฐานซึ่งพระเจ้าทรงเป็นสถาปนิกและทรงเป็นผู้สร้าง’ (ข้อ 10)

ความเชื่อของอาเบลส่งผลยั่งยืน ‘...แม้ว่าอาเบลตายไปแล้ว แต่โดยทางความเชื่อท่านจึงยังพูดอยู่’ (ข้อ 4)

ผู้เขียนสรุปว่า ‘คนแห่งความเชื่อแต่ละคนและได้ตายไปแล้ว ยังไม่รับพระสัญญาแต่ก็ยังมีความเชื่ออยู่… ท่านจะเห็นว่าพระเจ้าทรงภูมิใจคนเหล่านี้ และทรงมีบ้านหนึ่งรอพวกเขาอยู่แล้ว’ (ข้อ 13, 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการทำให้พระองค์พอพระทัยในวันนี้ ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์อย่างสุดใจ

พันธสัญญาเดิม

เอเสเคียล 22:23-23:49

 23แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 24“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวกับแผ่นดินว่า เจ้าเป็นแผ่นดินที่ไม่ได้รับการชำระ และไม่ได้รับน้ำฝนในวันแห่งความเกรี้ยวกราด 25บรรดาผู้นำวางแผนท่ามกลางแผ่นดินนั้น เหมือนสิงโตคำรามที่ฉีกเหยื่ออยู่ เขาทั้งหลายกัดกินชีวิตคน เขาริบสมบัติและสิ่งมีค่าไป พวกเขาเพิ่มพูนหญิงม่ายขึ้นมากมายท่ามกลางแผ่นดินนั้น 26พวกปุโรหิตของเขาได้ละเมิดธรรมบัญญัติของเรา และลบหลู่สิ่งบริสุทธิ์ของเรา พวกเขาไม่ได้แยกแยะระหว่างสิ่งบริสุทธิ์และสิ่งไม่บริสุทธิ์ เขาไม่ได้บอกให้รู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งเป็นมลทินและสิ่งสะอาด เขาไม่เห็นวันสะบาโตของเราอยู่ในสายตา ดังนั้นเราจึงถูกลบหลู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย 27พวกเจ้านายในท่ามกลางแผ่นดินเป็นเหมือนสุนัขป่าที่ฉีกเหยื่อ ทำให้โลหิตตก ทำลายชีวิตเพื่อจะเอากำไรอธรรม 28และบรรดาผู้เผยพระวจนะของแผ่นดินนั้น ก็ฉาบปูนขาวให้กับพวกเขาด้วยการเห็นนิมิตปลอม และให้คำทำนายเท็จแก่เขา โดยกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้’ ทั้งที่พระยาห์เวห์ไม่ได้ตรัสเลย 29ประชาชนในแผ่นดินทำการบีบบังคับและทำการโจรกรรม เออ เขาบีบบังคับคนยากจนและคนขัดสน และบีบบังคับคนต่างด้าวอย่างไม่ยุติธรรม 30และเราแสวงหาคนหนึ่งในพวกเขาที่จะสร้างกำแพง และยืนอยู่ตรงช่องโหว่ต่อหน้าเราเพื่อแผ่นดินนั้น เพื่อเราจะไม่ทำลายมันเสีย แต่เราก็หาไม่ได้สักคนเดียว 31ฉะนั้นเราจึงเทความเกรี้ยวกราดของเราลงเหนือเขา เราทำให้พวกเขาหมดสิ้นไปด้วยไฟพิโรธของเรา เราจะลงทัณฑ์ตามการประพฤติของพวกเขาเหนือศีรษะเขา” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ

เอเสเคียล 23

โอโฮลาห์และโอโฮลีบาห์

 1พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย มีผู้หญิงสองคนเป็นบุตรสาวของมารดาเดียวกัน 3เธอทั้งสองทำตัวเป็นโสเภณีในอียิปต์ เธอทำตัวเป็นโสเภณีตั้งแต่สาวๆ ณ ที่นั้นถันของเธอทั้งสองถูกเคล้าคลึง และยอดถันพรหมจารีของเธอก็ถูกจับต้อง 4คนพี่ชื่อโอโฮลาห์และน้องสาวชื่อโอโฮลีบาห์ ทั้งสองเป็นของเรา ทั้งสองคลอดบุตรชายหญิง เรื่องชื่อนั้น โอโฮลาห์คือสะมาเรีย และโอโฮลีบาห์คือเยรูซาเล็ม
 5“โอโฮลาห์ทำตัวเป็นโสเภณีเมื่อเธอเป็นของเรา เธอลุ่มหลงคนรักของเธอ คืออัสซีเรียซึ่งเป็นนักรบ 6พวกเขาแต่งกายสีม่วง เป็นทั้งพวกข้าหลวงและเจ้าหน้าที่ ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา เป็นพลม้าที่ขี่ม้า 7เธอเล่นชู้กับคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นบุคคลชั้นเยี่ยมของอัสซีเรียทุกคน และเธอก็ทำตัวให้เป็นมลทิน ด้วยรูปเคารพของทุกคนที่เธอลุ่มหลงนั้น 8เธอไม่ได้เลิกการเล่นชู้ซึ่งเธอได้ทำตั้งแต่ครั้งอยู่ในอียิปต์ เพราะว่าเมื่อยังสาวอยู่นั้นพวกเขาหลับนอนกับเธอ และจับต้องยอดถันพรหมจารีของเธอ แล้วเทราคะของพวกเขาบนเธอ 9เพราะฉะนั้น เราจึงมอบเธอให้ตกอยู่ในมือพวกคนรักของเธอ คือในมือของอัสซีเรียที่เธอลุ่มหลงนั้น 10เขาเผยความเปลือยเปล่าของเธอ เขาจับบุตรชายหญิงของเธอ และฆ่าเธอเสียด้วยดาบ เธอจึงกลายเป็นคำเยาะเย้ยท่ามกลางผู้หญิงทั้งหลาย เมื่อเธอถูกพิพากษาลงโทษ 11“โอโฮลีบาห์น้องสาวของเธอเห็นเช่นนั้น เธอก็ทรามเสียยิ่งกว่าพี่สาวในเรื่องการลุ่มหลง และในการเล่นชู้นั้นเธอเล่นชู้ยิ่งกว่าพี่สาว 12เธอลุ่มหลงอัสซีเรีย ทั้งพวกข้าหลวงและเจ้าหน้าที่ นักรบที่ใส่เกราะเต็มตัว พลม้าที่ขี่ม้า ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา 13และเราเห็นว่าเธอมีมลทินเสียแล้ว เธอทั้งสองก็เดินในทางเดียวกัน 14แต่เธอยังเล่นชู้ยิ่งขึ้น เธอเห็นรูปของผู้ชายสลักอยู่บนผนัง เป็นรูปคนเคลเดียที่วาดด้วยสีแดงเข้ม 15มีเข็มขัดคาดเอว มีผ้าโพกศีรษะที่ชายห้อยอยู่ ทุกคนเป็นเหมือนนายทหาร เป็นรูปชาวบาบิโลน ซึ่งแผ่นดินเดิมของเขาคือเคลเดีย 16เมื่อเธอเห็นแล้วก็ลุ่มหลงพวกเขา แล้วส่งผู้สื่อสารไปหาพวกเขาที่เคลเดีย 17ชาวบาบิโลนก็มาหาเธอถึงเตียงรัก และเขาก็ทำให้เธอเป็นมลทินด้วยการเล่นชู้ของพวกเขา หลังจากที่เธอเป็นมลทินกับพวกเขาแล้ว เธอก็แยกจากไป 18เมื่อเธอเผยการเล่นชู้และเผยความเปลือยเปล่าของเธอ เราก็แยกจากเธอไปเหมือนอย่างที่เราแยกจากพี่สาวของเธอไป 