ความบริสุทธิ์และอำนาจ
เกริ่นนำ
งานคริสต์มาสที่คริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตั้น มักเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในปฏิทินคริสตจักรของเรา ในปีนี้เราต้องลดขนาดลงอันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด 19 และผมเองก็รู้สึกไม่ตื่นเต้นเหมือนแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจำนวนมาก รอบนมัสการบทเพลงคริสต์มาสแครอล ในรอบนมัสการคริสต์มาสของเรานั้น ผมนั่งถัดจากวงออเคสตร้าและคณะนักร้องประสานเสียง มีนักดนตรีประมาณ 50 คนในวงออเคสตร้า และนักร้องประสานเสียง 90 คน ทุกคนเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่อาสาให้เวลาและของประทานเพื่อการนี้ ผมไม่ใช่นักดนตรีเลย ที่จริงแล้ว ผมเป็นพวกหูเพี้ยน อย่างไรก็ตาม ผมมักตื่นเต้นเสมอในความงามแห่งการร้องเพลงและเสียงดนตรีอันยิ่งใหญ่ นี่เป็นการลิ้มลองสวรรค์ล่วงหน้า
อัครสาวกยอห์นเขียนว่า ‘และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์ เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องดังสนั่น และเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินนั้นเหมือนอย่างเสียงที่พวกดีดพิณกำลังเล่นพิณของเขาอยู่ 3เขาทั้งหลายร้องเพลงบทใหม่หน้าพระที่นั่ง’ (วิวรณ์ 14:2–3) คณะนักร้องประสานเสียงและวงดนตรีออเคสตร้าแห่งฟ้าสวรรค์จะร้องเพลงบทใหม่ต่อหน้าผู้ฟังแห่งฟ้าสวรรค์
ยอห์นบรรยายต่อไปถึงคริสตจักรที่บริบูรณ์ในสวรรค์ถึงความบริสุทธิ์ และอำนาจ สองสิ่งนี้สัมพันธ์กัน ดังที่ศิษยาภิบาลริค วอร์เรนได้ทวีตไว้ว่า ‘ในงานรับใช้พระเจ้านั้น ความบริสุทธิ์ในที่ลับ เป็นแหล่งแห่งอำนาจในที่แจ้ง’
สุภาษิต 31:1-9
คำสอนของแม่
1ถ้อยคำของเลมูเอล พระราชาแห่งมัสสา พระราชชนนีตรัสสอนคำนี้แก่พระองค์
2โอลูกแม่เอ๋ย โอ ลูกแห่งท้องแม่เอ๋ย
โอ ลูกแห่งคำปฏิญาณของแม่เอ๋ย
3อย่าให้กำลังของเจ้าแก่ผู้หญิง
หรือให้ทางของเจ้าแก่หญิงผู้ทำลายพระราชา
4โอ เลมูเอลเอ๋ย ไม่สมควรที่พระราชา
ไม่สมควรที่พระราชาจะเสวยเหล้าองุ่น
หรือผู้ครอบครองจะปรารถนาสุรา
5เกรงว่าเขาจะดื่มและลืมคำที่ตราเป็นกฎหมายนั้นเสีย
และวินิจฉัยความของเจ้าทุกข์ให้เขวไป
6จงให้สุราแก่ผู้ที่กำลังพินาศ
และเหล้าองุ่นแก่ผู้ทุกข์ใจอย่างขมขื่น
7จงให้เขาดื่มและลืมความยากจนของเขา
และไม่จดจำความระทมทุกข์อีกต่อไป
8จงอ้าปากของเจ้าแทนคนใบ้
เพื่อสิทธิของทุกคนที่กำลังจะพินาศ
9จงอ้าปากของเจ้า พิพากษาอย่างชอบธรรม
จงให้ความยุติธรรมแก่คนยากจนเข็ญใจ
อรรถาธิบาย
ความบริสุทธิ์และความไร้อำนาจ
‘ผู้นำไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้ตัวเองดูโง่เง่าได้’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระราชาเลมูเอล เป็นผู้นำที่ได้รับการสอนที่เต็มไปด้วยปัญญาจากพระมารดา พระนางทรงตักเตือนท่านในเรื่องความไม่บริสุทธิ์ (ข้อ 3) และความมัวเมา (ข้อ 4–7)
สิ่งเหล่านี้สามารถทำลายชีวิต (ข้อ 3) คุณได้ มันทำให้คุณลืมสิ่งที่พึงกระทำ (ข้อ 5ก) และลิดรอนสิทธิของผู้ไม่มีอำนาจ (ข้อ 5ข)
แทนที่จะใช้อำนาจของคุณในการปรนเปรอตนเอง จงใช้มันในทางที่ดี ‘จงอ้าปากของเจ้าแทนคนใบ้ เพื่อสิทธิของทุกคนที่กำลังจะพินาศ จงอ้าปากของเจ้า พิพากษาอย่างชอบธรรม จงให้ความยุติธรรมแก่คนยากจนเข็ญใจ’ (ข้อ 8-9)
ใครคือคนที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสังคมของเรา คนที่ “ไม่สามารถพูดเพื่อตัวพวกเขาเองได้” ใครคือคนที่คุณและผมควรจะอ้าปากเพื่อพวกเขา? แน่นอนว่า จะรวมคนกลุ่มต่อไปนี้ไว้ด้วย:
คนยากจน
ประมาณ 10% ของประชากรโลกเข้านอนด้วยความโหยหิวทุกค่ำคืน ทุก ๆ 5 วินาที ความยากจนพรากชีวิตเด็กคนหนึ่งไป และจนกว่าเราจะลงมือทำอะไร ทุก ๆ วันมีเด็กเป็นพัน ๆ คนเสียชีวิตเพราะโรคร้ายที่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หรือเพราะมีชีวิตอยู่ในความยากจน ในทุกปี หลายล้านคนเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 5 ขวบ มากกว่าครึ่งของการเสียชีวิตในชีวิตช่วงปฐมวัยนี้สามารถป้องกันหรือบรรเทาได้ผ่านการมีส่วนร่วมอันเรียบง่าย และไม่ต้องใช้กำลังทรัพย์มาก พวกเขาเหล่านี้ ‘ยากจนและเข็ญใจ’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)ผู้ที่ตกเป็นทาส
ในปัจจุบันนี้อาจมีผู้ที่ตกเป็นทาสอยู่ในโลกมากกว่าช่วงที่มีการค้าทาสในอดีตด้วยซ้ำไป การค้ามนุษย์ทำให้ประชากรโลกหลายล้านคนต้องกลายเป็นทาสทั้ง ๆ ที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี การทำให้มนุษย์กลายเป็นทาสเป็นความอยุติธรรมที่ร้ายแรง ‘จงอ้าปากของเจ้าพิพากษาอย่างชอบธรรม’ (ข้อ 9ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)ทารกในครรภ์
ทารกที่ยังอยู่ในครรภ์ไม่สามารถพูดเพื่อตัวเองได้ ไนเจลล่า ลอว์สัน นักข่าว ผู้ที่บรรยายถึงตัวเองว่าเป็นกลุ่ม ‘สนับสนุนการทำแท้ง’ ได้เขียนไว้ว่า ‘หากหลักฐานเล็กๆ น้อยๆ เป็นอะไรที่ปล่อยผ่านไป (และฉันสงสัยว่ามันคงเป็นเช่นนั้น) (การทำแท้ง) กลายเป็นทางเลือกหลังการคุมกำเนิดที่ปราศจากคุณค่า วันนี้มีคนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่มีความกล้าหาญพอที่จะพูดเพื่อทารกที่ยังอยู่ในครรภ์ ผู้ซึ่งยัง ‘ไม่มีเสียง’ (ข้อ 8ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)ผู้ที่ถูกจองจำ
คนจำนวนมากที่ต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกอย่างไม่ยุติธรรม และแม้ผู้ที่ถูกจองจำอยู่ในคุกอย่างยุติธรรมแต่กลับได้รับการปฏิบัติเสมือนหนึ่งไม่ใช่มนุษย์ แต่คนส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้อยู่ในจุดที่ไม่สามารถ ‘อ้าปากของเจ้าแทนคนใบ้’ ได้ (ข้อ 8ก)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้พูดเพื่อคนที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง และที่จะตัดสินอย่างยุติธรรม และช่วยปกป้องสิทธิให้กับเด็กกำพร้าและหญิงม่าย คนยากจน และคนขัดสน
วิวรณ์ 14:1-13
เพลงของคน หนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคน
1แล้วข้าพเจ้าเห็น นี่แน่ะ พระเมษโปดกทรงยืนอยู่บนภูเขาศิโยน และพวกที่อยู่กับพระองค์ซึ่งมีจำนวน 144,000 คนนั้น เป็นผู้ที่มีพระนามของพระองค์และพระนามของพระบิดาของพระองค์เขียนไว้บนหน้าผากของพวกเขา 2และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์ เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องดังสนั่น และเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินนั้นเหมือนอย่างเสียงที่พวกดีดพิณกำลังเล่นพิณของเขาอยู่ 3เขาทั้งหลายร้องเพลงบทใหม่หน้าพระที่นั่ง และต่อหน้าสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และพวกผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถเรียนรู้เพลงบทนั้นนอกจากคน 144,000 คน ที่ได้รับการไถ่แล้วจากแผ่นดินโลก 4คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าพวกเขาเป็นพรหมจารี เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วจากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก 5และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ
ถ้อยคำของทูตสวรรค์ทั้งสาม
6แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ 7ท่านประกาศเสียงดังว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว จงนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย”
8ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นองค์ที่สองตามไปประกาศว่า “บาบิโลนมหานครนั้นพังทลายแล้ว พังทลายแล้ว นครที่ให้ทุกประชาชาติดื่มเหล้าองุ่นแห่งราคะในการล่วงประเวณีของนาง”
9และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นองค์ที่สามก็ตามไปประกาศด้วยเสียงดังว่า “ถ้าใครบูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน และรับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา 10คนนั้นจะต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งความกริ้วของพระเจ้าที่เทลงในถ้วยแห่งพระพิโรธของพระองค์โดยไม่เจือปนสิ่งใด และเขาจะถูกทรมานด้วยไฟและกำมะถัน ต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์บริสุทธิ์และเฉพาะพระพักตร์พระเมษโปดก 11และควันแห่งการทรมานของเขาจะพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์ พวกที่บูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน และใครที่รับเครื่องหมายซึ่งเป็นชื่อของมัน จะไม่ได้หยุดพักเลยทั้งกลางวันและกลางคืน”
12นี่แหละคือความทรหดอดทนที่พวกธรรมิกชนจะต้องมี คือพวกที่ถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และจงรักภักดีต่อพระเยซู
13และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้ไป คนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสุข” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น พวกเขาจะได้หยุดพักจากการตรากตรำของเขา เพราะการงานที่พวกเขาได้ทำนั้นจะติดตามเขาไป”
อรรถาธิบาย
ความบริสุทธิ์และการประกาศ
‘นี่ข้าพเจ้าตะลึงงัน’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเยซู (พระเมษโปดกแห่งพระเจ้า) ทรงยืนอยู่บนภูเขาศิโยนกับผู้ติดตามพระองค์ 144,000 คน ‘กับพระองค์ เป็นผู้ที่มีพระนามของพระองค์และพระนามของพระบิดาของพระองค์เขียนไว้บนหน้าผากของพวกเขา’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขากำลังแสดงถึงการที่คริสตจักรมาร่วมกันนมัสการอย่างสมบูรณ์ มีคำจำกัดความด้วยกันทั้งหมด 5 อย่างของความบริสุทธิ์อย่างบริบูรณ์ พวกเขาเหล่านั้น:
- ได้รับการไถ่แล้วจากแผ่นดินโลกโดยพระโลหิตแห่งพระเมษโปดก (ข้อ 3)
- รักษาตนเองให้บริสุทธิ์และไร้มลทิน ‘ได้ดำเนินชีวิตอย่างไม่ประนีประนอม’ (ข้อ 4ก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
- ติดตามพระเยซูไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน (ข้อ 4ข)
- ถูกซื้อไว้แล้วแล้วเพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและพระเมษโปดก (ข้อ 4ค) ดังที่เปาโลเขียนไว้ว่า ‘ทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง’ (1 โครินธ์ 6:20)
- เป็นบุคคลแห่งความซื่อสัตย์ ‘และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ’ (วิวรณ์ 14:5)
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นิมิตแห่งคริสตจักรที่บริสุทธิ์นั้นจะถูกตามมาด้วยนิมิตของการประกาศแห่งพระกิตติคุณนิรันดร์ ‘แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ’ (ข้อ 6) นี่เป็นการทรงเรียกของคริสตจักร เพื่อที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งพระเยซู ทูตสวรรค์องค์แรกเป็นตัวแทนสิ่งนี้
ทูตสวรรค์องค์ที่สองและสามแสดงให้เห็นว่า มนุษยชาตินั้นจำเป็นต้องได้รับการช่วยกู้ออกมา ทุกคนจำเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยกู้ออกมาจากอิทธิพลแห่งความชั่วแห่ง ‘บาบิโลนมหานคร’ ‘ที่ให้ทุกประชาชาติดื่มเหล้าองุ่นแห่งราคะในการล่วงประเวณีของนาง’ (ข้อ 8) พวกเขายังจำเป็นต้องได้รับการช่วยกู้จาก ‘สัตว์ร้าย’ ผู้ที่ต้องการที่จะทำเครื่องหมายบนหน้าผาก (ข้อ 11) และถูกทารุณ
ข่าวดีคือไม่มีใครจำเป็นต้องมีเครื่องหมายนี้บนหน้าผากของเขา พวกเราผู้เป็นประชากรของพระเจ้าจำเป็นที่จะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ที่ทุกคนสามารถมีพระนามแห่งพระเยซูและพระเจ้าพระบิดาจารึกอยู่บนหน้าผากของพวกเขาได้ (ข้อ 1) คุณได้รับการทรงเรียกให้มีความมุมานะอย่างอดทน เชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า และมีความสัตย์ซื่อต่อพระเยซู (ข้อ 12)
ในตอนนี้เราพบว่าผู้คนจำนวนมากขาดสันติสุข ‘ใครที่รับเครื่องหมายซึ่งเป็นชื่อของมัน จะไม่ได้หยุดพักเลยทั้งกลางวันและกลางคืน’ (ข้อ 11) อีกด้านหนึ่ง ไม่มีพระพรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้ติดตามพระเมษโปดก ‘และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้ไป คนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสุข” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น พวกเขาจะได้หยุดพักจากการตรากตรำของเขา เพราะการงานที่พวกเขาได้ทำนั้นจะติดตามเขาไป”' (ข้อ 13)
คำอธิษฐาน
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเยซู โปรดทรงช่วยเราให้เป็นผู้ติดตามพระองค์ที่บริสุทธิ์และไร้มลทิน เป็นประชากรแห่งความซื่อสัตย์ ผู้ซึ่งได้รับการไถ่และซื้อมาด้วยราคาสูง โปรดทรงช่วยเราให้ประกาศพระกิตติคุณนิรันดร์ต่อชนทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกคน
เอสรา 8:15-9:15
บ่าวไพร่ประจำพระวิหาร
15ข้าพเจ้าได้รวบรวมเขาทั้งหลายเข้ามายังแม่น้ำที่ไหลสู่อาหะวา เราตั้งค่ายอยู่ที่นั่นสามวัน เมื่อข้าพเจ้าสำรวจดูประชาชน และปุโรหิต ข้าพเจ้าไม่พบพงศ์พันธุ์ของเลวีที่นั่นเลย 16แล้วข้าพเจ้าจึงให้ไปเรียกเอลีเอเซอร์ อารีเอล เชไมยาห์ เอลนาธัน ยารีบ เอลนาธัน นาธัน เศคาริยาห์ และเมชุลลาม บุคคลชั้นหัวหน้า และให้หา โยยาริบ และเอลนาธัน ผู้เป็นคนมีความรอบรู้ 17และส่งพวกเขาไปยังอิดโด หัวหน้าในสถานที่ที่ชื่อคาสิเฟีย คือให้บอกอิดโดและพี่น้องของเขาผู้เป็นบ่าวไพร่ประจำพระวิหารว่า ขอส่งผู้ปรนนิบัติสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรามายังเรา 18และโดยพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าของเราอยู่กับเรา พวกเขาได้นำคนที่มีความสุขุมมาให้เรา เป็นพงศ์พันธุ์ของมาห์ลีบุตรเลวี ผู้เป็นบุตรอิสราเอล คือเชเรบิยาห์ กับลูกชายและญาติพี่น้อง รวมสิบแปดคน 19ทั้งฮาชาบิยาห์และเยชายาห์ พงศ์พันธุ์ของเมรารีกับญาติพี่น้องและบุตรของเขารวมยี่สิบคน 20และบ่าวไพร่ประจำพระวิหาร ซึ่งดาวิดและข้าราชการของพระองค์ได้จัดตั้งขึ้นไว้ เพื่อปรนนิบัติคนเลวี มี 220 คน บุคคลเหล่านี้ทั้งสิ้นมีชื่อระบุไว้
อธิษฐานอดอาหารเพื่อขอการปกป้อง
21แล้วข้าพเจ้าก็ประกาศให้ถืออดอาหารที่นั่น คือที่แม่น้ำอาหะวา เพื่อเราทั้งหลายจะได้ถ่อมตัวลงต่อพระเจ้าของเรา เพื่อจะทูลขอหนทางที่ถูกต้องจากพระองค์สำหรับเรา ลูกหลานของเรา และข้าวของของเรา 22เพราะข้าพเจ้าละอายที่จะทูลขอกองทหารและพลม้าจากกษัตริย์เพื่อช่วยเราสู้ศัตรูตามทางของเรา ในเมื่อเราได้กราบทูลกษัตริย์แล้วว่า “พระหัตถ์ของพระเจ้าของเราอยู่กับบรรดาผู้ที่แสวงพระองค์ให้เกิดผลดี แต่ฤทธานุภาพและพระพิโรธของพระองค์ต่อสู้คนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระองค์” 23เราจึงอดอาหารและวิงวอนพระเจ้าของเราเพื่อเรื่องนี้ และพระองค์ทรงฟังเสียงร้องทูลของเรา
ของถวายสำหรับพระวิหาร
24และข้าพเจ้าได้เลือกสิบสองคน จากปุโรหิตชั้นผู้นำ คือ เชเรบิยาห์ ฮาชาบิยาห์ และญาติของเขาพร้อมกับเขาอีกสิบคน 25และข้าพเจ้าได้ชั่งเงินและทองคำและเครื่องใช้กับเครื่องถวาย สำหรับพระนิเวศของเรามอบให้เขาทั้งหลายซึ่งกษัตริย์และที่ปรึกษา และเจ้านายของพระองค์ และคนอิสราเอลทั้งปวงที่นั่นได้ถวายไว้ 26ข้าพเจ้าได้ชั่งใส่มือของเขาเป็นเงิน 22 ตัน และเครื่องใช้ที่ทำด้วยเงิน 100 ใบ หนัก 70 กิโลกรัม และทองคำ 3,400 กิโลกรัม 27ชามทองคำ 20 ใบ หนัก 8.4 กิโลกรัม และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์เนื้อละเอียดสุกใส 2 ชิ้น มีค่าเทียบเท่าชามทองคำ 28และข้าพเจ้าบอกเขาว่า “ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ต่อพระยาห์เวห์ และเครื่องใช้ก็บริสุทธิ์ และเงินกับทองคำเป็นของถวายด้วยความสมัครใจแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย 29จงเฝ้าและรักษาไว้จนกว่าท่านชั่งสิ่งเหล่านั้นต่อหน้าปุโรหิตชั้นผู้นำและคนเลวี และหัวหน้าตระกูลอิสราเอลในเยรูซาเล็มภายในห้องพระนิเวศของพระยาห์เวห์” 30บรรดาปุโรหิตและคนเลวีจึงรับเงินและทองคำที่ได้ชั่ง และเครื่องใช้ เพื่อนำไปยังเยรูซาเล็ม ยังพระนิเวศของพระเจ้าของเรา
กลับไปยังเยรูซาเล็ม
31และเราก็ออกจากแม่น้ำอาหะวาในวันที่สิบสอง ของเดือนแรก เพื่อไปยังเยรูซาเล็ม และพระหัตถ์ของพระเจ้าของเราอยู่กับเรา และพระองค์ทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากมือของศัตรูและจากพวกซุ่มคอยอยู่ตามทาง 32เรามาถึงเยรูซาเล็มและพักอยู่ที่นั่นสามวัน 33ในวันที่สี่ ภายในพระนิเวศของพระเจ้าของเรา ก็ชั่งทองคำ และเครื่องใช้ใส่มือของเมเรโมทปุโรหิต บุตรอุรียาห์ และคนที่อยู่กับเขา คือเอเลอาซาร์บุตรฟีเนหัสและคนที่อยู่กับเขาทั้งหลายคือ โยซาบาด บุตรเยชูอา และโนอัดยาห์บุตรบินนุย คนเลวี 34พวกเขาชั่งและนับทั้งหมดและบันทึกน้ำหนักของทุกสิ่งไว้
35ในวันนั้นบรรดาผู้ที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย ซึ่งมาจากการเป็นเชลย ได้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอล มีวัวผู้ 12 ตัว สำหรับพวกอิสราเอลทั้งปวง แกะผู้ 96 ตัว ลูกแกะ 77 ตัว ทั้งสิ้นนี้เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวถวายพระยาห์เวห์ และแพะผู้อีก 12 ตัว เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 36เขาทั้งหลายได้มอบพระราชกฤษฎีกาแก่พวกข้าหลวงของกษัตริย์ และแก่พวกผู้ว่าราชการมณฑลฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และท่านเหล่านี้ได้ช่วยเหลือประชาชนและพระนิเวศของพระเจ้า
เอสรา 9
ประณามการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ
1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ พวกหัวหน้าก็เข้ามาหาข้าพเจ้า กล่าวว่า “ชนชาติอิสราเอลและบรรดาปุโรหิตกับคนเลวี ไม่ได้แยกตนออกจากชนชาติทั้งหลายของแผ่นดินเหล่านั้น กับการน่าเกลียดน่าชังของเขา คือจากคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนเยบุส คนอัมโมน คนโมอับ คนอียิปต์ และคนอาโมไรต์ 2เพราะพวกเขารับบุตรหญิงของชนเหล่านี้เป็นภรรยาของเขาเอง และของบุตรชายของเขา ดังนั้นเชื้อสายบริสุทธิ์ได้ปะปนกับชนชาติทั้งหลายของแผ่นดินเหล่านั้น และพวกหัวหน้าและผู้ครองเมืองเป็นแม่แบบในความผิดนี้” 3เมื่อข้าพเจ้าได้ยินอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ฉีกเสื้อทั้งเสื้อคลุมของข้าพเจ้า และทึ้งผมออกจากศีรษะและทึ้งหนวดเคราของข้าพเจ้า และนั่งลงตะลึงอยู่ 4แล้วบรรดาคนที่สั่นสะท้านเพราะพระวจนะของพระเจ้าแห่งอิสราเอล เนื่องจากความผิดของพวกเชลยที่ได้กลับมา ได้มาประชุมต่อหน้าข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้านั่งตะลึงอยู่จนถึงเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น
คำอธิษฐานของเอสรา
5ณ การถวายเครื่องบูชาตอนเย็นนั้น ข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นจากการอดอาหาร ด้วยเสื้อ และเสื้อคลุมของข้าพเจ้าที่ฉีกขาด และข้าพเจ้าก็คุกเข่าลงและชูมือขึ้นต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า 6และข้าพเจ้าทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์อับอายอดสูที่จะเงยหน้าหาพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะว่าความบาปชั่วของพวกข้าพระองค์ทวีขึ้นพ้นศีรษะของข้าพระองค์ และความผิดของข้าพระองค์ก็สูงขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ 7พวกข้าพระองค์มีความผิดยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของข้าพระองค์ จนถึงทุกวันนี้ และเพราะความบาปชั่วของข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์ ทั้งบรรดากษัตริย์ของข้าพระองค์และพวกปุโรหิตของข้าพระองค์ได้ถูกมอบไว้ในมือของบรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินเหล่านั้น ให้แก่ดาบ แก่การเป็นเชลย แก่การปล้น และแก่การอดสูอย่างที่สุด อย่างทุกวันนี้ 8แต่บัดนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงสำแดงพระกรุณา ชั่วครู่หนึ่งสั้นๆ และได้ประทานให้พวกข้าพระองค์มีคนที่เหลืออยู่และมีที่ยึดมั่นในสถานบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อพระเจ้าของข้าพระองค์จะได้ทรงให้ตาของข้าพระองค์กระจ่างขึ้น และประทานการฟื้นใจแก่ข้าพระองค์ขึ้นบ้าง จากการเป็นทาสของข้าพระองค์ 9เพราะว่าพวกข้าพระองค์เป็นทาส แต่พระเจ้าของข้าพระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งข้าพระองค์ไว้ในความเป็นทาส แต่โดยความรักมั่นคงของพระองค์ ทรงบันดาลให้ข้าพระองค์มีความชอบต่อพระพักตร์บรรดากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย เพื่อประทานการฟื้นใจแก่ข้าพระองค์ เพื่อจะตั้งพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพระองค์ขึ้นไว้ เพื่อจะซ่อมที่ปรักหักพังและเพื่อจะประทานกำแพงแก่พวกข้าพระองค์ในยูดาห์ และในเยรูซาเล็ม
10“และบัดนี้ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ต่อจากนี้ข้าพระองค์จะทูลอะไรอีก เพราะพวกข้าพระองค์ได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระองค์ 11ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาไว้ โดยผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘แผ่นดินซึ่งพวกเจ้ากำลังเข้าไปครอบครองนั้นเป็นแผ่นดินมลทิน เนื่องด้วยความมลทินของชนชาติต่างๆ แห่งแผ่นดินเหล่านั้น ด้วยการน่าเกลียดน่าชังของพวกเขา ซึ่งพวกเขาทำให้เต็มไปหมดตั้งแต่ปลายข้างนี้ถึงปลายข้างโน้น ด้วยความมลทินของพวกเขา 12เพราะฉะนั้น อย่ามอบบุตรหญิงของเจ้าแก่บุตรชายของพวกเขา หรืออย่ารับบุตรหญิงของเขาให้บุตรชายของเจ้า หรืออย่าเสริมสวัสดิภาพและความเจริญมั่งคั่งของเขาทั้งหลายเป็นนิตย์ เพื่อพวกเจ้าจะแข็งแรงและกินของดีๆ แห่งแผ่นดินนั้น และมอบแผ่นดินนั้นไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานของพวกเจ้าเป็นนิตย์’ 13และหลังจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกข้าพระองค์ เพราะการชั่วของข้าพระองค์ และเพราะความผิดยิ่งใหญ่ของข้าพระองค์ เนื่องจากพระองค์คือพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ได้ทรงลงโทษข้าพระองค์ เพราะความบาปชั่วของข้าพระองค์น้อยกว่าที่พึงได้รับ และประทานคนที่เหลืออยู่แก่พวกข้าพระองค์อย่างนี้ 14สมควรที่พวกข้าพระองค์จะละเมิดพระบัญญัติของพระองค์อีก และเข้าแต่งงานกับชนชาติทั้งหลายผู้ประพฤติสิ่งน่าเกลียดน่าชังเหล่านี้หรือ? พระองค์จะไม่กริ้วต่อพวกข้าพระองค์ จนพระองค์ผลาญข้าพระองค์ทั้งหลายเสีย จนไม่มีคนที่เหลืออยู่และไม่มีใครรอดได้เลยหรือ? 15ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพระองค์ทรงชอบธรรม เพราะพวกข้าพระองค์เป็นคนที่เหลืออยู่ซึ่งรอดพ้นมาอย่างทุกวันนี้ นี่แน่ะ ข้าพระองค์ทั้งหลายอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ โดยมีความผิดของข้าพระองค์อยู่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีสักคนเดียวที่จะยืนต่อพระพักตร์พระองค์ได้”
อรรถาธิบาย
ความบริสุทธิ์และการอธิษฐาน
คุณกำลังเผชิญความท้าทายในชีวิตที่รออยู่ข้างหน้าหรือไม่? เอสราเผชิญความท้าทายอันยิ่งใหญ่ในการนำคนกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มและสร้างพระวิหารขึ้นใหม่
เขาจำเป็นต้องนำคน 5,000 คน รวมถึงผู้หญิงและเด็ก บนเส้นทางที่อันตราย และต้องใช้เวลาถึง 4 เดือนผ่านแคว้นรกร้างหลายแคว้น พร้อม ๆ กับการขนข้าวของจำนวนมากรวมทั้งของมีค่า (8:15-27)
เอสราเริ่มต้นอย่างมีสติปัญญากับเหล่าผู้นำ ‘แล้วข้าพเจ้าให้ไปเรียก..เหล่าผู้นำและ...ผู้เป็นคนมีความรอบรู้’ (ข้อ 16) ภาวะผู้นำคือกุญแจที่จะทำให้นิมิตของเอสราสำเร็จในการนำคนกลับมาและสร้างพระวิหารขึ้นใหม่
การทำนิมิตที่พระเจ้าทรงประทานให้สำเร็จได้ จำเป็นต้องอาศัย 3 สิ่งต่อไปนี้:
ทุกคนล้วนอธิษฐาน เอสราเป็นบุรุษแห่งการอธิษฐาน ก่อนที่เขาจะเริ่มเดินทางเขาประกาศว่าจะอดอาหารอธิษฐาน พวกเขาทั้งหมดได้ถ่อมใจลงและขอพระเจ้าให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัย (ข้อ 21) พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขา ‘เราจึงอดอาหารและวิงวอนพระเจ้าของเราเพื่อเรื่องนี้ และพระองค์ทรงฟังเสียงร้องทูลของเรา’ (ข้อ 23)
ทุกคนล้วนถวาย
‘ข้าพเจ้าได้ชั่งเงินและทองคำและเครื่องใช้กับเครื่องถวาย สำหรับพระนิเวศของเรามอบให้เขาทั้งหลายซึ่งกษัตริย์และที่ปรึกษา และเจ้านายของพระองค์ และคนอิสราเอลทั้งปวงที่นั่นได้ถวายไว้’ (ข้อ 25)
3, ทุกคนล้วนรับใช้ ‘บรรดาผู้ที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย ซึ่งมาจากการเป็นเชลย ได้ถวายเครื่องเผาบูชา ...เขาทั้งหลายได้มอบพระกฤษฎีกาแก่พวกข้าหลวงของกษัตริย์ และแก่พวกผู้ว่าราชการมณฑลฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และท่านเหล่านี้ได้ช่วยเหลือประชาชนและพระนิเวศของพระเจ้า’ (ข้อ 35–36)
พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขาในทุกทางในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้าขึ้นใหม่ แต่ถึงแม้พระเจ้าจะสัตย์ซื่อต่อพวกเขา แต่ประชากรนั้นกลับไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า พวกเขาไม่ได้รักษาความบริสุทธิ์ ปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่การแต่งงานกับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ แต่เป็นเรื่องที่พวกเขาทำตนเองให้มีมลทิน (9:11) ด้วย‘การกระทำอันน่ารังเกียจ’ (ข้อ 1) ตามชนชาติโดยรอบ เหล่าผู้นำและข้าราชการก็ได้นำทางไปสู่ความไม่สัตย์ซื่อนั้น (ข้อ 2)
ในทางตรงข้าม เอสรานั้นเป็นแบบอย่างที่ดีในการจัดการกับความบาปอย่างจริงจัง ‘เมื่อข้าพเจ้าได้ยินอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ฉีกเสื้อทั้งเสื้อคลุมของข้าพเจ้า และทึ้งผมออกจากศีรษะและทึ้งหนวดเคราของข้าพเจ้านั่งลงตะลึงอยู่’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เขาทรุดตัวคุกเข่าลงพร้อมกับมือของเขาที่ยกขึ้นเพื่อแสวงหาองค์พระองค์เป็นเจ้าและอธิษฐาน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งดีที่จะอธิษฐานเผื่อตัวเราเองและคริสตจักรของพระเจ้าในวันนี้ ‘ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์อับอายอดสูที่จะเงยหน้าหาพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะว่าความบาปชั่วของพวกข้าพระองค์ทวีขึ้นพ้นศีรษะของข้าพระองค์ และความผิดของข้าพระองค์ก็สูงขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ พวกข้าพระองค์มีความผิดยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของข้าพระองค์จนถึงทุกวันนี้ และเพราะความบาปชั่วของพวกข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์...ได้ถูกมอบแก่...การอดสูอย่างที่สุด’ (ข้อ 6-7)
กระนั้นประชากรในสมัยของเอสรานั้น ก็เหมือนกับคริสตจักรในวันนี้ ‘...พระเจ้าของข้าพระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งข้าพระองค์’ (ข้อ 9)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดช่วยให้ข้าพระองค์บริสุทธิ์ ได้รับการชำระโดยพระโลหิตแห่งพระเยซู ที่จะพูดเพื่อผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง ประกาศพระกิตติคุณนิรันดร์แก่ชนทุกชาติ และสร้างคริสตจักรขึ้นใหม่ในเมืองของเราและชนทุกชาติ
เพิ่มเติมโดยพิพพา
เอสรา 9:1-2
นี่ดูเหมือนเป็นการตอบสนองที่รุนแรงต่อการแต่งงานกับคนจากประเทศอื่น! แต่นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนต่างชาติ อย่างเช่น นางรูธเป็นชาวโมอับ เธอเป็นตัวอย่างที่ดีของความสัตย์ซื่อ และกษัตริย์ดาวิดนั้นมีเชื้อสายโมอับ 1 ส่วน 8 นี่เป็นเพราะ ‘การน่าเกลียดน่าชัง’ (ข้อ 1) ดังที่กษัตริย์โซโลมอนเองก็ล้มลงเพราะเหล่าบรรดามเหสีของพระองค์ เอสรา ได้เห็นแล้วว่า อิทธิพลของหญิงเหล่านี้ที่สามารถทำลายความเชื่อแห่งประชากรของพระเจ้าได้อย่างราบคาบ
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)