วัน 7

พระพรสองชั้นของคุณ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 6:1-10
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 5:43-6:24
พันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 14:1-16:16

เกริ่นนำ

ผมชอบคำว่า ‘ความเมตตา’ ผมรู้สึกทราบซึ้งใจที่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา วิลเลียม เชกสเปียร์ได้จับเอาความมหัศจรรย์ของพระเมตตาในสุนทรพจน์ของปอร์เชียใน เวนิสวาณิช ที่ว่า

 ‘อันความกรุณาปรานี
 จะมีใครบังคับก็หาไม่
 หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ
 จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
 เป็นสิ่งดีสองชั้น พลันปลื้มใจ
 แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล’
  -องก์ที่ 1 ฉากที่สี่

คุณได้รับพระพรเมื่อคุณได้รับความเมตตา และคุณได้รับพระพรเมื่อคุณเมตตาต่อผู้อื่น

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 6:1-10

คำอธิษฐานขอการหายป่วย

*ถึงหัวหน้านักร้อง ใช้เครื่องสายตามทำนองเชมินิท เพลงสดุดีของดาวิด *

1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงดุว่าข้าพระองค์ด้วยความกริ้ว
 และขออย่าทรงตีสอนข้าพระองค์ด้วยพระพิโรธ
2ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์เพราะข้าพระองค์อ่อนระโหยโรยแรง
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงรักษาข้าพระองค์เพราะกระดูกข้าพระองค์ทุกข์ยากลำบาก
3ทั้งจิตใจข้าพระองค์ก็ทุกข์ยากลำบากยิ่งนัก
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานสักเท่าใด?
4ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงหันมาช่วยชีวิตของข้าพระองค์ด้วยเถิด
 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด เพราะเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์
5เพราะในความตาย ไม่มีการระลึกถึงพระองค์
 ในแดนคนตาย ใครเล่าจะยกย่องพระองค์?
6ข้าพระองค์อ่อนเปลี้ยด้วยการคร่ำครวญ
 และหลั่งน้ำตาท่วมที่นอนทุกคืน
 ที่เอนกายก็ชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา
7ดวงตาข้าพระองค์ร่วงโรยไปด้วยความระทม
 มันอิดโรยเพราะคู่อริทั้งปวงของข้าพระองค์
8เจ้าทุกคนผู้ทำความชั่ว จงพรากไปจากข้า
 เพราะพระยาห์เวห์ทรงสดับเสียงร้องไห้ของข้าแล้ว
9พระยาห์เวห์ได้ทรงสดับคำวิงวอนของข้า
 พระยาห์เวห์ทรงรับคำอธิษฐานของข้า
10ศัตรูทั้งสิ้นของข้าจะอับอายและหวาดหวั่นยิ่งนัก
 เขาทั้งหลายจะหันกลับและจะอับอายในพริบตาเดียว

อรรถาธิบาย

วิงวอนขอพระเมตตา

มีบางช่วงเวลาในชีวิตที่คุณต้องเผชิญกับการดิ้นรนและดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้นบ้างไหม คุณเคยรู้สึก ‘อ่อนระโหยโรยแรง’ (ข้อ 2), ‘ทุกข์ยากลำบาก’ (ข้อ 3), ‘อ่อนเปลี้ย' (ข้อ 6), ‘คร่ำครวญ’ (ข้อ 6), ‘ชุ่มโชก’ (ข้อ 6), ไปด้วย ‘น้ำตา’ (ข้อ 6) และ ‘ร่วงโรยไปด้วยความระทม’ (ข้อ 7) บ้างไหม?

บางครั้งสิ่งนี้อาจเป็นผลมาจากบาปของเราเอง และบางครั้งอาจเกิดจากการสูญเสียคนใกล้ชิด การสูญสิ้นอย่างกะทันหัน ความสัมพันธ์ที่มีปัญหา ครอบครัวแตกแยก ความเจ็บป่วย ปัญหาในการทำงาน การว่างงานหรือการโจมตี

ดาวิดก็ประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน แต่ในท่ามกลางปัญหาเขาร้องทูลขอความเมตตาต่อพระเจ้าว่า ‘ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์’ (ข้อ 2) เขาตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา และได้อธิษฐานว่า ‘ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ เพราะเห็นแก่ความรักมั่นคงและพระเมตตาของพระองค์’ (ข้อ 4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

บางครั้งดูเหมือนว่าความยากลำบากของเราจะไม่มีวันสิ้นสุด และดูจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อเราอยู่ในฤดูกาลแห่งการต่อสู้เราจะร้องทูลออกมากเหมือนดาวิดว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานสักเท่าใด’ (ข้อ 3) เราร้องทูลต่อพระเมตตาและดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่สดับฟัง แต่จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงฟังเรา นั่นจะนำมาสู่จุดที่เราสามารถร้องทูลร่วมกับดาวิดว่า ‘เพราะพระยาห์เวห์ทรงสดับเสียงร้องไห้ของข้าแล้ว พระยาห์เวห์ทรงสดับคำวิงวอนของข้า’ (ข้อ 8–9)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับ ‘ความรักมั่นคงของพระองค์’ (ข้อ 4) และพระเมตตา ขอบคุณที่ทรงสดับฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์และตอบคำอธิษฐาน โอ ข้าแต่พระเจ้าขอโปรดทรงเมตตาข้าพระองค์

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 5:43-6:24

จงรักศัตรู

 43“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า‘จงรักเพื่อนบ้านของท่าน และเกลียดชังศัตรูของท่าน’ 44แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน 45เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม 46เพราะว่าถ้าพวกท่านรักคนที่รักท่าน พวกท่านจะได้บำเหน็จอะไร? พวกคนเก็บภาษีก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? 47ถ้าพวกท่านทักทายแต่พี่น้องของตนเท่านั้น ท่านได้ทำอะไรพิเศษยิ่งกว่าคนอื่นๆ? พวกต่างชาติก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? 48เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม

มัทธิว 6

เรื่องการทำทาน

 1“จงระวัง อย่าทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นท่านทั้งหลายจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์  2“เพราะฉะนั้น เมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้า เหมือนพวกคนหน้าซื่อใจคด ที่ทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อให้คนสรรเสริญ เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกเขาได้รับบำเหน็จของพวกเขาแล้ว 3แต่ท่านเมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การกระทำของมือขวา 4เพื่อว่าทานของท่านจะเป็นทานลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน

เรื่องการอธิษฐาน

 5“เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนพวกหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามมุมถนนต่างๆ เพื่อจะให้คนทั้งปวงเห็น เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าพวกเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว 6ส่วนท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน
7“แต่เมื่อพวกท่านอธิษฐาน อย่าพูดพล่อยๆ ซ้ำซาก เหมือนบรรดาคนต่างชาติเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะโปรดฟัง 8อย่าทำเหมือนพวกเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งพวกท่านจำเป็น พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านจะทูลขอต่อพระองค์ 9เพราะฉะนั้นพวกท่านจงอธิษฐานเช่นนี้ว่า
‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์
 ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
 10ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
 ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์
 ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก
 11ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ในวันนี้
 12และขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์
 เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์
 13และขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง
 แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้ายความชั่วร้าย’

 14“เพราะว่าถ้าพวกท่านให้อภัยการล่วงละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะทรงให้อภัยการล่วงละเมิดของพวกท่านด้วย 15แต่ถ้าพวกท่านไม่ให้อภัยการล่วงละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงให้อภัยการล่วงละเมิดของพวกท่านเหมือนกัน

เรื่องการถืออดอาหาร

 16“เมื่อท่านทั้งหลายถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนพวกคนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาทำหน้าให้มอมแมม เพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกเขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว 17แต่ท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้าและเอาน้ำมันชโลมศีรษะ 18เพื่อคนทั้งหลายจะไม่รู้ว่าท่านถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่าน ผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน

เรื่องการสะสมทรัพย์สมบัติ

 19“อย่าสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้และที่ขโมยอาจทะลวงลักเอาไปได้ 20แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยทะลวงลักเอาไปได้ 21เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย

ประทีปของร่างกาย

 22“ตาเป็นประทีปของร่างกาย เพราะฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยสว่างไปด้วย 23แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ

การเป็นบ่าวสองนาย

 24“ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะว่าเขาจะชังนายข้างหนึ่ง และรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้

อรรถาธิบาย

มีใจเมตตาต่อผู้อื่น

การมีเมตตาต่อผู้อื่นเป็นหัวใจสำคัญในคำสอนของพระเยซู ‘แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์’ (5:44–45ก) ความรักเป็นมากกว่าการแสดงความเมตตา แต่ความเมตตาเป็นส่วนสำคัญของความรัก

พระเยซูให้เหตุผลสามประการในพระธรรมตอนนี้ว่าเหตุใดคุณควรเมตตาต่อผู้ที่ทำผิดต่อคุณ

  1. การมีเมตตาต่อศัตรูคือการเลียนแบบพระบิดาบนสวรรค์ ดังที่พระวจนะกล่าวว่า ‘เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์’ (ข้อ 45ก) พระเมตตาของพระเจ้ายังได้แผ่ขยายไปถึงผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ด้วย ‘เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม’ (ข้อ 45ข)

  2. การมีความเมตตาเป็นสิ่งที่ดึงคุณออกมาจากโลกใบนี้ ‘เพราะว่าถ้าพวกท่านรักคนที่รักท่าน พวกท่านจะได้บำเหน็จอะไร? พวกคนเก็บภาษีก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ?’ (ข้อ 46) เรามักจะรักคนที่เหมือนเราหรือคนที่เราชอบเท่านั้น แต่คุณถูกเรียกให้แตกต่าง คุณถูกเรียกในสิ่งที่ ดีทริค บอนเฮอร์เฟอร์ เรียกว่า ‘“คนพิเศษ"... เป็นจุดเด่นของคริสเตียน’

  3. มีความเชื่อมโยงกันระหว่างการให้อภัยและการได้รับการให้อภัย เราไม่สามารถรับพระเมตตาของพระเจ้าแต่ไม่แสดงความเมตตาต่อผู้อื่นได้ เราไม่ได้รับการให้อภัยโดยการให้อภัยผู้อื่น แต่พระเยซูตรัสว่าการให้อภัยผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในการรับการให้อภัยจากพระเจ้า ‘พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่าน ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ หากคุณปฏิเสธที่จะทำในส่วนของท่าน ท่านก็ตัดตัวเองออกจากส่วนของพระเจ้า’ (6:14ข–15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในทุก ๆ วัน ให้เรารับพระเมตตาและการให้อภัยและให้เรามอบความเมตตาและให้อภัยผู้อื่นด้วยเช่นกัน

พระเยซูทรงอธิบายวิธีการแสดงความเมตตาออกมาในทุกสิ่งที่ทำ พระองค์ทรงเน้นถึงความสำคัญของการอธิษฐาน ทรงตรัสว่า ‘จงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน’ (5:44) การอธิษฐานเผื่อศัตรูช่วยให้คุณมองเห็นพวกเขาเหมือนที่พระเจ้ามองเห็น ในคำอธิษฐาน คุณจะได้ยืนเคียงข้างพวกเขา รับความรู้สึกผิดและความทุกข์ใจของพวกเขาและวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อพวกเขา การอธิษฐานเป็นการทดสอบกรดแห่งความรัก การเข้าถึงความสว่างแห่งการทรงสถิตของพระเจ้าก็จะเผยให้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงในส่วนลึกของจิตใจของเรา

แก่นของความเมตตาเป็นหัวใจสำคัญของคำอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยเช่นกัน ‘ขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์’ (6:12) (แน่นอนว่าคำอธิษฐานนี้แฝงด้วยพระเมตตาอย่างล้นหลามซึ่งเราจะดูในภายหลังในข่าวประเสริฐอื่น ๆ)

เมื่อเราอธิษฐานพระเยซูทรงสอนให้เรา:

  • อธิษฐานอย่างเงียบๆ
     ‘หาที่สงบเงียบ จงเข้าในห้องชั้นในเพื่อท่านจะไม่ถูกทดลองต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 6ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
    \tอธิษฐานอย่างจริงใจ
     ‘อธิษฐานอยู่ที่นั่นอย่างเรียบง่ายและ
    จริงใจ*อย่างสุดกำลัง’ (ข้อ 6ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
  • อธิษฐานอย่างเรียบง่าย
     ‘โดยพระองค์ผู้ทรงรักท่าน จงอธิษฐานอย่างเรียบง่าย’ (ข้อ 9ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ประการสุดท้าย ความเมตตาควรเป็นหัวใจของการให้ ความเอื้ออาทรเป็นรูปแบบหนึ่งของการมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ‘เมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำ กระทำอย่างเงียบ ๆ สงบเสงี่ยม และพระบิดาผู้คลอดเจ้าด้วยความรัก ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับ จะประทานการช่วยเหลือเจ้า’ (ข้อ3–4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ทุกครั้งที่ผมอ่านคำเทศนาบนภูเขา ผมได้เห็นตัวเองว่าอ่อนแอลงไปแค่ไหนและผมก็ตระหนักดีถึงความต้องการพระเมตตา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับพระเมตตาคุณต่อข้าพระองค์ ขอบคุณสำหรับการยกโทษบาป โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะเมตตาผู้อื่นต่อ

พันธสัญญาเดิม

ปฐมกาล 14:1-16:16

ปฐมกาล 14

อับรามช่วยโลท

 1ในสมัยอัมราเฟลกษัตริย์ชินาร์ อารีโอคกษัตริย์เอลลาสาร์ เคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เอลาม และทิดาลกษัตริย์โกยิม 2กษัตริย์เหล่านี้ทำสงครามกับเบ-รากษัตริย์โสโดม กับบิรชากษัตริย์โกโมราห์ กับชินาบกษัตริย์อัดมาห์ กับเชเมเบอร์กษัตริย์เศโบยิม และกับกษัตริย์เบ-ลา(คือโศอาร์) 3กษัตริย์เหล่านี้รวมทัพกันที่หุบเขาสิดดิม(คือทะเลตาย) 4กษัตริย์เหล่านี้ยอมรับใช้กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์สิบสองปี แต่ในปีที่สิบสามก็กบฏ 5ในปีที่สิบสี่ เคโดร์ลาโอเมอร์กับบรรดากษัตริย์ที่อยู่กับท่านนั้นก็ยกมารบชนะคนเรฟาอิมที่อัชทาโรทคารนาอิม กับคนศูซิมที่ฮาม กับคนเอมิมที่ชาเวห์-คีริยาธาอิม 6และคนโฮรีที่แถบภูเขาเสอีร์ จนถึงเอลปารานใกล้ถิ่นทุรกันดาร 7แล้วกลับมาถึงเอนมิสปัท(คือคาเดช) รบชนะเขตแดนทั้งหมดของคนอามาเลขและแม้แต่ของคนอาโมไรต์ที่ตั้งอยู่ ณ ฮาซาโซนทามาร์ 8แล้วกษัตริย์เมืองโสโดม กษัตริย์เมืองโกโมราห์ กษัตริย์เมืองอัดมาห์ กษัตริย์เมืองเศโบยิมและกษัตริย์เมืองเบ-ลา(คือ โศอาร์) ก็ไปรวมกันเพื่อทำสงครามที่หุบเขาสิดดิม 9ปะทะกับเคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เอลาม ทิดาลกษัตริย์โกยิม อัมราเฟลกษัตริย์ชินาร์ และอารีโอคกษัตริย์เอลลาสาร์ กษัตริย์สี่องค์ต่อสู้กับห้าองค์ 10ที่หุบเขาสิดดิมนั้นมีบ่อยางมะตอยเต็มไปหมด เมื่อกษัตริย์เมืองโสโดมและกษัตริย์เมืองโกโมราห์หลบหนี จึงตกลงไปในนั้น ส่วนคนที่เหลือก็หนีไปที่ภูเขา 11ข้าศึกยึดข้าวของและเสบียงอาหารทั้งหมดของโสโดมและโกโมราห์ แล้วก็ไป 12พวกเขาจับโลท (บุตรของน้องชายอับราม) ซึ่งอยู่ที่โสโดม และยึดข้าวของของเขาไปด้วย
 13มีคนหนึ่งหนีมาจากที่รบนั้นบอกให้อับรามคนฮีบรูรู้ อับรามอาศัยอยู่ที่หมู่ต้นโอ๊กของมัมเรคนอาโมไรต์ พี่น้องของเอชโคล์และอาเนอร์ คนเหล่านี้เป็นพันธมิตรของอับราม 14เมื่ออับรามได้ยินว่าญาติของท่านถูกจับไป จึงนำคนชำนาญศึกที่เกิดในบ้านของท่าน 318 คนไล่ตามไปถึงเมืองดาน 15อับรามจึงแบ่งคนเข้าต่อสู้พวกข้าศึกในเวลากลางคืน ทั้งท่านและพวกคนใช้ของท่านโจมตีพวกข้าศึก และไล่ตามพวกเขาไปถึงโฮบาห์เหนือดามัสกัส 16แล้วท่านนำข้าวของทั้งหมดกลับคืนมา และนำโลทญาติของท่านกลับมา พร้อมกับข้าวของของเขา รวมทั้งบรรดาผู้หญิงและประชาชนด้วย

เมลคีเซเดคอวยพรอับราม

17เมื่ออับรามกลับจากการรบชนะกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์และกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันแล้ว กษัตริย์เมืองโสโดมก็มาพบอับรามที่หุบเขาชาเวห์(คือหุบเขาของกษัตริย์) 18เมลคีเซเดคผู้เป็นทั้งกษัตริย์ซาเลมและปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ก็นำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาให้ 19แล้วอวยพรท่าน กล่าวว่า
 “ขอให้อับรามรับพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด
 ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
 20ขอพระเกียรติเป็นของพระเจ้าผู้สูงสุด
 ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในมือของท่าน”
อับรามก็มอบหนึ่งในสิบจากข้าวของทั้งหมดนั้นถวายแก่กษัตริย์เมลคีเซเดค 21ฝ่ายกษัตริย์เมืองโสโดมตรัสแก่อับรามว่า “ขอคืนคนให้แก่เรา แต่ข้าวของนั้นท่านจงเอาไปเถิด” 22อับรามกล่าวแก่กษัตริย์เมืองโสโดมว่า “ข้าพเจ้ายกมือสาบานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 23ว่า แม้เส้นด้ายหรือสายรัดรองเท้า หรือทุกอย่างที่เป็นของของท่าน ข้าพเจ้าก็จะไม่รับเพื่อไม่ให้ท่านพูดได้ว่า ‘เราได้ทำให้อับรามมั่งมี’ 24เว้นแต่เสบียงอาหารที่คนของข้าพเจ้าได้รับประทานเท่านั้น กับส่วนของคนที่ไปกับข้าพเจ้า อาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเร ให้พวกเขารับส่วนของพวกเขาไปเถิด”

ปฐมกาล 15

พันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงทำกับอับราม

 1ภายหลังสิ่งเหล่านี้พระดำรัสของพระยาห์เวห์มาถึงอับรามทางนิมิตว่า “อับรามเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย เราเป็นโล่ของเจ้า บำเหน็จของเจ้าจะมากมายนัก” 2อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์จะทรงให้อะไรแก่ข้าพระองค์? ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย และเอลีเอเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสคนนี้ จะเป็นทายาทของข้าพระองค์” 3อับรามทูลอีกว่า “ขอพระองค์ทรงดู พระองค์ไม่ได้ทรงให้บุตรแก่ข้าพระองค์ แล้วขอทรงดู คนที่เกิดในบ้านของข้าพระองค์ก็จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์” 4เวลานั้นพระดำรัสของพระยาห์เวห์มาถึงอับรามว่า “คนนี้จะไม่ได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้า แต่บุตรชายที่เกิดจากเจ้าจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า” 5พระองค์จึงพาอับรามออกมาข้างนอกแล้วตรัสว่า “มองดูฟ้าสิ ถ้าเจ้าสามารถนับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไป” แล้วพระองค์ตรัสกับท่านว่า “เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น” 6อับรามก็เชื่อพระยาห์เวห์ ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
 7แล้วพระองค์ตรัสแก่อับรามว่า “เราคือยาห์เวห์ผู้พาเจ้าออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย เพื่อจะยกดินแดนนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า” 8อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ข้าพระองค์จะทราบได้อย่างไรว่า จะได้ดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์?” 9พระองค์จึงตรัสแก่อับรามว่า “เอาลูกโคตัวเมียอายุสามปี แพะตัวเมียอายุสามปีและแกะตัวผู้อายุสามปี นกเขาตัวหนึ่งกับนกพิราบตัวหนึ่งมาให้เรา” 10อับรามจึงนำสัตว์ทั้งหมดเหล่านี้มาถวาย และผ่าครึ่งวางข้างละซีกตรงกัน แต่ไม่ได้ผ่าครึ่งนก 11เมื่อฝูงเหยี่ยวบินลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่ไปเสีย
 12เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ใกล้จะตก อับรามก็นอนหลับสนิท เวลานั้นความกลัวและความมืดอย่างยิ่งก็มาทับถมอับราม 13พระองค์จึงตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงรู้แน่เถิดว่าเชื้อสายของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในดินแดนซึ่งไม่ใช่ที่ของพวกเขา และพวกเขาจะต้องรับใช้ชาวเมืองนั้น ชาวเมืองนั้นจะกดขี่เขาถึงสี่ร้อยปี 14ส่วนชนชาติที่เขารับใช้อยู่นั้น เราจะพิพากษาลงโทษ ต่อมาเชื้อสายของเจ้าจะออกมา พร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย 15ฝ่ายเจ้าจะไปยังบรรพบุรุษของเจ้าอย่างสงบ เขาจะฝังศพเจ้าเมื่อเจ้าชรามากแล้ว 16ในชั่วอายุที่สี่ เชื้อสายของเจ้าจะกลับมาที่นี่อีก ด้วยว่าความบาปชั่วของคนอาโมไรต์ยังไม่ครบถ้วน”
 17เมื่อดวงอาทิตย์ตกและมืดมิดก็มีเตาที่ควันพลุ่งอยู่ และคบเพลิงเลื่อนลอยมาระหว่างกลางซีกสัตว์เหล่านั้น 18ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงทำพันธสัญญากับอับรามว่า “เรามอบดินแดนนี้ให้เชื้อสายของเจ้าแล้ว ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ไปถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส 19ทั้งแผ่นดินคนเคไนต์ คนเคนัส และคนขัดโมไนต์ 20 กับคนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนเรฟาอิม 21คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเกอร์กาชีและคนเยบุสด้วย”

ปฐมกาล 16

กำเนิดของอิชมาเอล

 1ฝ่ายนางซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้ท่าน นางมีหญิงคนใช้ชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ 2นางซารายจึงพูดกับอับรามว่า “ดูเถิด พระยาห์เวห์ไม่ทรงให้ฉันมีบุตร ขอจงเข้าไปหาคนใช้ของฉันเถิด บางทีฉันจะได้บุตรโดยนางนั้น” อับรามก็ฟังเสียงนางซาราย 3เมื่ออับรามอยู่ในดินแดนคานาอันได้สิบปีแล้ว นางซารายภรรยาก็ยกฮาการ์คนอียิปต์หญิงคนใช้ของนางให้เป็นภรรยาของอับรามสามีของนาง 4อับรามเข้าไปหานางฮาการ์ นางก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางรู้ว่าตั้งครรภ์แล้วก็ดูหมิ่นนายผู้หญิง 5นางซารายจึงพูดกับอับรามว่า “ให้ความผิดที่ทำต่อฉันตกอยู่กับท่าน ฉันเองให้หญิงคนใช้ไว้ในอ้อมอกของท่าน แต่เมื่อหญิงนั้นรู้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว ก็ดูหมิ่นฉัน ขอพระยาห์เวห์ทรงตัดสินระหว่างฉันกับท่าน” 6อับรามพูดกับนางซารายว่า “นี่แน่ะ หญิงคนใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจของเจ้า จงทำแก่นางตามที่เจ้าเห็นควรเถิด” นางซารายเคี่ยวเข็ญหญิงนั้น จนนางหนีไปให้พ้นหน้า
 7ทูตของพระยาห์เวห์พบหญิงนั้นที่น้ำพุในถิ่นทุรกันดาร ข้างทางที่จะไปชูร์ 8จึงถามว่า “ฮาการ์ หญิงคนใช้ของนางซาราย เจ้ามาจากไหนและเจ้าจะไปไหน?” นางทูลตอบว่า “ข้าพระองค์หนีมาให้พ้นหน้านางซาราย นายของข้าพระองค์” 9ทูตของพระยาห์เวห์จึงกล่าวว่า “กลับไปหานายผู้หญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้บังคับนางเถิด” 10ทูตของพระยาห์เวห์กล่าวแก่หญิงนั้นว่า “เราจะให้เชื้อสายของเจ้าทวีมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน” 11ทูตของพระยาห์เวห์กล่าวแก่นางอีกว่า “นี่แน่ะ เจ้ามีครรภ์แล้ว จะคลอดบุตรชาย และจะตั้งชื่อบุตรนั้นว่าอิชมาเอลแปลว่า พระเจ้าทรงรับฟัง เพราะพระยาห์เวห์ทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า 12บุตรนั้นจะมีนิสัยเหมือนลาป่า มือเขาจะต่อสู้คนทั้งปวง และมือคนทั้งปวงจะต่อสู้เขา เขาจะอาศัยตรงหน้าพี่น้องทั้งปวงของเขา” 13นางฮาการ์จึงเรียกพระนามพระยาห์เวห์ผู้ตรัสแก่นางว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเห็นข้าพเจ้า” เพราะนางพูดว่า “ที่นี่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ ผู้ทรงเห็นข้าพเจ้าจริงๆ หรือ?” 14บ่อน้ำนั้นจึงมีชื่อว่าเบเออลาไฮรอยอยู่ระหว่างคาเดชกับเบเรด
15นางฮาการ์มีบุตรชายกับอับราม อับรามตั้งชื่อบุตรที่นางฮาการ์คลอดนั้นว่าอิชมาเอล 16เมื่อนางฮาการ์คลอดอิชมาเอลให้แก่อับรามนั้น อายุอับรามได้ 86 ปี

อรรถาธิบาย

รับเอาพระเมตตาคุณจากพระเจ้า

ข้อพระธรรมสำคัญสองข้อในการอ่านพระคัมภีร์เดิมสำหรับวันนี้ชี้ให้เห็นถึงวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงพระเมตตากรุณา

1. รับเอาพระเมตตาจากพระเจ้าผ่านทางพระเยซู

 เรื่องราวเริ่มต้นด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะแปลกและไม่เชื่อมโยงเกี่ยวกับกษัตริย์สี่องค์ที่รบชนะกษัตริย์อีกห้าองค์ จากนั้นเรื่องราวได้โยงมาสู่โลท หลานชายของอับราฮัมที่ถูกกษัตริย์ทั้งสี่จับตัวไป (14:12) และได้รับการช่วยเหลือผ่านทางอับราฮัม (ข้อ 16) หลังจากนั้นอับราฮัมกลับมาจากการรบชนะอย่างอัศจรรย์และได้รับพรจากเมลคีเซเดค (ข้อ 18–20)

 สิ่งนี้ได้ถูกอธิบายไว้ในพันธสัญญาใหม่โดยผู้เขียนหนังสือฮีบรู (ฮีบรู บทที่ 7) ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้โดยเล็งไปที่พระเยซู เนื่องจากเมลคีเซเดคผู้อยู่ในฐานะปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุดและเหนือกว่าปุโรหิตชาวเลวีทั้งปวง (ชาวเลวีในฐานะปุโรหิต) อับราฮัมซึ่งเป็นบรรพบุรุษของตระกูลเลวี (ที่อยู่ใน ‘สายเลือดของบรรพบุรุษ’) ได้ถวายสิบลดให้เมลคีเซเดค (ปฐมกาล 14:20) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือชาวเลวีต่างยอมรับในความเหนือกว่าของเมลคีเซเดค

 เมลคีเซเดคเป็นภาพสะท้อนถึงพระเยซูมหาปุโรหิต การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของพระเยซูบนไม้กางเขนส่งผลให้บาปทั้งหมดของเราได้รับการอภัยอย่างสมบูรณ์ นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ฐานะปุโรหิตและการถวายเครื่องเผาบูชาสิ้นสุดลง

 ‘ขนมปังกับเหล้าองุ่น’ (ข้อ 18) เป็นภาพสะท้อนถึงขนมปังและเหล้าองุ่นในพิธีมหาสนิท ที่ได้เล็งไปถึงการเสียสละอันสมบูรณ์แบบของพระเยซูที่ร่างกายของพระองค์แตกสลายและพระโลหิตก็หลั่งออกมาเพื่อให้คุณและผมได้รับการอภัยอย่างสมบูรณ์และได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า

2. รับเอาพระเมตตาจากพระเจ้าด้วยความเชื่อ

 จากนั้นเรื่องราวจะนำไปสู่พระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัมที่ทรงประทานลูกหลานให้พวกเขาจำนวนมากมายเกินจะนับได้แม้ว่าเขาและนางซารายจะแก่ชราและไม่มีบุตรก็ตาม ‘อับรามก็เชื่อพระยาห์เวห์ ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ (15: 6)

 คุณไม่เพียงแต่ได้รับการอภัยเท่านั้น แต่โดยพระเมตตาขององค์พระเจ้ายังประกาศให้คุณเป็น ‘เป็นผู้ชอบธรรม’ (ข้อ 6 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่มักอ้างอิงถึงพระธรรมตอนนี้เพราะได้แสดงให้เห็นว่าความเมตตา การให้อภัยและความชอบธรรมนั้นได้เกิดจากความเชื่อในพระเจ้า (ดูตัวอย่างโรม 4:1–5 กาลาเทีย 3:6)

เป็นที่หนุนจิตชูใจเราอย่างมากที่ได้มีการจดชื่อของอับราฮัมในหนังสือฮีบรูในพันธสัญญาใหม่โดยขนานนามว่าเป็นดั่งบิดาแห่งความเชื่อ รวมถึงพระธรรมของวันนี้ด้วย เราจะเห็นว่าความเชื่อของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิด

เมื่อคำอธิษฐานเรื่องบุตรดูเหมือนจะไม่ได้รับคำตอบ อับราฮัมและนางซารายเลยวางแผนที่จะทำให้พระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จโดยแผนการของมนุษย์ (ปฐมกาล 16:1–2) พวกเขายอมให้อับราฮัมเข้าหากับฮาการ์สาวใช้และตั้งครรภ์อิชมาเอลในเวลาต่อมา (ข้อ 2-4) บาปหนึ่งนำไปสู่อีกบาปหนึ่ง นางซารายปฏิบัติต่อฮาการ์อย่างเคี่ยวเข็ญ (ข้อ 5–6)

นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าถูกเรียกว่า เอล โรอี พระเจ้าผู้ทรงเห็นข้าพเจ้า (16:13) เป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกว่าคุณถูกลืมโดยพระเจ้าโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คุณรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมเช่นเดียวกับนางฮาการ์ แต่จงรู้ไว้ว่าองค์พระเจ้าคือ ‘พระเจ้าผู้ทรงเห็น’ พระองค์สามารถช่วยคุณให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ตามหาคุณท่ามกลางถิ่นทุรกันดารและทรงมองเห็นคุณ

พระเจ้าผู้มองเห็นเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา ในพันธสัญญาใหม่ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ามองข้ามความบาปของซารายและอับราฮัมแต่จดจำเฉพาะความเชื่อของพวกเขาเท่านั้น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับพระเมตตาอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ผ่านการเสียสละอันสมบูรณ์แบบของพระเยซูมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ที่สิ้นพระชนม์เพื่อข้าพระองค์ และที่ข้าพระองค์ไม่ได้สะสมความเมตตาจากพระองค์แต่กลับได้รับเป็นดั่งของขวัญแห่งความเชื่อ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เมื่อพิจารณาถึงเรื่องราวของอับราฮัมทั้งหมด (ปฐมกาล 12:10–20) เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่พระเจ้าให้เครดิตเขาด้วย ‘ความชอบธรรม’ นั้นหมายถึงมีความหวังสำหรับเราทุกคนเช่นกัน

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม