อักษร T 5 ตัวในชีวิตคริสเตียน
เกริ่นนำ
ชีวิตคริสเตียนมีหลายแง่มุม ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ผมพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ในข้อพระคัมภีร์สำหรับวันนี้ เราจะได้เห็นห้าแง่มุมเหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดเริ่มต้นด้วยตัวอักษร T
สดุดี 127:1-5
พระพรของพระเจ้าสำหรับครอบครัว
บทเพลงใช้แห่ขึ้น ของซาโลมอน
1ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงสร้างบ้าน
บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า
ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงเฝ้ารักษานคร
คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า
2เป็นการเหนื่อยเปล่า ที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืด
ทำงานจนดึก กินอาหารที่ได้จากงานตรากตรำ
เพราะพระองค์ประทานการนอนหลับแก่ผู้ที่พระองค์ทรงรัก
3นี่แน่ะ บุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากพระยาห์เวห์
ผลิตผลของครรภ์เป็นรางวัล
4บุตรทั้งหลายที่เกิดเมื่อบิดายังหนุ่ม
ก็เหมือนลูกธนูในมือนักรบ
5ชายใดมีลูกธนูเต็มแล่งก็เป็นสุข
เขาจะไม่ต้องอับอายเมื่อเขาตอบโต้ศัตรูที่ประตูเมือง
อรรถาธิบาย
1. ความเชื่อ (Trust)
ชีวิตคริสเตียนไม่ได้หมายถึงการกระเสือกกระสนพึ่งพาตนเอง แต่ต้องอาศัยความเชื่อ โดยความเชื่อนำมาซึ่งสันติสุข และการนอนหลับ
‘ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงเฝ้ารักษานครคนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า เป็นการเหนื่อยเปล่า ที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืด ทำงานจนดึก กินอาหารที่ได้จากงานตรากตรำ เพราะพระองค์ประทานการนอนหลับแก่ผู้ที่พระองค์ทรงรัก’ (ข้อ 1–2) ดังที่ วิคเตอร์ ฮิวโก้ เขียนไว้ว่า ‘เมื่อคุณทำงานในแต่ละวันเสร็จ จงเข้านอน เพราะพระเจ้าทรงตื่นอยู่’
เป็นเรื่องง่ายที่เราจะทำตามแผนสำหรับชีวิต แผนของครอบครัว และพันธกิจของเรา พระธรรมสดุดีตอนนี้เป็นเครื่องเตือนใจได้อย่างดีเยี่ยมว่า ในที่สุดชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ปลอบประโลมใจเราได้อย่างดี แต่ยังเป็นการท้าทายอีกด้วย พระเจ้ามีส่วนในสิ่งที่คุณทำหรือไม่? มีด้านใดในชีวิตของคุณที่คุณทำคนเดียวและสุดท้ายก็ 'เสียแรงเปล่า'?
พระเจ้าต้องการมีส่วนในทุกด้านของชีวิตคุณ ถ้าคุณต้องการให้กิจการงานของคุณมีคุณค่าที่ยั่งยืน คุณต้องแน่ใจว่าคุณกำลังร่วมมือกับพระเจ้าและไม่ได้ทำด้วยกำลังตนเอง วางใจพระเจ้าเรื่องลูก ๆ ของคุณด้วย เพราะลูก ๆ คือพระพรของพระเจ้า (ข้อ 3–5) คุณจำเป็นต้องเชื่อใจ มอบพวกเขาและอนาคตของพวกเขาให้พระองค์ด้วย
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอมอบชีวิตของข้าพระองค์ ครอบครัว คริสตจักร และทุกสิ่งที่ข้าพระองค์มีส่วนไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อและวางใจพระองค์
ยากอบ 1:1-27
การทักทาย
1จาก ยากอบ ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า
ถึงคนสิบสองเผ่าที่กระจัดกระจายอยู่นั้น ขอสวัสดีพี่น้อง
ความเชื่อและปัญญา
2พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อพวกท่านพบกับการทดลองใจต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง 3เพราะพวกท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความทรหดอดทน 4และจงให้ความทรหดอดทนนั้นมีผลอย่างสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่สมบูรณ์และดีพร้อม โดยไม่ขาดสิ่งใดเลย
5แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ 6แต่จงขอด้วยความเชื่อและไม่สงสัย เพราะว่าคนที่สงสัยนั้นเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา 7คนๆ นั้นจงอย่าคิดเลยว่าจะได้รับสิ่งใดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 8เขาเป็นคนสองจิตสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางของตน
ความยากจนและความมั่งมี
9ให้พี่น้องที่ต่ำต้อยภาคภูมิใจเมื่อได้รับการเชิดชู 10และคนมั่งมีก็ภาคภูมิใจเมื่อต่ำต้อยลง เพราะเขาจะร่วงโรยไปเหมือนดอกหญ้า 11เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับความร้อนแรงกล้าก็ทำให้หญ้าเหี่ยวแห้งและดอกหญ้าก็ร่วงหล่น แล้วความงามของมันก็สูญสิ้น คนมั่งมีก็เช่นกัน เขาจะสูญสลายไปในระหว่างที่เขากำลังวุ่นวายอยู่กับการดำเนินธุรกิจ
การทดลองใจและการล่อลวง
12คนที่สู้ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการทดสอบแล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับคนทั้งหลายที่รักพระองค์
13อย่าให้คนที่ถูกล่อลวงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้า” เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อลวง และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย 14แต่ทุกคนถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ 15เมื่อตัณหาฟักตัวขึ้นแล้วก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย
16พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อย่าถูกหลอกเลย 17ของประทานที่ดีและเลิศทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบน คือมาจากพระผู้สร้างแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง 18เมื่อตั้งพระทัยแล้ว พระองค์ทรงให้เราบังเกิดด้วยพระวจนะแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นผลิตผลแรกของสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง
การฟังและการประพฤติตามพระวจนะ
19พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงเข้าใจในเรื่องนี้ คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ 20เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ก่อให้เกิดความชอบธรรมของพระเจ้า 21เพราะฉะนั้นจงขจัดความโสมมทุกอย่างและความชั่วที่มีอยู่ดาษดื่น และด้วยใจที่สุภาพอ่อนโยนจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของพวกท่านให้รอดได้
22แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง 23เพราะถ้าใครเป็นเพียงผู้ฟังพระวจนะและไม่ใช่ผู้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตนเองในกระจกเงา 24เพราะว่าเมื่อเห็นแล้วก็จากไป และลืมในทันทีว่าตนเองเป็นอย่างไร 25แต่ผู้ที่พินิจพิจารณาธรรมบัญญัติอันสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นธรรมบัญญัติแห่งเสรีภาพและตั้งมั่นในธรรมบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่ฟังแล้วก็ลืม แต่เป็นผู้ที่ประพฤติตาม ผู้นั้นจะได้รับความสุขในการประพฤติของตน
26ถ้าใครคิดว่าตัวเองเป็นคนมีธรรมะแต่ไม่ได้ควบคุมลิ้นของตน เขาก็หลอกลวงจิตใจของตนเอง และธรรมะของคนนั้นก็ไม่มีประโยชน์ 27ธรรมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระบิดานั้น คือการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก
อรรถาธิบาย
2. การทดลองใจ (Trials)
สิ่งหนึ่งที่คุณมีเหมือนกับคริสเตียนทุก ๆ แห่ง คือ เราเจอ ‘การทดลองใจต่าง ๆ’ (ข้อ 2ข) พระธรรมยากอบถูกเขียนเป็นจดหมายไปถึงคนสิบสองเผ่าที่กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วประชาชาติ (นั่นหมายถึงคริสเตียนที่อยู่ในทุก ๆ ที่)
หนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่แปลกที่สุดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ยากอบเขียนว่า ‘เมื่อพวกท่านพบกับการทดลองใจต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง’ (ข้อ 2) จงชื่นชมยินดีในสถานการณ์ที่ยากลำบาก สิ่งนี้ทำให้มุมมองของโลกกลับเป็นอีกด้านหนึ่ง เพราะ ‘การทดลอง’ คือสิ่งท้าทายชีวิตที่ทดสอบความเชื่อและความทรหดอดทน (ข้อ 3–4)
มีคำกล่าวที่ว่า 'พายุทุกลูกคือโรงเรียน การทดลองทุกอย่างคือการทดสอบ ประสบการณ์ทุกเรื่องคือการศึกษา ความยากลำบากทุกอย่างคือการพัฒนาของคุณ’
จอยซ์ ไมเยอร์เขียนไว้ว่า ‘ในที่สุดฉันได้ตระหนักว่าพระเจ้าจะไม่ทำตามวิธีของฉัน พระองค์วางคนและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในวิถีทางของฉันเพื่อให้ฉันล้มเลิก และทรงไม่ต้องการคำโต้แย้งจากฉัน พระองค์ต้องการได้ยินว่า “ได้ค่ะพระเจ้า ขอน้ำพระทัยพระองค์สำเร็จ”’
ท่ามกลางการทดลองคุณต้องการสติปัญญา ดังที่ยูจีน ปีเตอร์สัน กล่าวว่า ‘สติปัญญาไม่ใช่การรู้ความจริงเป็นหลัก แน่นอนว่าต้องรู้ความจริงแต่ยังต้องมีทักษะในการใช้ชีวิต’ ยากอบกล่าวว่า ‘แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ’ (ข้อ 5)
มีสองวิธีในการจัดการปัญหา วิธีแรกคือต้องกระทำด้วยตัวเอง เป็นวิธีธรรมชาติ อีกวิธีหนึ่งคือการขอสติปัญญาจากพระเจ้าเพื่อช่วยให้คุณรู้ว่าต้องทำอะไร
ยากอบกล่าวว่า ‘การทดสอบความเชื่อ’ (ข้อ 3) และกล่าวต่ออีกว่า ‘คนที่สู้ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการทดสอบแล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับคนทั้งหลายที่รักพระองค์’ (ข้อ 12) นี่ราวกับว่ายากอบกำลังบอกว่าทั้งชีวิตคือบททดสอบ หลังจากที่คุณผ่านการทดสอบ คุณจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับคนที่รักพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานสติปัญญาในการตัดสินใจทุกอย่างและการทดลองต่าง ๆ ที่ข้าพระองค์ต้องเผชิญ
3. การล่อลวง (Temptation)
วิลเลียม เช็คสเปียร์ เขียนไว้ว่า ‘การล่อลวง’ คือ ‘อสูรที่ข้อศอกของฉัน’ บางคนกล่าวว่า ‘โอกาสอาจเคาะเพียงครั้งเดียว แต่การทดลองพิงที่กริ่งประตู’ การล่อลวงคือตอนที่เรารู้สึกทำสิ่งที่ผิด การล่อลวงเองไม่ใช่บาป แต่เป็นการเรียกร้องให้พร้อมสำหรับการสู้รบกับมัน
การทดลองมาจากไหน? แน่นอนว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า ยากอบกล่าวว่า ‘อย่าให้คนที่ถูกล่อลวงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้า” เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อลวง และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย’ (ข้อ 13)
ในพระคัมภีร์บ่อยครั้ง เราจะเห็นว่าการทดลองมาจากมาร พระเยซูถูกมารทดลอง อาดัมและเอวาเองก็ถูกงูทดลอง โยบถูกมารซาตานทดลองเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ซาตานทำงานตามความปรารถนาชั่วร้ายในใจเรา 'แต่ทุกคนถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ เมื่อตัณหาฟักตัวขึ้นแล้วก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย’ (ข้อ 14–15)
ความบาปมักเป็นการล่อลวง ยากอบเขียนว่า ‘พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อย่าถูกหลอกเลย’ (ข้อ 16) สิ่งดีต่าง ๆมาจากพระเจ้า ‘ของประทานที่ดีและเลิศทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบน คือมาจากพระผู้สร้างแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง’ (ข้อ 17)
คุณถูกล่อลวงเมื่อคุณคิดว่าคุณปรารถนาทำในสิ่งที่ไม่ดี การล่อลวงในสวนเอเดนคือการที่อาดัมและเอวาคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีประสบกับความชั่วร้ายและความดี พระเจ้าเพียงต้องการให้คุณมีประสบการณ์ที่ดี ทุกครั้งที่คุณรู้สึกอยากทำสิ่งที่ผิดแต่กลับเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง รู้ไว้เถิดคุณกำลังเติบโตในวุฒิภาวะ ความเข้มแข็ง และสติปัญญา
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่สิ่งดีและของประทานที่ดีเลิศมาจากพระองค์ ขออย่าให้ข้าพระองค์ถูกล่อลวงให้ต้องการเจอกับสิ่งที่ไม่ดี
4. ลิ้น (Tongue)
หนึ่งในการทดสอบของชีวิตคุณคือเรื่องลิ้น ยากอบมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อธิบายเกี่ยวกับเรื่องลิ้น ให้เราควบคุมลิ้นของตน ทำให้ปากของคุณอยู่ภายใต้การควบคุม (ข้อ 26)
ยากอบเขียนอีกว่า 'ให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ก่อให้เกิดความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะฉะนั้นจงขจัดความโสมมทุกอย่างและความชั่วที่มีอยู่ดาษดื่น และด้วยใจที่สุภาพอ่อนโยนจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของพวกท่านให้รอดได้’ (ข้อ 19–21)
พระวจนะของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจในการเปลี่ยนแปลงคุณ คุณต้องยอมใช้เวลากับพระวจนะของพระองค์เพื่อให้พระคำฝังอยู่ในคุณ ฟังและทำตาม แทนที่จะใช้คำพูดที่มากมาย แต่ให้เราฟังพระวจนะของพระเจ้าและขจัดสิ่งไม่ดีออกจากชีวิตคุณ
แน่นอนว่าฟังอย่างเดียวคงไม่พอ ‘แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง' (ข้อ 22) ถ้าคุณประพฤติตามเช่นนั้น คุณจะได้ ‘รับความสุข' (ข้อ 25) สิ่งนี้รวมถึงการดูแลเด็กกำพร้า และหญิงม่ายและรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก (ข้อ 27)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์วันนี้ ให้ควบคุมลิ้นของข้าพระองค์ ให้ข้าพระองค์ฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟังพระวจนะของพระเจ้า
เอเสเคียล 32:1-33:20
บทคร่ำครวญเรื่องฟาโรห์และอียิปต์
1เมื่อวันที่ 1 เดือนที่ 12 ในปีที่ 12 พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวบทคร่ำครวญเรื่องฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และกล่าวให้เขาฟังดังนี้ว่า
เจ้าเป็นเหมือนสิงห์หนุ่มท่ามกลางประชาชาติ
แต่เจ้าเป็นเหมือนจระเข้ยักษ์ในน้ำทั้งหลาย
เจ้าแกว่งน้ำในแม่น้ำทั้งหลายของเจ้า
เจ้ากวนน้ำให้ขุ่นด้วยเท้าของเจ้า
และทำให้แม่น้ำของเจ้าสกปรก
3พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
เราจะกางข่ายของเราคลุมตัวเจ้า
และโดยการรวมพลของชนชาติมากมาย
พวกเขาจะลากเจ้าขึ้นมาด้วยอวนของเรา
4และเราจะทิ้งเจ้าลงบนแผ่นดิน
เราจะเหวี่ยงเจ้าลงบนพื้นทุ่ง
และจะให้นกทั้งหมดในอากาศมาอาศัยอยู่บนเจ้า
และให้สัตว์ทั่วทั้งแผ่นดินอิ่มหนำด้วยตัวเจ้า
5เราจะเอาเนื้อของเจ้าเกลี่ยไว้บนภูเขา
และถมหุบเขาด้วยกองศพของเจ้า
6เราจะทำให้แผ่นดินจนถึงภูเขา
ชุ่มด้วยเลือดของเจ้าที่ไหลอาบ
และห้วยต่างๆ จะถูกถมให้เต็มด้วยตัวเจ้า
7เมื่อเรากำจัดเจ้า เราจะคลุมฟ้าสวรรค์ไว้
และจะทำให้ดวงดาวมืดไป
เราจะเอาเมฆคลุมดวงอาทิตย์
และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
8แสงสุกใสทั้งหมดของท้องฟ้านั้น
เราจะทำให้มืดอยู่เหนือตัวเจ้า
และเราจะใส่ความมืดไว้เหนือแผ่นดินของเจ้า
พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
9เราจะทำให้ใจของชนชาติมากมายทุกข์โศก
เมื่อเราทำลายเจ้าท่ามกลางประชาชาติ
ในประเทศที่เจ้าไม่รู้จักนั้น
10เราจะทำให้ชนชาติจำนวนมากกลัวลานเพราะเจ้า
และบรรดากษัตริย์ของพวกเขาจะสั่นเทาเพราะเจ้า
เมื่อเราแกว่งดาบของเราต่อหน้าเขาทั้งหลาย
เขาทั้งหลายจะตัวสั่นทุกขณะ
เพราะห่วงชีวิตของพวกเขาแต่ละคน
ในวันที่เจ้าล้มลงนั้น
11เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
ดาบของกษัตริย์แห่งบาบิโลนจะมายังเจ้า
12เราจะทำให้ไพร่พลของเจ้าล้มลง
ด้วยดาบของพวกผู้กล้าหาญ
ทุกคนล้วนเป็นคนผู้โหดเหี้ยมที่สุดในบรรดาประชาชาติ
เขาจะนำหายนะมายังความจองหองของอียิปต์
และไพร่พลทั้งหมดของมันจะถูกทำลาย
13เราจะทำลายสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของมัน
จากตรงที่มีน้ำมากหลาย
และไม่มีเท้ามนุษย์คนใดจะกวนน้ำนั้นให้ขุ่นอีก
กีบเท้าสัตว์เลี้ยงก็จะไม่กวนน้ำนั้นให้ขุ่นเช่นกัน
14แล้วเราจะทำให้น้ำของพวกเขานิ่ง
และให้บรรดาแม่น้ำของเขาไหลเหมือนน้ำมัน
พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
15เมื่อเราทำให้แผ่นดินอียิปต์ร้างเปล่า
เมื่อแผ่นดินถูกริบเอาข้าวของที่มีอยู่ในนั้นไปหมด
และเมื่อเราทำลายทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น
แล้วเขาทั้งหลายจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์
16นี่เป็นบทคร่ำครวญที่คนจะร้องคร่ำครวญ
และบุตรีของบรรดาประชาชาติจะร้องคร่ำครวญ
เขาจะร้องคร่ำครวญเรื่องอียิปต์และไพร่พลของมัน”
พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
การไว้อาลัยให้อียิปต์
17เมื่อวันที่ 15 เดือนนั้นในปีที่ 12 พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า
18“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงพิลาปร่ำไห้เพื่อไพร่พลของอียิปต์
และจงส่งเขาลงไป
ทั้งตัวเขาและบุตรีของบรรดาประชาชาติที่งามสง่า
ลงไปยังเบื้องล่างสุดของแผ่นดิน
ด้วยกันกับพวกที่ลงไปยังปากแดนคนตายแล้ว
19เจ้าน่ารักกว่าผู้ใดหรือ?
จงลงไป และนอนอยู่กับพวกไม่ได้เข้าสุหนัต
20เขาทั้งหลายจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ถูกฆ่าด้วยดาบ ดาบเล่มหนึ่งถูกกำหนดไว้แล้ว จงลากอียิปต์ไปพร้อมกับไพร่พลทั้งหมดของมัน 21พวกผู้นำที่กล้าหาญกับผู้ช่วยของเขาจะพูดถึงอียิปต์จากท่ามกลางแดนคนตายว่า ‘พวกเขาลงมาแล้ว พวกเขานอนนิ่งอยู่ พวกไม่เข้าสุหนัตที่ถูกฆ่าด้วยดาบ’
22“อัสซีเรียและพรรคพวกทั้งหมดของมันก็อยู่ที่นั่น หลุมศพของพวกเขาอยู่รอบมัน ทุกคนล้วนถูกฆ่าและล้มลงด้วยดาบ 23ที่ฝังศพของพวกเขาอยู่ตรงที่ไกลสุดของแดนมรณา และพรรคพวกทั้งหมดของมันก็อยู่รอบๆ หลุมฝังศพของมัน ทุกคนล้วนถูกฆ่า ล้มลงด้วยดาบ พวกเขาเคยทำให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น
24“เอลามกับไพร่พลทั้งหมดของมันก็อยู่ที่นั่น อยู่รอบๆ หลุมศพของมัน ทุกคนล้วนถูกฆ่าและล้มลงด้วยดาบ พวกไม่ได้เข้าสุหนัตผู้ลงไปยังเบื้องล่างสุดของแผ่นดิน พวกเขาเคยทำให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น และพวกเขาต้องทนรับความอับอายร่วมกับผู้ลงไปยังแดนคนตาย 25คนเขาได้ทำที่นอนให้มันท่ามกลางพวกถูกฆ่าพร้อมกับไพร่พลทั้งหมดของมัน มีหลุมศพอยู่รอบมัน พวกไม่ได้เข้าสุหนัตทั้งหมดล้วนถูกฆ่าด้วยดาบ คือพวกเขาที่เคยทำให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น แต่พวกเขาต้องทนรับความอับอายร่วมกับผู้ลงไปยังแดนคนตาย พวกเขาถูกวางไว้ท่ามกลางพวกถูกฆ่า
26“เมเชคและทูบัลกับไพร่พลทั้งหมดของมันก็อยู่ที่นั่น หลุมศพของเขาทั้งหลายอยู่รอบมัน พวกไม่เข้าสุหนัตทั้งหมดล้วนถูกฆ่าด้วยดาบ เพราะพวกเขาเคยทำให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น 27เขาทั้งหลายนอนอยู่กับพวกผู้กล้าหาญของพวกไม่ได้เข้าสุหนัตที่ล้มลง ผู้ซึ่งลงไปยังแดนคนตายพร้อมกับอาวุธของพวกเขาไม่ใช่หรือ? พวกเขามีดาบวางไว้ใต้ศีรษะของเขา และความผิดบาปของพวกเขาก็อยู่บนกระดูกของเขา เพราะว่าพวกผู้กล้าหาญเคยทำให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น 28ดังนั้นเจ้าก็จะถูกทำลายและนอนอยู่กับพวกไม่ได้เข้าสุหนัต กับคนที่ถูกฆ่าด้วยดาบ
29“เอโดมก็อยู่ที่นั่น ทั้งบรรดากษัตริย์และบรรดาเจ้านายทั้งหลายของมัน แม้ว่าเขาทั้งหลายมีความกล้าหาญ ก็ยังถูกนำมาวางไว้กับพวกถูกฆ่าด้วยดาบ พวกเขานอนอยู่กับพวกไม่ได้เข้าสุหนัต กับพวกที่ลงไปยังปากแดนคนตาย
30“เจ้านายทุกคนจากทางเหนือพร้อมทั้งคนไซดอนทั้งหมดก็อยู่ที่นั่น คือพวกที่ลงไปด้วยความขายหน้าพร้อมกับผู้ถูกฆ่า แม้ความกล้าหาญของพวกเขาเคยทำให้เกิดความครั่นคร้าม พวกเขาที่ไม่ได้เข้าสุหนัตนอนอยู่ที่นั่นกับพวกถูกฆ่าด้วยดาบ และทนรับความอับอายพร้อมกับบรรดาผู้ลงไปยังแดนคนตาย
31“พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า เมื่อฟาโรห์เห็นพวกเขาแล้ว เขาก็จะเบาใจในเรื่องไพร่พลทั้งหมดของเขาที่ถูกฆ่าด้วยดาบ ฟาโรห์และไพร่พลทั้งหมดของเขา 32เพราะเขาเคยทำให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของคนเป็น เขาก็จะถูกวางไว้ท่ามกลางผู้ไม่ได้เข้าสุหนัต พร้อมกับพวกถูกฆ่าด้วยดาบ ทั้งฟาโรห์และไพร่พลทั้งหมดของเขา” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
เอเสเคียล 33
เอเสเคียลผู้เป็นยามของอิสราเอล
1พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับชนชาติของเจ้าและกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า ถ้าเรานำดาบมาเหนือแผ่นดินและถ้าประชาชนในแผ่นดินนั้นจะเลือกชายคนหนึ่งจากพวกเขา แล้วตั้งให้เป็นยามของพวกเขา 3และเมื่อเขาเห็นดาบมาเหนือแผ่นดิน เขาจึงเป่าแตรเพื่อเตือนประชาชน 4เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ยินเสียงแตร แต่ไม่สนใจเสียงเตือน ดาบนั้นก็มาเอาคนนั้นไปเสีย และโลหิตของเขาจะตกบนศีรษะของเขาเอง 5ด้วยว่าเขาได้ยินเสียงแตร แต่ไม่สนใจเสียงเตือน โลหิตของเขาจะตกอยู่กับเขา แต่ถ้าเขาสนใจเสียงเตือน เขาก็จะช่วยชีวิตของตนให้รอด 6ถ้าคนยามเห็นดาบมาแล้วแต่ไม่ได้เป่าแตร ประชาชนจึงไม่ได้รับเสียงเตือน และดาบมาเอาคนหนึ่งคนใดของพวกเขาไปเสีย คนนั้นถูกเอาไปเนื่องจากความผิดบาปของเขา แต่เราจะลงโทษคนยามเรื่องโลหิตของคนนั้น
7“ส่วนเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นคนยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และเมื่อเจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากเรา เจ้าจงเตือนพวกเขาแทนเรา 8ถ้าเรากล่าวกับคนอธรรมว่า ‘โอ คนอธรรม เจ้าจะต้องตายแน่’ และเจ้าไม่ได้กล่าวเตือนคนอธรรมให้กลับจากทางของเขา คนอธรรมนั้นจะต้องตายเนื่องจากความผิดบาปของเขา แต่เราจะลงโทษเจ้าเรื่องโลหิตของเขา 9แต่ถ้าเจ้าได้เตือนคนอธรรมให้หันกลับจากทางของเขา แต่เขาไม่หันกลับจากทางของเขา เขาจะต้องตายเนื่องจากความผิดบาปของเขา แต่เจ้าจะช่วยชีวิตของเจ้าเองให้รอด
ความยุติธรรมและความเมตตาของพระเจ้า
10“และเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงกล่าวกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พวกเจ้าเคยกล่าวดังนี้ว่า ‘การละเมิดและบาปทั้งหลายของเราอยู่เหนือเรา เราก็ค่อยๆ วอดวายไปเพราะสิ่งเหล่านี้ เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?’ 11จงกล่าวต่อพวกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่นอนอย่างไร เราไม่พอใจในความตายของคนอธรรม แต่พอใจในการที่คนอธรรมหันจากทางของเขาและมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ? จงหันกลับ จงหันกลับจากทางชั่วของเจ้า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมจึงยอมตาย? 12เจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงกล่าวกับชนชาติของเจ้าว่า ความชอบธรรมของผู้ชอบธรรม จะไม่ช่วยเขาให้รอดเมื่อเขาทำการละเมิด ส่วนความอธรรมของคนอธรรมนั้นจะไม่ทำให้เขาล้มลงเมื่อเขาหันกลับจากความอธรรมของเขา และคนชอบธรรมจะไม่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความชอบธรรมเมื่อเขาทำบาป 13แม้เราจะกล่าวกับคนชอบธรรมว่า เขาจะมีชีวิตอยู่แน่ แต่ถ้าเขาไว้ใจในความชอบธรรมของเขาและทำบาป การกระทำที่ชอบธรรมทั้งหมดของเขาย่อมไม่ได้รับการจดจำอีกเลย และเขาจะต้องตายเพราะบาปซึ่งเขาได้ทำไว้ 14นอกจากนี้ แม้เราจะได้กล่าวกับคนอธรรมว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่’ ถ้าเขาหันกลับจากบาปของเขา มาทำความยุติธรรมและความชอบธรรม 15ถ้าคนอธรรมยอมคืนของประกัน และชดใช้สิ่งที่เขาขโมยไป และดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต ทั้งไม่ทำบาปเลย เขาก็จะมีชีวิตอยู่แน่ และเขาจะไม่ต้องตาย 16บาปทั้งหมดซึ่งเขาได้ทำมาแล้ว จะไม่ถูกจดจำไว้กล่าวโทษเขา เขาได้ทำความยุติธรรมและความชอบธรรมแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่แน่
17“แต่ชนชาติของเจ้ายังกล่าวว่า ‘วิธีการขององค์เจ้านายไม่ถูกต้อง’ ในเมื่อวิธีการของพวกเขาเองไม่ถูกต้อง 18เมื่อคนชอบธรรมหันกลับจากความชอบธรรมของเขาและทำบาป เขาจะต้องตายเพราะบาปเหล่านั้น 19และเมื่อคนอธรรมหันกลับจากความอธรรมของเขา และทำความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่ได้โดยสิ่งเหล่านั้น 20เจ้ายังกล่าวว่า ‘วิธีการขององค์เจ้านายนั้นไม่ถูกต้อง’ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาเจ้าตามการประพฤติของเจ้าแต่ละคน”
อรรถาธิบาย
5. หันกลับ (Turn)
พระเจ้าทรงประสงค์ให้ ‘ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง’ (1 ทิโมธี 2:4)
คำว่า ‘หันกลับ’ ปรากฏเจ็ดครั้งในพระธรรมเอเสเคียลบทที่ 33 ที่พระเจ้าแต่งตั้งเอเสเคียลให้เป็นยาม เขามีหน้าที่รับผิดชอบตามที่พระเจ้าสั่งให้เขา ‘เตือนคนอธรรมให้หันกลับจากทางของเขา’ (เอเสเคียล 33:9)
ถ้าคุณกล่าวถ้อยคำของพระเจ้าที่ทรงมอบให้คุณ คุณไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใด แต่เอเสเคียลต้องรับผิดชอบถ้าเขาล้มเหลวในการเตือน (ข้อ 8–9)
นี่เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญเกี่ยวกับครอบครัว เพื่อนฝูง และคนที่คุณรู้จักที่ไม่ใช่สาวกของพระเยซู เช่น แขกที่เข้าร่วมหลักสูตรอัลฟ่า ความรับผิดชอบของคุณคือต้องรักพวกเขา หนุนใจพวกเขา และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ยินพระกิตติคุณ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างมากหากพวกเขาไม่ตอบสนองสิ่งใด อย่างไรก็ตามอย่าแบกรับภาระการตัดสินใจของพวกเขาไว้บนบ่าของคุณเอง
ถ้อยคำที่เอเสเคียลต้องบอกคือถ้าคนชอบธรรมละทิ้งหนทางและหันสู่ความชั่วร้าย ความชอบธรรมในอดีตของเขาจะไม่ช่วยพวกเขา ถึงกระนั้น ไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะ ‘ชั่ว’ เพียงใด หากพวกเขาหันกลับไปหาพระเจ้า พวกเขาจะได้รับการอภัย (ข้อ 12)
พระเจ้าตรัสว่า ‘เราไม่ยินดีกับความตายของคนชั่ว เราต้องการให้คนชั่วเปลี่ยนวิถีชีวิตและดำเนินชีวิต พลิกชีวิตของท่าน! กลับตัวจากทางชั่วร้ายของท่าน!’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเจ้าต้องการให้ทุกคนกลับใจจากบาปและเริ่ม 'ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมและยุติธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนยากจน ฟื้นฟูสิ่งที่ [ถูก] ขโมยไป ปลูกฝังวิถีทางที่หล่อเลี้ยงชีวิตที่ไม่ทำร้ายผู้อื่น... มีชีวิตที่ถูกต้องและชอบธรรม’ (ข้อ 15–19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้หันจากความชั่วร้ายและพบกับชีวิต แล้วเห็นคนอื่นดำเนินชีวิตของพวกเขาเช่นนี้ในหลักสูตรอัลฟ่า ในคริสตจักรของเรา และในคริสตจักรทั่วโลกด้วยเช่นกัน และที่คนมากมายอาจหันมาหาพระองค์และได้พบกับชีวิต
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ยากอบ 1:27
‘....รักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก'
มีคนเคยบอกฉันว่า ต้องใช้เวลาสองสัปดาห์ในการกำจัดมลพิษออกจากปอดของเรา
การรักษาปอดฝ่ายวิญญาณของเราให้สะอาดเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถทำงานในพื้นที่ที่มีมลพิษได้ แต่คุณต้องระวังให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อน เราต้องการอากาศบริสุทธิ์ฝ่ายวิญญาณอย่างมาก
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)