19ถึงกระนั้นเธอยังทวีการทำตัวเป็นโสเภณีของเธอขึ้นอีก โดยหวนระลึกถึงเมื่อครั้งยังสาวอยู่ เมื่อเธอทำตัวเป็นโสเภณีอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ 20เธอลุ่มหลงคนรักของเธอ ลำเนื้อของพวกเขาก็เหมือนของลา และการหลั่งของเขานั้นก็เหมือนของม้า 21และเจ้าก็อาลัยในการมักมากในกามเมื่อเจ้ายังสาวอยู่ เมื่อคนอียิปต์จับต้องอกของเจ้า และเคล้าคลึงยอดถันสาวของเจ้า
 22“เพราะฉะนั้น โอโฮลีบาห์เอ๋ย พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ดูสิ เราจะเร้าคนรักที่เจ้าแยกจากไปแล้วนั้นให้มาสู้กับเจ้า และเราจะนำเขามาสู้กับเจ้าจากทุกๆ ด้าน 23มีคนบาบิโลน และคนเคลเดียทั้งหมด คนเปโขด คนโชอา และคนโคอา รวมทั้งคนอัสซีเรียทั้งหมดด้วย เป็นคนหนุ่มที่พึงปรารถนา พวกข้าหลวง เจ้าหน้าที่ทั้งหมด ล้วนเรียกว่านายทหาร ทุกคนขี่ม้า 24เขาจะมาต่อสู้เจ้า ด้วยอาวุธ ด้วยรถรบที่มีล้อ พร้อมกับชนชาติทั้งหลายจำนวนมาก เขาจะตั้งตนต่อสู้เจ้าจากทุกด้าน ด้วยโล่ใหญ่และโล่เล็ก ทั้งหมวกเหล็ก และเราจะมอบการพิพากษาให้เขา และเขาทั้งหลายจะพิพากษาเจ้าตามวิธีการพิพากษาของเขา 25และเราจะแสดงความหวงแหนของเราต่อเจ้า และพวกเขาจะทำกับเจ้าด้วยความโกรธ เขาจะตัดจมูกและตัดหูของเจ้าออกเสีย และพวกเจ้าที่เหลือรอดจะล้มลงด้วยดาบ พวกเขาจะจับบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าไป และพวกเจ้าที่เหลือรอดจะถูกเผาด้วยไฟ 26เขาจะถอดเสื้อผ้าของเจ้าออก และนำเอาเครื่องรูปพรรณงามๆ ของเจ้าไปเสีย 27เราจะให้การมักมากในกามและการเล่นชู้ซึ่งมาจากแผ่นดินอียิปต์นั้นหมดสิ้นไป เพื่อเจ้าจะไม่เงยหน้าขึ้นดูสิ่งนั้นอีก แล้วเจ้าจะไม่ระลึกถึงอียิปต์อีกต่อไป 28เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ดูสิ เราจะมอบเจ้าไว้ในมือของผู้ที่เจ้าเกลียด คือในมือของพวกที่เจ้าแยกจากไปนั้น 29แล้วเขาทั้งหลายจะทำกับเจ้าด้วยความเกลียดชัง และจะริบเอาผลจากการตรากตรำของเจ้าไปหมด และทิ้งเจ้าไว้ให้เปลือยเปล่าและล่อนจ้อน ความเปลือยเปล่าและการเล่นชู้ของเจ้าจะต้องถูกเผยออก ทั้งการมักมากในกามและการเล่นชู้ของเจ้า 30เขานำสิ่งเหล่านี้มาเหนือเจ้าเพราะเจ้าทำตัวเป็นโสเภณีต่อบรรดาประชาชาติ และเพราะการทำตัวเจ้าให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพของเขา 31เจ้าดำเนินตามทางของพี่สาวเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงมอบถ้วยของเธอใส่มือเจ้า 32พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า

เจ้าจะต้องดื่มจากถ้วยของพี่สาวเจ้า
 ถ้วยที่ลึกและกว้าง
เจ้าจะกลายเป็นที่หัวเราะและถูกเยาะเย้ย
 เนื่องจากถ้วยนั้นจุได้มาก
33เจ้าจะเต็มด้วยความมึนเมาและความระทม
 ถ้วยของสะมาเรียพี่สาวของเจ้านั้น
 เป็นถ้วยน่าสะพรึงกลัวและอ้างว้าง
34เจ้าจะดื่มและดื่มจนเกลี้ยง
 เจ้าจะทำถ้วยให้แตกเป็นชิ้นๆ
 และฉีกอกของเจ้าเสีย

เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ 35เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า “เพราะเจ้าลืมเราและเหวี่ยงเราไปไว้ข้างหลังเจ้า ดังนั้นเจ้าจงแบกรับโทษของการมักมากในกามและการเล่นชู้เถิด”
 36พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะพิพากษาโอโฮลาห์และโอโฮลีบาห์หรือไม่? จงประกาศการกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนของพวกเธอให้เธอทราบ 37เพราะว่าพวกเธอได้ล่วงประเวณี และโลหิตก็อยู่ในมือเธอ พวกเธอล่วงประเวณีกับรูปเคารพของเธอ และเธอยังถวายบุตรชายซึ่งเธอคลอดให้แก่เรานั้นเพื่อลุยไฟเป็นอาหารของรูปเคารพพวกนั้นด้วย 38ยิ่งกว่านั้นอีก พวกเธอได้ทำเช่นนี้กับเรา คือเธอได้ทำให้สถานนมัสการของเราเป็นมลทินในวันเดียวกับที่ลบหลู่สะบาโตของเรา 39คือเมื่อเธอฆ่าลูกของเธอเป็นเครื่องบูชารูปเคารพ ในวันนั้นเธอก็เข้ามาในสถานนมัสการของเราและทำให้ที่นั้นถูกลบหลู่ นี่แน่ะ เธอทำสิ่งนี้ในนิเวศของเรา 40ยิ่งกว่านั้นอีก พวกเจ้ายังส่งคนไปหาผู้ชายมาจากเมืองไกล ด้วยการส่งผู้สื่อสารไปหา และดูสิ พวกเขาก็มา แล้วเจ้าก็ล้างตัวของเจ้า เจ้าทาตาของเจ้า และแต่งกายของเจ้าด้วยเครื่องประดับเพื่อคนพวกนั้น 41เจ้านั่งอยู่บนที่นั่งสูงศักดิ์และข้างหน้ามีโต๊ะวางอยู่ ซึ่งเป็นโต๊ะที่เจ้าวางเครื่องหอมและน้ำมันของเรา 42เสียงของฝูงชนที่ปล่อยตัวก็ดังอยู่กับเธอ พร้อมกับคนจำนวนมากที่เมามายซึ่งถูกนำมาจากถิ่นทุรกันดารด้วย แล้วเขาเอากำไลมือสวมที่แขนของผู้หญิงและสวมมงกุฎงามบนศีรษะพวกเธอ
 43“เราจึงกล่าวว่า เธอเป็นผู้ร่วงโรยด้วยการล่วงประเวณี เขาทั้งหลายก็ยังเล่นชู้กับเธอ 44เพราะชายเหล่านั้นยังเข้าหาเธอ เหมือนอย่างเข้าหาหญิงโสเภณี ดังนั้นเขาก็เข้าหาโอโฮลาห์กับโอโฮลีบาห์ซึ่งเป็นหญิงมักมากในกาม 45แต่คนชอบธรรมจะพิพากษาพวกเธอด้วยคำพิพากษาอันควรแก่หญิงล่วงประเวณี และด้วยคำพิพากษาอันควรแก่หญิงที่ทำให้โลหิตตก เพราะเธอเป็นหญิงล่วงประเวณี และมือของเธอก็เปื้อนเลือด
 46“เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า จงนำกองทัพมาสู้กับเธอทั้งสองนี้ และมอบพวกเธอไว้แก่ความหวาดกลัวและการถูกปล้น 47และกองทัพจะเอาหินขว้างพวกเธอและฟันเธอด้วยดาบ พวกเขาจะฆ่าบุตรชายหญิงของเธอ และเผาเรือนทั้งหลายของพวกเธอเสีย 48ดังนี้แหละ เราจะทำให้การมักมากในกามในแผ่นดินนั้นหมดสิ้นไปเสียที เพื่อผู้หญิงทุกคนจะได้รับการตักเตือนและไม่ทำตัวมักมากในกามเหมือนอย่างเจ้า 49และคนจะลงโทษการมักมากในกามของเจ้าและเจ้าต้องแบกรับบาปเรื่องการบูชารูปเคารพ แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์องค์เจ้านาย”

อรรถาธิบาย

ความเชื่อคือการคงอยู่ในความสัตย์ซื่อ

คุณจะทำอย่างไรถ้าคุณอยู่ในสังคมที่หันหลังให้กับพระเจ้า? คุณยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าได้อย่างไรเมื่อผู้คนรอบตัวคุณขาดความเชื่อ? คุณจะยอมแพ้และเข้าร่วมกับพวกเขาหรือไม่? คุณตัดสินและประณามพวกเขาหรือไม่? หรือมีวิธีอื่นสำหรับคนของพระเจ้า?

พระเจ้าทรงมีพระดำรัสกับเอเสเคียลอีกครั้ง ความห่วงใยของพระองค์นั้นเป็นเรื่องปกติ ‘การบีบบังคับมีอยู่มากมาย การจี้ปล้นเป็นเหมือนโรคระบาด คนยากจนและคนขัดสนถูกทารุณกรรม คนต่างด้าวถูกเตะด้วยความจงใจและไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้’ (22:29, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เขาอธิบายความบาปของกรุงเยรูซาเล็มและสะมาเรียว่าเป็นเหมือนหญิงโสเภณีสองคนที่ ‘ทวีการทำตัวเป็นโสเภณี’ (23:19) และ ‘บ้าตัณหา’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ธรรมชาติของบาปและการเสพติดเกิดจากความไม่พึงพอใจ การกระทำจึงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มนุษย์ควรรักพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อพระองค์ แต่เรากลับโหยหาสิ่งที่ผิด

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ได้เห็นภาษาที่น่าตกใจและชัดเจนเช่นนั้นในพระคัมภีร์ แต่พระเจ้าใช้ภาพที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับความบาปของพวกเขา และมันทำให้พระองค์เจ็บปวดเพียงใดที่ได้เห็น

ต้นตอของปัญหาคือความไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ‘เพราะฉะนั้น พระยาเวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าลืมเรา และเหวี่ยงเราไปไว้ข้างหลังเจ้า ดังนั้นเจ้าจงแบกรับโทษของการมักมากในกามและการเล่นชู้เถิด’ (ข้อ 35)

การลืมพระเจ้าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อ การหลงลืมพระเจ้านำไปสู่ผลที่เลวร้ายที่ได้อธิบายไว้ในพระธรรมตอนนี้

แต่เอเสเคียลยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า เขายังคงประกาศถ้อยคำของพระเจ้าต่อไป สิ่งที่พระเจ้ามองหาคือ คนที่อธิษฐานวิงวอนเพื่อพวกเขาและ ‘ยืนอยู่ตรงช่องโหว่ต่อหน้าเราเพื่อแผ่นดินนั้น’ (ข้อ 30) นี่คือวิธีนี้ของความสัตย์ซื่อสำหรับคนของพระเจ้า

ผมรู้สึกขอบคุณกับคนมากมายที่บอกผมตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าพวกเขาอธิษฐานเผื่อเราเป็นประจำ เรามีห้องอธิษฐานตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด7 วัน ที่คริสตจักรของเราด้วย และผมรู้สึกตื่นเต้นกับวิธีที่สิ่งนี้หนุนใจให้ผูคนอธิษฐาน และวิงวอน

การอธิษฐานทำให้เกิดความแตกต่างจริง ๆ การอธิษฐานวิงวอนเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้ ให้การอธิษฐาน และการวิงวอนเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในชีวิตของคุณ

ความกระหายทางเพศมีรากเหง้าจากความกระหายที่จะใกล้ชิด ซึ่งสามารถสนองได้ผ่านความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเท่านั้น พระธรรมเอเสเคียลมีความร่วมสมัยเป็นพิเศษกับผู้คนจำนวนมากในปัจจุบัน ที่มีการเสพติดทางเพศบางรูปแบบ ให้เราอธิษฐานโดยเชื่อว่าพระเจ้า ‘เป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์’ (ฮีบรู 11:6) เป็นส่วนสำคัญของคำตอบ

จงจดจ่อที่พระเยซู วางใจพระองค์ อยู่ในพระองค์ รับใช้พระองค์ด้วยสุดใจ มีชีวิตในความเชื่อ สัตย์ซื่อกับพระองค์และอธิษฐานเผื่อผู้อื่นอย่างซื่อสัตย์ นี่คือความอิ่มใจที่แท้จริง ความเชื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าโปรดเพิ่มเติมความเชื่อให้กับพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สุภาษิต 27:15-16

‘ผู้หญิงขี้ทะเลาะก็เหมือนกันฉันนั้น คนที่ห้ามเธอก็เหมือนห้ามลม หรือจับน้ำมันด้วยมือขวา’

ประเด็นนี้เหมือนกับจะเกิดขึ้นบ่อย พระธรรมตอนนี้เป็นสิ่งที่เตือนใจ เผื่อว่าเราถูกล่อลวง!

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม