บริหารสิทธิอำนาจทางจิตวิญญาณอย่างไร
เกริ่นนำ
ผมได้พบกับเขาครั้งแรกเมื่อเขามาบรรยายในวันหยุดสุดสัปดาห์ขณะที่ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แม้ว่าจะเป็นวิทยากรรับเชิญ แต่เขาก็มีความสุภาพมาก และผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน
เมื่อเขาขึ้นพูด เขาก็พูดด้วยสิทธิอำนาจที่แท้จริง ข้อความของเขานั้นเรียบง่าย และเน้นถึงการบอกผู้คนเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซู หลังจากนั้นไม่กี่ปี เขาก็มาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าของคริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตัน ในกรุงลอนดอน
ชายผู้ถ่อมตนและมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งผู้นี้ไม่เพียงแต่นำคริสตจักรของเรา (และคนอื่น ๆ) ในช่วงเวลาสำคัญของการเติบโต แต่เขายังได้ฝึกฝนผู้นำคริสเตียนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสหราชอาณาจักรในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ เดวิด วัตสัน, เดวิด แม็คคิเนส, แซนดี้ มิลลาร์ และจอห์น ไอร์วีน ต่างก็เป็นผู้ช่วยของจอห์น คอลลินส์บาทหลวงผู้ไม่เคยแสวงหาเกียรติยศหรือชื่อเสียง แต่เป็นคนที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อรับใช้ผู้อื่น
สิทธิอำนาจของเราไม่ได้มาจากตำแหน่งในชีวิต หรือจากสิทธิอำนาจทางโลก แต่สิทธิอำนาจของเขามาจากความสัมพันธ์ของเขากับพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นการพิสูจน์ตัวเอง
ปัจจุบันผู้คนคอยระมัดระวังผู้มีสิทธิอำนาจ เพราะพวกเขาอาจถูกข่มเหง แต่สิทธิอำนาจทางจิตวิญญาณเป็นแหล่งของพระพรอันยิ่งใหญ่
สดุดี 29:1-11
พระสุรเสียงของพระเจ้าในพายุใหญ่
เพลงสดุดีของดาวิด
1บรรดาบุตรของพระเจ้าเอ๋ย จงถวายแด่พระยาห์เวห์เถิด
จงถวายพระเกียรติและพระกำลังแด่พระยาห์เวห์
2จงถวายพระเกียรติซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระยาห์เวห์
จงนมัสการพระยาห์เวห์ผู้ทรงงดงามในความบริสุทธิ์
3พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์อยู่เหนือน้ำ
พระเจ้าแห่งพระสิริทรงแผดเสียงดังฟ้าร้อง
พระยาห์เวห์ทรงอยู่เหนือน้ำมากหลาย
4พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์มีอำนาจ
พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์
5พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์โค่นต้นสนสีดาร์
พระยาห์เวห์ทรงโค่นต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน
6พระองค์ทรงทำให้เลบานอนกระโดดเหมือนลูกวัว
และสีรีออนเหมือนวัวกระทิงหนุ่ม
7พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์แวบเปลวเพลิงออกมา
8พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ทำให้ถิ่นทุรกันดารสั่นไหว
พระยาห์เวห์ทรงทำให้ถิ่นทุรกันดารแห่งคาเดชสั่นไหว
9พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ทำให้ต้นโอ๊กหมุนคว้าง
และทำให้ป่าดงโล่งเตียน
และในพระวิหารของพระองค์ทุกคนร้องว่า “พระเกียรติ”
10พระยาห์เวห์ประทับเหนือน้ำท่วม
พระยาห์เวห์ประทับเป็นพระราชาเป็นนิตย์
11ขอพระยาห์เวห์ประทานกำลังแก่ประชากรของพระองค์
ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรประชากรของพระองค์ให้สมบูรณ์พูนสุข
อรรถาธิบาย
พระสุรเสียงแห่งสิทธิอำนาจ
มีความหิวกระหายและความต้องการทางจิตวิญญาณเป็นอย่างมากในสังคม ผู้คนต่างกำลังค้นหาความรู้และประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ในพระธรรมสดุดีตอนนี้ชี้ให้เราเห็นถึง ‘พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์’ (ข้อ 3) ดาวิดอธิบายถึงพลังอันน่าอัศจรรย์ และสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งพระสุรเสียงของพระเจ้า (ข้อ 4-5ก, 7-9ก)
ทุกวันนี้วิธีที่ดีที่สุดในการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าคือ ผ่านทางพระคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ พระวจนะของพระเจ้านั้นเชื่อถือได้ ทรงพลัง และน่าเกรงขาม ‘เราทั้งหลายคุกเข่าลง เราทุกคนร้องว่า “พระเกียรติ!”’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การคุกเข่าลงเป็นวิธีที่เหมาะสมในการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ผมรักที่จะเริ่มต้นในแต่ละวันด้วยการคุกเข่า อ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ พยายามฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และถามพระองค์ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ กำลังตรัสสิ่งใดกับข้าพระองค์ในวันนี้?’
ดาวิดเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ‘บรรดาบุตรของพระเจ้าเอ๋ย จงถวายแด่พระยาห์เวห์เถิด จงถวายพระเกียรติ และพระกำลังแด่พระยาห์เวห์’ (ข้อ 1) อำนาจ พลังและกำลังทั้งหมดเป็นของพระเจ้า อย่างไรก็ตามพระองค์ ไม่ทรงเก็บไว้เองแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคุณฟังพระสุรเสียงของพระองค์พระองค์ทรงแบ่งปันสิทธิอำนาจ พลัง และกำลังของพระองค์ให้กับคุณ ดาวิดลงท้ายว่า ‘ขอพระยาห์เวห์ประทานกำลังแก่ประชากรของพระองค์’ และ ‘ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรประชากรของพระองค์ให้สมบูรณ์พูนสุข’ (ข้อ 11)
ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราต้องการเป็นอย่างมากในขณะที่เราเผชิญกับการต่อสู้ดิ้นรนในชีวิต (ทั้งภายใน และภายนอก) เราต้องการ ‘กำลัง’ และ ‘สันติสุข’ จากพระเจ้า
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงแบ่งปันสิทธิอำนาจ พลัง และกำลังของพระองค์ ให้กับข้าพระองค์ ขอทรงเสริมกำลังของข้าพระองค์เพื่อการต่อสู้ดิ้นรนในวันนี้และขอทรงประทานสันติสุขแก่ ข้าพระองค์ในท่ามกลางพายุของชีวิต
มาระโก 11:27-12:12
ปัญหาเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู
27พระองค์กับพวกสาวกมายังกรุงเยรูซาเล็มอีก ขณะพระองค์ทรงดำเนินอยู่ในบริเวณพระวิหาร พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่มาเฝ้าพระองค์ 28ทูลพระองค์ว่า “ท่านมีสิทธิอำนาจอะไรถึงได้ทำสิ่งเหล่านี้ ใครให้สิทธิอำนาจกับท่าน?” 29พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งเหมือนกัน จงตอบเรา แล้วเราจะบอกพวกท่านว่าเรามีสิทธิอำนาจอะไรถึงได้ทำสิ่งเหล่านี้ 30คือบัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์? จงตอบเราเถิด” 31พวกเขาจึงปรึกษากันว่า “ถ้าพวกเราว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาจะถามว่า ‘ทำไมถึงไม่เชื่อยอห์น?’ 32แต่ถ้าพวกเราว่า ‘มาจากมนุษย์’ อะไรจะเกิดขึ้น?” พวกเขาก็กลัวฝูงชน เพราะทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะจริงๆ 33พวกเขาจึงทูลตอบพระเยซูว่า “พวกเราไม่ทราบ” พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราก็จะไม่บอกท่านทั้งหลายเหมือนกันว่าเรามีสิทธิอำนาจอะไรถึงได้ทำสิ่งเหล่านี้”
มาระโก 12
อุปมาเรื่องสวนองุ่นและคนเช่า
1พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาเป็นอุปมาว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น แล้วก็ล้อมรั้วไว้รอบ เขาสกัดบ่อเก็บน้ำองุ่น และสร้างหอเฝ้า ให้พวกชาวสวนเช่า แล้วก็ไปต่างประเทศ 2เมื่อถึงฤดูผลองุ่น เขาจึงใช้ทาสคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนเหล่านั้นเพื่อจะขอรับส่วนแบ่งผลองุ่นจากสวนของเขา 3แต่คนเหล่านั้นจับทาสคนนั้นมาเฆี่ยนตีแล้วไล่ให้กลับไปมือเปล่า 4เจ้าของสวนจึงใช้ทาสอีกคนหนึ่งไปหาพวกคนเช่าสวนอีก คนเช่าสวนเหล่านั้นก็ทำจนทาสคนนั้นศีรษะแตกและทำให้เขาอับอาย 5ต่อมาเจ้าของใช้ทาสอีกคนหนึ่งไป แต่พวกเขาก็ฆ่าทาสคนนั้น และเป็นเช่นนี้กับทาสอีกหลายคน พวกเขาเฆี่ยนตีบางคน ฆ่าบางคน 6เจ้าของสวนนั้นยังมีอีกคนหนึ่งเหลืออยู่ เป็นบุตรชายที่รักมาก เขาใช้บุตรชายคนนั้นไปเป็นครั้งสุดท้าย พูดว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรชายของเรา’ 7แต่พวกคนเช่าสวนพูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท ฆ่าเสียเลย มรดกจะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 8พวกเขาจึงจับบุตรชายไปฆ่า และเอาศพทิ้งไว้นอกสวน 9เจ้าของสวนนั้นจะทำอย่างไร? ท่านก็จะมาทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้น แล้วเอาสวนองุ่นให้คนอื่นเช่า 10ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือที่ว่า
‘ศิลาที่พวกช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว
กลับกลายเป็นศิลามุมเอก
11สิ่งนี้เป็นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นสิ่งอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาของเรา’ ”
12พวกเขาอยากจะจับพระองค์แต่กลัวฝูงชน เพราะพวกเขารู้ว่าพระองค์ตรัสอุปมานี้กระทบพวกเขา แล้วพวกเขาก็จากพระองค์ไป
อรรถาธิบาย
สิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานให้
พระเยซูทรงตรัสและทรงกระทำด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระองค์ทรงฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และตรัสด้วยถ้อยคำของพระเจ้า นี่คือหัวใจสำคัญถ้าคุณต้องการพูดด้วยสิทธิอำนาจ คุณต้องใช้เวลากับพระเจ้าและฟังพระสุรเสียงของพระองค์
ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจ คำถามเดียวที่ฝ่ายตรงกันข้ามถามพระองค์ คือ สิทธิอำนาจของพระองค์มาจากไหน (11:28) พระเยซูทรงตรัสตอบคำถามเกี่ยวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้อย่างชาญฉลาด
พระองค์ทรงถามพวกเขาว่าบัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากพระเจ้า (‘สวรรค์’) หรือมา ‘จากมนุษย์’ (ข้อ 30) พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามได้ เพราะพวกเขาไม่ต้องการยอมรับว่ามาจากพระเจ้า (เนื่องจากพวกเขาไม่เชื่อในพระองค์) (ข้อ 31) พวกเขาก็ไม่ต้องการตอบว่ามาจากมนุษย์ เพราะพวกเขาเห็นว่า ทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะจริง ๆ (ข้อ 32)
ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินนักเทศน์คนหนึ่งที่เชื่อว่าของประทานเหนือธรรมชาติของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ได้สิ้นสุดลงในยุคของอัครสาวก เขาได้ถูกตั้งคำถามว่า ‘พระวิญญาณที่เคลื่อนไหวในวันเพ็นเทคอสต์เป็นการเคลื่อนไหวของพระเจ้าใช่หรือไม่?’ คำถามนี้กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่คล้ายกับเรื่องราวในพระคัมภีร์วันนี้ เขาไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
การกล่าวว่า ‘มาจากพระเจ้า’ นั้นหมายถึงการตระหนักถึงการไหลล้นของของประทานเหนือธรรมชาติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในโลกยุคปัจจุบันของเรา การปฏิเสธว่ามาจากพระเจ้าจะเป็นการปฏิเสธประสบการณ์ของคริสเตียนกว่า 600 ล้านคนทั่วโลกที่ได้สัมผัสกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผ่านการเคลื่อนไหวในวันเพ็นเทคอสต์
เนื่องจากผู้ที่ถามพระเยซูปฏิเสธที่จะตอบคำถามของพระองค์เกี่ยวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา พระเยซูจึงปฏิเสธที่จะตอบคำถามของพวกเขาเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระองค์ ‘พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราก็จะไม่บอก ท่านทั้งหลายเหมือนกันว่าเรามีสิทธิอำนาจอะไรถึงได้ทำสิ่งเหล่านี้”’ (ข้อ 33ข)
จากนั้นพระเยซูตรัสคำอุปมา ซึ่งมีเจตนาที่จะเปิดเผยถึงที่มาของสิทธิอำนาจของพระองค์ ฝ่ายตรงกันข้ามของพระองค์ก็ตระหนักถึงจุดมุ่งหมายของพระเยซู ซึ่งในพระธรรมมาระโกได้บอกเราไว้ว่า ‘พวกเขาอยากจะจับพระองค์ (พระเยซู) แต่กลัวฝูงชน เพราะพวกเขารู้ว่าพระองค์ตรัสอุปมานี้กระทบพวกเขา’ (12:12)
พระเยซูตรัสคำอุปมาเกี่ยวกับชายคนหนึ่ง ‘ทำสวนองุ่น... แล้วก็ล้อมรั้วไว้รอบ เขาสกัดบ่อเก็บน้ำองุ่น และสร้างหอเฝ้า’ (ข้อ 1) คำอุปมานี้มีพื้นฐานมาจาก อิสยาห์ 5:1-7 ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นเจ้าของสวนและประชากรของพระองค์ (โดยเฉพาะพวกผู้นำ) เป็นสวนองุ่น ในคำอุปมาของพระเยซูผู้รับใช้ที่ถูกส่งไปและถูกฆ่าเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาด้วย พระเยซูจึงกล่าวถึงพระองค์เองในคำอุปมาของพระองค์ว่า ‘เจ้าของสวนนั้นยังมีอีกคนหนึ่งเหลืออยู่ เป็นบุตรชายที่รักมาก เขาใช้บุตรชายคนนั้นไปเป็นครั้งสุดท้าย พูดว่า “พวกเขาคงจะเคารพบุตรชายของเรา”’ (มาระโก 12:6)
พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์มีสิทธิอำนาจพิเศษเพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างบุตรชายที่รักมากและทายาท และเหล่าผู้รับใช้ที่ถูกส่งมาก่อนแต่พระเยซูทรงทราบถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า พระองค์จึงประกาศไปว่าพระองค์ซึ่งเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าจะถูกฆ่า (ข้อ 7-8)
จากนั้นพระองค์ทรงอธิบายว่าผู้นำประชากรของพระเจ้าจะเปลี่ยนเป็นผู้นำคนใหม่ (ผู้นำยุคแรกของคริสตจักร) โดยมีพระเยซูเป็นศิลามุมเอก ‘ศิลาที่พวกช่างก่อสร้างทิ้งแล้วกลับกลายเป็นศิลามุมเอก’ (ข้อ 10, ดูสดุดี 118:22)
พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจพิเศษคือเป็นศิลามุมเอกของประชากรของพระเจ้า ฟังพระสุรเสียงของพระองค์และคุณก็จะได้พูดด้วยสิทธิอำนาจซึ่งเป็นสิทธิอำนาจที่มาจากพระองค์
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าผู้ซึ่งตรัสด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์เดินในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดพระองค์ ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และพูดถ้อยคำของพระองค์อย่างมีสิทธิอำนาจ
เลวีนิติ 9:1-10:20
อาโรนเริ่มทำหน้าที่ปุโรหิต
1ณ วันที่แปด โมเสสก็เรียกอาโรนและบุตรทั้งหลายของเขา รวมทั้งพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 2ท่านกล่าวแก่อาโรนว่า “จงนำลูกโคตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแกะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว ทั้งสองอย่างนี้อย่าให้มีตำหนิ จงถวายบูชาแด่พระยาห์เวห์ 3และกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ‘จงเอาแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ลูกโคตัวหนึ่งกับลูกแกะตัวหนึ่ง ให้ทั้งสองนี้มีอายุหนึ่งปี ปราศจากตำหนิ เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว 4เอาโคผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งเป็นศานติบูชา ถวายบูชาแด่พระยาห์เวห์ พร้อมธัญบูชาเคล้าน้ำมัน เพราะพระยาห์เวห์จะทรงปรากฏแก่ท่านในวันนี้’ ” 5เขาทั้งหลายก็นำสิ่งที่โมเสสบัญชานั้นมายังเต็นท์นัดพบ และชุมนุมชนทั้งหมดก็เข้ามาใกล้ ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 6โมเสสกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายทำ และพระรัศมีของพระยาห์เวห์จะปรากฏแก่ท่านทั้งหลาย” 7โมเสสจึงสั่งอาโรนว่า “จงเข้าไปใกล้แท่นบูชา ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาป และเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของท่าน เพื่อลบล้างบาปสำหรับตัวท่านและสำหรับประชาชน จงนำเครื่องถวายบูชาสำหรับประชาชนมา ลบล้างบาปของเขาทั้งหลาย ดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา”
8อาโรนจึงเข้าไปที่แท่นบูชา ฆ่าลูกโคซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อตัวท่านเอง 9บรรดาบุตรของอาโรนก็นำเลือดมาให้ท่าน ท่านก็เอานิ้วจุ่มเลือดไปเจิมเชิงงอนของแท่นบูชา และเทเลือดลงที่ฐานของแท่น 10ส่วนไขมันและไตกับไขจากตับ จากเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นท่านเผาเสียบนแท่น ดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสไว้ 11ท่านก็เผาเนื้อและหนังเสียด้วยไฟที่นอกค่าย
12ท่านฆ่าสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว แล้วบรรดาบุตรของอาโรนก็นำเลือดมาให้ท่าน ท่านจึงเอาเลือดนั้นประพรมที่แท่น และทุกด้านของแท่น 13และบรรดาบุตรของอาโรนก็ส่งเครื่องบูชาเผาทั้งตัวให้ท่านทีละท่อนพร้อมกับหัว ท่านก็เผาสิ่งเหล่านี้บนแท่น 14ท่านจึงล้างเครื่องในและขาสัตว์ เผาบนเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่แท่นบูชา
15แล้วอาโรนก็นำเครื่องบูชาสำหรับประชาชนมาถวาย ท่านนำแพะซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อประชาชนมา ฆ่าเสียเพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เหมือนสัตว์ตัวแรก 16ท่านก็ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และถวายตามข้อกำหนด 17ท่านก็ถวายธัญบูชาโดยหยิบมากำมือหนึ่งเผาเสียบนแท่นบูชา นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวประจำเวลาเช้า
18ท่านฆ่าโคผู้และแกะผู้เป็นศานติบูชาสำหรับประชาชน บรรดาบุตรของอาโรนนำเลือดมาให้อาโรน อาโรนก็เอาเลือดประพรมที่แท่นบูชาและทุกด้านของแท่น 19แต่ไขมันของโคและไขมันของแกะ กับหางอ้วนใหญ่ และไขมันที่หุ้มเครื่องใน และไตกับไขของตับ 20เขาทั้งหลายวางไว้บนเนื้ออก และอาโรนก็เผาไขมันเสียบนแท่น 21ส่วนเนื้ออกและเนื้อขาขวานั้น อาโรนโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ ดังที่โมเสสบัญชาไว้
22แล้วอาโรนยกมือขึ้นอวยพรประชาชน และลงมาจากการถวายเครื่องบูชาลบล้างบาป เครื่องบูชาเผาทั้งตัวและศานติบูชา 23โมเสสกับอาโรนจึงเข้าไปในเต็นท์นัดพบ เมื่อท่านทั้งสองออกมา ก็อวยพรประชาชน และพระรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็ปรากฏแก่ประชาชนทั้งหมด 24เปลวเพลิงจากพระยาห์เวห์พลุ่งออกมาเผาเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและไขมันซึ่งอยู่บนแท่น เมื่อประชาชนทั้งหลายเห็นก็โห่ร้องและซบหน้าลง
เลวีนิติ 10
นาดับและอาบีฮู
1ฝ่ายนาดับกับอาบีฮูบุตรของอาโรน ต่างนำกระถางไฟของตนมา เอาไฟใส่ในนั้น ใส่เครื่องหอมลงไป เอาไฟที่ต้องห้ามมาเผาถวายบูชาแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์มิได้ทรงบัญชาให้ทำเช่นนั้น 2ไฟก็พุ่งขึ้นมาจากที่พระยาห์เวห์ประทับเผาผลาญเขาทั้งสอง เขาทั้งสองก็ตายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 3โมเสสจึงบอกอาโรนว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ท่ามกลางผู้ที่อยู่ใกล้เรา เราจะสำแดงความบริสุทธิ์ของเรา ต่อหน้าประชาชนทั้งปวง เราจะต้องได้รับการยกย่อง’ ” ฝ่ายอาโรนก็นิ่งอยู่
4โมเสสเรียกมิชาเอลและเอลซาฟานบุตรของอุสซีเอล อาของอาโรน บอกพวกเขาว่า “จงเข้ามาใกล้ หามพี่น้องของเจ้าออกไปนอกค่ายจากหน้าสถานนมัสการ” 5พวกเขาก็เข้ามาใกล้ หามศพทั้งเสื้อออกไปไว้นอกค่ายตามที่โมเสสสั่ง
6โมเสสกล่าวแก่อาโรน เอเลอาซาร์และอิธามาร์บุตรของอาโรนว่า “อย่าปล่อยผมห้อย และห้ามฉีกเสื้อตำแหน่งของท่าน เพื่อท่านจะไม่ต้องตาย และเพื่อพระพิโรธจะไม่ตกเหนือชุมนุมชน แต่พี่น้องของท่านคือวงศ์วานอิสราเอลทั้งหมดจะไว้ทุกข์ เนื่องด้วยพระยาห์เวห์ได้ทรงเผาผลาญก็ได้ 7ห้ามออกนอกประตูเต็นท์นัดพบ เพื่อท่านจะไม่ต้องตาย เพราะน้ำมันเจิมแห่งพระยาห์เวห์อยู่บนท่านทั้งหลาย” พวกเขาก็ทำตามคำของโมเสส
สิทธิและหน้าที่ของปุโรหิต
8พระยาห์เวห์ตรัสกับอาโรนว่า 9“เมื่อตัวเจ้าหรือบุตรของเจ้าจะเข้าไปในเต็นท์นัดพบ ห้ามดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา เพื่อเจ้าจะไม่ต้องตาย ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า 10จงแยกแยะระหว่างของบริสุทธิ์กับของสามัญ ของที่เป็นมลทินกับของที่ไม่เป็นมลทิน 11และสอนคนอิสราเอลให้รู้กฎเกณฑ์ทั้งหมด ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาทั้งหลายทางโมเสส”
12โมเสสกล่าวแก่อาโรน เอเลอาซาร์และอิธามาร์ บุตรของอาโรนที่เหลืออยู่ว่า “จงเอาธัญบูชาซึ่งเหลือจากการบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ มารับประทานที่ริมแท่นบูชาโดยไม่ใส่เชื้อหมายถึง เชื้อขนม เพราะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุด 13จงรับประทานในวิสุทธิสถาน เพราะเป็นส่วนกำหนดของท่านและของบรรดาบุตรของท่าน ที่ได้มาจากเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ เนื่องจากข้าพเจ้าได้รับพระบัญชามาดังนี้ 14แต่เนื้ออกที่โบกถวายและเนื้อขาที่มอบถวายแล้วนั้น จงรับประทานในที่สะอาด ทั้งตัวท่านและบุตรชายบุตรหญิงทั้งหลายของท่านที่อยู่กับท่านก็รับประทานได้ เพราะเป็นส่วนกำหนดของท่าน และส่วนกำหนดของบุตรทั้งหลายของท่านที่ได้มาจากศานติบูชาของคนอิสราเอล 15ให้พวกเขานำเนื้อขาที่ถวายและเนื้ออกที่โบกถวายมาพร้อมกับไขมันของเครื่องบูชาด้วยไฟ เพื่อโบกถวายเป็นเครื่องโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ สิ่งเหล่านี้เป็นของท่านและบุตรทั้งหลายของท่าน เป็นส่วนกำหนดของท่านเป็นนิตย์ ดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้”
16ฝ่ายโมเสสได้พยายามไต่ถามถึงเรื่องแพะ ซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และ ดูเถิด แพะตัวนั้นถูกเผาเสียแล้ว ท่านจึงโกรธเอเลอาซาร์และอิธามาร์ บุตรชายของอาโรนที่เหลืออยู่ โดยกล่าวว่า 17“เหตุไฉนท่านจึงไม่รับประทานเครื่องบูชาลบล้างบาปในวิสุทธิสถาน ในเมื่อเป็นของบริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งได้ให้ท่านเพื่อท่านจะได้แบกรับความผิดของชุมนุมชน เพื่อลบล้างบาปของเขาทั้งหลายต่อพระยาห์เวห์ 18ดูเถิด เลือดสัตว์นั้นก็ไม่ได้นำเข้ามายังวิสุทธิสถานถึงห้องชั้นใน พวกท่านควรจะรับประทานสิ่งเหล่านี้ในวิสุทธิสถาน ตามที่ข้าพเจ้าได้บัญชาแล้วนั้น” 19อาโรนจึงกล่าวแก่โมเสสว่า “ดูเถิด วันนี้เขาได้ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปและเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์แล้ว และเหตุการณ์เหล่านี้ก็ตกที่ข้าพเจ้า ถ้าวันนี้ข้าพเจ้าได้รับประทานเครื่องบูชาลบล้างบาป จะเป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์หรือ?” 20เมื่อโมเสสได้ฟังดังนั้นท่านก็พอใจ
อรรถาธิบาย
สิทธิอำนาจของพระเยซู
การได้เข้าไปในที่ประทับของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ‘พระรัศมีของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏแก่ประชาชนทั้งหมด เปลวเพลิงจากพระยาห์เวห์พลุ่งออกมา... เมื่อประชาชนทั้งหลายเห็นก็โห่ร้องและซบหน้าลงก้มกราบด้วยความยำเกรง’ (9:23-24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ตัวอย่างของนาดับและอาบีฮู (10:1-2) แสดงให้เห็นว่าการเข้าไปในที่ประทับของพระเจ้าไม่ควรกระทำอย่างไม่เห็นคุณค่า ผู้คนในทุกวันนี้มักต้องการความสัมพันธ์กับพระเจ้าตามเงื่อนไขและในรูปแบบของตนเอง เพียงเพราะพระเยซูเท่านั้นที่ทำให้คุณสามารถเข้าไปในที่ประทับของพระเจ้าได้อย่างมั่นใจและปราศจากความกลัว
การเข้าไปในที่ประทับของพระเจ้านั้นเป็นไปได้ ผ่านระบบการถวายเครื่องบูชาที่ซับซ้อน ในพันธสัญญาเดิมมหาปุโรหิตต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับตนเองและประชาชน (9:7-8) เนื่องจากมหาปุโรหิตเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเรา อ่อนแอและเป็นคนบาป เขาจึงต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเองและบาปของประชาชน
พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจพิเศษ พระองค์เป็นมหาปุโรหิตผู้ปราศจากความบาป ดังที่ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวไว้ว่า ‘มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับพวกเราคือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งหลาย และอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์ พระเยซูไม่ต้องนำเครื่องบูชามาทุก ๆ วัน (เหมือนอย่างมหาปุโรหิตคนอื่น ๆ ที่ตอนแรกถวายสำหรับบาปของตัวเอง แล้วจึงถวายสำหรับบาปของประชาชน) เพราะพระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เมื่อพระองค์ทรงถวายพระองค์เอง’ (ฮีบรู 7:26-27)
ด้วยเหตุนี้โดยทางพระเยซูคุณจึงสามารถเข้าถึงที่ประทับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ‘เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปในอภิสุทธิสถานโดยพระโลหิตของพระเยซู ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ทรงเปิดให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้นคือทางพระกายของพระองค์ และเมื่อเรามีปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้าแล้ว ก็ให้เราเข้าไปใกล้ด้วยใจจริง ด้วยความไว้ใจเต็มที่ มีใจที่ได้รับการประพรมให้พ้นจากมโนธรรมที่ไม่ดีและมีการที่ล้างชำระด้วยน้ำสะอาด’ (10:19-22)
คุณสามารถเข้ามาในที่ประทับของพระเจ้าในวันนี้และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ รับกำลังและสันติสุขของพระองค์และพูดด้วยสิทธิอำนาจซึ่งมาจากการได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ได้เข้าไปในอภิสุทธิสถานโดยพระโลหิตของพระเยซู วันนี้ข้าพระองค์ต้องการเข้าใกล้พระองค์ด้วยใจจริง ด้วยความไว้ใจเต็มที่เพื่อได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ รับกำลัง และสันติสุขของพระองค์ และพูดด้วยสิทธิอำนาจซึ่งมาจากการได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 29:11
‘ขอพระยาห์เวห์ประทานกำลังแก่ประชากรของพระองค์ ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรประชากรของพระองค์ให้สมบูรณ์พูนสุข’
นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการในแต่ละวัน คือ ‘กำลัง’ และ ‘สันติสุข’ สันติสุขในโลกที่วุ่นวาย และกำลังที่จะทำทุกสิ่งที่ฉันต้องทำในวันนี้

App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)