สุดยอดสิบเคล็ดลับสำหรับทูตของพระเจ้า
เกริ่นนำ
บิลลี่ เกรแฮม เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2018 เมื่อท่านมีอายุ 99 ปี ในฐานะทูตของพระเจ้า ท่านได้วางแผนในงานศพของท่านไว้แล้วอย่างระมัดระวังในการนำผู้คนมาถึงซึ่งความเชื่อในพระเยซู
ท่านได้กล่าวไว้ล่วงหน้าไว้ว่า ‘วันหนึ่งคุณจะได้อ่านหรือได้ยินว่า บิลลี่ เกรแฮม เสียชีวิตแล้ว อย่าเชื่อในคำพูดนั้น เพราะผมจะมีชีวิตกว่าตอนนี้เสียอีก ผมเพียงแต่เปลี่ยนที่อยู่เท่านั้น ผมจะไปเพื่ออยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า’
ในปี 1934 เมื่อท่านอายุ 16 ปี ท่านได้ยินการทรงเรียกของพระเจ้า และท่านได้กลายเป็นทูตแห่งพระกิตติคุณที่สัตย์ซื่อ ท่านได้แบ่งปันเรื่องของพระเยซูให้กับผู้คนมากกว่า 210 ล้านคน ทั้งเป็นการส่วนตัวและมากกว่าครึ่งของประชากรโลกผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุ ท่านตั้งมั่นที่จะใช้ทุกโอกาส รวมถึงงานศพของท่านเองในการส่งต่อข้อความจากพระเจ้าไปยังโลกนี้
‘ทูตของเรา’ เป็นแนวทางเดียวกับที่พระเจ้าได้อธิบายถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา (ลูกา 7:27) คุณก็เช่นกันสามารถเป็นทูตของพระเจ้าได้ พระเยซูตรัส ‘คำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า’ (มัทธิว 13:19) ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ‘คำสอน’ มีความหมายเดียวกันกับ ‘พระกิตติคุณ’ (ดู กิจการ 2:41; 4:4; 10:44 และต่อเนื่อง ไป) งานของเราคือทั้งฟังคำสอน และประกาศสิ่งนั้นให้แก่คนอื่น (1 ยอห์น 1:5)
สดุดี 37:32-40
32คนอธรรมเฝ้าดูคนชอบธรรม
และหาช่องทางจะสังหารเขาเสีย
33พระยาห์เวห์จะไม่ทรงทิ้งคนชอบธรรมไว้ในมือคนอธรรม
หรือให้เขาถูกลงโทษเมื่อเขาขึ้นศาล
34จงรอคอยพระยาห์เวห์ และรักษาพระมรรคาไว้
แล้วพระองค์จะทรงยกย่องท่านให้ได้แผ่นดินเป็นมรดก
ท่านจะมองเห็นคนอธรรมถูกทำลาย
35ข้าพเจ้าได้เห็นคนอธรรมใจทมิฬ
สูงเด่นอย่างต้นไม้พื้นบ้านที่มีใบดกเขียวสด
36ข้าพเจ้าได้ผ่านไป และนี่แน่ะ ไม่มีเขาแล้ว
ถึงข้าพเจ้าจะเที่ยวหา ก็ไม่พบเขา
37จงเฝ้าดูคนที่ดีพร้อม และจงมองดูคนเที่ยงธรรม
เพราะคนที่รักสันติภาพจะมีอนาคต
38แต่ผู้ละเมิดจะถูกทำลายไปด้วยกัน
อนาคตของคนอธรรมจะถูกตัดออกไป
39ความรอดของคนชอบธรรมมาจากพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของเขาในเวลายากลำบาก
40พระยาห์เวห์ทรงช่วยเขาทั้งหลายและทรงช่วยเขาให้พ้นภัย
พระองค์ทรงช่วยเขาให้พ้นจากคนอธรรมและทรงช่วยเขาให้รอด
เพราะเขาเข้าลี้ภัยในพระองค์
อรรถาธิบาย
1. ใกล้ชิดกับพระเจ้า
ถ้าคุณต้องการได้ยินคำสอนของพระเจ้า คุณจำเป็นต้อง ‘รอคอยพระเจ้าอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ละจากทางของพระองค์’ (ข้อ 34ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ชีวิตที่อิสระเสรีมาจากพระเจ้า ทั้งยังได้รับการปกป้องและปลอดภัย โดยกำลังของพระเจ้าเราได้รับการปลดปล่อยจากมารร้าย เมื่อเราวิ่งเข้าไปหาพระเจ้า พระองค์ทรงปกป้องเรา’ (ข้อ 39-40, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเจ้าขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ อยู่ในหนทางและมีความหวังในพระองค์
2. แสวงหาสันติสุข
ทูตของพระเจ้าจะต้องเป็นทูตแห่งสันติสุข; ‘ดังนั้นผู้ที่รักสันติภาพจะจบลงด้วยความสุข’ (ข้อ 37ข, พระคัมภีร์ ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ทูตของพระเจ้าไม่ควรกวนหรือคุ้ยสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อันจะนำไปสู่ความแตกแยก แต่ควรเป็นบุคคลแห่งสันติ พระเยซูตรัสว่า ‘คนที่สร้างสันติก็เป็นสุข’ (มัทธิว 5:9)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างให้ข้าพระองค์เป็นเครื่องมือแห่งสันติในที่ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ขอให้ข้าพระองค์หว่านความรัก
ลูกา 6:37-7:10
การพิพากษาผู้อื่น
37“อย่าพิพากษาเขา แล้วพวกท่านจะไม่ถูกพิพากษา อย่าตัดสินลงโทษเขา แล้วพวกท่านจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ จงยกโทษให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับการยกโทษ 38จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับด้วยแบบยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตักของท่าน เพราะว่าเมื่อท่านตวงให้เขาเท่าไร ท่านก็จะได้รับการตวงกลับคืนไปเท่านั้นเช่นกัน”
39พระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นคำเปรียบเทียบอีกว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ? ทั้งสองคนจะไม่ตกบ่อหรอกหรือ? 40ศิษย์ย่อมไม่ใหญ่ไปกว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นเหมือนอย่างครู 41ทำไมท่านมองเห็นผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของตนเอง? 42ทำไมท่านจึงพูดกับพี่น้องของท่านว่า ‘น้องเอ๋ย ให้ฉันเขี่ยผงออกจากตาของเธอ’ แต่ท่านกลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง โอ คนหน้าซื่อใจคด จงดึงไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
การรู้จักต้นด้วยผลของมัน
43“ต้นไม้ดีย่อมไม่เกิดผลเลว หรือต้นไม้เลวย่อมไม่เกิดผลดี 44เพราะว่าจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้ ก็ด้วยผลของมัน เขาทั้งหลายย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อจากต้นไม้มีหนามหรือเก็บผลองุ่นจากต้นระกำ 45คนดีย่อมเอาสิ่งดีออกจากคลังดีในจิตใจของตน และคนชั่วย่อมเอาสิ่งชั่วออกจากคลังชั่วในจิตใจของตน เพราะว่าปากย่อมพูดสิ่งที่เต็มล้นอยู่ในจิตใจ
รากฐานสองชนิด
46“ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น? 47ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเราแล้วทำตาม เราจะสำแดงให้พวกท่านรู้ว่าเขาเป็นเหมือนอะไร 48เขาเป็นเหมือนคนหนึ่งที่สร้างบ้าน เขาขุดลึกลงไปแล้ววางรากฐานอยู่บนศิลา เมื่อมีน้ำท่วมและมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาซัดบ้านนั้น มันก็ไม่หวั่นไหว เพราะถูกสร้างไว้อย่างมั่นคง 49ส่วนคนที่ได้ยินและไม่ทำตาม ก็เป็นเหมือนคนหนึ่งที่สร้างบ้านอยู่บนดินโดยปราศจากรากฐาน เมื่อมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาซัดบ้านนั้น มันก็พังทลายลงทันที และความหายนะของบ้านนั้นก็ยิ่งใหญ่”
ลูกา 7
การทรงรักษาทาสของนายร้อย
1เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นให้ประชาชนฟังเสร็จแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม 2มีทาสของนายร้อยคนหนึ่งที่นายรักมากป่วยเกือบจะตายแล้ว 3เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องพระเยซู จึงส่งผู้ใหญ่บางคนของพวกยิวไปอ้อนวอน เชิญพระองค์เสด็จมารักษาทาสของเขา 4พวกเขาจึงไปหาพระเยซูแล้วก็อ้อนวอนพระองค์ด้วยใจกระตือรือร้นว่า “นายร้อยคนนั้นเป็นคนที่พระองค์สมควรจะทำสิ่งนี้ให้ 5เพราะว่าท่านรักชนชาติของเราและสร้างธรรมศาลาให้เรา” 6พระเยซูจึงเสด็จไปกับพวกเขา เมื่อไปเกือบจะถึงบ้านอยู่แล้ว นายร้อยก็ให้เพื่อนๆ ไปหาพระองค์ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าได้ลำบากเลย เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนที่ไม่สมควรจะรับพระองค์เข้าใต้ชายคาบ้านของข้าพระองค์ 7เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงเห็นว่าเป็นการไม่สมควรด้วยที่จะไปหาพระองค์ ขอเพียงแต่รับสั่ง ทาสของข้าพระองค์ก็จะหายโรค 8เพราะว่าข้าพระองค์เองก็อยู่ใต้อำนาจทหารและมีทหารที่อยู่ใต้อำนาจ ถ้าข้าพระองค์บอกคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็จะไป ถ้าบอกคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็จะมา ถ้าบอกทาสของข้าพระองค์ว่า ‘ทำสิ่งนี้’ เขาก็จะทำ” 9เมื่อพระเยซูทรงได้ยินคำเหล่านั้นแล้วก็ประหลาดพระทัย จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับฝูงชนที่ตามพระองค์มาว่า “เราบอกพวกท่านว่าเราไม่เคยพบความเชื่อมากเท่านี้แม้แต่ในอิสราเอล” 10เมื่อพวกที่นายร้อยส่งมานั้นกลับถึงบ้าน ก็เห็นทาสคนนั้นหายเป็นปกติแล้ว
อรรถาธิบาย
3. อย่าพิพากษา
พระเยซูตรัสว่า ‘อย่าพิพากษา’ และ ‘อย่าตัดสินลงโทษ’ (6:37) ‘อย่าแค่นแคะผู้อื่น, คนล้มอย่าข้าม, อย่าวิพากษ์วิจารณ์ในความผิดพลาดของผู้อื่น’ (ข้อ 37, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เรื่องราวอันเป็นที่รู้จักของพระเยซูเกี่ยวการพยายามนำ ‘ฝุ่น’ ออกจากตาของคนอื่น ขณะที่เรามี ‘ไม้ทั้งท่อน’ ที่อยู่ในตาของเราเองนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย (ข้อ 41-42) การมองเห็นข้อบกพร่องในคนรอบข้างง่ายกว่าการมองเห็นข้อบกพร่องและจุดอ่อนของตัวเอง ถ้าเราใช้ชีวิตแบบนี้เราจะสดุดคนอื่นเสมอ
ผมจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความผิดพลาดของตัวเองและให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่ผมต้องเติบโต เมื่อนั้นผมจึงสามารถช่วยผู้อื่นคืนดีกับพระเจ้าในการต่อสู้ของพวกเขา เมื่อคุณปฎิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอดทนเช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่คุณ คุณก็มีแนวโน้มในการเข้าได้กับทุกคน และรับรู้ถึงความถูกต้องในงานรับใช้ของคนอื่น
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ในการนำ ‘ไม้ทั้งท่อน’ ออกจากชีวิตของข้าพระองค์และถ่ายเทพระคุณ ของพระองค์ไปยังคนรอบข้าง
4. อภัยผู้อื่น
พระเยซูตรัสว่า ‘จงยกโทษให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับการยกโทษ’ (ข้อ 37ข) ยกโทษให้คนอื่นถึงแม้ว่าพวกเขาไม่รู้สึกผิด การยกโทษปกป้องเราจากการต้องจ่ายราคาด้วยความโกรธ ความเกลียด และการสูญเสียพลังงาน การให้อภัยที่พระเจ้าประทานให้คุณนั้นควรเป็นวงกลมแห่งคุณธรรมที่ไหลเข้าไปสู่ความสัมพันธ์ของคุณกับคนอื่น
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงยกโทษให้แก่ข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ในการยกโทษ ให้ผู้อื่นไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกผิดหรือไม่ก็ตาม
5. จงให้ชีวิตของคุณ
จากที่เราเห็นเมื่อวานนี้ การให้ด้วยใจกว้างขวางนั้นเป็นหัวใจของการเป็นคริสเตียน ในข้อพระคำตอนนี้ พระเยซูทรงย้ำข้อความนี้ ‘จงให้ชีวิตของคุณ แล้วคุณจะได้รับกลับคืนอย่างบริบูรณ์ คือได้รับกลับคืนพร้อมบำเหน็จและพระพร การให้ ไม่ใช่แค่การรับเอาคือหนทาง ความเมตตาทำให้เกิดใจกว้างขวาง’ (ข้อ 38, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้สะท้อนความใจกว้างของพระองค์ไปสู่ผู้อื่น ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์มองในส่วนดีของผู้อื่นอยู่เสมอ รู้จักให้อภัย และเรียนรู้ที่จะให้ด้วยใจยินดี
6. จงตั้งความมุ่งหมายไว้ให้สูงถึงดวงดาว
‘จงตั้งความมุ่งหมายไว้ให้สูง’ เป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผมได้รับเมื่อผมกำลังมองหาสถานที่ฝึกฝนในการเป็นศิษยาภิบาล พระเยซูตรัสว่า ‘ศิษย์ย่อมไม่ใหญ่ไปกว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นเหมือนอย่างครู’ (ข้อ 40) เมื่อผมมองดู แซนดี้ มิลลาร์ ผมรู้ว่าเขาเป็น ‘ดาว’ อย่างที่ผมต้องการจะเป็น ฉะนั้นผมต้องการรับการฝึกฝนโดยเขา เพราะถึงแม้ผมรู้สึกว่าอย่างไรก็ตามผมก็จะไม่มีสติปัญญา หรือของประทานเทียบเท่าครูของผม แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าผมมีเป้าหมายอะไร
นั่นคือเหตุผลที่เมื่อเราอ่านชีวประวัติของบุคคลเช่น วิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ, คอร์รี่ เทน บูม, พระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2, แม่ชีเทเรซ่า และบิลลี่ เกรแฮม ตัวอย่างของพวกเขาเสริมสร้าง และสร้างแรงบันดาลใจให้เราที่จะตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น แน่นอนว่า พระเยซูเปรียบได้กับดาวที่สูงส่งดวงเดียวเท่านั้น จงตั้งเป้าหมายไว้ให้สูงที่พระองค์
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับวีรบุรุษแห่งความเชื่อผู้ที่เสียชีวิตล่วงหน้าข้าพระองค์ไปก่อน และสำหรับผู้นำฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงวางไว้ในชีวิตของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เรียนรู้ จากพวกเขาและตั้งเป้าหมายในการเดินกับพระองค์ให้สูงขึ้น
7. จงระแวดระวังใจของคุณ
พระเยซูตรัสว่า ‘คนดีย่อมเอาสิ่งดีออกจากคลังดีในจิตใจของตน และคนชั่วย่อมเอาสิ่งชั่วออกจากคลังชั่วในจิตใจของตน เพราะว่าปากย่อมพูดสิ่งที่เต็มล้นอยู่ในจิตใจ’ (ข้อ 45) ถ้าคุณต้องการเป็นทูตของพระเจ้า คุณต้องเติมหัวใจของคุณด้วยพระวจนะ การทรงสถิต และความรักของพระองค์ บิลลี่ เกรแฮม กล่าวว่าเขามักพูดจากสิ่งที่ ‘ไหลล้นออกมา’
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ปกป้องหัวใจของข้าพระองค์และเก็บรักษาสิ่งดีไว้ภายใน เหมือนคำอธิษฐานของดาวิด ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเนรมิตสร้างใจสะอาดในข้าพระองค์’ (สดุดี 51:10)
8. เชื่อฟังพระคำของพระเจ้า
ดูผิวเผินบ้านทั้งสองหลังดูเหมือนกัน แต่หลังที่ล้มลงนั้นปราศจากรากฐาน (ลูกา 6:49) พระเยซูตรัสว่า ‘ถ้าเจ้าใช้ถ้อยคำของเราในการศึกษาพระคัมภีร์แต่ไม่ปฏิบัติให้เกิดผลจริงในชีวิตของเจ้า เจ้าก็เปรียบเหมือนคนโง่ที่สร้างบ้านที่ปราศจากรากฐาน’ (ข้อ 49, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนี้ก็คือ คนฉลาดได้ยินข้อความแล้วทำตาม (ข้อ 47) การศึกษาพระคัมภีร์นั้นยังไม่เพียงพอ การดำเนินชีวิตผ่านพระคำของพระเจ้า การรู้พระคำพระเจ้าและการเชื่อฟังควรจะเป็นรากฐานชีวิตของคุณ
ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะฟังถ้อยคำของพระองค์และนำไปปฏิบัติในชีวิตของข้าพระองค์ให้เกิดผลจริง
9. อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจ
สิทธิอำนาจทั้งหมดมาจากการอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจ นายร้อยยอมรับว่าสิทธิอำนาจของพระเยซูมาจากการอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจเช่นเดียวกัน สิทธิอำนาจของเขาในฐานะนายร้อยในการออกคำสั่งก็มาจากการอยู่ 'ภายใต้อำนาจ’ (7:8)
ข้อความของคุณในวันนี้จะมีสิทธิอำนาจหากคุณอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และได้รับการนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิทธิอำนาจนี้ไม่ได้เป็นของคุณ คุณได้รับอนุญาตจากพระเจ้าให้เป็นทูตของพระองค์ อัครสาวกเปาโลพูดถึงการเป็น ‘ทูต’ แห่งพระกิตติคุณ (2 โครินธ์ 5:20)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงประทานสิทธิอำนาจแก่ข้าพระองค์ในการเป็นทูตของพระองค์ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ที่จะเป็นทูตแห่งพระกิตติคุณในการบอกข่าวดีเรื่องราวของพระองค์แก่คนรอบข้าง
กันดารวิถี 22:21-23:26
21ดังนั้นบาลาอัมก็ลุกขึ้นแต่เช้าและผูกอานลา แล้วไปกับพวกเจ้านายของโมอับ
บาลาอัมกับลา และทูตสวรรค์
22แต่พระเจ้ากริ้วบาลาอัมเพราะเขาไป ดังนั้นทูตของพระยาห์เวห์มายืนขวางทางเป็นผู้ขัดขวางบาลาอัม ส่วนบาลาอัมขี่ลาโดยมีคนใช้สองคนไปกับเขา 23เมื่อลานั้นเห็นทูตของพระยาห์เวห์ถือดาบในมือยืนขวางทางอยู่ ลาก็เลี้ยวออกจากทางและเดินเข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปตามทางเดิน 24แต่ทูตของพระยาห์เวห์มายืนอยู่ตรงซอยแคบๆ ในสวนองุ่นซึ่งมีกำแพงอยู่ระหว่างทั้งสองข้าง 25เมื่อลาเห็นทูตของพระยาห์เวห์ก็ดันตัวไปติดกำแพง และมันดันเท้าของบาลาอัมเบียดเข้ากับกำแพง บาลาอัมก็ตีลาอีก 26แล้วทูตของพระยาห์เวห์ก็เดินหน้าไปยืนอยู่ตรงซอกแคบซึ่งไม่มีที่จะให้หลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย 27เมื่อลาเห็นทูตของพระยาห์เวห์มันก็หมอบลง โดยบาลาอัมยังคงอยู่บนหลังลา บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลานั้น 28แล้วพระยาห์เวห์ทรงเปิดปากลา มันจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง” 29บาลาอัมก็พูดกับลาว่า “เพราะเจ้ากลั่นแกล้งเรา เราอยากจะมีดาบอยู่ในมือ เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้” 30ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าเป็นลาที่ท่านเองขี่อยู่ทุกวันจนบัดนี้ไม่ใช่หรือ? ข้าพเจ้าเคยทำเช่นนี้กับท่านไหม?” บาลาอัมก็บอกว่า “ไม่เคย”
31แล้วพระยาห์เวห์ทรงเปิดตาบาลาอัม เขาจึงเห็นทูตของพระยาห์เวห์ยืนขวางทาง และถือดาบอยู่ในมือ บาลาอัมก็ก้มลงกราบ 32และทูตของพระยาห์เวห์พูดกับบาลาอัมว่า “ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง? ดูซิ เรามาขัดขวางเจ้า เพราะเจ้าขัดขืนเรา 33ลาได้เห็นเรา และหลีกไปจากหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันไม่ได้หลีกไปจากหน้าเรา เราคงฆ่าเจ้าแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่ และให้ลารอดตายไป” 34แล้วบาลาอัมพูดกับทูตของพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนขวางทางต้านข้าพเจ้าอยู่ บัดนี้ถ้าท่านไม่เห็นชอบ ข้าพเจ้าก็จะกลับไป” 35แล้วทูตของพระยาห์เวห์พูดกับบาลาอัมว่า “จงไปกับคนพวกนี้ แต่เจ้าต้องพูดเฉพาะคำที่เราสั่งให้เจ้าพูด” ดังนั้นบาลาอัมก็ไปกับพวกเจ้านายของบาลาค
36เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมมาแล้ว พระองค์จึงทรงออกไปรับบาลาอัมที่เมืองของโมอับซึ่งอยู่ตรงพรมแดนด้านแม่น้ำอารโนน ซึ่งเป็นบริเวณปลายสุดของพรมแดน 37บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “เราอุตส่าห์ใช้คนไปเชิญท่านมาไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านจึงไม่มาหาเรา? เราไม่สามารถให้เกียรติแก่ท่านหรือ?” 38บาลาอัมทูลบาลาคว่า “บัดนี้ข้าพระบาทก็มาหาฝ่าพระบาทแล้ว ข้าพระบาทจะพูดอะไรได้ ข้าพระบาทจะต้องพูดคำที่พระเจ้าทรงใส่ในปากของข้าพระบาท”
39แล้วบาลาอัมไปกับบาลาคถึงตำบลคีริยาทหุโซท 40และบาลาคเอาโคและแกะถวายบูชา แล้วส่งให้บาลาอัมและพวกเจ้านายที่อยู่กับพระองค์
คำทำนายที่หนึ่งของบาลาอัม
41รุ่งขึ้น บาลาคทรงพาบาลาอัมขึ้นไปยังบาโมทบาอัล และจากที่นั่นเขามองเห็นคนอิสราเอลส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุด
กันดารวิถี 23
1บาลาอัมทูลบาลาคว่า “ขอทรงสร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่นให้ข้าพระบาทที่นี่ ทั้งทรงจัดโคผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัวให้ข้าพระบาท” 2บาลาคก็ทรงทำตามคำของบาลาอัม แล้วบาลาคกับบาลาอัมก็เอาโคผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งถวายบูชาบนแท่นบูชาแต่ละแท่น 3แล้วบาลาอัมทูลบาลาคว่า “ขอทรงยืนอยู่ใกล้เครื่องบูชาที่เป็นของฝ่าพระบาท ส่วนข้าพระบาทจะไป บางทีพระยาห์เวห์จะเสด็จมาพบกับข้าพระบาท และพระองค์ทรงสำแดงสิ่งใดแก่ข้าพระบาท ข้าพระบาทก็จะทูลต่อฝ่าพระบาท” แล้วเขาก็ขึ้นไปยังที่สูง
4พระเจ้าทรงพบกับบาลาอัม และบาลาอัมกราบทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์จัดแท่นบูชาเจ็ดแท่น และได้ถวายโคผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งบูชาบนทุกแท่น” 5พระยาห์เวห์ทรงใส่ถ้อยคำในปากของบาลาอัมและตรัสว่า “จงกลับไปหาบาลาค แล้วจงพูดอย่างนั้น” 6บาลาอัมจึงกลับไปหาบาลาค และเห็นพระองค์ทรงยืนอยู่ข้างเครื่องบูชาของพระองค์ ทั้งเจ้านายทุกคนของโมอับก็ยืนอยู่กับพระองค์ 7บาลาอัมกล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า
“บาลาคพาข้าพเจ้ามาจากอารัม
กษัตริย์ของโมอับพาข้าพเจ้าจากภูเขาทางตะวันออก
มาเถิด มาแช่งสาปยาโคบเพื่อเรา
มาเถิด มาประณามอิสราเอล
8ข้าพเจ้าจะแช่งผู้ที่พระเจ้าไม่ทรงแช่งได้อย่างไร?
ข้าพเจ้าจะประณามผู้ที่พระยาห์เวห์ไม่ทรงประณามได้อย่างไร?
9เพราะจากยอดผาข้าพเจ้ามองเขา
และจากเนินสูงข้าพเจ้าเห็นเขา
นี่แน่ะ ชนชาติหนึ่งอยู่ตามลำพัง
และไม่ได้นับตนเองรวมเข้ากับบรรดาประชาชาติ
10ใครจะนับยาโคบที่มากอย่างผงคลีได้?
หรือคำนวณหนึ่งในสี่ของอิสราเอล
ขอให้ข้าพเจ้าตายเหมือนอย่างการตายของผู้ชอบธรรม
และขอให้บั้นปลายชีวิตข้าพเจ้าเป็นเหมือนของเขา”
11แล้วบาลาคตรัสกับบาลาอัมว่า “ท่านทำอะไรกับเรา เราพาท่านให้มาแช่งพวกศัตรูของเรา แต่ดูซิ ท่านกลับอวยพรเขา” 12เขาจึงทูลตอบว่า “ข้าพระบาทต้องระวังที่จะพูดสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงใส่ลงในปากข้าพระบาทไม่ใช่หรือ? ”
คำทำนายที่สองของบาลาอัม
13บาลาคก็พูดกับเขาว่า “เชิญท่านไปอีกที่หนึ่งกับเราเถิด และท่านจะเห็นเขาจากที่นั่นได้ ท่านจะเห็นเพียงส่วนที่ใกล้มากที่สุด และจะไม่เห็นคนทั้งหมด แล้วท่านจงแช่งเขาให้เราจากที่นั่น”
14แล้วบาลาคก็พาบาลาอัมมายังนาของโศฟิม มาถึงยอดภูเขาปิสกาห์ และทรงสร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่น และทรงถวายโคผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งบูชาบนทุกแท่น 15บาลาอัมทูลบาลาคว่า “ขอทรงยืนอยู่ข้างเครื่องบูชาของฝ่าพระบาทที่นี่เถิด ขณะที่ข้าพระบาทไปพบพระเจ้าตรงโน้น” 16แล้วพระยาห์เวห์ทรงพบกับบาลาอัม และทรงใส่ถ้อยคำในปากของเขา ตรัสว่า “จงกลับไปหาบาลาค และจงพูดอย่างนั้น” 17บาลาอัมก็มาหาบาลาค และเห็นพระองค์ทรงยืนอยู่ข้างเครื่องบูชาของพระองค์ ทั้งบรรดาเจ้านายของโมอับก็ยืนอยู่กับพระองค์ บาลาคจึงตรัสถามบาลาอัมว่า “พระยาห์เวห์ตรัสอะไร?” 18บาลาอัมก็กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า
“บาลาค จงลุกขึ้นและคอยฟัง
บุตรศิปโปร์จงฟังข้าพเจ้า
19พระเจ้าทรงไม่ใช่มนุษย์ที่จะมุสา
และไม่ได้ทรงเป็นบุตรของมนุษย์ที่จะต้องกลับใจ
พระองค์จะไม่ทรงทำตามที่ตรัสไว้แล้วหรือ?
พระองค์จะไม่ทรงทำให้สำเร็จตามที่ทรงลั่นวาจาไว้แล้วหรือ?
20ดูสิ ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้อวยพร
เมื่อพระองค์ทรงอวยพร ข้าพเจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยน
21จะไม่มีความทุกข์ในยาโคบให้ทรงเห็น
และในอิสราเอลไม่ทรงพบความลำบาก
พระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา
และเสียงโห่ร้องถวายพรพระราชาอยู่ท่ามกลางเขา
22พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกจากอียิปต์
ทรงเป็นเหมือนเขาโคกระทิงเพื่อเขา
23ดังนั้น ไม่มีเวทมนตร์ใดอาจกระทบยาโคบ
ไม่มีของขลังใดอาจทำร้ายอิสราเอล
บัดนี้ ยาโคบและอิสราเอลจะได้รับคำบอกกล่าว
ว่าพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งใด
24ดูสิ ชนชาติหนึ่งลุกขึ้นอย่างนางสิงห์ใหญ่
และยืนขึ้นอย่างสิงห์ตัวผู้
มันไม่ยอมนอนลงจนกว่าจะได้กินเหยื่อ และดื่มเลือดของสิ่งที่ถูกฆ่า”
25แล้วบาลาคจึงตรัสกับบาลาอัมว่า “อย่าแช่งเขาทั้งอย่าอวยพรเขาเลย” 26แต่บาลาอัมทูลบาลาคว่า “ข้าพระบาททูลฝ่าพระบาทแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘ทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้น ข้าพระบาทต้องทำตาม?’ ”
อรรถาธิบาย
10. จบดี
ชีวิตของบาลาอัมตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เขาถูกอ้างว่าเป็นตัวอย่างของผู้เผยพระวจนะเท็จ ‘พวกเขาละทางที่ถูกต้อง หลงเจิ่นไปตามทางของบาลาอัมบุตรโบโซร์ ผู้ซึ่งโปรดปรานสินจ้าง ที่ได้มาจากการอธรรม แต่บาลาอัมก็ถูกตำหนิในการละเมิดของตนเอง ลาใบ้ตัวหนึ่งพูดเป็นภาษามนุษย์ และได้ยับยั้งอาการคลุ้มคลั่งของผู้เผยพระวจนะคนนั้น’ (2 เปโตร 2:15-16)
นี่เป็นการเตือนไม่ให้เพิกเฉยต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้พยายามหยุดบาลาอัมในการไปกับบาลาคถึงสามครั้ง แต่บาลาอัมตั้งใจที่จะไป ทั้ง ๆ ที่ทูตของพระเจ้าพยายามยืนขวางทางเขา และพูดกับเขาว่า ‘ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง? ดูซิ เรามาขัดขวางเจ้า เพราะเจ้าขัดขืนเรา’ (กันดารวิถี 22:32)
บาลาอัมได้ออกไปรับค่าธรรมเนียมในการให้คำพยากรณ์แก่บาลาคที่เขาต้องการจะได้ยิน แต่เราเห็นในบทความสำหรับวันนี้ว่าช่วงหนึ่งในชีวิตของบาลาอัม เขาพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง เขากล่าวว่า ‘ข้าพระบาทจะพูดอะไรได้ ข้าพระบาทจะต้องพูดคำที่พระเจ้าทรงใส่ในปากของข้าพระบาท’ (22:38, ดูเพิ่มเติม 23:8, 12, 26)
ชีวิตของบาลาอัมเป็นคำเตือนว่า แม้แต่คนที่พระเจ้าใช้ยังสามารถทำให้ชีวิตตัวเองยุ่งเหยิงได้ แต่ ณ จุดหนึ่ง ที่บาลาอัมพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง หนุนใจให้เราทำตาม เพื่อรับเอาสารของพระเจ้าและส่งต่อไปยังคนอื่น จงสัตย์ซื่อและจบด้วยดี
คำอธิษฐาน
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ในการเป็นทูตที่สัตย์ซื่อ ขอที่ข้าพระองค์จะไวต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการดำเนินชีวิตตามการทรงนำของพระองค์ และสัตย์ซื่อจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
เพิ่มเติมโดยพิพพา
กันดารวิถี 22:21-28
ฉันไม่ชอบคนที่ทารุณสัตว์ บางครั้งสัตว์ก็มีสติสัมปชัญญะมากกว่ามนุษย์ เช่นในกรณีลาของบาลาอัม พระเจ้าทรงใช้สัตว์เพื่อพูดกับบาลาอัม
บาลาอัมมุ่งมั่นที่จะเดินต่อไปแม้จะมีอุปสรรคและความยากลำบากที่เผชิญในชีวิตเพื่อที่จะค้นหาแผนการของพระเจ้าว่าคืออะไร บางครั้งมันเป็นเรื่องยากที่จะพิจารณาว่าพระเจ้ากำลังหยุดเราจากการมุ่งสู่เส้นทางแห่งหายนะ หรือมีการต่อต้านที่เราจำเป็นต้องอธิษฐานเพื่อเอาชนะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม การอธิษฐานเป็นกุญแจสำคัญ

App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)