พระเจ้าดี - ตลอดเวลา
เกริ่นนำ
ในบรรดาเรือนจำทั้งหมดที่พิพพาและผมเคยไปทั่วโลก ที่ซึ่งเลวร้ายที่สุดอยู่ในลูซากา แซมเบีย เรือนจำแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1950 สำหรับผู้ชาย 250 คน วันนี้มีมากกว่า 1,300 คน ห้องขังซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรองรับคน 50 คน ปัจจุบันเป็นเรือนพักของชายกว่า 150 คน พวกเขาถูกคุมขังอยู่ในห้องขังตั้งแต่สองทุ่ม จนถึงแปดโมงเช้าของอีกวัน ไม่มีที่ว่างเพียงพอให้พวกเขา ทุกคนต้องนอนราบในคราวเดียวกัน พวกเขาต้องผลัดกันพลิกตัว ทั้งกลิ่นเหม็นและความร้อนในห้องขังแทบทนไม่ได้ หากนักโทษไม่มีโรคเอดส์ หรือวัณโรคเมื่อเข้าไปในเรือนจำ ก็มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อในไม่ช้าหลังจากนั้น
ที่ลานสนามใจกลางเรือนจำที่ล้อมรอบไปด้วยห้องขัง เราจัดประชุมที่นั่น อาจเป็นเพราะไม่มีอะไรให้ทำ ผู้ต้องขังเกือบทุกคนเลยได้เข้าร่วมกลุ่มกับเรา การประชุมนี้นำโดยชายที่รอการพิจารณาคดีมาสี่ปี เขาเป็นศิษยาภิบาลคริสเตียนที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิด (ซึ่งโทษในอังกฤษน่าจะเป็นค่าปรับเล็กน้อยหากเขาถูกตัดสิน) แม้ว่าเขาอาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ชายคนนี้ก็อิดโรยอยู่ในคุกเป็นเวลาสี่ปีโดยไม่ได้รับการตัดสินไม่มีการพิจารณาคดี โดยไม่รู้ว่าเขาจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อใด
ผมจะไม่มีวันลืมคำพูดตอนเปิดงานของเขาในขณะที่เริ่มนำการประชุม ‘พระเจ้าดี ตลอดเวลา’ นี่คือชาย คนหนึ่งที่เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในความแสนดีของพระเจ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์ของเขา แต่เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้เขารู้จัก และมีประสบการณ์กับความแสนดีของพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ทรมานอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะพบว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพที่น่ากลัวและเลวร้ายของคุกนี้ แต่เขาก็ทำตามแบบอย่างของพระเยซู และ ‘เสด็จไปทำคุณประโยชน์’ (กิจการ 10:38)
ดังที่จอห์น เวสลีย์ กล่าวว่า ‘ทำดีทุกอย่างที่ทำได้ โดยทุกวิถีทางที่คุณทำได้ ในทุกทางที่คุณทำได้ ในทุกที่ที่ คุณทำได้ ตลอดเวลาที่คุณทำได้ กับทุกคนที่คุณทำได้ ตราบเท่าที่คุณสามารถทำได้’
สดุดี 35:19-28
19ขออย่าให้พวกศัตรูผู้ทรยศยินดีเย้ยข้าพระองค์
และอย่าให้บรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์อย่างไร้เหตุผลได้ส่งสายตายิ้มเยาะข้าพระองค์
20เพราะเขาไม่พูดจาอย่างเป็นมิตร
แต่คิดถ้อยคำหลอกลวง
ต่อผู้ที่อยู่อย่างสงบในแผ่นดิน
21พวกเขาอ้าปากกว้างใส่ข้าพระองค์
เขากล่าวว่า “ฮะฮ้า ฮะฮ้า
เราได้เห็นกับตาแล้ว”
22ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้ว ขออย่าทรงนิ่งเฉย
ข้าแต่องค์เจ้านาย ขออย่าสถิตไกลจากข้าพระองค์
23ข้าแต่พระเจ้า องค์เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงลุกขึ้น ขอทรงตื่นขึ้น เพื่อปกป้องสิทธิของข้าพระองค์
เพื่อพิจารณาคดีของข้าพระองค์เถิด
24ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอประทานความเป็นธรรม
แก่ข้าพระองค์ตามความชอบธรรมของพระองค์
และขออย่าให้พวกเขายินดีเย้ยข้าพระองค์
25อย่าให้พวกเขารำพึงในใจว่า
“ฮะฮ้า เราได้สมใจแล้ว”
อย่าให้เขากล่าวได้ว่า “เราได้กลืนเขาแล้ว”
26ขอให้พวกเขาอับอายและอดสูด้วยกัน
คือเขาผู้เปรมปรีดิ์ในความหายนะของข้าพระองค์
ขอให้พวกเขาห่มความอับอายและความขายหน้า
คือเขาผู้อวดตัวสู้ข้าพระองค์
27ขอให้บรรดาผู้ที่เห็นชอบในชัยชนะของข้าพระองค์
โห่ร้องและยินดี
และกล่าวเสมอว่า
“พระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่
พระองค์ผู้พอพระทัยในความสมบูรณ์พูนสุขของผู้รับใช้ของพระองค์”
28แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความชอบธรรมของพระองค์
และจะสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ
อรรถาธิบาย
พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งเพื่อผลดีแก่คุณ
พูดกันตรง ๆ ไม่ใช่ทุกคนเป็นคนดี บางคนเกลียดชังเราอย่างไร้เหตุผล และแสดงเจตนาร้าย (ข้อ 19)
มีความแตกต่างอย่างมากในพระธรรมนี้ระหว่างความยากลำบากที่ดาวิดกำลังเผชิญจากคนรอบข้างกับความดีของพระเจ้าในพระคัมภีร์ The Message เสนอความแตกต่างนี้โดยใช้คำว่า ‘ดี' สี่ครั้ง แต่ในบริบทที่แตกต่าง:
1.\tระวังกลุ่มคนที่ ‘ไม่หวังดี’
จะมีบางครั้งในชีวิตของคุณและในชีวิตชุมชนของคุณถูกโจมตีจากผู้ที่กำลัง ‘คิดถ้อยคำหลอกลวง’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘พวกเขาไม่พูดจาอย่างเป็นมิตร แต่คิดถ้อยคำหลอกลวง’ (ข้อ 20) ดาวิดกล่าวว่า ‘จะไม่มีความดีใด ๆ ออกมาจากฝูงชนนั้น’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
2.\tการมี ‘ช่วงเวลาที่ดี’ ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
ดาวิดพูดถึง ‘ช่วงเวลาที่ดี’ ของกลุ่มคนเหล่านี้ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขากำลังมี ‘ความเปรมปรีดิ์เหนือความทุกข์ของ (ดาวิด)’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาเกลียดดาวิดโดยไร้เหตุผล ‘ขยิบตาและส่งสัญญาณ’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาคิดว่าพวกเขามี ‘ช่วงเวลาที่ดี’ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ดีเลย
3.\tพระเจ้าทรงทำทุกสิ่งเพื่อผลดี
‘พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ - ทุกสิ่งทำงานร่วมกัน เพื่อส่งผลดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์’ (ข้อ 27, พระคัมภีร์ ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าทรงรับแม้สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นและถูกกล่าวถึงเกี่ยวกับ คุณและทรงใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อผลดีแก่คุณ ‘เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า’ (โรม 8:28)
4.\tบอกให้โลกรู้ว่าพระเจ้าทรงดีเพียงใด
ดาวิดปิดท้ายบทเพลงสรรเสริญนี้ด้วยการเฉลิมฉลองความดีของพระเจ้า เขาเขียนว่า ‘ข้าพเจ้าจะ บอกให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และแสนดีแค่ไหน ข้าพเจ้าจะตะโกน ฮาเลลูยา และสรรเสริญพระองค์ วันยังค่ำ’ (สดุดี 35:28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้จดจำความดีของพระองค์ และวางใจใน ‘สิ่งดี ๆ’ ที่พระองค์ทรง เตรียมไว้สำหรับข้าพระองค์
ลูกา 3:1-22
การประกาศของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
1ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลของจักรพรรดิทิเบริอัส ปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย เฮโรดเป็นเจ้าเมืองกาลิลี ฟีลิปน้องชายของเฮโรดเป็นเจ้าเมืองอิทูเรียกับเมืองตราโคนิติส ลีซาเนียสเป็นเจ้าเมืองอาบีเลน 2และอันนาสกับคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิต ช่วงเวลานี้เองที่พระวจนะของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร 3ยอห์นจึงไปทั่วลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ประกาศให้คนกลับใจใหม่และรับบัพติศมาเพื่อให้พระเจ้าทรงยกโทษความผิดบาป 4ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือที่เป็นถ้อยคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า
“มีเสียงของผู้หนึ่งป่าวร้องในถิ่นทุรกันดารว่า
จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป
5หุบเขาทุกแห่งจะถมให้เต็ม
ภูเขาและเนินทุกแห่งจะให้ต่ำลง
ทางคดจะกลายเป็นทางตรง
และทางที่สูงๆ ต่ำๆ จะเป็นทางราบ
6และมนุษย์ทั้งหลายจะได้เห็นความรอดของพระเจ้า”
7ยอห์นกล่าวกับฝูงชนที่ออกมารับบัพติศมาพิธีชำระ ใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาปจากท่านว่า “พวกชาติงูร้าย ใครเตือนพวกท่านให้หนีจากพระพิโรธที่จะมานั้น 8จงพิสูจน์การกลับใจด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกว่าตนมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะข้าพเจ้าจะบอกพวกท่านว่า พระเจ้าทรงสามารถทำให้ก้อนหินเหล่านี้กำเนิดบุตรแก่อับราฮัมได้ 9บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ”
10ฝูงชนจึงถามท่านว่า “เราจะต้องทำอย่างไร?” 11ท่านตอบพวกเขาว่า “ใครมีเสื้อสองตัวจงแบ่งปันให้แก่คนที่ไม่มี และใครมีอาหารก็จงทำเหมือนกัน” 12พวกคนเก็บภาษีต่างก็มาขอรับบัพติศมาด้วย และถามท่านว่า “อาจารย์ เราต้องทำอย่างไร?” 13ท่านจึงตอบพวกเขาว่า “อย่าเก็บภาษีเกินพิกัด” 14พวกทหารก็ถามท่านด้วยว่า “แล้วเราล่ะ จะต้องทำอย่างไร?” ท่านตอบเขาว่า “อย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน แต่จงพอใจในค่าจ้างของตัวเอง”
15ส่วนคนทั้งหลายนั้นกำลังรอคอย และครุ่นคิดเรื่องยอห์นว่า ท่านเป็นพระคริสต์ผู้นั้นหรือไม่ 16ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่จะมีพระองค์หนึ่งเสด็จมา ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายฉลองพระบาทคำราชาศัพท์หมายถึง รองเท้าของพระองค์ พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ 17พระองค์ทรงถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์แล้ว เพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะรวบรวมข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ”
18ยอห์นยังตักเตือนประชาชนอีกหลายเรื่องและประกาศข่าวดีแก่พวกเขา 19ส่วนเฮโรดเจ้าเมืองเมื่อถูกยอห์นติเตียนเพราะเรื่องนางเฮโรเดียสภรรยาของน้องชาย และเพราะเรื่องความชั่วทั้งหมดที่ท่านทำ 20ท่านก็ยิ่งทำความชั่วเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยทำมาแล้ว คือจับยอห์นขังไว้ในคุก
พระเยซูทรงรับบัพติศมา
21เมื่อคนทั้งหลายรับบัพติศมา พระเยซูก็ทรงรับบัพติศมาด้วย ขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่ ท้องฟ้าก็แหวกออก 22และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรูปสัณฐานเหมือนนกพิราบเสด็จลงมาอยู่กับพระองค์ และมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”
อรรถาธิบาย
ความดีมาจากการกลับใจและพระวิญญาณบริสุทธิ์
ข่าวดีมาจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องนิทานหรือตำนาน ‘ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาล ของจักรพรรดิทิเบริอัสซีซาร์ เมื่อปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย...พระวจนะของพระเจ้ามาถึงยอห์น ...’ (ข้อ 1-3)
บางครั้งผู้คนก็ประหลาดใจที่เห็นข้อความของยอห์นที่อธิบายว่าเป็น ‘ข่าวดี' (ข้อ 18) มันอาจดูเป็นแง่ลบ สำหรับเรามาก! แต่พระวจนะของพระเจ้ายังเป็น ‘ข่าวดี’ เสมอ พระวจนะของพระเจ้ามาถึงยอห์นผู้ให้ บัพติศมาในถิ่นทุรกันดาร (ข้อ 2ข) เป็นการประกาศ ‘ให้คนกลับใจใหม่และรับบัพติศมาเพื่อให้พระเจ้าทรง ยกโทษความผิดบาป’ (ข้อ 3 ข) การกลับใจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงจิตใจ หันเหจากบาปและเข้าหาพระเจ้า การกลับใจเป็นสิ่งที่ดี เป็นการปลดปล่อย นำไปสู่อิสรภาพและการให้อภัย
การกลับใจควรนำไปสู่ ‘ผลดี’ (ข้อ 9) ยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวว่า ‘จงพิสูจน์การกลับใจด้วยผลที่เกิดขึ้น’ (ข้อ 8) แล้วอะไรคือ ‘ผลดี’ อย่างนั้นหรือ? ‘ผลดี’ นั้นรวมถึงความยุติธรรมทางสังคม และศีลธรรมส่วนบุคคล ที่น่าสนใจคือตัวอย่างที่ให้มาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการงานและการเงิน แล้วความดีนั้นมีลักษณะอย่างไร?
1.\tความใจกว้าง
ผู้ที่หาได้ควรสนับสนุนผู้ที่หาไม่ได้ ‘ใครมีเสื้อสองตัวจงแบ่งปันให้แก่คนที่ไม่มี และใครมีอาหารก็จงทำเหมือนกัน’ (ข้อ 11)
2.\tความซื่อสัตย์
ยอห์นผู้บอกคนเก็บภาษีว่า ‘อย่าเก็บภาษีเกินพิกัด’ (ข้อ 13)
3.\tความพึงพอใจ
ยอห์นบอกทหารว่า ‘อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน แต่จงพอใจในค่าจ้างของตัวเอง’ (ข้อ 14ข)
ยอห์นไม่ได้เป็นเพียงนักเทศน์แห่งความชอบธรรมทางสังคม เขาพูดถึงพระเยซูว่า ‘พระองค์จะทรงให้พวกท่าน รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ’ (ข้อ 16ข) ไฟเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ (กันดารวิถี 11:1–3) ฤทธิ์อำนาจ และความร้อนรน ในขณะที่พระเยซูทรงอธิษฐาน ‘พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรูปสัณฐานเหมือนนกพิราบเสด็จลงมาอยู่กับพระองค์ และมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”’ (ลูกา 3:21–22)
ความดีเป็นลักษณะหนึ่งที่อัครทูตเปาโลระบุว่าเป็นผลของพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:22) โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เราได้สัมผัสความดีของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าตรัสกับพระเยซู พระองค์ตรัสกับคุณ
1.\tยินดีกับการเป็นลูกของพระเจ้า
พระเจ้าตรัสกับพระเยซูว่า ‘ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา’ (ลูกา 3:22) โดยทางพระเยซูคุณสามารถเรียกพระเจ้าว่า ‘พระบิดา’ แม้ว่าการเป็นบุตรของพระเยซูจะไม่เหมือนใคร แต่อัครสาวกเปาโลเขียนว่าพระเจ้า ‘ทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของเรา’ (กาลาเทีย 4:6) คุณจะได้รับประสบการณ์เดียวกันกับการถูกรับเป็นบุตรของพระเจ้า ประสบการณ์นี้มีความสำคัญต่อตัวตน ความมั่นใจ และความมั่นคงของคุณ
2.\tสัมผัสประสบการณ์ความรักของพระเจ้า
พระเจ้าตรัสกับพระเยซูว่า ‘ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา' (ลูกา 3:22) ตอนนี้ดังที่อาจารย์เปาโลเขียนว่า ‘ความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทาน ให้แก่เรา’ (โรม 5:5) พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้คุณสัมผัสถึงความดีงามของพระเจ้าและความรักที่มีต่อคุณ
3.\tคาดหวังความพอพระทัยของพระเจ้า
พระเจ้าตรัสกับพระเยซูบุตรชายของพระองค์ว่า ‘เราชอบใจท่านมาก’ (ลูกา 3:22) เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในคุณชีวิตของคุณ คุณจะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ (โรม 8:8–9)
เมื่อคุณได้สัมผัสกับความรักและความดีของพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งไหลเข้ามาในใจคุณ ผลดีของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเติบโตขึ้น
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงรักข้าพระองค์เหมือนลูกของพระองค์และพระองค์ทรงพอพระทัยในตัวข้าพระองค์ ทรงช่วยให้ข้าพระองค์มีชีวิตแห่งใจที่กว้างขวาง ซื่อสัตย์ พึงพอใจ และเกิดผลดี
กันดารวิถี 9:15-11:3
เสาเมฆและเสาไฟ
15ในวันที่จัดตั้งพลับพลา มีเมฆมาปกคลุมพลับพลาคือเต็นท์แห่งสักขีพยาน ในเวลาเย็นเมฆนั้นก็ปรากฏเหมือนเปลวไฟอยู่เหนือพลับพลาจนรุ่งเช้า 16เป็นอย่างนั้นอยู่เสมอ คือมีเมฆปกคลุมตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็ปรากฏเหมือนเปลวไฟ 17เมื่อไรที่เมฆลอยขึ้นจากเต็นท์ คนอิสราเอลก็จะยกออกเดินทางไปภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ออกเดินทางหลังจากนั้น และเมื่อเมฆนั้นหยุดอยู่ที่ไหน คนอิสราเอลก็จะตั้งค่ายที่นั่น 18คนอิสราเอลยกออกเดินตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ และตั้งค่ายตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ตราบใดที่เมฆยังหยุดอยู่เหนือพลับพลา พวกเขาก็จะยังตั้งค่ายอยู่ 19แม้เมื่อเมฆหยุดอยู่เหนือพลับพลานานเป็นเวลาหลายๆ วัน คนอิสราเอลก็ทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์คือไม่ยกออกเดินทาง 20บางครั้งเมฆหยุดอยู่เหนือพลับพลาเพียงไม่กี่วัน เขาก็อยู่ในค่ายตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ และตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ พวกเขาก็ยกออกเดินทาง 21บางครั้งเมฆหยุดอยู่ตั้งแต่เวลาเย็นจนถึงเวลาเช้า แต่เมื่อเมฆลอยขึ้นในเวลาเช้า พวกเขาก็ยกออกเดินทาง หรือถ้าเมฆหยุดอยู่ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เมื่อเมฆลอยขึ้น พวกเขาก็ยกออกเดินทาง 22ไม่ว่าเมฆจะหยุดอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือหนึ่งเดือน หรือนานถึงหนึ่งปี คนอิสราเอลก็จะอยู่ในค่ายนานเท่านั้นโดยไม่ยกออกเดินทาง แต่ถ้าเมฆลอยขึ้นเมื่อไร พวกเขาก็จะยกออกเดินทางเมื่อนั้น 23เขาทั้งหลายตั้งค่ายอยู่ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ และยกออกเดินทางตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ เขาทั้งหลายรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์ตามพระดำรัสที่พระองค์ตรัสสั่งโมเสส
กันดารวิถี 10
แตรเงิน
1แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงทำแตรเงินสองคันให้ตัวเจ้าเอง ให้ทำโดยการใช้ค้อนทุบ เจ้าจงใช้แตรนั้นเรียกชุมชนให้มาชุมนุมกัน และใช้รื้อย้ายค่ายออกเดิน 3เมื่อเป่าแตรทั้งสอง ก็ให้ชุมชนทั้งหมดมาประชุมกับเจ้าตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ 4แต่ถ้าเป่าแตรคันเดียว ก็ให้บรรดาผู้นำคือหัวหน้ากองพันของอิสราเอลมาประชุมกับเจ้า 5แต่เมื่อเจ้าเป่าสัญญาณแตรปลุก ก็ให้ค่ายต่างๆ ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกยกออกเดินทาง 6เมื่อเป่าสัญญาณแตรปลุกครั้งที่สอง ให้บรรดาค่ายที่อยู่ด้านใต้ยกออกเดินทาง เมื่อจะยกออกเดินทางก็ให้เป่าสัญญาณแตรปลุก 7แต่เมื่อจะให้ชุมชนมาประชุมพร้อมกัน ก็จงเป่าแตรแต่อย่าทำเสียงสัญญาณปลุก 8ให้ลูกๆ ของอาโรนคือปุโรหิตเป็นคนเป่าแตร แตรนี้จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า 9และเมื่อเจ้าทั้งหลายจะไปทำสงครามกับศัตรูที่มาบีบบังคับพวกเจ้าในแผ่นดินของเจ้า ก็ให้เป่าแตรทำเสียงสัญญาณปลุก เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจะทรงระลึกถึงพวกเจ้า และช่วยให้พ้นจากศัตรูของเจ้า 10ในวันที่เจ้าทั้งหลายมีความยินดีในงานเทศกาลเลี้ยงและในวันต้นเดือนของเจ้า เจ้าจงเป่าแตรเหนือเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเหนือเครื่องบูชาที่เป็นศานติบูชา ซึ่งจะทำให้พระเจ้าของเจ้าระลึกถึงพวกเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า”
การเดินทางออกจากภูเขาซีนาย
11ในวันที่ยี่สิบเดือนที่สองปีที่สอง เมฆนั้นถูกยกขึ้นจากพลับพลาแห่งสักขีพยาน 12คนอิสราเอลก็ยกออกเดินทางเป็นระยะๆ จากถิ่นทุรกันดารซีนาย และเมฆนั้นมาหยุดอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารปาราน 13เขาทั้งหลายได้ยกออกเดินทางเป็นครั้งแรกตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ที่ตรัสผ่านโมเสส
14ธงค่ายของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ออกเดินทางเป็นกองๆ ไปก่อน มีนาโชนบุตรอัมมีนาดับเป็นผู้นำทุกๆ กอง 15นาธันเอลบุตรศุอาร์เป็นผู้นำทุกๆ กองของพงศ์พันธุ์เผ่าอิสสาคาร์ 16และเอลีอับบุตรเฮโลนเป็นผู้นำทุกๆ กองของเผ่าเศบูลุน
17จากนั้นพลับพลาจะถูกรื้อลง แล้วบุตรทั้งหลายของเกอร์โชน และของเมรารีผู้แบกหามพลับพลานั้นจะยกออกเดินทาง
18แล้วธงค่ายของคนรูเบนจะออกเดินทางเป็นกองๆ เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์เป็นผู้นำทุกๆ กอง 19เชลูมิเอลบุตรศุริชัดดัยเป็นผู้นำทุกๆ กองของพงศ์พันธุ์เผ่าสิเมโอน 20เอลียาสาฟบุตรเดอูเอลเป็นผู้นำทุกๆ กองของพงศ์พันธุ์เผ่ากาด 21แล้วคนโคฮาทจะหามสิ่งบริสุทธิ์ต่างๆ และยกออกเดินทาง เขาจะต้องตั้งพลับพลาให้เสร็จก่อนที่พวกนี้จะไปถึง
22แล้วธงค่ายของพงศ์พันธุ์เอฟราอิมจะออกเดินทางเป็นกองๆ เอลีชามาบุตรอัมมีฮูดเป็นผู้นำของทุกๆ กอง 23กามาลิเอลบุตรเปดาซูร์เป็นผู้นำทุกๆ กองของพงศ์พันธุ์เผ่ามนัสเสห์ 24อาบีดันบุตรกิเดโอนีเป็นผู้นำทุกๆ กองของพงศ์พันธุ์เผ่าเบนยามิน
25แล้วธงค่ายของพงศ์พันธุ์ดานจะยกออกเดินเป็นกองๆ เป็นพวกระวังหลังของค่ายทั้งหมด มีอาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัยเป็นผู้นำของทุกๆ กอง 26ปากีเอลบุตรชายโอครานเป็นผู้นำทุกๆ กองของพงศ์พันธุ์เผ่าอาเชอร์ 27อาหิราบุตรเอนันเป็นผู้นำทุกๆ กองของพงศ์พันธุ์เผ่านัฟทาลี 28นี่เป็นลำดับการเดินทางเป็นกองๆ ของคนอิสราเอล เมื่อเขาทั้งหลายยกออกเดินทาง
29โมเสสพูดกับโฮบับบุตรเรอูเอลคนมีเดียนพ่อตาของตนว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายออกเดินทางไปยังที่ที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้ว่า ‘เราจะยกให้แก่เจ้าทั้งหลาย’ เชิญไปกับข้าพเจ้าเถิด และพวกข้าพเจ้าจะทำดีต่อท่าน เพราะพระยาห์เวห์ทรงสัญญาให้สิ่งที่ดีแก่คนอิสราเอล” 30แต่เขาตอบโมเสสว่า “เราไม่ไป เราจะกลับบ้านเมืองของเรา และไปยังวงศ์ญาติของเรา” 31แต่โมเสสกล่าวว่า “ขออย่าจากข้าพเจ้าทั้งหลายไปเลย ท่านทราบแล้วว่า พวกข้าพเจ้าต้องตั้งค่ายอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และท่านจะเป็นเหมือนดวงตาของข้าพเจ้า 32ถ้าท่านไปกับพวกข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ทรงทำดีอะไรต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำอย่างนั้นต่อท่าน”
33เขาทั้งหลายก็ออกเดินจากภูเขาของพระยาห์เวห์เป็นระยะการเดินทางสามวัน หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์นำหน้าเขาทั้งหลายไปสามวันเพื่อหาที่พักให้พวกเขา 34เขาทั้งหลายรื้อค่ายออกเดินทางเมื่อไร เมฆของพระยาห์เวห์ก็อยู่เหนือพวกเขาในตอนกลางวันเมื่อนั้น
35เมื่อหีบยกออกเดินเมื่อไร โมเสสกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงลุกขึ้นเถิด ขอให้พวกศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป
และขอให้พวกที่เกลียดชังพระองค์หลบหนีพระองค์ไป”
36และเมื่อหีบหยุด ท่านกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเสด็จกลับมายังคนอิสราเอลที่นับเป็นพันๆ หมื่นๆ นี้เถิด”
กันดารวิถี 11
การบ่นว่าพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร
1ประชาชนบ่นว่าเรื่องความลำบากต่อพระกรรณของพระยาห์เวห์ เมื่อพระยาห์เวห์ทรงได้ยินแล้วก็กริ้ว มีไฟจากพระยาห์เวห์มาไหม้อยู่ท่ามกลางพวกเขา และเผารอบนอกของค่ายไปบางส่วน 2ประชาชนก็ร้องต่อโมเสส และโมเสสอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ แล้วไฟก็ดับ 3เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่าทาเบ-ราห์เพราะไฟของพระยาห์เวห์มาไหม้อยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย
4คนที่ปะปนมากับเขาทั้งหลายเป็นพวกที่มีความอยากกินเป็นอย่างมาก และคนอิสราเอลก็ร้องไห้คร่ำครวญอีกด้วยว่า “ใครจะให้เนื้อเรากิน? 5เราคิดถึงปลาที่เราเคยกินโดยไม่ต้องซื้อในอียิปต์ อีกทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ หัวกระเทียม 6บัดนี้จิตใจของเราก็ห่อเหี่ยว เราไม่เห็นอะไรเลยนอกจากมานานี้” 7(มานานั้นเหมือนเมล็ดผักชี สีของมันเหมือนยางไม้ตะคร้ำตะคร้ำเป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่ยางไม้มีสีเหลืองใสและมีกลิ่นหอม 8ประชาชนจะออกไปเก็บมาโม่ด้วยหินโม่หรือตำในครก และใส่หม้อต้มทำขนม รสของมานาเหมือนรสของขนมคลุกเคล้าด้วยน้ำมัน 9เมื่อน้ำค้างตกลงมาเหนือค่ายตอนกลางคืน มานาก็จะตกลงมากับน้ำค้างด้วย)
10เมื่อโมเสสได้ยินประชาชนร้องไห้กันไปทั่วตระกูลต่างๆ โดยแต่ละคนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน และพระยาห์เวห์กริ้วอย่างยิ่ง โมเสสก็ไม่พอใจแปลได้อีกว่า ก็ร้อนใจด้วย 11โมเสสจึงกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ลำบากเช่นนี้? ทำไมข้าพระองค์จึงไม่เป็นที่โปรดปรานต่อพระองค์? พระองค์จึงทรงวางภาระเรื่องประชาชนทั้งหมดนี้ลงบนข้าพระองค์ 12ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนพวกนี้มาหรือ? ข้าพระองค์คลอดคนพวกนี้หรือ? พระองค์จึงตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘จงโอบอุ้มเขาทั้งหลายไว้ในอกของเจ้าเหมือนพี่เลี้ยงโอบอุ้มเด็กทารก และนำไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของเขา’ 13ข้าพระองค์จะหาเนื้อจากไหนมาให้แก่คนทั้งหมดนี้? เพราะพวกเขาร้องไห้ต่อข้าพระองค์ว่า ‘ขอเนื้อให้เรากิน’
อรรถาธิบาย
พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานสิ่งดี ๆ แก่คุณ
โมเสสบอกพ่อตาว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงสัญญาให้สิ่งที่ดี’ (10:29) โมเสสกระตุ้นพ่อตาให้มากับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงทำดีอะไรต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำอย่างนั้นต่อท่าน’ (ข้อ 32)
โมเสสร่วมกับคนของพระเจ้าได้สัมผัสกับความดีงามของพระเจ้ามากมาย พระเจ้าทรงนำทางพวกเขาด้วย ‘เมฆ’ และ ‘เปลวไฟ’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการทรงสถิตของพระองค์ (9:16) นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความดีที่มีให้เห็นตลอดประวัติศาสตร์ของประชากรของพระเจ้า
แม้พระเจ้าจะทรงดีต่อพวกเขา แต่ประชาชนของพระองค์ก็ ‘บ่นว่าเรื่องความลำบากต่อพระกรรณของพระยาเวห์’ (11:1) ในอีกโอกาสหนึ่งพวกเขาบ่นเกี่ยวกับผู้นำของพวกเขาคือ โมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร (อพยพ 16:2) บางครั้งเมื่อเราลืมความดีที่พระเจ้าแสดงให้เราเห็น เราก็บ่นเกี่ยวกับสถานการณ์ของเรา และยังสามารถตำหนิผู้นำของเราได้ แต่ไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม ผู้นำต้องการการสนับสนุนและกำลังใจจากเรา
ใคร่ครวญถึงความดีของพระเจ้าที่มีต่อคุณโดยเฉพาะในพระคริสต์ผู้ทรงเป็น ‘มหาปุโรหิตแห่งบรรดาสิ่ง ประเสริฐซึ่งมาถึงแล้ว’ (ฮีบรู 9:11) การบ่นทำให้คุณเป็นเชลย ในขณะที่การใคร่ครวญถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าทำให้คุณเป็นไท การสรรเสริญการขอบพระคุณและการนมัสการเป็นยาถอนพิษการคร่ำครวญ และการบ่นว่า
คำอธิษฐาน
ข้าพระองค์ขอสรรเสริญพระเจ้า สำหรับความดีทั้งหมดสำหรับข้าพระองค์ สำหรับข่าวดีของพระเยซู สำหรับการให้อภัยบาป สำหรับความรักที่พระองค์มีต่อข้าพระองค์ สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์และความรักของพระเจ้าที่หลั่งไหลเข้ามาในใจข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยในตัวข้าพระองค์และทรงช่วยข้าพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรทั้งหมดสำหรับการจัดเตรียมอิสรภาพ เพื่อนครอบครัว และทุกพระพรฝ่ายวิญญาณในแผ่นดินสวรรค์ ‘พระเจ้าดี ตลอดเวลา’
เพิ่มเติมโดยพิพพา
กันดารวิถี 11:1–3
‘ประชาชนบ่นว่าเรื่องความลำบาก ... พระยาห์เวห์ทรงได้ยินแล้วก็กริ้ว มีไฟจากพระยาห์เวห์มาไหม้อยู่ท่ามกลางพวกเขาและเผารอบนอกของค่ายไปบางส่วน’
ฉันไม่คิดว่าพระเจ้าชอบการบ่น นี่ออกจะเป็นคำเตือน ฉันจะระมัดระวังให้มากขึ้นในอนาคต!
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)