วัน 359

ความเชื่อมองที่เบื้องบน

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 147:1-11
พันธสัญญาใหม่ วิวรณ์ 16:1-21
พันธสัญญาเดิม เนหะมีย์ 1:1-2:20

เกริ่นนำ

ในหนังสือ ปาฎิหารย์วันคริสต์มาส โดยชาร์ลส์ ดิคเค่นส์ มีตัวละครสำคัญชื่อ เอเบเนเซอร์ สครูจ ซึ่งเป็นคนที่น่าเวทนา ใจดำ เป็นนักธุรกิจแก่ๆ ที่ขี้เหนียว ที่ได้เห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตัวเขาเอง ในที่สุดเขาก็ได้กลับใจ และเริ่มให้ออกไปด้วยใจยินดี

ดิคเค่นส์จับภาพการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของตัวละครนี้มากล่าวเพิ่มเติมว่า ‘เขาไปคริสตจักร และเดินตามท้องถนน …และพบว่าทุกสิ่งสามารถสร้างความชื่นใจแก่เขาได้ เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่า ในการเดินของเขาจะได้พบกับสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขได้มากมายถึงเพียงนี้

‘การกลับใจใหม่’ เป็นคำแง่บวกอย่างมากในพระคัมภีร์ คำภาษากรีก ‘เมทาโนเอีย’ (metanoia) หมายถึง ‘การเปลี่ยนความคิด’ ประการแรกหมายถึงหันกลับจากสิ่งที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิตของคุณ และทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้า การกลับใจใหม่หมายถึงความเสียใจที่มากพอที่จะเลิกทำ การกำจัดสิ่งที่ชั่วร้ายเพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น แต่นี่เป็นเพียงแค่ส่วนแรก

การเปลี่ยนแปลงของจิตใจและความคิด ไม่ใช่แค่หมายถึง หันออกจากสิ่งชั่วร้าย แต่หมายถึงหันเข้าหาพระเจ้าและสิ่งดีด้วย คำว่า ‘กลับใจใหม่’ ปรากฏไม่กี่ครั้งในพระคัมภีร์ การกลับใจใหม่อย่างจริงใจแสดงออกด้วยผลของมัน การเศร้าโศกเสียใจนั้นไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงความคิด จิตใจ และชีวิตนั้นจำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วย เรามักพบ ‘กลับใจใหม่ และ…’ กลับใจใหม่และเชื่อ ให้เรากลับใจใหม่ และวางความเชื่อของคุณไว้ในพระเยซูคริสต์ มันไม่ใช่เพียงแค่มองย้อนไป แต่รวมการมองขึ้นข้างบนด้วย ความเชื่อมองที่เบื้องบนเสมอ

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 147:1-11

สรรเสริญพระเจ้า เพราะทรงดูแลเยรูซาเล็ม

1สรรเสริญพระยาห์เวห์
 เป็นการดีที่จะร้องเพลงสดุดีพระเจ้าของเรา
 เป็นการน่าชื่นใจและสมควรที่จะสรรเสริญพระองค์
2พระยาห์เวห์ทรงบูรณะเยรูซาเล็ม
 พระองค์ทรงรวบรวมคนอิสราเอลที่กระจัดกระจายไป
3พระองค์ทรงรักษาคนที่ใจแตกสลาย
 และทรงพันแผลให้เขา
4พระองค์ทรงนับจำนวนดาว
 พระองค์ทรงตั้งชื่อมันทุกดวง
5องค์เจ้านายของเราใหญ่ยิ่ง และทรงฤทธานุภาพนัก
 ความเข้าใจของพระองค์นั้นสุดจะวัดได้
6พระยาห์เวห์ทรงค้ำจุนผู้ถูกข่มเหง
 พระองค์ทรงเหวี่ยงคนอธรรมลงถึงดิน
7จงร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์ด้วยใจขอบพระคุณ
 จงดีดพิณเขาคู่สดุดีพระเจ้าของเรา
8พระองค์ทรงคลุมฟ้าสวรรค์ด้วยเมฆ
 พระองค์ทรงเตรียมฝนให้แผ่นดินโลก
 พระองค์ทรงทำให้หญ้างอกบนภูเขา
9พระองค์ประทานอาหารแก่สัตว์
 และแก่ลูกกาที่ร้อง
10พระองค์มิได้พอพระทัยในกำลังของม้า
 พระองค์มิได้ทรงปรีดีในขาของมนุษย์
11แต่พระยาห์เวห์ทรงปรีดีในคนที่ยำเกรงพระองค์
 ในคนที่เฝ้าคอยความรักมั่นคงของพระองค์

อรรถาธิบาย

กลับใจใหม่และชื่นชมยินดี

บริบทของพระธรรมสดุดีนี้อาจหมายถึงการสร้างกำแพงแห่งกรุงเยรูซาเล็มในสมัยของเนหะมีย์ ‘พระเจ้าพระองค์นั้นผู้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ ผู้ที่รวบรวมชาวอิสราเอลที่ถูกเนรเทศกระจัดกระจายออกไป’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เริ่มต้นจากจุดนี้ (ดังที่เราเห็นวันนี้ในเนหะมีย์ 1-2) กับการกลับใจใหม่อย่างจริงใจจากเนหะมีย์ ซึ่งเป็นตัวแทนของตัวท่านเองและประชาชนทุกคน

การกลับใจใหม่อย่างจริงใจเริ่มต้นจาก ‘ใจแตกสลาย’ (สดุดี 147:3) ข่าวดีคือพระเจ้าทรงเยียวยาผู้ที่จิตใจแตกสลายและทรงพันแผลให้พวกเขา (ข้อ 3 อ่านใน อิสยาห์ 61:1)

‘การกลับใจใหม่’ รวมไปถึงการถ่อมใจลงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ในขณะที่พระองค์ ‘ทรงเหวี่ยงคนอธรรมลงถึงดิน’ (สดุดี 147:6ข) ‘พระยาห์เวห์ทรงค้ำจุนผู้ถูกข่มเหง’ (ข้อ 6ก) แต่พระเจ้าไม่ได้ทิ้งคุณไว้ที่นั้น พระองค์ต้องการให้คุณไม่เพียงแค่มองย้อนไปด้วยการกลับใจใหม่เท่านั้น แต่ทรงต้องการให้คุณมองที่เบื้องบนด้วยความชื่นชมยินดีด้วย

ความ ‘ปรีดี' ของพระเจ้าไม่ได้อยู่ใน ‘ขาของมนุษย์’ (ข้อ 10) พระองค์ไม่ได้ทรงยึดถือ (หรือประทับใจ) ในพละกำลัง ‘พระองค์มิได้ประทับใจในกำลังของม้า ขนาดกล้ามเนื้อของเราก็เล็กน้อยสำหรับพระองค์’ (ข้อ 10 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่ ‘แต่พระยาห์เวห์ทรงปรีดีในคนที่ยำเกรงพระองค์ ในคนที่เฝ้าคอยความรักมั่นคงของพระองค์’ (ข้อ 11)

ในสดุดีทั้งบทนี้เกี่ยวข้องกับการมีความปรีดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า เริ่มต้นด้วยการเรียกให้ ‘สรรเสริญพระยาห์เวห์’ และย้ำเตือนว่า ‘เป็นการดี… น่าชื่นใจและสมควร’ แค่ไหน (ข้อ 1) ที่จะทำเช่นนั้น การนมัสการนำมาซึ่งความสุขใจและความชื่นใจ และเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อพระเจ้าผู้ทรงแสนอัศจรรย์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ในวันนี้ข้าพระองค์ไม่ได้ต้องการแค่กลับใจใหม่ แต่ปรีดีในพระองค์ด้วย ขอบคุณที่ทรงสัญญาไว้ว่า ถ้าข้าพระองค์ยำเกรงพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด

พันธสัญญาใหม่

วิวรณ์ 16:1-21

ชามบรรจุความกริ้วของพระเจ้า

 1แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากพระวิหาร สั่งทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์นั้นว่า “จงไปเถิด แล้วเอาชามแห่งความกริ้วของพระเจ้าทั้งเจ็ดใบเทลงบนแผ่นดินโลก”
 2ทูตสวรรค์องค์แรกจึงออกไป และเทชามของตนลงบนแผ่นดินโลก แล้วคนทั้งหลายที่มีเครื่องหมายของสัตว์ร้าย และพวกที่บูชารูปของมันก็มีแผลร้ายที่เจ็บปวดเกิดขึ้นตามตัว
 3ทูตสวรรค์องค์ที่สองเทชามของตนลงในทะเล แล้วทะเลก็กลายเป็นเลือดเหมือนอย่างเลือดของคนตาย และบรรดาสิ่งที่มีชีวิตซึ่งอยู่ในทะเลนั้นก็ตายหมดสิ้น
 4ทูตสวรรค์องค์ที่สามเทชามของตนลงไปยังแม่น้ำและบ่อน้ำพุทั้งหลาย และน้ำเหล่านั้นก็กลายเป็นเลือด 5และข้าพเจ้าได้ยินทูตสวรรค์แห่งน่านน้ำต่างๆ ร้องว่า

“พระองค์ทรงยุติธรรม ผู้ที่ทรงเป็นอยู่และทรงเคยเป็นอยู่ และทรงบริสุทธิ์
 เพราะพระองค์ได้ทรงพิพากษาสิ่งเหล่านี้แล้ว
6เพราะพวกเขาทำให้เลือดของบรรดาธรรมิกชนและผู้เผยพระวจนะไหลออก
 และพระองค์จึงทรงให้เขาดื่มเลือด
 ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว”
7และข้าพเจ้าได้ยินแท่นบูชาร้องว่า

“ถูกแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
 การพิพากษาของพระองค์สัตย์จริงและยุติธรรม”

 8ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เทชามของตนลงไปที่ดวงอาทิตย์ และให้ดวงอาทิตย์แผดเผามนุษย์ด้วยไฟ 9ความร้อนแรงกล้าก็แผดเผามนุษย์ พวกเขาก็สาปแช่งพระนามพระเจ้าผู้ทรงมีฤทธิ์เหนือภัยพิบัติเหล่านี้ และเขาไม่ยอมกลับใจและไม่ยอมถวายพระเกียรติแด่พระองค์
 10ทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเทชามของตนลงบนบัลลังก์ของสัตว์ร้าย แล้วอาณาจักรของมันก็มืดไป พวกของมันก็กัดลิ้นของตนด้วยความเจ็บปวด 11และสาปแช่งพระเจ้าแห่งสวรรค์เพราะความเจ็บปวดนั้น และเพราะแผลตามตัวของเขา แต่ไม่ยอมกลับใจจากการประพฤติของตน
 12ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทชามของตนลงไปที่แม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส ทำให้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้ง เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับบรรดากษัตริย์ที่มาจากทิศตะวันออก 13และข้าพเจ้าเห็นวิญญาณโสโครกสามดวงรูปร่างเหมือนอย่างกบออกจากปากพญานาค จากปากสัตว์ร้าย และจากปากผู้เผยพระวจนะเท็จ 14เพราะว่าวิญญาณเหล่านี้เป็นผีที่ทำหมายสำคัญ พวกมันออกไปหากษัตริย์ทั้งหลายทั่วโลก เพื่อรวบรวมกษัตริย์เหล่านั้นไปทำสงคราม ในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด 15(นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย คนที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้ก็เป็นสุข เพราะว่าเขาไม่ต้องเดินเปลือยกายให้คนทั้งหลายเห็นสภาพอันน่าอับอาย) 16และวิญญาณทั้งสามได้รวบรวมกษัตริย์ทั้งหลายไปยังสถานที่หนึ่ง ซึ่งเรียกตามภาษาฮีบรูว่าอารมาเกดโดน
 17ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเทชามของตนลงไปในอากาศ แล้วมีพระสุรเสียงดังออกมาจากพระที่นั่งในพระวิหารนั้นว่า “สำเร็จแล้ว” 18และเกิดฟ้าแลบ เสียงครืนๆ และฟ้าร้อง แล้วเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ซึ่งตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินโลก ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงน่ากลัวอย่างนั้นเลย 19มหานครนั้นก็แยกออกเป็นสามส่วน และเมืองทั้งหลายของนานาประชาชาติก็พังทลายลง และพระเจ้าทรงจดจำมหานครบาบิโลน พระองค์ทรงให้ถ้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธรุนแรงของพระองค์แก่นครนั้น 20แล้วเกาะทั้งหมดก็หายไปและภูเขาทั้งหมดก็ไม่มีใครหาเจอ 21และลูกเห็บใหญ่ก็ตกจากฟ้าลงมาบนตัวคนทั้งหลาย แต่ละก้อนหนักประมาณห้าสิบกิโลกรัม คนทั้งหลายจึงสาปแช่งพระเจ้าเนื่องด้วยภัยพิบัติที่เกิดจากลูกเห็บนั้น เพราะภัยพิบัตินั้นรุนแรงมาก

อรรถาธิบาย

กลับใจใหม่และตอบสนอง

นี่อาจจะเป็นบทที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดบทหนึ่งในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่พรรณาถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายของพระเจ้า มีภัยพิบัติ 7 อย่างสุดท้าย (อ่าน อพยพ 7-10) มันต่างก็จบลงใน ‘อารมาเกดโดน’ ท่ามกลางการพิพากษาอันเลวร้ายนั้น ยังมีสี่สิ่งที่ทำให้คุณสบายใจขึ้น

  1. พระเยซูกำลังเสด็จกลับมา
    ‘นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย คนที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้ก็เป็นสุข เพราะว่าเขาเตรียมพร้อมสำหรับเรา’ (วิวรณ์ 16:15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ต่อมาในวิวรณ์ เราจะได้เห็นพระพรทั้งหมดที่การกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูจะนำมาสู่คุณและต่อการทรงสร้างทั้งปวง

  2. พระเยซูรับเอาการพิพากษาของคุณ
    คำว่า ‘สำเร็จแล้ว!’ (ข้อ 17) บอกเราว่าทันทีที่การพิพากษาครั้งสุดท้ายอุบัติขึ้น ก็จะ ‘สำเร็จแล้ว’ เป็นการสะท้อนถึงถ้อยคำสุดท้ายของพระเยซูที่ไม้กางเขน (ยอห์น 19:30) เป็นสิ่งเตือนเราถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำบนไม้กางเขนเพื่อคุณ พระเจ้าทรงรักโลก และได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อตายแทนคุณ และเพื่อที่คุณจะไม่ต้องมาอยู่ในการพิพากษาครั้งสุดท้ายของพระเจ้า แต่ได้รับพระพรแห่งชีวิตนิรันดร์แทน (อ่าน ยอห์น 3:16–17)

  3. การพิพากษาถูกเลื่อนออกไป
    การพิพากษาตกลงบนผู้ที่ ‘ไม่ยอมกลับใจและไม่ยอมถวายพระเกียรติแด่พระองค์’ (วิวรณ์ 16:9) พระเจ้าประทานโอกาสมากมายแก่พวกเขาเช่นเดียวกับฟาโรห์เพื่อที่จะกลับใจใหม่ ‘แต่ไม่ยอมกลับใจจากการประพฤติของตน’ (ข้อ 11) ความปรารถนาของพระเจ้าคือที่ทุกคนควรจะกลับใจใหม่ (2 เปโตร 3:9) พระองค์ทรงประทานโอกาสหลายครั้ง เฉพาะผู้ที่ปฏิเสธที่จะกลับใจใหม่เท่านั้น ที่จะถูกพิพากษา

  4. เป็นการพิพากษาที่ยุติธรรมที่สุด
    หลายคนยังกังวลใจ ซึ่งเข้าใจได้ เพราะมีอยู่หลายตอนในพระคัมภีร์ที่พูดถึงสิ่งนี้ อย่างไรก็ตาม การพิพากษาของพระเจ้านั้น ‘สัตย์จริง’ และ ‘ยุติธรรม’ (วิวรณ์ 16:7) ดังที่จอห์น คอลลินส์ ศิษยาภิบาลคนก่อนของคริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตั้น มักพูดเสมอว่า ‘พวกเราทุกคนจะกล่าวในวันนั้นว่า “สิ่งนี้ถูกต้องแล้ว”’

จงมองไปยังเบื้องบน ขณะที่คุณรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซู จงจัดการกับชีวิตของคุณในตอนนี้ จงมั่นใจว่าจะไม่มีการปฏิเสธที่จะกลับใจใหม่ในหัวใจของคุณ จงตอบสนองอย่างถูกต้องต่อคำเตือนเหล่านี้ และช่วยคนอื่น ๆ ให้ทำแบบเดียวกัน ดังที่สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลหนุนใจผู้เล่นใหม่ทุกคนว่า ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม และทำในสิ่งที่ถูกต้อง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ทรงแบกรับบาปของข้าพระองค์บนไม้กางเขน เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่ต้องเผชิญกับการพิพากษาที่ถูกพรรณาในบทนี้ ขอบคุณที่พระองค์กำลังเสด็จกลับมา และที่พระองค์จะทรงทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ขอถวายเกียรติแด่พระองค์ ด้วยทุกสิ่งที่ข้าพระองค์ทำ

พันธสัญญาเดิม

เนหะมีย์ 1:1-2:20

เนหะมีย์อธิษฐานเพื่อประชาชนของท่าน

 1นี่คือถ้อยคำของเนหะมีย์ บุตรฮาคาลิยาห์
 ต่อมาในเดือนคิสเลฟในปีที่ยี่สิบ ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในสุสาเมืองป้อม 2พี่น้องคนหนึ่งของข้าพเจ้าคือฮานานีมากับชายบางคนจากยูดาห์ ข้าพเจ้าได้ถามเรื่องพวกยิวที่เหลือรอดชีวิตจากการตกเป็นเชลย และถามเรื่องเยรูซาเล็ม 3พวกเขาตอบข้าพเจ้าว่า “ผู้ที่เหลือรอดชีวิตซึ่งอยู่ในมณฑลนั้น คือผู้ซึ่งรอดชีวิตจากการตกเป็นเชลย มีความลำบากและความอับอายมาก กำแพงเมืองเยรูซาเล็มก็ถูกทำลาย และบรรดาประตูเมืองก็ถูกไฟเผา”
 4เมื่อข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็นั่งลงร้องไห้โศกเศร้าอยู่หลายวัน และได้อดอาหารและอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ 5ข้าพเจ้าทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และน่ายำเกรง ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ 6ขอพระองค์เงี่ยพระกรรณฟัง และลืมพระเนตรดู เพื่อจะทรงฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่ง ณ บัดนี้ข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อประชาชนอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์สารภาพบาปของประชาชนอิสราเอล ซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ ทั้งข้าพระองค์กับตระกูลของข้าพระองค์ได้ทำบาปแล้ว 7ข้าพระองค์ทั้งหลายประพฤติเลวทรามมากต่อพระองค์ และไม่ได้รักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมายซึ่งพระองค์ทรงบัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ไว้ 8ขอพระองค์ทรงระลึกถึงพระวจนะ ซึ่งทรงบัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘ถ้าพวกเจ้าไม่ซื่อตรงต่อเรา เราจะกระจายพวกเจ้าไปในหมู่ชนชาติทั้งหลาย 9ถ้าพวกเจ้ากลับมาหาเรา และรักษาบัญญัติของเรา และประพฤติตาม ถึงแม้ว่าพวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่สุดปลายฟ้า เราจะรวบรวมพวกเจ้ามาจากที่นั่น และนำพวกเจ้ามายังสถานที่ซึ่งเราได้เลือกไว้ เพื่อทำให้นามของเราดำรงอยู่ที่นั่น’ 10พวกเขาเป็นผู้รับใช้และเป็นประชากรของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ 11ข้าแต่องค์เจ้านาย โปรดเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และคำอธิษฐานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ปีติยินดีที่จะยำเกรงพระนามของพระองค์ ขอประทานความสำเร็จแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ในวันนี้ และขอให้ได้รับความกรุณาจากพระราชา”

ขณะนั้น ข้าพเจ้าเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระราชา

เนหะมีย์ 2

เนหะมีย์ถูกส่งไปยูดาห์

 1ต่อมาในเดือนนิสานในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส เมื่อเหล้าองุ่นอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ ข้าพเจ้าก็หยิบเหล้าองุ่นถวายพระราชา แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าไม่เคยโศกเศร้าต่อพระพักตร์พระองค์ 2และพระราชาตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมหน้าเจ้าเศร้าโศก เจ้าก็ไม่ได้เจ็บป่วยไม่ใช่หรือ? นี่คงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเศร้าใจ” และข้าพเจ้าก็กลัวยิ่งนัก 3ข้าพเจ้าทูลพระราชาว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทำไมหน้าของข้าพระบาทจะไม่โศกเศร้าเล่า ในเมื่อเมืองอันเป็นสถานที่ฝังศพของบรรพบุรุษของข้าพระบาทร้างเปล่าอยู่ และบรรดาประตูเมืองก็ถูกไฟทำลายเสีย” 4แล้วพระราชาตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าต้องการอะไร? ” ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ 5และข้าพเจ้าทูลพระราชาว่า “ถ้าพระราชาพอพระทัย และถ้าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นที่พอพระทัยเฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาท ขอทรงส่งข้าพระบาทไปยังยูดาห์ ยังเมืองอันเป็นที่ฝังศพบรรพบุรุษของข้าพระบาท เพื่อข้าพระบาทจะสร้างขึ้นใหม่” 6และพระราชาตรัสกับข้าพเจ้า (มีพระราชินีประทับข้างพระองค์) ว่า “เจ้าจะไปนานสักเท่าใด? เมื่อไรเจ้าจะกลับมา? ” จึงเป็นที่พอพระทัยพระราชาที่จะให้ข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าก็กำหนดเวลาทูลพระองค์ทรงทราบ 7และข้าพเจ้าทูลพระราชาว่า “ถ้าพระราชาพอพระทัย ขอโปรดมีพระราชสารให้ข้าพระบาทนำไปถึงบรรดาผู้ว่าราชการมณฑลฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่อพวกเขาจะอนุญาตให้ข้าพระบาทผ่านไป จนข้าพระบาทไปถึงยูดาห์ 8และพระราชสารถึงอาสาฟเจ้าพนักงานป่าไม้หลวง เพื่อเขาจะได้ให้ไม้แก่ข้าพระบาท สำหรับวงกบประตู ป้อมยามของพระนิเวศ และกำแพงเมือง และสำหรับบ้านที่ข้าพระบาทจะได้เข้าอาศัย” พระราชาประทานให้ตามที่ข้าพเจ้าทูลขอ เพราะพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า
 9แล้วข้าพเจ้าไปหาบรรดาผู้ว่าราชการมณฑลฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และมอบพระราชสารของพระราชาแก่พวกเขา พระราชาได้ทรงจัดให้นายทหารและพลม้าไปกับข้าพเจ้าด้วย 10แต่เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิมและโทบีอาห์ข้าราชการ คนอัมโมนทราบเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่พอใจอย่างยิ่งที่มีคนหนึ่งมาแสวงหาสวัสดิภาพให้พงศ์พันธุ์อิสราเอล

เนหะมีย์ตรวจสอบกำแพงเมือง

 11ข้าพเจ้ามาถึงเยรูซาเล็มและพักอยู่ที่นั่นสามวัน 12แล้วข้าพเจ้าลุกขึ้นในเวลากลางคืน คือข้าพเจ้ากับชายบางคนที่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้บอกให้ใครทราบเรื่องที่พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงดลใจให้ข้าพเจ้าทำเพื่อเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าไม่ได้นำสัตว์อื่นไปกับข้าพเจ้านอกจากสัตว์ที่ข้าพเจ้าขี่อยู่ 13ในเวลากลางคืนข้าพเจ้าออกไปทางประตูหุบเขาถึงบ่อสุนัขจิ้งจอก และถึงประตูกองขยะ และข้าพเจ้าได้ตรวจดูกำแพงเยรูซาเล็มที่พัง และบรรดาประตูเมืองที่ถูกไฟทำลาย 14แล้วข้าพเจ้าก็ผ่านต่อไปยังประตูน้ำพุถึงสระหลวง แต่ไม่มีที่ที่จะให้สัตว์ซึ่งข้าพเจ้าขี่อยู่ผ่านไปได้ 15แล้วข้าพเจ้าขึ้นไปในเวลากลางคืนทางหุบเขาและตรวจดูกำแพง แล้วย้อนกลับมาเข้าทางประตูหุบเขากลับไปที่เดิม 16ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าไปไหน หรือทำอะไร และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้บอกพวกยิว พวกปุโรหิต พวกขุนนาง พวกเจ้าหน้าที่ และคนอื่นๆ ที่จะทำงาน

การตัดสินใจที่จะซ่อมแซมกำแพงเมือง

 17ต่อมาข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านได้เห็นแล้วว่า เราตกอยู่ในความลำบาก เยรูซาเล็มก็ปรักหักพังลง และบรรดาประตูเมืองก็ถูกไฟไหม้ มาเถิด ให้เราสร้างกำแพงเยรูซาเล็มขึ้น เพื่อเราจะไม่ต้องอับอายขายหน้าอีกต่อไป” 18แล้วข้าพเจ้าบอกพวกเขาถึงการที่พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับข้าพเจ้าเพื่อให้เกิดผลดี ทั้งพระดำรัสซึ่งพระราชาตรัสกับข้าพเจ้า และพวกเขาพูดว่า “ให้เราลุกขึ้นสร้างเถิด” เขาก็ลงมือทำการดีนั้นอย่างขันแข็ง 19แต่เมื่อสันบาลลัท คนโฮโรนาอิมและโทบีอาห์ข้าราชการ คนอัมโมน กับเกเชมชาวอาหรับทราบเรื่อง พวกเขาเยาะเย้ยและดูถูกเรา พูดว่า “พวกเจ้าทำอะไรกันนี่? พวกเจ้ากำลังกบฏต่อพระราชาหรือ?” 20แล้วข้าพเจ้าตอบพวกเขาว่า “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงให้เราทำสำเร็จ และพวกเราผู้รับใช้ของพระองค์จะลุกขึ้นสร้าง แต่พวกท่านไม่มีส่วนหรือสิทธิหรืออนุสรณ์ใดในเยรูซาเล็ม”

อรรถาธิบาย

กลับใจใหม่และสร้างขึ้นใหม่

สถานการณ์ของเนหะมีย์ ไม่ได้แตกต่างจากสถานการณ์ของเราเลย คริสตจักรในส่วนต่าง ๆ ของโลกนั้นอยู่ใน ‘มีความลำบากและความอับอายมาก' (1:3) ดูเหมือนว่าเคยผ่านการทำลายล้าง ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ หรือตกเป็นเป้าของการดูถูก

445 ปีก่อนคริสตศักราช เนหะมีย์เป็นทุกข์มากด้วยความจริงที่ว่าพระนามพระเจ้าเสียพระเกียรติ และประชากรของพระเจ้าก็อยู่ใน ‘ความยากลำบากและความอัปยศอย่างมาก’ (ข้อ 3 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘กำแพงเมืองเยรูซาเล็มก็ถูกทำลาย และบรรดาประตูเมืองก็ถูกไฟเผา’ (ข้อ 3 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เนหะมีย์เป็นข้าราชการผู้ที่ได้รับการยกชูให้อยู่ในตำแหน่งสูงของระบบการปกครองของเปอร์เซียน เขาเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระราชา (ข้อ 11ข) นี่เป็นตำแหน่งที่สำคัญ มีหน้าที่ชิมเหล้าองุ่นของพระราชา และคุ้มกันพระราชวังของเหล่าราชวงศ์

การตอบสนองของเนหะมีย์เป็นตัวอย่างที่ดียิ่งสำหรับพวกเราที่จะทำตาม เขาเป็นบุคคลแห่งการลงมือทำ แต่เขาเริ่มโดยการมองที่เบื้องบนผ่านการอธิษฐานเสมอ การตอบสนองของเขาคือ การร้องไห้คร่ำครวญ โศกเศร้าเสียใจ อดอาหาร และอธิษฐาน (ข้อ 4) การอธิษฐานของเขาเริ่มต้นโดยการสรรเสริญความรักของพระเจ้า (ข้อ 5) เขาต่อด้วยการกลับใจใหม่ต่อความบาปของเขา และความบาปของประชาชนทั้งหมด “ข้าพระองค์สารภาพบาปของประชาชนอิสราเอล ซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์” (ข้อ 6ข)

เขาจบการอธิษฐานด้วยการทูลขอให้พระเจ้าประทานความสำเร็จแก่เขา (ข้อ 11) และก็มักเป็นเช่นนั้นคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของเขามักเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่ตัวเขาเองกำลังทำ เขามองเห็นปัญหาและลงมือทำ เขาละทิ้งอาชีพการงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อชีวิตที่อันตราย ปล้ำสู้ และเสียสละ ในการทำเช่นนั้น เขาจึงกลายเป็นคำตอบของคำอธิษฐานของเขาเอง

กษัตริย์อารทาเซอร์ซีสสังเกตเห็น ‘หน้าเจ้าเศร้าโศก’ (2:2) และเมื่อทรงถาม ‘เจ้าต้องการอะไร?’ (ข้อ 4) เนหะมีย์ใช้ ‘ลูกศร’ แห่งการอธิษฐานอีกครั้ง (‘อธิษฐานด้วยเสียงกระซิบ’ ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่ควรทำตาม ไม่ว่าตัวคุณเองตกอยู่ในสถานการณ์ใด เมื่อคุณมีเพียงแค่เสี้ยววินาทีในการตัดสินใจว่าจะทำอะไร ให้อธิษฐาน ‘ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และข้าพเจ้าทูลพระราชา’ (ข้อ 4–5) เขาอธิษฐานอย่างจริงจัง ตอนนี้เขามีเพียงเวลาแค่แวบเดียวที่จะมองไปยังเบื้องบนก่อนที่จะตอบออกไป

ทันทีที่เขามองไปยังเบื้องบน เขาได้รับคำตอบและได้รับอนุญาตให้ไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อสร้างขึ้นใหม่ (ข้อ 8) หลังจากที่ได้ไปตรวจสอบกำแพงเมืองอย่างลับ ๆ แล้ว (เก็บงำแผนการณ์ของเขาไว้เป็นความลับอย่าชาญชลาด ในขณะที่ประเมินสถานการณ์) เขารวบรวมผู้คนและประกาศแผนของเขา (ข้อ 11-18) เขาทำตามคำอธิษฐานของเขาด้วยการลงมือทำ

ตลอดกระบวนการทั้งหมด เขายังคงจดจ่ออยู่ที่พระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า โดยรับรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้เร้าใจ และทำให้เขาสามารถทำการนี้ได้ ‘พระราชาประทานให้ตามที่ข้าพเจ้าทูลขอ เพราะพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่กับข้าพเจ้า’ (ข้อ 8 อ่านเพิ่มเติมข้อ 12,18) เป็นการง่ายที่จะอธิษฐานบางอย่างแต่หลังจากนั้นก็หลงลืมพระเจ้าเมื่อสิ่งต่าง ๆ เริ่มไปได้ดี อย่างไรก็ตาม เนหะมีย์รู้ตัวอยู่เสมอว่าต้องพึ่งพระเจ้า และไวในการยกชูพระเจ้าหากประสบความสำเร็จ

จงวางใจพระเจ้าว่า พระองค์จะทรงประทานความมั่นใจแก่คุณในการทำตามแผนการณ์ของพระองค์ แม้ต้องเผชิญกับการต่อต้าน ทั้งในเวลาที่ดีหรือร้าย เนหะมีย์มองขึ้นไปยังพระเจ้าเสมอ ‘พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงให้เราทำสำเร็จ และพวกเราผู้รับใช้ของพระองค์จะลุกขึ้นสร้าง’ (ข้อ 20) อย่ายอมให้การต่อต้านทำให้คุณล้มเลิกภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบให้ - จงวางใจพระเจ้าและทำงานนั้นต่อไป จงมองที่เบื้องบนเสมอและวางใจพระเจ้าว่า พระองค์จะเป็นผู้ประทานความสำเร็จให้กับคุณ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า คริสตจักรของพระองค์กำลังถูกทำลาย กำแพงนั้นก็พังลงแล้ว และพระองค์ทรงเรียกเราให้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อเรามองขึ้นไปยังพระองค์แล้วเริ่มลงมือทำ ขอพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เป็นผู้ประทานความสำเร็จแก่เรา

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เนหะมีย์ 2:2

‘และพระราชาตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมหน้าเจ้าเศร้าโศก เจ้าก็ไม่ได้เจ็บป่วยไม่ใช่หรือ? นี่คงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเศร้าใจ” และข้าพเจ้าก็กลัวยิ่งนัก’

เมื่อได้รับโอกาส เนหะมีย์ฉวยเอาไว้ แม้จะกลัวอยู่ก็ตาม การพูดความจริงต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเนหะมีย์ไม่กลัวในตอนนั้น แต่ แม้ว่าจะกลัว แต่เขาก็ยังตัดสินใจพูดออกไป

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม