วัน 62

ความรัก ความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 28:1-9
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 11:1-25
พันธสัญญาเดิม เลวีนิติ 7:11-8:36

เกริ่นนำ

ในเพลงสุดท้ายของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี นักร้องนำของวงร็อคชื่อดัง ควีน ตั้งคำถามว่า ‘มีใครรู้บ้างไหมว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?’

แม้ว่าในความเป็นจริงเขาได้สะสมความมั่งคั่งรุ่งเรืองมหาศาลและดึงดูดแฟนเพลงนับหลายพันคน เฟรดดี้ เมอร์คิวรี ได้ยอมรับผ่านการสัมภาษณ์สั้น ๆ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1991 ว่าเขาโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า ‘คุณสามารถมีทุกอย่างในโลกใบนี้ และยังคงเป็นคนที่โดดเดี่ยวที่สุด และนั่นเป็นความโดดเดี่ยวที่ขมขื่นที่สุด ความสำเร็จทำให้ผมเป็นคนที่มีชื่อเสียงระดับโลกและทำเงินได้หลายล้านปอนด์ แต่มันทำให้ผมไม่สามารถมีสิ่งเดียวที่เราทุกคนต้องการได้นั่นคือ ความรัก ความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง’

มีเพียงความสัมพันธ์เดียวที่เป็นความรักโดยสมบูรณ์และต่อเนื่องและที่ทำให้เราถูกสร้างขึ้นมา ถ้าปราศจากความสัมพันธ์นี้แล้วจะเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว และขาดความหมาย และเป้าหมายเสมอไป

หัวใจสำคัญของความเชื่อของคริสเตียนคือความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่ซึ่งเราได้พบว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

คุณและผมจะสามารถมีความสัมพันธ์กับพระผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งนี้ได้อย่างไร? ในทางปฏิบัติเราจะเริ่มสื่อสารกับพระเจ้าได้อย่างไร? พื้นฐานของความสัมพันธ์นี้คืออะไร?

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 28:1-9

คำอธิษฐานขอความช่วยเหลือ และคำขอบพระคุณเพราะได้รับคำตอบ

ของดาวิด

1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์
 ศิลาของข้าพระองค์ ขออย่าทรงเงียบเฉยต่อข้าพระองค์
เกรงว่าถ้าพระองค์ทรงเงียบอยู่ต่อข้าพระองค์
 ข้าพระองค์จะเป็นเหมือนคนเหล่านั้นที่ลงไปยังหลุมมรณา
2ขอทรงฟังเสียงวิงวอนของข้าพระองค์
 ขณะเมื่อข้าพระองค์ทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์
ขณะเมื่อข้าพระองค์ชูมือทั้งคู่
 มายังอภิสุทธิสถานของพระองค์
3ขออย่าทรงกวาดข้าพระองค์ไปพร้อมกับคนอธรรม
 กับผู้ทำความชั่ว
ผู้พูดกับเพื่อนบ้านอย่างเป็นมิตร
 แต่การปองร้ายอยู่ในใจของเขา
4ขอทรงตอบสนองพวกเขาตามการงานของเขา
 และตามความชั่วแห่งกิจการของเขา
ขอทรงตอบสนองเขาตามผลงานของมือเขา
 และทรงตอบแทนเขาให้สาสม
5เพราะพวกเขาไม่นับถือพระราชกิจของพระยาห์เวห์
 หรือผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
 พระองค์จะทรงพังเขาลง และไม่สร้างเขาขึ้นอีก
6สาธุการแด่พระยาห์เวห์
 เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงวิงวอนของข้าพเจ้า
7พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้า
 ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์
ข้าพเจ้าจึงได้รับความอุปถัมภ์ และจิตใจของข้าพเจ้าก็ปีติยินดียิ่ง
 ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า
8พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังของประชากรของพระองค์
 พระองค์ทรงเป็นป้อมแห่งความรอดของผู้ที่พระองค์ทรงเจิม
9ขอทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด และขอทรงอวยพรมรดกของพระองค์
 ขอทรงเป็นผู้เลี้ยงดูพวกเขาดุจเลี้ยงแกะ และอุ้มชูเขาไปเป็นนิตย์

อรรถาธิบาย

พัฒนารูปแบบการอธิษฐาน

การอธิษฐานเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยการพูดคุยกับพระองค์ ไม่มีรูปแบบในการอธิษฐาน มีการอธิษฐานหลายร้อยแบบในพระคริสตธรรมคัมภีร์บางครั้งการทำตามรูปแบบก็เป็นประโยชน์ (เช่น คำอธิษฐานของพระเจ้า) อีกรูปแบบหนึ่งที่ผมพบว่าก็เป็นประโยชน์คือการใช้วลี ‘ACTS’ เพื่อช่วยจดจำ องค์ประกอบเหล่านี้มักจะพบในการอธิษฐานที่เราเห็นในพระคริสตธรรมคัมภีร์

บริบทของสดุดีบทนี้คือความกลัว อาจจะกลัวความตายก่อนเวลาอันควรดาวิดอาจกำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยหรือความสิ้นหวังอย่างมาก เขากลัวว่าเขาอาจจะตายด้วยความอับอายและลงไปยัง ‘หลุมมรณา’ (ข้อ 1)

คำอธิษฐานของเขาต่อพระเจ้ามีดังนี้

1.\tA: Adore (เทิดทูน) ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เทิดทูนพระองค์

สาธุการแด่พระยาห์เวห์’ (ข้อ 6ก) แม้ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก ดาวิดเลือกที่จะสรรเสริญพระเจ้า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร จงสรรเสริญพระเจ้าในผู้ที่พระองค์ทรงเป็น และในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เราจะเห็นอีกตัวอย่างหนึ่งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ขณะที่ผู้คนนมัสการพระเยซู (มาระโก 11:9-10)

2.\tC: Confess (สารภาพ) ข้าพระองค์ขอสารภาพ

‘ขอทรงฟังเสียงวิงวอนของข้าพระองค์’ (สดุดี 28:2ก) ทูลขอการอภัยจากพระเจ้าในสิ่งที่คุณทำพลาดไป นี่ยังเป็นช่วงเวลาที่จะให้อภัยใครก็ตามที่คุณจำเป็นต้องให้อภัย ดังที่พระเยซูตรัสไว้ในพันธสัญญาใหม่ในวันนี้ ‘และเมื่อพวกท่านยืนอธิษฐานอยู่ ถ้าพวกท่านมีเรื่องกับใคร จงยกโทษให้คนนั้น เพื่อว่าพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์จะทรงยกโทษความผิดของพวกท่านด้วย’ (มาระโก 11:25)

3.\tT: Thanks (ขอบพระคุณ) ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์

‘จิตใจของข้าพเจ้าก็ปีติยินดียิ่ง ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณพระองค์ด้วยบทเพลงของข้าพเจ้า’ (สดุดี 28:7ค) ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสุขภาพ ครอบครัว เพื่อน และอื่น ๆ ความสำคัญของการขอบพระ คุณก็สามารถเห็น ได้ในการอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมด้วยเช่นกัน (ดูใน เลวีนิติ 7:12-15)

4.\tS: Supplication (คำร้องทูล) ฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์

‘...ขณะเมื่อข้าพระองค์ทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์’ (สดุดี 28:2ก) อธิษฐานเพื่อตัวเอง เพื่อเพื่อนๆ และเพื่อคนอื่น น่าสนใจที่ดาวิดกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ชูมือทั้งคู่’ (ข้อ 2ข) สิ่งนี้ดูเหมือนจะตรงกันกับคำอธิษฐาน การชูมือขึ้นในการนมัสการนั้นไม่ใช่แนวคิดสมัยใหม่ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นรูปแบบในการอธิษฐานอย่างหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุด

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เทิดทูนพระองค์ ข้าพระองค์นมัสการพระองค์ในกาลวันนี้ สาธุการแด่พระองค์ ข้าพระองค์ขอสารภาพความผิดบาปต่อพระองค์... ขอฟังคำร้องทูลขอความเมตตาและอภัยในความผิดบาปของข้าพระองค์ ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับ... ขอทรงฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์ วันนี้ข้าพระองค์ทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์...

พันธสัญญาใหม่

มาระโก 11:1-25

พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต

 1เมื่อพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี และหมู่บ้านเบธานีเชิงเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงใช้สาวกสองคน 2สั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าพวกท่าน ทันทีที่พวกท่านเข้าไป พวกท่านจะพบลูกลาตัวหนึ่งที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลยผูกอยู่ จงแก้มันจูงมาเถิด 3ถ้ามีใครถามว่า ‘พวกท่านทำอย่างนี้ทำไม?’ จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าแปลได้อีกว่า เจ้านายต้องพระประสงค์ แล้วจะส่งกลับมาที่นี่โดยเร็ว’ ” 4สาวกสองคนนั้นจึงไป แล้วพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่นอกประตูที่ถนน พวกเขาจึงแก้มัน 5บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นถามพวกเขาว่า “แก้ลูกลานั้นทำไม?” 6พวกเขาก็ตอบตามพระดำรัสสั่งของพระเยซู แล้วคนเหล่านั้นก็ยอมให้เอาไป 7พวกเขาจึงจูงลูกลามาให้พระเยซู แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูลงบนหลังลา พระองค์จึงทรงลานั้น 8มีคนจำนวนมากเอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนน และบางคนก็ตัดกิ่งไม้ใบไม้เขียวสดจากทุ่งนามาปู 9คนที่เดินไปข้างหน้ากับคนที่ตามมาข้างหลังก็โห่ร้องว่า
โฮซันนา
ขอให้ท่านผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ

10ความเจริญรุ่งเรืองจงมีแก่แผ่นดินที่จะมาตั้งอยู่ ซึ่งเป็นของดาวิดบรรพบุรุษของเรา
โฮซันนา ในที่สูงสุด”
11แล้วพระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มและเข้าไปในบริเวณพระวิหาร เมื่อทอดพระเนตรทุกสิ่งจนทั่วแล้ว เวลาก็จวนค่ำ จึงเสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับสาวกสิบสองคนนั้น

การทรงสาปต้นมะเดื่อ

 12รุ่งขึ้น เมื่อพระองค์กับพวกสาวกออกมาจากหมู่บ้านเบธานีแล้ว พระองค์ก็ทรงหิว 13พอทอดพระเนตรเห็นต้นมะเดื่อมีใบต้นหนึ่งแต่ไกล จึงเสด็จเข้าไปดูว่าจะมีผลหรือไม่ เมื่อมาถึงต้นนั้นแล้ว ไม่เห็นมีผล มีแต่ใบเท่านั้น เพราะยังไม่ถึงฤดูผลมะเดื่อ 14พระองค์จึงตรัสแก่ต้นนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าอีก” เหล่าสาวกก็ได้ยินถ้อยคำที่พระองค์ตรัสนั้น

การทรงชำระพระวิหาร

 15เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหาร แล้วลงมือขับไล่บรรดาคนซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น ทรงคว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงินและคว่ำม้านั่งของคนขายนกพิราบ 16ทรงห้ามใครขนสิ่งใดๆ เดินลัดบริเวณพระวิหาร 17พระองค์ตรัสสอนว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า
‘นิเวศของเราจะได้ชื่อว่านิเวศอธิษฐานสำหรับประชาชาติทั้งหลาย’
แต่ท่านทั้งหลายได้ทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร”
18เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ทราบเรื่องนี้ จึงหาทางที่จะฆ่าพระองค์ เพราะพวกเขากลัวพระองค์ เนื่องจากฝูงชนทั้งหมดประหลาดใจในคำสั่งสอนของพระองค์ 19พอถึงเวลาเย็น พระองค์และสาวกก็ออกไปจากกรุง

คำสอนจากต้นมะเดื่อที่เหี่ยวแห้งไป

 20เมื่อถึงเวลาเช้า ขณะพระองค์กับพวกสาวกเดินผ่านที่นั่น ก็เห็นมะเดื่อต้นนั้นเหี่ยวแห้งไปจนถึงราก 21เปโตรจำได้จึงทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ดูต้นมะเดื่อที่พระองค์ทรงสาปไว้นั้นสิ มันเหี่ยวแห้งไปแล้ว” 22พระเยซูจึงตรัสตอบพวกสาวกว่า “จงมีความเชื่อในพระเจ้า 23เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงลอยลงทะเลไป’ และใจไม่สงสัย แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นไปตามนั้นจริงๆ 24เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น 25และเมื่อพวกท่านยืนอธิษฐานอยู่ ถ้าพวกท่านมีเรื่องกับใคร จงยกโทษให้คนนั้น เพื่อว่าพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ จะทรงยกโทษความผิดของพวกท่านด้วย”

อรรถาธิบาย

อธิษฐานด้วยความเชื่อ

สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่คือเรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าโดยความเชื่อ เราไม่มีสิทธิ์ในการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่มันเป็นของประทานที่ได้รับโดยความเชื่อ ในพระคัมภีร์ตอนนี้เราจะเห็นว่าพระเยซูทรงให้ความสำคัญกับความเชื่อ พระเยซูตรัสว่า ‘จงมีความเชื่อในพระเจ้า’ (ข้อ 22) พระองค์ตรัสว่าด้วยความเชื่อคุณสามารถสั่งภูเขาให้เคลื่อนได้ ถ้าใจไม่สงสัยแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้น (ข้อ 23)

ความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระเจ้าโดยผ่านทางการอธิษฐาน เป็นหัวใจสำคัญของแต่ละเหตุการณ์ที่เราได้อ่านในวันนี้ เมื่อพระเยซูมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มผู้คนต่างก็นมัสการพระองค์ พวกเขาโห่ร้องว่า ‘โฮซันนา’ (ข้อ 9-10) ซึ่งเป็นทั้งเสียงโห่ร้องแห่งความสุขและเสียงโห่ร้องขอความช่วยเหลือ หมายถึง ‘โปรดทรงช่วย ข้าพระองค์อธิษฐานร้องทูล’ หรือ ‘โปรดทรงช่วยเดี๋ยวนี้’

เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงขับไล่คนรับแลกเงินเพราะพระประสงค์ของพระองค์ที่จะให้พระนิเวศของพระเจ้าเป็นสถานที่บริสุทธิ์ พระองค์ตรัสสอนว่า ‘มีพระวจนะเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า “นิเวศของเราจะได้ชื่อว่า นิเวศอธิษฐานสำหรับประชาชาติทั้งหลาย”’ (ข้อ 17)

พระธรรมตอนนี้จบลงด้วยการที่พระเยซูทรงสอนเหล่าสาวกของพระองค์ว่า การไม่ให้อภัยอาจเป็นอุปสรรคต่อการอธิษฐานและต่อความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า ‘และเมื่อพวกท่านยืนอธิษฐานอยู่ ถ้าท่านมีเรื่องกับใคร จงยกโทษให้คนนั้น เพื่อว่าพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ จะทรงยกโทษความผิดของพวกท่านด้วย’ (ข้อ 25)

พระเยซูตรัสว่า เราต้องไม่ ‘มีเรื่องกับใคร’ ไม่มีข้อจำกัดในการให้อภัย การไม่ให้อภัยนั้นทำลายความสัมพันธ์

บางครั้งการให้อภัยต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์กลับคืนมาและนำความสุขมาให้ มีคำพูดที่กล่าวไว้ว่า ‘คนแรกที่เอ่ยคำขอโทษคือคนที่กล้าหาญที่สุด คนแรกที่ให้อภัยคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด คนแรกที่ลืมคือคนที่มีความสุขที่สุด’

ในเหตุการณ์เหล่านี้ พระเยซูได้แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการอธิษฐานในคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ จากเรื่องนี้พระองค์ทรงสอนเหล่าสาวกเกี่ยวกับความสำคัญของความเชื่อและผลของความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า

ต้นมะเดื่อมีใบแต่ไม่ออกผล พระองค์จึงตรัสแก่ต้นนั้นว่า ‘ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าอีก’ (ข้อ 14) ผมชอบวิธีที่ จอยซ์ ไมเยอร์ ใช้ประโยชน์จากคำสอนนี้ ‘ถ้าชีวิตของเราหมุนเวียนรอบ ๆ คริสตจักรแต่เราไม่เกิดผล เราก็ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความเชื่อ’ เราอ่านพระคัมภีร์ ฟังเทศนา และไปประชุมอธิษฐาน แต่ ‘ถ้าเรา ไม่มีเวลาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หรือแม้แต่แสดงความมีน้ำใจ เราก็เป็นเหมือนกับต้นมะเดื่อที่มีใบแต่ไม่เกิดผล... ถ้าเรามีใบเราก็ต้องมีผลด้วย’

พระเยซูทรงอธิบายเชิงคติพจน์ว่าเราต้องมั่นใจอย่างยิ่งถึงความพร้อมของพระเจ้าที่จะทรงตอบสนองต่อความเชื่อ ในหนังสือ Rabbinic บางครั้งใช้คำว่า ‘ภูเขา’ เพื่อเปรียบเปรยถึงอุปสรรค พระเยซูตรัสว่าพระเจ้าจะทรงตอบสนองต่อความเชื่อเพื่อที่จะขจัดอุปสรรคที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ พระองค์ตรัสว่า ‘เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น’ (ข้อ 24)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดบอกข้าพระองค์ว่าในวันนี้มีใครบ้างที่ข้าพระองค์ต้องให้อภัย ช่วยให้ข้าพระองค์ให้อภัย ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระสัญญาอันอัศจรรย์ว่า ‘เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น’ (ข้อ 24) ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทูลขอ....

พันธสัญญาเดิม

เลวีนิติ 7:11-8:36

กฎเกณฑ์เพิ่มเติม

 11“ต่อไปนี้เป็นกฎเรื่องเครื่องศานติบูชาซึ่งคนนำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ 12ถ้าเขาถวายเพื่อขอบพระคุณ พร้อมกับเครื่องบูชาขอบพระคุณนี้ ให้เขาถวายขนมไร้เชื้อเคล้าน้ำมัน ขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมที่ทำจากแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันให้ดี 13พร้อมกันนี้ให้เขานำขนมปังใส่เชื้อหมายถึง เชื้อขนมมาถวายเป็นส่วนของเครื่องบูชา พร้อมกับสัตว์ซึ่งเป็นเครื่องศานติบูชาที่ถวายเพื่อขอบพระคุณ 14ให้เขาถวายเครื่องบูชาเหล่านี้อย่างละก้อนเป็นเครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งจะเป็นส่วนของปุโรหิตผู้เอาเลือดศานติบูชาประพรม 15ส่วนเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นเครื่องศานติบูชาเพื่อขอบพระคุณนั้น เขาจะต้องรับประทานเสียในวันถวายบูชา ไม่ให้เหลือไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น 16ถ้าเครื่องบูชานั้นเป็นเครื่องบูชาแก้บน หรือเป็นเครื่องบูชาตามใจสมัคร ให้เขารับประทานในวันถวายบูชา และในวันรุ่งขึ้นเขายังรับประทานส่วนที่เหลือได้ 17ส่วนเนื้อของเครื่องบูชาที่เหลือถึงวันที่สาม ให้เผาเสียด้วยไฟ 18ถ้าผู้ใดรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นเครื่องศานติบูชาในวันที่สาม ผู้ถวายนั้นจะไม่เป็นที่โปรดปราน และไม่ทรงถือว่า เครื่องบูชานั้นเป็นที่พอพระทัย เป็นการกระทำที่พึงรังเกียจ และผู้ที่รับประทานจะต้องได้รับโทษ
 19“เนื้อที่ไปถูกของที่เป็นมลทินใดๆ ห้ามรับประทาน จงเผาเสียด้วยไฟ เนื้อส่วนอื่นนั้นบุคคลที่สะอาดทุกคนรับประทานได้ 20ถ้าผู้ใดรับประทานเนื้อสัตวบูชาซึ่งเป็นศานติบูชาแด่พระยาห์เวห์ โดยที่ตนยังมีมลทินติดตัวอยู่ ผู้นั้นจะต้องถูกขับออกจากชนชาติของตน 21ถ้าผู้ใดแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทินไม่ว่าจะเป็นมลทินของคน หรือเป็นสัตว์ที่เป็นมลทิน หรือเป็นสิ่งพึงรังเกียจอันใดที่เป็นมลทิน และผู้นั้นมารับประทานเนื้อของศานติบูชาแด่พระยาห์เวห์ ผู้นั้นจะต้องถูกขับออกจากชนชาติของตน”
 22พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 23“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ห้ามเจ้าทั้งหลายรับประทานไขมันของโค ของแกะ หรือของแพะ 24ไขมันของสัตว์ที่ตายเอง และไขมันของสัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นกัดตาย จะนำไปใช้อย่างอื่นก็ได้ แต่ห้ามรับประทานเป็นอันขาด 25ทุกคนที่รับประทานไขมันของสัตว์ซึ่งเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ จะถูกขับออกจากชนชาติของตน 26ยิ่งกว่านั้นอีกห้ามเจ้ารับประทานเลือดในที่ใดๆ ที่เจ้าอาศัยอยู่ ไม่ว่าเลือดนกหรือเลือดสัตว์ 27ผู้ใดรับประทานเลือด ผู้นั้นจะถูกขับออกจากชนชาติของตน”
 28พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 29“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ผู้ใดจะถวายสัตวบูชาซึ่งเป็นศานติบูชาแด่พระยาห์เวห์ ให้ผู้นั้นนำเครื่องบูชาของเขามาถวายแด่พระยาห์เวห์ จากสัตวบูชาซึ่งเป็นศานติบูชาของเขา 30ให้เขานำเครื่องถวายบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์มาด้วยตนเอง ให้เขานำไขมันมาพร้อมกับเนื้ออกนั้น เพื่อเอาเนื้ออกนั้นโบกถวายเป็นเครื่องโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ 31ให้ปุโรหิตเผาไขมันเสียบนแท่นบูชา แต่เนื้ออกนั้นตกเป็นของอาโรนและบรรดาบุตรของเขา 32แต่ขาขวาของสัตว์นั้น เจ้าจงให้ปุโรหิตเป็นเครื่องถวายจากเครื่องบูชาแห่งศานติบูชา 33บุตรของอาโรนผู้ทำพิธีถวายเลือดแห่งศานติบูชาและไขมันจะได้รับขาขวาเป็นส่วนของเขา 34เพราะว่าเนื้ออกที่โบกถวาย และเนื้อขาที่ถวายนั้น เราได้เอาจากคนอิสราเอลจากเครื่องศานติบูชาของเขา และเราได้มอบให้แก่อาโรนปุโรหิต และบรรดาบุตรของเขา เป็นส่วนได้อันถาวรจากคนอิสราเอล 35นี่เป็นส่วนของอาโรนและบรรดาบุตรของเขาที่ได้จากเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งมอบหมายให้แก่เขาทั้งหลายในวันที่พวกเขาถูกถวายไว้เป็นปุโรหิตปรนนิบัติพระยาห์เวห์ 36พระยาห์เวห์ทรงบัญชาคนอิสราเอลให้มอบสิ่งเหล่านี้แก่เขาทั้งหลาย ในวันที่พวกเขาได้รับการเจิมเป็นปุโรหิต เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขาทั้งหลาย” 37ทั้งหมดนี้ เป็นกฎเรื่องเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เครื่องธัญบูชา เครื่องบูชาลบล้างบาป เครื่องบูชาชดใช้บาป เครื่องบูชาเพื่อการสถาปนา และเครื่องศานติบูชา 38ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสบนภูเขาซีนาย ในวันที่พระองค์ทรงบัญชาคนอิสราเอลให้นำเครื่องบูชามาถวายแด่พระยาห์เวห์ ในถิ่นทุรกันดารซีนาย

เลวีนิติ 8

พิธีสถาปนา

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงนำอาโรนและบรรดาบุตรของเขามาพร้อมกับเสื้อตำแหน่ง น้ำมันเจิม โคซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป แกะผู้สองตัว และขนมปังไร้เชื้อตะกร้าหนึ่ง 3แล้วจงเรียกชุมนุมชนทั้งหมดให้ประชุมกันที่ประตูเต็นท์นัดพบ” 4โมเสสก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาแก่ท่าน ชุมนุมชนก็ถูกเรียกให้ประชุมกันที่ประตูเต็นท์นัดพบ
 5โมเสสกล่าวแก่ชุมนุมชนว่า “ต่อไปนี้เป็นสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้ทำ” 6โมเสสก็นำอาโรนและบุตรทั้งหลายของเขามาชำระกายด้วยน้ำ 7แล้วสวมเสื้อให้ คาดผ้าคาดเอวให้ สวมเสื้อคลุมให้ และสวมเอโฟดเป็นเสื้อไม่มีแขนและตัวสั้นคล้ายเสื้อกั๊ก ด้านหน้าประดับประดาด้วยอัญมณีมีค่า ซึ่งเป็นชุดที่จัดทำขึ้นเพื่อปุโรหิตเท่านั้นให้เขา เอาผ้าคาดเอวของเอโฟดที่ทออย่างวิจิตรคาดเอวให้ ผูกเอโฟดให้ติดเขาไว้ 8แล้วโมเสสสวมทับทรวงให้อาโรนและใส่อูริมกับทูมมิมอูริม กับ ทูมมิม คือ วัตถุสองชนิดที่ปุโรหิตใช้เพื่อแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามีลักษณะรูปทรงอย่างไรไว้ในทับทรวงนั้น 9โพกผ้ามาลาบนศีรษะและคาดแผ่นทองคำเป็นมงกุฎบริสุทธิ์ที่ผ้ามาลาด้านหน้า ดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสไว้นั้น
 10โมเสสนำน้ำมันเจิมมาเจิมพลับพลาและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น ชำระให้บริสุทธิ์ 11ท่านเอาน้ำมันเจิมประพรมบนแท่นบูชาเจ็ดครั้ง เจิมแท่นและเจิมภาชนะประจำแท่นทั้งหมด เจิมขันและพานรองขันเพื่อชำระให้บริสุทธิ์ 12ท่านเทน้ำมันเจิมบางส่วนลงบนศีรษะของอาโรน แล้วเจิมเขาไว้เพื่อชำระให้บริสุทธิ์ 13และโมเสสนำบรรดาบุตรของอาโรนเข้ามา สวมเสื้อแล้วคาดผ้าคาดเอวให้ และสวมผ้าโพกศีรษะให้ ดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
 14แล้วท่านนำโคที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเข้ามา อาโรนและบุตรทั้งหลายของเขาก็เอามือของตนวางบนหัวของโค ที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้น 15โมเสสก็ฆ่าโคตัวนั้นเสีย เอานิ้วจุ่มเลือดไปเจิมเชิงงอนทุกด้านของแท่น ชำระแท่นให้บริสุทธิ์ แล้วเทเลือดที่ฐานของแท่น ถวายแท่นไว้เป็นของถวายบริสุทธิ์ เพื่อลบมลทินของแท่นนั้น 16ท่านนำไขมันที่อยู่กับเครื่องในและไขของตับ ไตสองไต พร้อมกับไขมันมา แล้วโมเสสก็เผาสิ่งเหล่านี้เสียบนแท่น 17แต่โค หนังของโค กับเนื้อและมูลของมัน ท่านเผาเสียด้วยไฟภายนอกค่าย ดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสไว้
 18ท่านนำแกะตัวผู้ซึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเข้ามา อาโรนกับบุตรทั้งหลายของเขาเอามือของตนวางบนหัวของแกะตัวผู้นั้น 19โมเสสฆ่าแกะนั้น เอาเลือดประพรมที่แท่นบูชาและทุกด้านของแท่น 20เมื่อสับแกะเป็นท่อนๆ แล้ว โมเสสก็เผาพร้อมกับหัวและไขมัน 21เมื่อเอาน้ำล้างเครื่องในและขาแกะแล้ว โมเสสเผาแกะทั้งตัวบนแท่นบูชา เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เป็นกลิ่นที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ ดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 22ท่านนำแกะผู้อีกตัวหนึ่งเข้ามา คือแกะตัวที่เป็นเครื่องสถาปนา อาโรนและบุตรทั้งหลายของเขาเอามือของตนวางบนหัวแกะตัวผู้นั้น 23โมเสสฆ่าแกะนั้น เอาเลือดเจิมปลายหูข้างขวา นิ้วหัวแม่มือขวา และที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของอาโรน 24แล้วนำบุตรทั้งหลายของอาโรนเข้ามา โมเสสเอาเลือดเจิมปลายหูข้างขวา นิ้วหัวแม่มือข้างขวา นิ้วหัวแม่เท้าข้างขวาของพวกเขา โมเสสเอาเลือดประพรมแท่นบูชาและทุกด้านของแท่น 25แล้วท่านจึงนำไขมัน และหางอ้วนใหญ่ ไขมันทั้งหมดที่อยู่บนเครื่องใน และไขของตับ และไตสองไตกับไขมันที่ติดอยู่ และขาข้างขวา 26และท่านหยิบขนมไร้เชื้อหนึ่งก้อนจากตะกร้าขนมไร้เชื้อ ซึ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ หยิบขนมปังเคล้าน้ำมันก้อนหนึ่ง ขนมแผ่นแผ่นหนึ่ง วางของเหล่านี้ไว้บนไขมัน บนขาข้างขวา 27ท่านนำสิ่งเหล่านี้วางในมือของอาโรน และมือของบุตรทั้งหลายของเขา โบกถวายเป็นเครื่องโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ 28แล้วโมเสสก็นำของเหล่านั้นมาจากมือของเขาทั้งหลาย และเผาเสียบนแท่นบูชา พร้อมกับเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เป็นเครื่องบูชาเพื่อการสถาปนา เป็นกลิ่นที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ 29โมเสสเอาเนื้ออกโบกถวาย เป็นเครื่องโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ ส่วนนี้ของแกะเป็นส่วนของโมเสส เพื่อการสถาปนาตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 30แล้วโมเสสนำน้ำมันเจิมและเลือดซึ่งอยู่บนแท่น ประพรมอาโรนและเสื้อตำแหน่งของเขา ประพรมบรรดาบุตรกับเสื้อตำแหน่งของพวกเขา โดยวิธีนี้แหละท่านก็ชำระอาโรนกับเสื้อตำแหน่งของเขา และบุตรทั้งหลายของเขากับเสื้อตำแหน่งของพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วย
 31โมเสสสั่งอาโรนและบุตรทั้งหลายของเขาว่า “จงต้มเนื้อที่ประตูเต็นท์นัดพบ และรับประทานเสียที่นั่นกับขนมปังซึ่งอยู่ในตะกร้าเครื่องบูชาเพื่อการสถาปนา ดังที่เราบัญชาไว้ ให้อาโรนและบุตรทั้งหลายของเขารับประทาน 32เนื้อและขนมปังที่เหลือนั้นท่านจงเผาด้วยไฟ 33ห้ามท่านทั้งหลายออกไปนอกประตูเต็นท์นัดพบตลอดเจ็ดวัน จนกว่าวันกำหนดสถาปนาของท่านจะครบ เพราะที่จะสถาปนาท่านนั้น ก็กินเวลาเจ็ดวัน 34สิ่งที่ได้ทำในวันนี้ พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้ทำเพื่อลบมลทินของท่าน 35ท่านจงอยู่ที่ประตูเต็นท์นัดพบทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดเจ็ดวัน ทำภารกิจที่พระยาห์เวห์ทรงกำชับไว้ เพื่อท่านจะไม่ต้องตาย เพราะนี่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชามา” 36อาโรนกับบุตรทั้งหลายของเขา ได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาทางโมเสสทุกประการ

อรรถาธิบาย

เข้าใกล้พระเจ้าผ่านทางพระเยซู

วิธีที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนั้นคือผ่านทางปุโรหิต แต่เพราะความบาป มนุษย์จึงไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้โดยตรง พวกเขาต้องกระทำผ่านทางปุโรหิต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาต้องการมหาปุโรหิต

ในพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าอาโรนได้รับการเจิมอย่างไร โมเสส ‘เทน้ำมันเจิมบางส่วนลงบนศีรษะของอาโรน แล้วเจิมเขาไว้เพื่อชำระให้บริสุทธิ์’ (8:12) อาโรนเป็นดั่งผู้มาก่อนของพระเยซูคริสต์ คำว่าคริสต์หมายถึง ‘ผู้ได้รับการเจิม’ การเป็นปุโรหิตของอาโรนนั้นอาจจะทำผิดพลาดได้ เพราะเขาต้องถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปของตนเองและของผู้คนด้วย แต่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ โดยทางพระเยซู คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อย่างมั่นใจ และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระองค์

ดังนั้นผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวไว้ว่า ‘เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ผู้เสด็จผ่านฟ้าสวรรค์แล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เรายึดมั่นในหลักความเชื่อที่ประกาศรับไว้ เพราะว่าเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ’ (ฮีบรู 4:14-16)

อันที่จริงเพราะพระเยซูทรงสละพระองค์เองเพื่อไถ่บาปของคุณ คุณจึงอยู่ในฐานะที่ดีกว่าปุโรหิตในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (เปรียบเทียบ ฮีบรู 10:22 กับเลวีนิติ 8:30) โดยการกลับใจและการให้อภัย ความสัมพันธ์ ของคุณกับพระเจ้าจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และคุณสามารถเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้โดยตรงเหมือนกับที่ปุโรหิตในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมทำเมื่อพวกเขาเข้าไปในเต็นท์นัดพบ ‘ก็ให้เราเข้าไปใกล้ด้วยใจจริง ด้วยความไว้ใจเต็มที่ มีใจที่ได้รับการประพรมให้พ้นจากมโนธรรมที่ไม่ดีและมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำสะอาด’ (ฮีบรู 10:22)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่โดยพระเยซูข้าพระองค์สามารถเข้าใกล้บัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ และได้รับพระเมตตาและพระคุณ ขอโปรดช่วยข้าพระองค์ให้อยู่ใกล้ชิดและเดินไปกับพระองค์ด้วยความรัก ความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 28:6-9

ฉันรักที่พระเจ้าทรงเป็นหลายสิ่งสำหรับเรา พระองค์ทรงเป็นกำลังและโล่ของเรา ทรงเป็นป้อมปราการแห่ง ความรอด และทรงเป็นผู้เลี้ยงดูเราดุจเลี้ยงแกะ และอุ้มชูเราเป็นนิจนิรันดร์

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม