วัน 71

การให้อภัยโดยสมบูรณ์

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 32:1-11
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 15:33-47
พันธสัญญาเดิม เลวีนิติ 23:1-24:23

เกริ่นนำ

บิชอปแซนดี้ มิลลาร์พูดถึงช่วงเวลาที่เขาเดินไปตามชายหาด และเขาสังเกตเห็นว่าบนผืนทรายนั้นเต็มไปด้วยรอยเท้าของคนที่เดินไปก่อนหน้าเขา ในเช้าวันรุ่งขึ้นรอยเท้าเหล่านั้นก็ถูกลบออกโดยน้ำทะเล เขารู้สึกถึงคำพูดของพระเยซูที่ได้ตรัสกับเขาว่า ‘นั่นคือภาพของการให้อภัย’

หรือจะให้เปรียบเทียบอีกแบบหนึ่งก็คือ การให้อภัยของพระเยซูคริสต์ก็เหมือนกับการลบไฟล์สิ่งเลวร้ายทั้งหมดในชีวิตของเรา

การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย เราทุกคนรู้ดีว่าการให้อภัยผู้อื่นนั้นยากเพียงใด แม้กระนั้นเรามักจะคิดว่าการให้อภัยจากพระเจ้าแทบจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ในขณะที่จักรพรรดินีแคทเธอรีนมหาราชแห่งรัสเซีย (1729 -1796) นอนอยู่บนเตียงที่พระองค์เสด็จสวรรคต พระองค์กล่าวว่า ‘ฉันจะเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจเด็ดขาด นั่นคืองานของฉัน พระเจ้าผู้ทรงแสนดีจะทรงให้อภัยฉันนั่นคืองานของพระองค์’

ในบทความของวันนี้ เราเห็นถึงราคาที่สูงมากและพระพรอันยิ่งใหญ่ของการให้อภัยของพระเจ้า ดังที่ พี.ที. ฟอร์สสิธ (1848-1921) ได้ชี้ให้เห็นว่า ก่อนอื่นคือคุณต้องรู้จัก ‘ความรู้สึกผิดอย่างสิ้นหวัง’ จากนั้นคุณจึงจะเห็นคุณค่าของ ‘การให้อภัยอย่างอัศจรรย์’

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 32:1-11

ความสุขของผู้ที่ได้รับการอภัย

ของดาวิด มัสคิลบทหนึ่ง

1บุคคลผู้ซึ่งการละเมิดของเขาได้รับอภัยก็เป็นสุข
 คือผู้ซึ่งบาปได้รับการกลบเกลื่อน
2บุคคลซึ่งพระยาห์เวห์มิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข
 คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในจิตใจของเขา
3เมื่อข้าพระองค์ไม่สารภาพบาป ร่างกายของข้าพระองค์ก็ทรุดโทรมไป
 โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำ
4พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน
 กำลังของข้าพระองค์ก็เหือดแห้งไปอย่างกับถูกความร้อนในหน้าแล้ง
5ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์
 และข้าพระองค์มิได้ปกปิดความชั่วของข้าพระองค์ไว้
ข้าพระองค์ทูลว่า “ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิดของข้าพระองค์ต่อพระยาห์เวห์”
 แล้วพระองค์ทรงอภัยความบาปชั่วของข้าพระองค์
6เพราะฉะนั้น ขอให้ผู้จงรักภักดีทุกคนอธิษฐานต่อพระองค์
 ในเวลาที่จะพบพระองค์ได้ ในเวลาน้ำท่วมมาก
 น้ำจะไม่มาถึงคนนั้น
7พระองค์ทรงเป็นที่กำบังของข้าพระองค์
 พระองค์ทรงปกป้องข้าพระองค์จากความยากลำบาก
 พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลง
8เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป
 เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าและเฝ้าดูเจ้าอยู่
9อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ปราศจากความเข้าใจ
 ซึ่งต้องติดสายผ่าปากและบังเหียน
 มิฉะนั้นมันจะไม่มาใกล้เจ้า
10อันความทุกข์ของคนอธรรมนั้นมีมาก
 แต่ความรักมั่นคงจะล้อมบุคคลที่วางใจในพระยาห์เวห์
11ท่านทั้งหลายผู้ชอบธรรม จงยินดีในพระยาห์เวห์และจงเปรมปรีดิ์
 ทุกท่านผู้มีใจซื่อตรง จงโห่ร้องด้วยความยินดีเถิด

อรรถาธิบาย

สัมผัสความโล่งใจของการให้อภัย

คุณเคยรู้สึกว่ายากที่จะให้อภัยคนอื่น หรือยากที่จะให้อภัยตัวเองในบางสิ่งที่คุณได้ทำลงไปหรือไม่? หัวใจสำคัญในการให้อภัยคนอื่นและให้อภัยตัวเองก็คือการรู้ว่าพระเจ้าทรงให้อภัยคุณมากเพียงใด คนที่รู้จักให้อภัยนั้นจะให้อภัย

ดังที่ ซี.เอส. ลูอิส ได้ชี้ให้เห็นว่า ‘การเป็นคริสเตียนหมายถึงการให้อภัยคนที่ไม่สามารถให้อภัย เพราะพระเจ้าทรงให้อภัยเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ในตัวคุณ’ การให้อภัยตัวเองเป็นสิ่งจำเป็น เขาได้เขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าทรงให้อภัยเรา เราต้องให้อภัยตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนกับว่าเราตั้งตัวเป็นศาลสูงกว่าพระองค์’

โดยทางพระเยซู พระเจ้าทรงประทานการให้อภัยแก่คุณและผม ในพระธรรมสดุดีบทนี้ เราได้เห็นถึงการให้อภัยของพระเจ้าทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ มากมาย นั่นคือ

1.\tปลดปล่อยเราจากการพิพากษา

ดาวิดอธิบายถึงความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณที่ไม่ได้รับการอภัย ‘ร่างกายของข้าพระองค์ก็ทรุดโทรมไปโดยการคร่ำครวญวันยังค่ำ พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหือดแห้งไปอย่างกับถูกความร้อนในหน้าแล้ง’ (ข้อ 3-4)

2.\tมีความโปร่งใสกับพระเจ้า

เส้นทางสู่การให้อภัยคือการเข้ามาหาพระเจ้าโดยไม่มีหน้ากาก หรือไม่เสแสร้ง ‘ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ปกปิดความชั่วของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า “ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิด ของข้าพระองค์ต่อพระยาห์เวห์” แล้วพระองค์ทรงอภัยความบาปชั่วของข้าพระองค์’ (ข้อ 5)

3. การเริ่มต้นใหม่

ดาวิดอธิบายถึงพระพรอันยิ่งใหญ่ของการได้รู้ว่าคุณได้รับการอภัย ‘บุคคลผู้ซึ่งการละเมิดของเขาได้รับอภัยก็เป็นสุข คือผู้ซึ่งบาปได้รับการกลบเกลื่อน บุคคลซึ่งพระยาห์เวห์มิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในจิตใจของเขา’ (ข้อ 1-2)

ลองนึกภาพดูว่าในสมุดบันทึกประจำวันที่เราได้จดบันทึกไว้ ไม่ใช่แค่เพียงจดนัดหมายและการประชุมเท่านั้น แต่จดความบาปทั้งหมดของเราด้วย ในสองข้อแรกของสดุดีบทนี้ได้ให้เราเห็นถึงภาพ 3 ภาพ ของสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำต่อความบาปของคุณ ภาพแรก ‘พระยาห์เวห์มิได้ทรงถือโทษ’ ในความบาปของคุณ (ข้อ 2) พระองค์ทรงทำราวกับว่าความบาปนั้นไม่มีอยู่

ภาพที่สอง ความบาปได้รับ ‘การกลบเกลื่อน’ (ข้อ 1) ราวกับว่าพระเจ้าทรงเอายางลบจากสวรรค์ และลบความบาปทั้งหมดในบันทึกของคุณ ‘ความบาปของคุณถูกลบให้สะอาดแล้ว’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอน นี้จาก The Message โดยผู้แปล) ภาพที่สาม พวกเขาได้รับการ ‘อภัย’ (ข้อ 1ก) แท้จริงแล้วคำนั้นหมายถึง ‘การแยกออก’ หรือ ‘การเอาออก’ บันทึกหน้าที่เกี่ยวกับความบาปของคุณถูกตัดออก และถูกทำลาย ‘คุณได้เริ่มต้นใหม่’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงพระธรรมสดุดีบทนี้เพื่อเป็นหลักฐานว่า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อคุณ พระเจ้าทรงถือว่าคุณเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อและการได้รับการอภัยนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณสามารถได้จากการทำความดี (ดูใน โรม 4:6-8) โดยไม้กางเขน พระเจ้าทรงฟื้นฟูคุณให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ ดังนั้นคุณจึงสามารถอธิษฐานต่อพระองค์ (สดุดี 32:6ก) พระเจ้าทรงเป็น ‘ที่กำบัง’ ของคุณ (ข้อ 7ก) พระองค์ทรงปกป้องคุณจากความยากลำบาก (ข้อ 7ข) พระองค์ทรงนำคุณ (ข้อ 8) และ ‘ความรักมั่นคงของพระองค์ล้อม' ตัวคุณ (ข้อ 10)

สิ่งนี้ไม่ได้มาจากการทำความดี แต่เป็นเรื่องของบุคคลที่วางใจในพระองค์โดยความเชื่อ (ข้อ 10) ความเข้าใจที่ถูกต้องในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมแสดงให้เห็นว่าเส้นทางสู่การให้อภัยคือการกลับใจและความเชื่อ

การให้อภัยไม่ใช่เหตุผลที่จะทำบาป แต่เป็นสิ่งจูงใจที่จะไม่ทำบาป เราต้องการอยู่ในทางของพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงนำคุณ ‘เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าและเฝ้าดูเจ้าอยู่’ (ข้อ 8)

พระองค์ไม่ต้องการให้คุณลำบากในการนำคุณเหมือนม้าหรือล่อที่ต้องควบคุมด้วยสายผ่าปากและบังเหียน (ข้อ 9) พระองค์ต้องการให้คุณหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดของการต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงทำตามการทรงนำของพระวิญญาณ พระองค์ต้องการให้คุณได้ยินพระสุรเสียงในทุก ๆ วัน ฟังคำแนะนำของพระองค์ เดินในทางของพระองค์และวางใจในความรักของพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อข้าพระองค์ เพื่อว่าข้าพระองค์จะได้สัมผัสกับความโล่งใจของการให้อภัย ข้าพระองค์ขอโทษสำหรับสิ่งที่ข้าพระองค์ ได้ทำผิดในชีวิตของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยให้ข้าพระองค์

พันธสัญญาใหม่

มาระโก 15:33-47

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู

 33เมื่อถึงเวลาเที่ยงก็เกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 34พอถึงบ่ายสามโมง พระเยซูก็ทรงร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?” 35บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์” 36มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งถวายให้พระองค์เสวย แล้วกล่าวว่า “คอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาเอาเขาลงหรือเปล่า?” 37แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วก็สิ้นพระชนม์ 38ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง 39ส่วนนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระองค์ เมื่อได้ยินพระองค์ร้องเสียงดัง และเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไร จึงกล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ” 40ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็เฝ้ามองอยู่แต่ไกล ในพวกผู้หญิงเหล่านั้น มีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม 41ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นพวกที่ติดตามและปรนนิบัติพระองค์ เมื่อพระองค์อยู่ที่แคว้นกาลิลี และยังมีผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์

การฝังพระศพพระเยซู

 42เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ และเพราะเหตุว่าวันนั้นเป็นวันเตรียมคือวันก่อนวันสะบาโต 43โยเซฟจากอาริมาเธียซึ่งเป็นสมาชิกสภาและเป็นที่นับถือของคนทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นคนที่กำลังคอยแผ่นดินของพระเจ้า ไปหาปีลาตด้วยความกล้าหาญเพื่อขอพระศพของพระเยซู 44ปีลาตก็ประหลาดใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว จึงเรียกนายร้อยมาถามว่า ตายแล้วหรือ 45เมื่อรู้เรื่องจากนายร้อยแล้ว ท่านจึงมอบพระศพให้แก่โยเซฟ 46แล้วโยเซฟก็ไปซื้อผ้าป่าน และอัญเชิญพระศพลงมา เอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วอัญเชิญพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ซึ่งสกัดจากศิลา แล้วกลิ้งก้อนหินปิดปากอุโมงค์ไว้ 47มารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของโยเสสได้เห็นสถานที่ที่พระศพถูกบรรจุไว้

อรรถาธิบาย

ขอบพระคุณพระเยซูที่ทรงจ่ายราคาของการให้อภัย

ใช้เวลาในวันนี้เพื่อที่จะขอบพระคุณพระเยซูที่พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อคุณ พระเยซูทรงจ่ายราคาสูงมากสำหรับการให้อภัยเรา การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่ายแต่พระเยซูทรงทำให้เป็นไปได้

1.\tพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อคุณ

บางครั้งผู้คนคิดว่าพระเยซูไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจริง ๆ แต่ทรงคืนสภาพในอุโมงค์ฝังศพที่เย็น

ปีลาตตรวจสอบดูว่าพระองค์ทรง ‘สิ้นพระชนม์แล้ว’ (ข้อ 44ก) นายร้อยผู้ดูแลการตรึงกางเขน ยืนยันว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วจริง ทหารโรมันเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรึงกางเขน นายร้อยจะต้องเผชิญกับการลงโทษที่รุนแรงเช่นกันถ้าเขาปล่อยนักโทษที่มีชีวิตไป

โยเซฟชาวอาริมาเธีย ‘อัญเชิญพระศพลงมา เอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วอัญเชิญพระศพไปวาง ไว้ในอุโมงค์ซึ่งสกัดจากศิลา’ (ข้อ 46) โยเซฟต้องสังเกตเห็นถ้าหากว่าพระเยซูยังคงมีชีวิตและยังหายใจอยู่ เขาจะไม่ฝังพระเยซูทั้งเป็น

2.\tพระเยซูทรงถูก ‘ทอดทิ้ง’ เพราะความบาปของเรา

‘...เกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน’ (ข้อ 33) พระเยซูทรงร้องว่า ‘เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี?’ (ข้อ 34ก) มาระโกใช้ภาษาอาราเมคดั้งเดิมสำหรับคำพูดของพระเยซู ซึ่งแปลว่า ‘พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?’ (ข้อ 34ข) ดังที่เราได้เคยเห็นแล้ว นี่เป็นคำพูดที่ยกมาจากพระธรรมสดุดี 22 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ (ดู พระคัมภีร์ในหนึ่งปี วันที่ 46)

3.\tพระเยซูทรงเปิดหนทางสำหรับการให้อภัยและการเข้าสู่ที่ประทับของพระเจ้า

ม่านในพระวิหาร (ดูใน พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมของวันนี้ เลวีนิติ 24:3) ซึ่งเป็นสิ่งที่แยกประชาชนออกจากที่ประทับของพระเจ้านั้นขาดออกเป็นสองท่อนโดยพระเจ้าตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่าง มันคือม่านสูง 60 ฟุตและหนาอย่างน้อยหนึ่งนิ้ว ความจริงที่ว่าม่านถูกฉีกจากด้านบนลงล่าง (ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเอื้อมถึง) เน้นย้ำว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำให้มันขาด

นี่เป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่ว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู คุณจึงได้รับการเข้าถึงพระเจ้า เพราะว่าความบาปของคุณได้รับการอภัยแล้ว พระเจ้าทรงถือว่าคุณเป็นคนชอบธรรม และทรงอนุญาตให้คุณและผมมีสิทธิพิเศษที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ ‘ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละ [พระองค์เอง] เพื่อข้าพเจ้า’ (กาลาเทีย 2:20) ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์สามารถเข้าสู่ที่ประทับของพระเจ้าด้วยความกล้าหาญ และความมั่นใจในพระนามของพระองค์

พันธสัญญาเดิม

เลวีนิติ 23:1-24:23

เทศกาลเลี้ยงตามกำหนด

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งเจ้าจะต้องประกาศว่าเป็นการประชุมบริสุทธิ์ คือเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดของเรานั้นมีดังนี้

สะบาโต ปัสกา และเทศกาลเลี้ยงตามกำหนด

 3“จงทำการงานในหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแห่งการหยุดพักสงบ เป็นวันประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำการงานใดๆ เป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์ ตามที่อยู่ทั่วไปของเจ้า
 4“ต่อไปนี้เป็นเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระยาห์เวห์ เป็นการประชุมบริสุทธิ์ ซึ่งเจ้าจะต้องประกาศกำหนดเวลาให้เขารับรู้ 5ในเวลาเย็นวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่งเป็นวันเทศกาลปัสกาของพระยาห์เวห์ 6และในวันที่สิบห้าเดือนเดียวกัน เป็นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อถวายแด่พระยาห์เวห์ ให้พวกเจ้ารับประทานขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวัน 7ในวันแรกจงมีการประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำงานประจำ 8แต่เจ้าจงถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ให้ครบเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดเป็นวันประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำงานประจำใดๆ”

การถวายผลแรก

 9พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 10“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อพวกเจ้ามาถึงแผ่นดินซึ่งเราให้เจ้า และเกี่ยวพืชผลของแผ่นดินนั้น พวกเจ้าจงเอาพืชผลส่วนหนึ่งที่เก็บเกี่ยวในรุ่นแรกนำไปให้ปุโรหิต 11และปุโรหิตจะนำพืชผลส่วนนั้น ทำพิธีโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ เพื่อพวกเจ้าจะเป็นที่โปรดปราน ในวันรุ่งขึ้นหลังวันสะบาโตปุโรหิตจะทำพิธีโบกถวาย 12ในวันที่เจ้าทำพิธีโบกถวายพืชผล จงถวายลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีที่ไม่มีตำหนิเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวถวายแด่พระยาห์เวห์ 13และเครื่องธัญบูชาที่คู่กันนั้นคือแป้งอย่างดีสองกิโลกรัมเคล้าน้ำมัน เป็นเครื่องบูชาเผาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์เป็นกลิ่นพอพระทัย และเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันคือเหล้าองุ่นหนึ่งลิตร 14ห้ามรับประทานขนมปัง หรือข้าวคั่ว หรือข้าวดิบ จนกว่าจะถึงวันเดียวกันนี้ คือจนกว่าพวกเจ้าจะนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้าของเจ้า ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตามที่อาศัยทั่วไปของพวกเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า

เทศกาลสัปดาห์

 15“ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจนถึงวันสะบาโต จงนับให้ได้ครบเจ็ดสัปดาห์เต็มๆ คือนับจากวันที่พวกเจ้านำพืชผลรุ่นแรกเข้ามาทำพิธีโบกถวายเป็นต้นไป 16นับไปให้ได้ห้าสิบวัน จนถึงวันถัดจากวันสะบาโตที่เจ็ด แล้วเจ้าจงนำเมล็ดใหม่มาถวายแด่พระยาห์เวห์เป็นธัญบูชา 17จงนำขนมปังสองก้อนทำด้วยแป้งสองกิโลกรัมจากที่อาศัยของพวกเจ้ามาทำพิธีโบกถวาย ให้ทำด้วยแป้งอย่างดีใส่เชื้อปิ้งเป็นผลรุ่นแรกถวายแด่พระยาห์เวห์ 18พร้อมกับขนมปังนั้นเจ้าจงนำลูกแกะเจ็ดตัวอายุหนึ่งปีปราศจากตำหนิ โคหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้สองตัว มาเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวถวายแด่พระยาห์เวห์ พร้อมกับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาซึ่งคู่กัน ให้เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นพอพระทัยถวายแด่พระยาห์เวห์ 19จงถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีสองตัวเป็นเครื่องศานติบูชา 20ให้ปุโรหิตโบกถวายพร้อมกับขนมปังซึ่งเป็นผลรุ่นแรก เป็นเครื่องโบกถวายแด่พระยาห์เวห์พร้อมกับลูกแกะสองตัว เป็นของถวายบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์สำหรับปุโรหิต 21และในวันเดียวกันนั้น เจ้าจงประกาศให้มีการประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำงานประจำใดๆ ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตามที่พักอาศัยของเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
 22“และเมื่อเจ้าเก็บเกี่ยวพืชผลในแผ่นดินของเจ้า ห้ามเกี่ยวไปถึงขอบไร่นาจนหมดเกลี้ยง และห้ามเก็บเมล็ดที่เกี่ยวตก จงทิ้งไว้ให้คนยากจนและคนต่างด้าว เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า”

เทศกาลเสียงแตร

 23พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 24“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ในวันที่หนึ่งของเดือนที่เจ็ด เจ้าทั้งหลายจงถือเป็นวันหยุดพักสงบวันหนึ่ง เป็นวันประชุมบริสุทธิ์ ประกาศเป็นที่ระลึกด้วยเสียงแตร 25ห้ามทำงานประจำใดๆ และจงนำเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์”

วันลบมลทิน

 26พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 27“ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดนี้เป็นวันลบมลทิน จะเป็นวันประชุมบริสุทธิ์แก่เจ้า และจงปฏิเสธความปรารถนาของเจ้า และนำเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ 28ในวันเดียวกันนั้นห้ามทำงานทุกอย่าง เพราะเป็นวันลบมลทิน ที่จะทำการลบมลทินของเจ้าต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า 29ในวันเดียวกันนี้ ถ้าผู้ใดไม่ปฏิเสธความปรารถนาของตนเอง ก็ให้ไล่ผู้นั้นออกจากท่ามกลางชนชาติของตน 30และในวันเดียวกันนี้ถ้าผู้ใดทำงานใดๆ เราจะทำลายผู้นั้นเสียจากท่ามกลางชนชาติของเขา 31ห้ามทำงานทุกอย่าง ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตามที่พักอาศัยของเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า 32จะเป็นวันสะบาโตสำหรับหยุดพักสงบแก่เจ้า และพวกเจ้าต้องปฏิเสธความปรารถนาของเจ้า เริ่มแต่เวลาเย็นในวันที่เก้าของเดือน เจ้าต้องรักษาวันสะบาโตจากเวลาเย็นถึงเวลาเย็น”

เทศกาลอยู่เพิง

 33พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 34“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ในวันที่สิบห้าเดือนที่เจ็ดนี้ เป็นวันเทศกาลอยู่เพิง ถวายแด่พระยาห์เวห์ทั้งสิ้นเจ็ดวัน 35จะมีการประชุมบริสุทธิ์ในวันแรก ห้ามทำงานประจำใดๆ 36จงนำเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ทั้งเจ็ดวัน ในวันที่แปดเจ้าจงมีการประชุมบริสุทธิ์ และนำเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ เป็นการประชุมตามพิธี ห้ามทำงานประจำใดๆ  37“ต่อไปนี้เป็นเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งเจ้าต้องประกาศเป็นเวลาประชุมบริสุทธิ์ เพื่อถวายสิ่งต่อไปนี้แด่พระยาห์เวห์ คือเครื่องบูชาด้วยไฟ เครื่องบูชาเผาทั้งตัวและธัญบูชา ทั้งเครื่องสัตวบูชาและเครื่องดื่มบูชา ให้ถวายแต่ละอย่างตามวันที่กำหนดไว้ 38นอกเหนือจากวันสะบาโตแห่งพระยาห์เวห์ นอกเหนือจากของถวายของเจ้า นอกเหนือจากเครื่องบูชาแก้บนของเจ้า และนอกเหนือจากเครื่องบูชาด้วยใจสมัครของเจ้าซึ่งเจ้านำมาถวายแด่พระยาห์เวห์
 39“ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด เมื่อเจ้าได้เก็บพืชผลที่ได้จากแผ่นดินนั้นเข้ามาแล้ว เจ้าจงมีเทศกาลเลี้ยงแด่พระยาห์เวห์เจ็ดวัน ในวันแรกให้หยุดพักสงบ และในวันที่แปดก็ให้หยุดพักสงบ 40ในวันแรกจงนำมาซึ่งผลจากต้นมะนาว ใบอินทผลัม กิ่งไม้ที่มีใบมาก กิ่งต้นหลิว และจงปีติยินดีอยู่เจ็ดวันต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า 41จงถือเป็นพิธีเทศกาลเลี้ยงปีละเจ็ดวันถวายแด่พระยาห์เวห์ ทั้งนี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เจ้าจงถือพิธีนี้ในเดือนที่เจ็ด 42จงอยู่ในเพิงเจ็ดวัน ทุกคนที่เป็นชาวพื้นเมืองอิสราเอลให้เข้าอยู่ในเพิง 43เพื่อชาติพันธุ์ของเจ้าจะได้รับรู้ว่า เมื่อเราพาคนอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้น เราได้ให้เขาอยู่ในเพิง เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า”
 44ดังนี้แหละ โมเสสจึงได้ประกาศให้คนอิสราเอลทราบถึงเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดของพระยาห์เวห์

เลวีนิติ 24

การดูแลรักษาประทีป

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“เจ้าจงบัญชาแก่คนอิสราเอลให้นำน้ำมันบริสุทธิ์ คั้นจากมะกอกเพื่อเติมประทีป ให้ตะเกียงส่องแสงอยู่เสมอ 3ภายในเต็นท์นัดพบข้างนอกม่านหีบแห่งสักขีพยานนั้น ให้อาโรนจัดประทีปให้เป็นระเบียบตั้งแต่เวลาเย็นจนเวลาเช้าเสมอไปต่อพระยาห์เวห์ ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า 4ให้อาโรนจัดประทีปให้เป็นระเบียบอยู่บนคันประทีปทองคำบริสุทธิ์เสมอไปแด่พระยาห์เวห์

ขนมปังสำหรับพลับพลา

 5“จงเอาแป้งอย่างดีปิ้งขนมปังสิบสองก้อน ก้อนหนึ่งใช้แป้งสองกิโลกรัม 6จงจัดขนมปังนั้นวางบนโต๊ะทองคำบริสุทธิ์ เป็นสองแถว แถวละหกก้อนแด่พระยาห์เวห์ 7และเจ้าจงเอากำยานบริสุทธิ์ใส่ไว้ทุกแถว เพื่อจะคู่กับขนมปังเป็นส่วนอนุสรณ์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ 8ทุกๆ วันสะบาโตให้อาโรนจัดไว้ให้เป็นระเบียบถวายแด่พระยาห์เวห์เสมอไปในนามของอิสราเอล เป็นพันธสัญญานิรันดร์ 9ให้ขนมนี้ตกเป็นของอาโรนและบุตรชายของเขา ให้เขารับประทานได้ในที่บริสุทธิ์ เพราะเป็นส่วนบริสุทธิ์ที่สุดที่ได้จากเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ เป็นกฎเกณฑ์ถาวรสำหรับพวกเขา”

โทษของการเหยียดหยามพระนาม

 10ครั้งนั้นมีชายคนหนึ่งมีมารดาเป็นชาวอิสราเอล ส่วนบิดาเป็นชาวอียิปต์ออกไปท่ามกลางคนอิสราเอล และบุตรชายของหญิงอิสราเอลนี้ทะเลาะกับชายอิสราเอลคนหนึ่งในค่าย 11และบุตรชายของหญิงอิสราเอลคนนี้ได้เหยียดหยามพระนามและได้แช่งด่า เขาทั้งหลายจึงนำตัวเขามาให้โมเสส มารดาของเขาชื่อเชโลมิทบุตรสาวของดิบรีคนเผ่าดาน 12เขาทั้งหลายจึงขังชายคนนั้นไว้ จนกว่าพระประสงค์ของพระยาห์เวห์จะเป็นที่กระจ่างต่อเขาทั้งหลาย
 13พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 14“จงนำผู้ที่แช่งด่านั้นออกมาจากค่าย ให้บรรดาผู้ที่ได้ยินคำแช่งด่า เอามือของตนวางไว้บนศีรษะของเขา และให้ชุมนุมชนเอาหินขว้างเขาให้ตาย 15และจงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ผู้ใดแช่งด่าพระเจ้าของเขา ผู้นั้นจะต้องได้รับโทษบาป 16ผู้ใดเหยียดหยามพระนามพระยาห์เวห์จะต้องถูกลงโทษถึงตาย ให้ชุมนุมชนขว้างเขาเสียให้ตาย คนต่างด้าวหรือชาวเมืองก็ดี เมื่อเขาเหยียดหยามพระนาม จะต้องถูกลงโทษถึงตาย 17ผู้ที่ฆ่าคนตายจะต้องถูกลงโทษถึงตาย 18ผู้ที่ฆ่าสัตว์จะต้องชดใช้สัตว์ ชีวิตแทนชีวิต 19ถ้าผู้ใดทำให้เพื่อนบ้านเสียโฉม เขาทำให้เสียโฉมอย่างไร ก็ให้ทำแก่เขาอย่างนั้น 20กระดูกหักแทนกระดูกหัก ตาแทนตา ฟันแทนฟัน เขาทำให้เสียโฉมอย่างไร เขาก็ต้องถูกทำให้เสียโฉมอย่างนั้น 21ผู้ใดที่ฆ่าสัตว์ต้องเสียค่าชดใช้ และผู้ใดที่ฆ่าคน ให้ผู้นั้นถูกลงโทษถึงตาย 22จงมีกฎหมายอย่างเดียวกันสำหรับคนต่างด้าว และสำหรับคนท้องถิ่น เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า” 23โมเสสก็กล่าวแก่คนอิสราเอล ดังนั้นพวกเขาจึงพาคนที่แช่งด่านั้นออกมาจากค่าย และเอาหินขว้างเขาตาย คนอิสราเอลทำดังนี้ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสไว้

อรรถาธิบาย

เข้าใจว่าการอภัยไม่ได้เกิดขึ้นโดยเรา แต่เกิดขึ้นเพื่อเรา

เราได้เห็นในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมว่าความบาปนั้นร้ายแรงเพียงใด มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และการให้อภัยก็ไม่ควรได้รับอย่างไม่เห็นคุณค่า

ความยุติธรรมต้องการความเท่าเทียมกัน ‘ชีวิตแทนชีวิต’ (24:18) ‘กระดูกหักแทนกระดูกหัก ตาแทนตา ฟันแทนฟัน’ (ข้อ 20) กฎนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่มีไว้สำหรับศาลเพื่อป้องกันความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น

มันแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการลงโทษต่อความบาปอย่างเหมาะสม (ซึ่งมันบังเอิญอยู่ภายใต้กฎการหมิ่นประมาทพระเจ้า ข้อ 10-16 ซึ่งพระเยซูเองถูกลงโทษถึงตายดังที่เราได้เห็นในพระธรรมมาระโก 14:64)

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเป็นดั่งเงาสะท้อนล่วงหน้า การอภัยความบาปต้องใช้เครื่องบูชา ต้องใช้ลูกแกะ ลูกแกะต้องสมบูรณ์แบบ ‘ไม่มีตำหนิ’ (เลวีนิติ 23:12) อัครทูตเปาโลอธิบายถึงพระเยซูว่าทรงเป็น ‘ปัสกาของเรา (ผู้) ถูกถวายบูชาแล้ว’ (1 โครินธ์ 5:7)

การให้อภัยไม่สามารถทำขึ้นได้ ในวันแห่งการลบมลทิน คือ ‘การลบมลทินของเจ้า’ (เลวีนิติ 23:28) มันไม่ได้ถูกทำขึ้นโดยคุณแต่ทำขึ้นเพื่อคุณ นี่เป็นคำสอนที่เป็นรากฐานและวัฏจักรของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เมื่อคุณได้เข้าใจว่าการให้อภัยนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรผ่านทางพระเยซู มันจะทำให้คุณอัศจรรย์ใจอย่างมากและจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปโดยสิ้นเชิง และเมื่อคุณได้รู้ว่าคุณได้รับการอภัยทั้งสิ้นจากพระเจ้า คุณต้องให้อภัยผู้อื่นและคุณต้องให้อภัยตัวเอง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงปลดปล่อยให้ข้าพระองค์เป็นอิสระจากกฎทั้งหมดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงเป็น ‘พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป!’ (ยอห์น 1:29) ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงทำการลบมลทินเพื่อข้าพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความน่าอัศจรรย์ใจอย่างมากของการให้อภัยของพระองค์ ซึ่งเปลี่ยนชีวิตของข้าพระองค์ และเป็นการให้อภัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มาระโก 15:40-41

ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ เมื่อพระเยซูทรงเอาชนะอำนาจแห่งความมืด สาวกทั้งหมดและเหล่าผู้ที่ติดตามพระองค์ได้ละทิ้งพระองค์ไป แต่พวกผู้หญิงอยู่ที่นั่นตรงที่ไม้กางเขน ช่างเป็นความกล้าหาญและความภักดี ในวัฒนธรรมที่ดูเหมือนว่าผู้หญิงแทบจะถูกมองข้าม พระเยซูทรงให้อำนาจกับพวกเธอ ‘มีผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์’ (มาระโก 15:41) พวกผู้หญิงที่ได้รับอำนาจจากพระเยซู เมื่อรวมตัวกันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม