วัน 96

สิ่งเดียวที่จำเป็น

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 41:7-13
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 10:25-11:4
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 2:24-4:14

เกริ่นนำ

ผมได้มีประสบการณ์กับพระเยซูครั้งแรกแบบเป็นการส่วนตัวในปี 1974 หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินการบรรยายหนึ่งโดยชายอายุแปดสิบปีซึ่งหลายปีต่อมาผมก็ยังจำได้แม่น ในหัวข้อ ‘ห้า “ในสิ่งเดียว”' (‘The Five "One Things”’) คำบรรยายของเขาเน้นถึงเหตุการณ์สำคัญ 5 เหตุการณ์ที่แตกออกมาจากคำว่า ‘สิ่งเดียว’ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ (สดุดี 27:4, มาระโก 10:21, ลูกา 10:42, ยอห์น 9:25, ฟิลิปปี 3:13) โดยแต่ละตอนล้วนกล่าวถึงลำดับความสำคัญของพวกเรา เหตุการณ์หนึ่งในห้าเหตุการณ์นั้นอยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สำหรับวันนี้ด้วยเช่นกัน (ลูกา 10:42)

ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจมารธาเป็นอย่างมาก พระเยซูตรัสกับเธอว่า ‘เธอกระวนกระวายและร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน’ (ข้อ 41) มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิต แต่พระเยซูตรัสว่า ‘สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว’ (ข้อ 42) ซึ่งนางมารีย์ได้ให้ความสำคัญอย่างถูกต้อง

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 41:7-13

7ทุกคนที่เกลียดข้าพเจ้า ก็ซุบซิบกันถึงเรื่องข้าพเจ้า
 พวกเขาปองร้ายข้าพเจ้า
8เขาทั้งหลายกล่าวว่า “มีสิ่งร้ายเข้าไปอยู่ในตัวเขาแล้ว
 เขาจะไม่ลุกไปจากที่ที่เขานอนนั้นอีก”
9แม้แต่เพื่อนสนิทผู้ที่ข้าพเจ้าไว้วางใจ
 ผู้รับประทานอาหารของข้าพเจ้าก็ยกส้นเท้าใส่ข้าพเจ้า
10ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงพระกรุณาข้าพระองค์
 ขอทรงยกข้าพระองค์ขึ้น เพื่อข้าพระองค์จะตอบโต้เขา
11โดยข้อนี้ ข้าพระองค์จึงทราบว่า พระองค์พอพระทัยข้าพระองค์
 คือศัตรูไม่ได้โห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือข้าพระองค์
12ส่วนข้าพระองค์ พระองค์ทรงค้ำชูข้าพระองค์ไว้ เพราะความสัตย์สุจริตของข้าพระองค์
 และทรงตั้งข้าพระองค์ไว้ต่อพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์
13สาธุการแด่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
 ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล
 อาเมน และ อาเมน

อรรถาธิบาย

ความสำคัญของการทรงสถิตของพระเจ้า

คุณสามารถรับรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าและความพอพระทัยของพระองค์ท่ามกลางความท้าทายทั้งหมดของชีวิต

ดาวิดมีความกังวลและว้าวุ่นใจ เขามีศัตรูเช่นเดียวกับพระเยซู พระองค์ตรัสว่า ‘แม้แต่เพื่อนสนิทผู้ที่ข้าพเจ้าไว้วางใจ ผู้รับประทานอาหารของข้าพเจ้าก็ยกส้นเท้าใส่ข้าพเจ้า’ (ข้อ 9; ดูยอห์น 13:18 ด้วย)

จงมั่นใจเหมือนดาวิดในชัยชนะแห่งความดีที่อยู่เหนือความชั่วร้าย (สดุดี 41:11ข) ทราบไว้เถิดว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยคุณ (ข้อ 11ก) ความปรารถนาอันท่วมท้นของดาวิดคือการที่พระเจ้าจะทรงตั้งเขาไว้ต่อพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ (ข้อ 12) ให้สิ่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในชีวิตคุณ นี่คือสิ่งที่คุณถูกสร้างขึ้นมา การทรงสถิตของพระเจ้าตอบสนองความต้องการส่วนลึกที่สุดของคุณ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ให้เปรมปรีดิ์ไปกับความพอพระทัยและการทรงสถิตของพระองค์ท่ามกลางความท้าทายและความยากลำบากในชีวิต

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 10:25-11:4

ชาวสะมาเรียใจดี

 25มีผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งยืนขึ้นทดสอบพระองค์ ทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์?” 26พระองค์ตรัสตอบว่า “ในธรรมบัญญัติเขียนว่าอย่างไร? ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร?” 27เขาทูลตอบว่า “พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดกำลังของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่านฉธบ.6:5 และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 28พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงไปทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต”
 29แต่คนนั้นต้องการจะรักษาหน้า จึงทูลพระเยซูว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?” 30พระเยซูตรัสตอบว่า “มีชายคนหนึ่งลงจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น พวกโจรแย่งชิงเสื้อผ้าของเขา ทุบตีเขา แล้วทิ้งเขาไว้ในสภาพที่เกือบจะตายแล้ว 31เผอิญมีปุโรหิตคนหนึ่งเดินมาตามทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นแล้วก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง 32คนเลวีก็เหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง 33แต่เมื่อชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้คนนั้น เห็นแล้วก็มีใจสงสาร 34จึงเข้าไปหาเขา เอาเหล้าองุ่นกับน้ำมันเทใส่บาดแผลและเอาผ้ามาพันให้ แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเองพามาถึงโรงแรม และดูแลรักษาพยาบาลเขา 35วันรุ่งขึ้นก่อนจะไป เขาเอาเงินสองเดนาริอันให้กับเจ้าของโรงแรม บอกว่า ‘ช่วยรักษาเขาด้วย สำหรับเงินที่ต้องเสียเกินกว่านี้จะใช้ให้เมื่อกลับมา’ 36ท่านเห็นว่าในสามคนนั้นคนไหนถือได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น?” 37เขาทูลตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น”

การเสด็จเยี่ยมมารธาและมารีย์

 38เมื่อพระเยซูกับพวกสาวกเดินทางไป พระองค์ทรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อมารธาต้อนรับพระองค์เข้าไปพักที่บ้านของนาง 39มารธามีน้องสาวชื่อมารีย์ และมารีย์ก็นั่งอยู่ใกล้พระบาทของพระเยซูคอยฟังถ้อยคำของพระองค์ 40แต่มารธาวุ่นวายอย่างมากกับการปรนนิบัติ จึงมาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ปรนนิบัติอยู่คนเดียว? ขอพระองค์สั่งน้องให้มาช่วยข้าพระองค์ด้วย” 41แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบนางว่า “มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน 42สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว และมารีย์ก็เลือกเอาส่วนที่ดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”

ลูกา 11

พระดำรัสสอนเรื่องการอธิษฐาน

1พระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้ว สาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน เหมือนที่ยอห์นสอนพวกศิษย์ของท่าน” 2พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เมื่ออธิษฐาน จงกล่าวว่า
‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
3ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ทุกๆ วัน
4ขอทรงยกโทษบาปผิดของพวกข้าพระองค์
 เพราะว่าพวกข้าพระองค์ยกโทษให้กับทุกคนที่เป็นหนี้ข้าพระองค์นั้น
และขออย่าทรงนำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง’ ”

อรรถาธิบาย

ลำดับความสำคัญของพระเยซู

ลำดับความสำคัญของคุณคืออะไร? การใช้เวลากับพระเยซูเป็นสิ่งที่คุณใช้ความพยายามและบีบลงในตารางงานอันยุ่งเหยิงของคุณหรือไม่? หรือคุณได้กำหนดการใช้เวลากับพระองค์มาเป็นที่หนึ่ง?

มีนักศาสนศาสตร์คนหนึ่งทึ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติ ได้ถามคำถามที่สำคัญมากกับพระเยซู ซึ่งเกี่ยวกับหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์

พระเยซูทรงให้แนวทางกับเราและเป็นวิธีหนึ่งที่เราได้ทำตามในการสนทนากลุ่มย่อยในหลักสูตรอัลฟ่า พระเยซูถามคำถามว่า ‘ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร?' (10: 26,36)

ผู้เชี่ยวชาญบทบัญญัติคนนั้นให้คำตอบที่ถูกต้องว่า ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดกำลังของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน’ (ข้อ 27) สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคุณและลำดับความสำคัญต่อไปของคุณคือการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

จากนั้นเขาก็ถามคำถามซึ่งแสดงว่าเขาหาช่องโหว่ (ข้อ 29) โดยเขาต้องการให้คำว่า ‘เพื่อนบ้าน' มีความหมายแค่กลุ่มคนในวงจำกัด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน ญาติ สมาชิกในกลุ่มเดียวกัน และชุมชนทางความเชื่อ

พระเยซูทรงตรัสตอบเขาด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับความอธรรม มีชายคนหนึ่งกำลังเดินทางบนถนนที่มีชื่อเสียงเรื่องความอันตรายแห่งหนึ่ง ระยะทางยาว 17 ไมล์ และเป็นทางลาดลงด้วยความสูงถึง 3,000 ฟุต จากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองเยรีโค เขากำลังขนสินค้าและของมีค่า และได้กลายเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของความโหดร้ายนี้ เขาถูกปล้น ถูกแย่งชิง ถูกทุบตีและถูกทิ้งให้เกือบตาย (ข้อ 30)

พวกเหล่าผู้นำก็เดินผ่านมา เริ่มจากปุโรหิต (ซึ่งอาจเพิ่งเสร็จกิจในพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม) และตามนั้นคนเลวี (ผู้ช่วยรับผิดชอบศาสนพิธีและการนมัสการ) พวกเขาทั้งคู่ต่าง ‘เห็น' เหยื่อคนนั้น (ข้อ 31–32) แต่ทั้งคู่กลับไม่หยุดช่วย มีสาเหตุที่เป็นไปได้อย่างน้อยสามประการที่ทำให้พวกเขาและเราไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย:

  1. เรายุ่งจนเกินไป
    อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังรีบ พวกเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับสิ่งซึ่งใช้เวลานาน

  2. เราไม่ต้องการให้ตนเองแปดเปื้อนมลทิน
    การสัมผัสศพจะทำให้เป็นมลทินไปเจ็ดวัน (กันดารวิถี 19:11) ในช่วงเวลานั้นพวกเขาจะเข้าพระวิหารไม่ได้ (เลวีนิติ 21:1) ซึ่งอาจจะทำให้พวกเขาหมดหน้าที่ที่พระวิหาร

  3. เราไม่อยากเสี่ยง
    เห็นได้ชัดว่ามีโจรอยู่รอบ ๆ นี่อาจเป็นตัวล่อในการถูกซุ่มโจมตีก็เป็นได้

ผู้ที่กำลังฟังพระเยซูในขณะนั้นคงจะตกตะลึงกับพระเอกของเรื่องนี้ในท้ายที่สุด พระเยซูทรงเลือกบุคคลที่พวกเขาโปรดปรานน้อยที่สุด นั่นคือชาวสะมาเรียที่เป็นคนเผ่าที่ชาวยิวเกลียดชังทั้งทางสังคม การเมืองและความเชื่อ นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลต่างเชื้อชาติและความเชื่อที่สำแดงความเมตตากรุณา (ลูกา 10:33) ชาวสะมาเรียยื่นมือเข้าช่วย แม้มันทำให้เขาเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงานและเงินทอง (ข้อ 34–35)

เรื่องราวที่พระเยซูทรงเล่าให้ฟังแสดงให้เห็นว่าผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติคนนั้นถามคำถามที่ผิด (ข้อ 29) คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่ ‘ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?’ แต่ ‘ข้าพเจ้าจะเป็นเพื่อนบ้านกับใครได้บ้าง?’ พระเยซูทรงสอนให้เห็นถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีขีดจำกัด พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำลายข้อจำกัดทั้งหมด เหล่ามนุษย์ชาติทั้งหมดคือเพื่อนบ้านของเรา

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงตรัสไว้ในปาฐกถาเนื่องในวันคริสต์มาส ว่า ‘สำหรับข้าพเจ้าในฐานะคริสเตียนเมื่อพระเยซูทรงตอบคำถามที่ว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?" ความหมายที่พระเยซูบอกไว้นั้นชัดเจนแล้ว ทุกคนคือเพื่อนบ้านของเราไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน ความเชื่อใด หรือสีผิวอะไรก็ตาม’

‘[เขา] เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง’ (ข้อ 31ข) เป็นการเปรียบเปรยที่ชวนให้นึกถึงว่า มีคนที่เจ็บป่วยทุกข์ยากมากมายรอบตัวเรา หากคุณเห็นแล้วอย่าเป็นเหมือนปุโรหิตและคนเลวีในคำอุปมาของพระเยซู ที่เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง แต่ชาวสะมาเรียนั้น ‘สงสาร’ (ข้อ 33ข) เขาดูแลชายที่บาดเจ็บคนนั้น (ข้อ 34ข) และให้เงิน (ข้อ 35) พระเยซูตรัสในตอนท้ายของเรื่องนี้ว่า ‘ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น’ (ข้อ 37ข)

ให้เราแสวงหาผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือและมีส่วนในการช่วยเหลือพวกเขา คุณจะมีหัวใจเหมือนพระเจ้า คือตอนที่คุณช่วยคนที่ถูกทำร้าย ดึงคนที่ล้มลงและฟื้นฟูคนที่ใจแตกสลาย พยายามทำให้สิ่งนี้มีความสำคัญสูงสุดในชีวิตของคุณ อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคุณในการทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้

นางมารีย์จัดลำดับความสำคัญของเธอได้ถูกต้อง เธอ ‘นั่งอยู่ใกล้พระบาทของพระเยซูคอยฟังถ้อยคำของพระองค์' (ข้อ 39) เธอตระหนักว่าแม้จะมีเรื่องกวนใจและความกังวลมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการนั่งอยู่ใกล้พระบาทของพระเยซูและฟังพระองค์ สิ่งนี้ควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของคุณด้วยเช่นกัน

ส่วนมารธานั้นยุ่งเกินกว่าจะมีความสุขในการใช้เวลากับพระเยซูเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาที่บ้านของเธอ การไม่ใช้เวลาร่วมกับพระเยซูถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตฝ่ายวิญญาณของคุณ ไม่เคยมีใครพูดในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตว่า ‘ฉันหวังว่าฉันจะมีเวลาอยู่ที่ออฟฟิศนานกว่านี้ซักหน่อย’ หลายคนเสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลามากขึ้นกับความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดของพวกเขา

คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เรื่องราวต่อไป ลูกาได้บรรยายเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูที่สอนให้สาวกอธิษฐานวิงวอน เราเห็นว่าพระเยซูเป็นแบบอย่างความสำคัญของการใช้เวลากับพระเจ้าในการอธิษฐานและความใจจดใจจ่อที่เป็นตัวจุดประกายให้กับบรรดาสาวกของพระองค์ (11:1) นั่นคือบริบทของพระองค์ที่จะสอนพวกเขาถึง ‘คำอธิษฐานของพระเจ้า'

คำอธิษฐานเริ่มต้นด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยการอธิษฐานเอ่ยพระนาม ‘พระบิดา' แต่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าควรส่งผลต่อชีวิตที่เหลือของคุณเช่นกัน ให้เราอธิษฐานเผื่อการจัดเตรียมประจำวัน (ข้อ 3) โดยอธิษฐานว่า ‘ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่’ (ข้อ 2) และระลึกถึงบาปที่คุณจำเป็นต้องให้ยกโทษให้ผู้อื่นหรือได้รับการยกโทษ (ข้อ 4)

มีหลายวิธีในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพระเยซู ไม่ว่าคุณจะทำด้วยวิธีใดก็ตาม จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตอยู่เสมอ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้มีความสุขกับการทรงสถิตของพระองค์ ขอให้ข้าพระองค์มีความรักและความกล้าหาญที่จะดึงคนที่ล้มลงขึ้นมา ฟื้นฟูใจที่แตกสลาย และช่วยเหลือผู้ที่ถูกทำร้ายมา

พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 2:24-4:14

24‘พวกเจ้าจงลุกขึ้นเดินทางข้ามลุ่มแม่น้ำอารโนน นี่แน่ะ เราได้มอบสิโหนชาวอาโมไรต์ผู้เป็นกษัตริย์แห่งเฮชโบน และดินแดนของเขาไว้ในมือของเจ้า เจ้าจงเริ่มเข้ายึดครองและสู้รบกับเขา 25วันนี้เราจะให้ชนชาติทั้งหลายทั่วใต้ฟ้าครั่นคร้ามและกลัวเจ้า เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวเรื่องเจ้าก็จะกลัวจนตัวสั่นและลนลานเพราะเจ้า’

พิชิตกษัตริย์สิโหน

 26“ข้าพเจ้าจึงใช้ผู้สื่อสารจากถิ่นทุรกันดารเคเดโมทไปเข้าเฝ้าสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน ทูลถ้อยคำอันสันติว่า 27‘ขอให้ข้าพระบาทผ่านดินแดนของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทจะเดินไปตามทางหลวงเท่านั้น จะไม่เลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้ายเลย 28ขอฝ่าพระบาทขายเสบียงเอาเงิน เพื่อข้าพระบาทจะได้กิน และขอขายน้ำเอาเงิน เพื่อข้าพระบาทจะได้ดื่ม ขอเพียงให้ข้าพระบาทเดินผ่านไปเท่านั้น 29เช่นเดียวกับลูกหลานของเอซาวซึ่งอยู่ที่เสอีร์ และคนโมอับที่อยู่เมืองอาร์ ได้ทำกับข้าพระบาทนั้น จนข้าพระบาทจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระบาทได้ประทานให้พวกข้าพระบาท’ 30แต่สิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน ไม่ยอมให้เราผ่านเขตแดนของเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทรงทำให้จิตใจของสิโหนกระด้าง และทรงทำให้ใจแข็ง เพื่อจะทรงมอบเขาไว้ในมือของท่านดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 31และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘นี่แน่ะ เราเริ่มมอบสิโหนและแผ่นดินของเขาไว้กับเจ้า จงเข้ายึดครองเพื่อเจ้าจะได้แผ่นดินของเขาเป็นกรรมสิทธิ์’ 32แล้วสิโหนยกออกมาต่อสู้กับเราที่ยาฮาส ทั้งเขาและประชาชนทั้งสิ้นของเขา 33และพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงมอบเขาไว้ต่อเรา และเราได้ตีทำลายเขากับบุตรและประชาชนทั้งสิ้นของเขาเสีย 34เวลานั้นเราได้ยึดเมืองทั้งหมดของเขา และได้ทำลายผู้ชายผู้หญิงและเด็กในทุกเมืองไม่มีผู้เหลือรอดชีวิตเลย 35เหลือแต่ฝูงสัตว์ เราก็ยึดมาเป็นของแย่งชิงของเรา ทั้งของริบในเมืองเหล่านั้นที่เราตีมา 36ตั้งแต่อาโรเออร์ที่อยู่ริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และตั้งแต่เมืองที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำนั้นจนถึงเมืองกิเลอาด ไม่มีเมืองใดต่อต้านเราได้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงมอบทั้งหมดนั้นไว้กับเรา 37ขอเพียงแต่ท่านไม่เข้าใกล้แผ่นดินคนอัมโมน คือฝั่งแม่น้ำยับบอกและเมืองที่อยู่บนภูเขา และที่ใดๆ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสห้ามเรานั้น

เฉลยธรรมบัญญัติ 3

ความพ่ายแพ้ของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน

 1“เราจึงหันขึ้นไปยังทางสู่บาชาน แล้วโอกกษัตริย์แห่งบาชานทรงออกมาสู้รบกับเรา พร้อมด้วยประชาชนทั้งหมดของพระองค์เพื่อสู้รบที่เอเดรอี 2แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราได้มอบเขาและประชาชนทั้งหมดรวมทั้งแผ่นดินของเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว และเจ้าจะทำกับเขาเหมือนอย่างที่ได้ทำกับสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่เฮชโบน’ 3พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจึงทรงมอบไว้ในมือของเรา ทั้งโอกกษัตริย์แห่งบาชานและประชาชนทั้งสิ้นของเขา และพวกเราได้ฆ่าพวกเขาจนไม่มีเหลือ 4เวลานั้นเรายึดเอาเมืองทั้งหมดของเขารวมหกสิบเมือง ไม่มีเหลือสักเมืองเดียวซึ่งเราไม่ได้ยึดมาจากพวกเขา ดินแดนทั้งสิ้นแห่งอารโกบ ซึ่งเป็นอาณาจักรของโอกในบาชาน 5เมืองเหล่านี้ทั้งสิ้นเป็นเมืองที่มีกำแพงสูง มีประตู มีดาลประตู และยังมีหมู่บ้านอีกมากที่ไม่มีกำแพง 6เราได้ทำลายพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ได้ทำลายพวกผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กในทุกเมือง เหมือนเราทำต่อสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบนนั้น 7แต่ฝูงสัตว์ทั้งหมดและของริบจากเมืองเหล่านั้น เราแย่งชิงมาเป็นของเรา 8เวลานั้นเรายึดแผ่นดินจากมือของกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน 9(ภูเขาเฮอร์โมนนั้นชาวไซดอนเรียกว่าสีรีออน และชาวอาโมไรต์เรียกว่าเสนีร์) 10คือเมืองทั้งหมดในที่ราบสูงและกิเลอาดทั้งหมด และบาชานทั้งหมด จนถึงเมืองสาเลคาห์และเมืองเอเดรอี ซึ่งเป็นเมืองแห่งอาณาจักรของโอกในบาชาน 11(ด้วยยังเหลืออยู่แต่โอกกษัตริย์แห่งบาชานซึ่งเป็นพวกเรฟาอิม นี่แน่ะ เตียงนอนของท่านทำด้วยเหล็ก เตียงนอนนั้นไม่ได้อยู่ที่เมืองรับบาห์ของคนอัมโมนหรือ ยาวถึงสี่เมตร กว้างเกือบสองเมตรตามมาตรฐานการวัด)
 12“แผ่นดินนี้ที่พวกเรายึดครองได้เวลานั้น คือตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำอารโนน และแดนเทือกเขากิเลอาดครึ่งหนึ่งกับเมืองในพื้นที่นั้น ข้าพเจ้าให้แก่เผ่ารูเบนและเผ่ากาด 13ส่วนกิเลอาดที่ยังเหลืออยู่กับบาชานทั้งหมด ซึ่งเป็นอาณาจักรของโอก คือดินแดนอารโกบทั้งหมด ข้าพเจ้าให้แก่เผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า (บาชานทั้งหมดนั้นเรียกว่าดินแดนของพวกเรฟาอิม 14ยาอีร์บุตรเผ่ามนัสเสห์ตีได้ดินแดนอารโกบทั้งหมด คือเมืองบาชานจนถึงเขตแดนเมืองของชาวเกชูร์ และเมืองของชาวมาอาคาห์) และเรียกชื่อเมืองเหล่านั้นตามชื่อของตนว่า ฮาวโวทยาอีร์ จนถึงทุกวันนี้ 15เมืองกิเลอาดนั้นข้าพเจ้าให้แก่มาคีร์ 16ส่วนเผ่ารูเบนและเผ่ากาดนั้น ข้าพเจ้าให้ดินแดนตั้งแต่กิเลอาดถึงแม่น้ำอารโนน ถือเอากลางแม่น้ำเป็นเขตแดนเรื่อยมาถึงแม่น้ำยับบอก อันเป็นเขตแดนของคนอัมโมน 17ทั้งบริเวณที่ราบด้วย มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดนตั้งแต่ทะเลคินเนเรททะเลสาบกาลิลีจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ คือทะเลตาย ที่ราบแถบเนินเขาปิสกาห์ซึ่งอยู่ทิศตะวันออก
 18“เวลานั้นข้าพเจ้าบัญชาท่านทั้งหลายว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงให้พวกท่านยึดครองแผ่นดินนี้ แต่ทหารพร้อมรบทั้งสิ้นของท่าน จงถืออาวุธยกข้ามไปก่อนคนอิสราเอลผู้เป็นพี่น้องของท่าน 19ส่วนภรรยา บุตรเล็กๆ กับฝูงปศุสัตว์ของท่าน(เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่แล้วว่า ท่านทั้งหลายมีฝูงปศุสัตว์จำนวนมาก) จงอยู่ในเขตเมืองที่ข้าพเจ้ายกให้พวกท่านนั้นก่อน 20จนกว่าพระยาห์เวห์จะประทานการหยุดพักแก่พี่น้องของท่าน ดังที่ประทานแก่ท่านแล้ว จนพวกเขาจะยึดครองแผ่นดิน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขาที่ฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน แล้วพวกท่านแต่ละคนจึงจะกลับมายังที่อยู่ของตน ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้แก่ท่านแล้ว’ 21เวลานั้นข้าพเจ้าสั่งโยชูวาว่า ‘นัยน์ตาของท่านได้เห็นทุกอย่างที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงทำกับกษัตริย์ทั้งสองนั้นแล้ว ดังนั้นพระยาห์เวห์จะทรงทำกับอาณาจักรทั้งสิ้นซึ่งท่านจะข้ามไปอยู่เช่นเดียวกัน 22ท่านทั้งหลายอย่ากลัวพวกเขาเลย เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงสู้รบเพื่อท่านทั้งหลาย’

โมเสสมองดูคานาอันจากปิสกาห์

 23“เวลานั้นข้าพเจ้าอ้อนวอนพระยาห์เวห์ว่า 24‘พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์เพิ่งทรงสำแดงความยิ่งใหญ่และพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะมีพระเจ้าองค์ไหนเล่าในสวรรค์ หรือในแผ่นดินโลกที่ทรงสามารถทำกิจการต่างๆ และการอิทธิฤทธิ์เหมือนพระองค์ทรงกระทำ 25ขอทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ข้ามไปดูแผ่นดินดีที่อยู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ดูแดนเทือกเขางดงามและเลบานอนด้วย’ 26แต่พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธต่อข้าพเจ้า เพราะพวกท่านเป็นเหตุ พระองค์จึงไม่ทรงฟังข้าพเจ้า และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘พอแล้ว เจ้าอย่าพูดเรื่องนี้กับเราอีกต่อไป 27เจ้าจงขึ้นไปถึงยอดปิสกาห์และมองดูทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก แลดูแผ่นดินนั้นด้วยนัยน์ตาของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ 28แต่เจ้าจงกำชับโยชูวา จงหนุนใจและเสริมกำลังเขาให้เข้มแข็ง เพราะเขาจะต้องนำหน้าชนชาตินี้ข้ามไป และจะทรงให้เขาเข้ายึดครองแผ่นดินที่เจ้ามองเห็นนั้น’ 29ฉะนั้นพวกเราจึงยับยั้งอยู่ในหุบเขาตรงข้ามกับเบธเปโอร์

เฉลยธรรมบัญญัติ 4

โมเสสสั่งให้เชื่อฟัง

 1“บัดนี้ โอ คนอิสราเอล จงฟังกฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ประพฤติตามเพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่ และเข้ายึดครองแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านประทานแก่ท่าน 2ท่านทั้งหลายอย่าแต่งเติมถ้อยคำที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้ และอย่าตัดสิ่งใดออก เพื่อท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน 3นัยน์ตาของพวกท่านได้เห็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงกระทำเกี่ยวกับพระบาอัลเปโอร์แล้ว เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงทำลายทุกคนที่ติดตามพระบาอัลเปโอร์จากท่ามกลางท่าน 4แต่ท่านทั้งหลายผู้ยึดพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอย่างมั่นคง ยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ทุกคน 5ดูสิ ข้าพเจ้าได้สั่งสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่พวกท่าน ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า ให้ท่านทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะเข้ายึดครอง 6จงรักษาและทำตามกฎเหล่านั้น เพราะการกระทำอย่างนั้นจะแสดงถึงสติปัญญาและความเข้าใจของพวกท่านต่อหน้าชนชาติทั้งหลาย เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินถึงกฎเกณฑ์เหล่านี้แล้ว เขาจะกล่าวว่า ‘แท้จริงชนชาติใหญ่นี้เป็นประชาชนที่มีปัญญาและมีความเข้าใจ’ 7เพราะมีชนชาติใหญ่ชาติใดเล่าที่มีพระเจ้าอยู่ใกล้ตน ดังพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราสถิตใกล้เรา ในทุกสิ่งที่เราร้องทูลต่อพระองค์? 8และมีชนชาติใหญ่ชาติใดเล่า ซึ่งมีกฎเกณฑ์และกฎหมายอันชอบธรรมดังธรรมบัญญัตินี้ ซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ต่อหน้าพวกท่านในวันนี้?
 9“แต่จงระวังตัว และรักษาจิตวิญญาณของตนให้ดี เกรงว่าท่านจะลืมสิ่งที่นัยน์ตาได้เห็นนั้น และเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นจะสูญไปจากใจของท่านตลอดชีวิตของท่าน จงทำให้ลูกและหลานของท่านทราบเรื่องเหล่านี้ 10ในวันนั้นที่ท่านยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่โฮเรบ พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงรวบรวมประชากรให้มาหาเรา เพื่อเราจะให้เขาได้ยินถ้อยคำของเรา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงเราตลอดวันคืนที่เขามีชีวิตอยู่ในโลก และเพื่อเขาจะสอนลูกหลานของเขาด้วย’ 11ท่านทั้งหลายได้เข้ามาใกล้และยืนอยู่ที่เชิงเขา และภูเขานั้นมีไฟลุกขึ้นถึงท้องฟ้า มีความมืด เมฆ และความมืดทึบคลุมอยู่ 12แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับท่านทั้งหลายออกมาจากท่ามกลางไฟ ท่านได้ยินเสียงพระดำรัสแต่ไม่เห็นรูปสัณฐาน มีแต่พระสุรเสียงเท่านั้น 13และพระองค์ทรงประกาศพันธสัญญาของพระองค์ต่อท่าน ซึ่งทรงบัญชาท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติตามคือ พระบัญญัติสิบประการ และพระองค์ทรงจารึกลงบนศิลาสองแผ่น 14ในเวลานั้นพระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าสั่งสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะข้ามไปยึดครองนั้น

อรรถาธิบาย

ลำดับความสำคัญของความสัมพันธ์

โมเสสได้บันทึกว่าพระเจ้าทรงประทานแผ่นดินให้พวกเขาอย่างไรและยังได้ประทานพระบัญญัติแก่พวกเขาอีกด้วย แต่สิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับประชากรของพระเจ้าไม่ใช่แผ่นดินหรือธรรมบัญญัติ แต่เป็นความรักของพระเจ้า: ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราสถิตใกล้เรา ในทุกสิ่งที่เราร้องทูลต่อพระองค์’ (4:7)

นอกจากนี้ดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงกันอย่างเจาะจงระหว่างวิธีที่ประชาชนของพระเจ้าได้รับการชี้แนะให้ดำเนินชีวิตกับผลกระทบที่พวกเขามีต่อชนชาติอื่น ๆ (ข้อ 6) พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พวกเขาเป็นแบบอย่างที่เห็นได้ชัดเจนทั้งในด้านพระลักษณะของพระเจ้าสูงสุดที่พวกเขาเคารพบูชา และด้านคุณภาพของความชอบธรรมทางสังคมที่เป็นตัวเป็นตนในชุมชนของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งการทำตามตัวอย่างที่ดีของชาวสะมาเรียมีผลต่อการประกาศข่าวประเสริฐ

ธรรมบัญญัติเป็นการแสดงออกถึงความรักและความปรารถนาของพระเจ้าที่จะใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาได้รับการกระตุ้นเตือนเสมอว่า ‘แต่จงระวังตัว และรักษาจิตวิญญาณของตนให้ดี เกรงว่าท่านจะลืมสิ่งที่นัยน์ตาได้เห็นนั้น และเกรงว่าสิ่งเหล่านั้นจะสูญไปจากใจของท่านตลอดชีวิตของท่าน จงทำให้ลูกและหลานของท่านทราบเรื่องเหล่านี้’ (ข้อ 9) ธรรมบัญญัตินั้นเราได้รับในบริบทของพันธสัญญา (ข้อ 13) เริ่มต้นด้วยความมุ่งมั่นของพระเจ้าที่มีต่อเราและความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา

ในทำนองเดียวกันพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เริ่มต้นด้วยพันธสัญญาของพระเจ้าผ่านการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูและผ่านความรักของพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของคุณ คุณสามารถเข้าถึงการทรงสถิตของพระเจ้าได้อย่างถาวรนิรันดร์ (เอเฟซัส 2:18)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ติดสนิทกับพระองค์ ให้อยู่ในการทรงสถิตกับพระองค์ นั่งลงใกล้พระบาทของพระเยซู ฟังคำสอนและนำออกไปปฏิบัติต่อผู้อื่น

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 10:38–42

ฉันเห็นใจทั้งนางมารีย์และนางมารธา ฉันเข้าใจความรู้สึกของการพยายามเตรียมอะไรบางอย่างในขณะที่ผู้คนกำลังนั่ง ‘จดจ่ออยู่กับชีวิตฝ่ายวิญญาณ’ อยู่รอบ ๆ และไม่ทำอะไรเลยทั้งที่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ แต่ฉันก็มีประสบการณ์หลายครั้งเช่นกันเมื่อฉันได้นั่งอยู่เฉย ๆ ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังวิ่งไปรอบ ๆ ทำงานอย่างหนัก ฉันรู้สึกประทับใจกับคำพูดของ ไบรอัน ฮิวส์ตัน ที่กล่าวว่า ‘ภาระและการพักสงบ’ ทั้งสองอย่างมีความจำเป็นในชีวิต

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม