วัน 120

การต่อสู้ในทุกวันนี้ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 53:1-6
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 1:1-28
พันธสัญญาเดิม โยชูวา 15:1-16:10

เกริ่นนำ

ผมได้มีส่วนในการช่วยหรือนำกลุ่มย่อยในอัลฟ่า มากว่ายี่สิบห้าปี ระหว่างช่วงเวลานั้น ผมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมของเรา มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องท่าทีที่มีต่อพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนหนุ่มสาว หลายคนจะพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและแม้แต่เปิดรับแนวคิดเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่กลับมีความคิดว่าพระเยซูทรงกลายเป็นสิ่งกีดขวาง พวกเขาพูดทำนองว่า ‘ฉันไม่เข้าใจอะไรในตัวพระเยซูเลยซักนิด’

ดังที่คุณพ่อราเนียโร คาตาลาเมสซ่า กล่าวไว้บ่อย ๆ ‘การต่อสู้ในทุกวันนี้ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู’

พระเยซูทรงเป็นพระผู้ไถ่แห่งสรรพสิ่งทั้งปวงจริงไหม? นี่เป็นการต่อสู้เช่นเดียวกับในศตวรรษแรก ผู้คนในปัจจุบันนี้พอใจที่จะยอมรับพระเยซูว่าเป็น ‘หนึ่งในหลายพระ’ เอกลักษณ์ของพระเยซูเป็นเหตุให้เกิดการโจมตี ในพระธรรมสำหรับวันนี้ เราได้เห็นว่าเมื่อเราพบกับบางคนที่ไม่ธรรมดาในพระคัมภีร์ เช่น โมเสส โยชูวา เอลียาห์ และยอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่ไม่มีใครเหมือนพระเยซู พระเยซูทรงไม่เหมือนใคร พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่แห่งสรรรพสิ่งทั้งปวง

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 53:1-6

การประณามพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองมาหะลัท มัสคิลบทหนึ่งของดาวิด

1คนโง่รำพึงในใจตนว่า “ไม่มีพระเจ้า”
 เขาทั้งหลายก็เลวทรามและทำความอยุติธรรมที่น่าเกลียดน่าชัง
 ไม่มีผู้ใดทำดี
2พระเจ้าทอดพระเนตรลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูมนุษย์ทั้งหลาย
 ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาด
 ที่แสวงหาพระเจ้า
3เขาทั้งหลายหันกลับไปหมด
 เสื่อมทรามเหมือนกันสิ้น
ไม่มีผู้ใดทำดี
 ไม่มีสักคนเดียว
4บรรดาผู้ทำความชั่วไม่รู้หรือ?
 คือผู้ที่กินประชากรของเราอย่างกินอาหาร
 และไม่ได้ร้องทูลพระเจ้า
5เขาทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นอย่างหวาดกลัวยิ่งนัก
 หวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็น
เพราะพระเจ้าจะทรงกระจายกระดูกของคนที่ตั้งค่ายสู้เจ้า
 เจ้าจะทำให้พวกเขาอับอาย เพราะพระเจ้าทรงปฏิเสธเขา
6ขอให้การช่วยกู้อิสราเอลออกมาจากศิโยน
 เมื่อพระเจ้าทรงให้ประชากรของพระองค์กลับสู่สภาพดี
 ยาโคบจะเปรมปรีดิ์ อิสราเอลจะยินดี

อรรถาธิบาย

ไม่มีใครเหมือนพระเยซู

นโปเลียน โบนาปาร์ต กล่าวไว้ว่า ‘ข้าพเจ้ารู้จักคนมากหน้าหลายตา และข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นแค่ชายคนหนึ่ง ระหว่างพระองค์กับคนอื่นๆ ในโลกแล้ว หาสิ่งใดมาเปรียบเทียบมิได้เลย’ พระเยซูทรงแตกต่างจากมนุษย์ทุกคนที่เคยมีชีวิตอยู่

ดาวิดกล่าวว่า ‘ไม่มีผู้ใดทำดี’ (ข้อ 1) เมื่อพระเจ้าทรงทอดพระเนตรลงมาจากสวรรค์มายังมนุษยชาติ พระองค์ทรงเห็นว่า ‘ไม่มีผู้ใดทำดี ไม่มีสักคนเดียว’ (ข้อ 3)

ดาวิดมองหาผู้ช่วยกู้ด้วยความหวัง: ‘ไม่มีใครช่วยกู้อิสราเอลเลยหรือ?’ (ข้อ 6ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การรอคอยของดาวิด แน่นอนว่าสำเร็จในพระเยซูแล้ว พระเยซูทรงมีเอกลักษณ์ในความดีพร้อมของพระองค์ อัครสาวกเปาโลยกสดุดีตอนนี้มาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความต้องการผู้ช่วยกู้ของมนุษย์ทุกคน (โรม 3:10–12)

ตามที่อาจารย์เปาโลยกตัวอย่างผู้คนที่แตกต่างกันในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนยิวกับคนต่างชาติ คนมีศีลธรรมและผิดศีลธรรม เขามาถึงข้อสรุปว่าไม่มีใครที่พระเจ้าทรงสามารถนับได้ว่าเป็นคนดีพร้อมและชอบธรรม เปาโลบรรยายว่า ‘เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้...’ (ข้อ 20)

ความอัศจรรย์ของพระกิตติคุณคือเราผู้ซึ่งไม่ชอบธรรมสามารถถูกประกาศว่าชอบธรรมได้ ผ่านทางความชอบธรรมอันสมบูรณ์ของพระเยซู ‘คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ’ (ข้อ 22)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่บัดนี้เป็นไปได้สำหรับข้าพระองค์ที่จะมีความชอบธรรมจากพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูแก่ทุกคนที่เชื่อ

พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 1:1-28

พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์

 1ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า 2ในปฐมกาลพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า 3พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ 4พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ 5ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้
 6มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มาชื่อยอห์น 7ท่านมาในฐานะสักขีพยานเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น เพื่อว่าทุกคนจะได้เชื่อเพราะท่าน 8ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น
 9ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก 10พระองค์ทรงอยู่ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์
 11พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่ชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ต้อนรับพระองค์ 12แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า 13ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
 14พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง 15ยอห์นเป็นพยานให้กับพระองค์ และร้องประกาศว่า “นี่แหละ คือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงว่า พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” 16เพราะเราได้รับพระคุณซ้อนพระคุณแปลได้อีกว่า พระคุณแทนพระคุณจากความบริบูรณ์ของพระองค์ 17คือว่าเราได้ธรรมบัญญัตินั้นมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ 18ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว

คำพยานของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

 19นี่เป็นคำพยานของยอห์น คือเมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า “ท่านคือใคร?” 20ท่านก็ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ คือยอมรับว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์แปลได้อีกว่า ผู้ได้รับการทรงเจิม” 21พวกเขาจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์มลค.4:5หรือ?” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้น หรือ?” และยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่” 22พวกเขาจึงถามว่า “แล้วท่านเป็นใคร? ขอให้ตอบมา จะได้ไปบอกคนที่ใช้เรามา ท่านจะตอบเรื่องตัวท่านว่าอย่างไร?” 23ท่านตอบว่า

“เราเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงทำมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ ตามที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้”

 24พวกฟาริสีเป็นคนส่งพวกเขาไปหายอห์น 25พวกเขาจึงถามยอห์นว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์หรือเอลียาห์ หรือผู้เผยพระวจนะคนนั้นแล้ว ทำไมท่านถึงให้บัพติศมาพิธีชำระ ใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาป?” 26ยอห์นตอบเขาว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางพวกท่านที่ท่านไม่รู้จัก 27ท่านผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้” 28เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมา

อรรถาธิบาย

พระเยซูผู้เดียวเท่านั้น

พระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น พระองค์ ‘ยังคงซึ่งความ มีเอกลักษณ์ ต่อให้พูดน้อยที่สุด หากพระเจ้าเป็นเหมือนพระเยซู พระองค์ก็ทรงคู่ควรแก่การเชื่อวางใจ’ นักหนังสือพิมพ์ แอนโทนี่ เบอร์เจสเขียนเอาไว้

พระกิตติคุณยอห์นทั้งเล่มตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ คือคำตอบของคำถามว่า ‘พระเยซูทรงเป็นผู้ใด?’ คำตอบของยอห์นคือพระเจ้าทรงเป็นเหมือนพระเยซูและพระองค์ทรงคู่ควรแก่การเชื่อวางใจ พระเยซูทรงมีเอกลักษณ์ พระองค์ทรงเป็น ‘องค์เดียว’ (ข้อ 14,18) พระองค์ทรงเป็น ‘การทรงสำแดงของพระเจ้าในแบบไม่ซ้ำใคร’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) วัตถุประสงค์ของพระกิตติคุณยอห์นคือ นำคุณให้มีประสบการณ์เข้าสนิทกับพระเจ้าผ่านทางสัมพันธภาพกับพระเยซู

คุณเป็นสหายของพระเยซู แต่พระเยซูคือใครล่ะ?

  1. พระวาทะของพระเจ้าที่เป็นเอกลักษณ์
    พระกิตติคุณยอห์นเปิดมาด้วยคำอธิบายพระเยซูไว้อย่างยอดเยี่ยมว่าเป็น ‘พระวาทะ’ สำหรับเรา นี่ดูเหมือนเป็นแนวคิดที่แปลกมาก แต่สำหรับผู้อ่านดั้งเดิมของพระธรรมยอห์น นี่เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันมากกว่า แนวคิดเรื่อง ‘พระวาทะของพระเจ้า’ น่าจะสำคัญต่อผู้อ่านชาวยิว พวกเขาคงระลึกถึงพระวาทะของพระเจ้าในการทรงสร้าง (ปฐมกาล 1) และผู้เผยพระวจนะทุกคนเคยพูดถึง ‘พระวจนะพระเจ้า’ (ดูตัวอย่างในอิสยาห์ 40:6–8 และเยเรมีย์ 23:29)

สำหรับผู้อ่านชาวกรีก แนวคิดเรื่อง ‘พระวาทะ’ จะเชื่อมโยงกับการค้นหาความหมายของชีวิต บ่อยครั้งที่นักปรัชญาใช้คำว่า ‘พระวาทะ’ ในแบบย่อ ๆ เพื่ออ้างถึงความหมายและจุดประสงค์ที่ยังไม่รู้จักของกัลปักษ์จักรวาล

คำพูดเริ่มต้นของยอห์นน่าจะทำให้ทั้งสองกลุ่มรู้สึกตื่นเต้น เขากำลังพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะบอกท่านเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านค้นหามาตลอดเวลานี้’

เห็นได้ชัดว่าคำว่า ‘พระวาทะ’ ที่ยอห์นเขียนถึงนั้นคือพระเยซู ‘พระวาทะทรงกลายเป็นเลือดและเนื้อ และมาอยู่กับเรา’ (ยอห์น 1:14ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเยซูไม่ได้แค่อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น: ‘พระวาทะทรงเป็นพระเจ้า’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเยซูทรงเคยเป็นและทรงเป็นพระเจ้า

  1. พระผู้สร้างทุกสิ่ง ผู้ทรงไม่เหมือนใคร
    ทุกสิ่งถูกสร้างผ่านทางพระองค์ ไม่มีอะไร ไม่มีสักสิ่งเดียว! ที่เกิดขึ้นนอกเหนือพระองค์’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ผ่านทางพระเยซู สรรพสิ่งทั้งสิ้นก็บังเกิดขึ้น: ‘เพราะว่าโดยพระองค์ทุกสิ่งได้รับการทรงสร้างขึ้น ทั้งสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าและบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์แห่งพวกภูตผี หรือพวกภูตผีที่ปกครอง หรือพวกภูตผีที่ครอบครอง หรือพวกภูตผีที่มีอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์’ (โคโลสี 1:16)

  1. ความสว่างแห่งโลกที่ไม่ซ้ำใคร ‘พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้’ (ยอห์น 1:4-5)

ความสว่างเป็นดั่งความหมายของของความดีงาม และความจริง ความมืดเป็นดั่งความหมายของความชั่วร้าย และความเท็จ ความสว่างและความมืดนั้นตรงข้ามกัน และไม่เทียบเท่ากัน เทียนเล่มน้อยสามารถส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องที่เต็มไปด้วยความมืดมิด และไม่ถูกทำให้มืดลงโดยความมืด ความสว่างแข็งแกร่งกว่าความมืด ความมืดไม่สามารถเอาชนะความสว่างได้

  1. ผู้ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ไม่เหมือนใคร
    ‘แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า’ (ข้อ 12–13)

ความเชื่อในพระเยซูนำเอาการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดให้เกิดขึ้นได้ เมื่อคุณต้อนรับพระเยซูเข้าสู่ชีวิตของคุณ พระเจ้าก็จะรับคุณเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์

  1. การทรงสำแดงของพระเจ้าที่เป็นเอกลักษณ์
    ‘ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว’ (ข้อ 18)

ทุกสิ่งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนำไปสู่การเปิดเผยสำแดงขั้นสูงสุดของพระเจ้าในพระเยซู ‘เราได้รับพื้นฐานจากโมเสส จากนั้นการให้และรับอันสมบูรณ์นี้ การรู้และความเข้าใจที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นผ่านทาง​พระ​เยซู​คริสต์ องค์พระเมสสิยาห์’ (ข้อ 16–17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นเหตุผลว่าทุกสิ่งที่เราอ่านในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม จำเป็นต้องทำความเข้าใจในแง่ของพระเยซู

พระเยซูทรงตรงข้ามกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา ที่เน้นย้ำถึงสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นไม่สามารถได้เป็นได้ เขาไม่ได้เป็น ‘ความสว่าง’ (ข้อ 8) ไม่ได้เป็นนิรันดร์กาล (ข้อ 15) ไม่ได้เป็นพระคริสต์ (ข้อ 20) ไม่ได้เป็นเอลียาห์ (ข้อ 21) และไม่ได้เป็นผู้เผยพระวจนะ (ข้อ 21)

แม้ว่าพระเยซูตรัสถึงยอห์นไว้ว่า ‘ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่ว่าผู้ที่เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นอีก ’ (มัทธิว 11:11) ยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวถึงพระเยซูว่า ‘ท่านผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้’ (ยอห์น 1:27) งานของยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็เหมือนกับเราทุกคน คือ การชี้ออกไปจากตัวเราเอง และชี้ไปยังองค์พระเยซูผู้หนึ่งผู้เดียว ผู้ทรงมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ผู้เป็นพระวาทะของพระเจ้า เป็นพระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง เป็นความสว่างแห่งโลก เป็นผู้เปลี่ยนแปลงชีวิต และเป็นการทรงสำแดงของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซู ข้าพระองค์ขอนมัสการพระองค์ พระวาทะของพระเจ้าผู้ทรงไม่เหมือนใคร ข้าพระองค์อธิษฐานในวันนี้ขอการทรงสำแดงที่สดใหม่ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด และความเข้าใจอันลึกซึ้งต่อความหมายของการได้เป็นบุตรของพระเจ้า

พันธสัญญาเดิม

โยชูวา 15:1-16:10

ดินแดนของเผ่ายูดาห์

 1ที่ดินตามฉลากของเผ่ายูดาห์ตามตระกูลของเขานั้น ด้านใต้ถึงพรมแดนของเอโดม คือถึงถิ่นทุรกันดารศินเป็นที่สุดปลายเขตด้านใต้ 2พรมแดนทางทิศใต้นั้นตั้งต้นจากปลายทะเลตาย คือตั้งแต่อ่าวซึ่งหันไปทางทิศใต้ 3ยื่นไปทางด้านใต้ของทางขึ้นเนินอัครับบิม ผ่านเรื่อยไปถึงศิน แล้วขึ้นไปทางด้านใต้เมืองคาเดชบารเนีย ตามทางเมืองเฮชโรนถึงเมืองอัดดาร์เลี้ยวไปถึงคารคา 4ผ่านเรื่อยไปถึงอัสโมน ยื่นออกไปถึงลำธารอียิปต์มาสิ้นสุดลงที่ทะเล ที่กล่าวนี้จะเป็นพรมแดนด้านใต้ของพวกท่าน 5พรมแดนด้านตะวันออกคือทะเลตายขึ้นไปถึงปากแม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนด้านเหนือ ตั้งแต่อ่าวที่ทะเลตรงปากแม่น้ำจอร์แดน 6และพรมแดนนั้นยื่นไปถึงเบธฮกลาห์ผ่านไปตามด้านเหนือของเมืองเบธอราบาห์ และพรมแดนยื่นต่อไปถึงโขดหินของโบฮันบุตรรูเบน 7และพรมแดนยื่นไปถึงเดบีร์จากหุบเขาอาโคร์ ตรงไปทางทิศเหนือเลี้ยวไปหาเมืองกิลกาลซึ่งอยู่ตรงข้ามทางขึ้นเขาอดุมมิมที่อยู่ทางด้านใต้ของหุบเขา และพรมแดนก็ผ่านไปถึงลำน้ำเอนเชเมชไปสิ้นสุดลงที่เอนโรเกล 8แล้วพรมแดนก็ยื่นไปตามหุบเขาเบนฮินโนม ถึงไหล่เขาด้านใต้ของคนเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) แล้วพรมแดนก็ยื่นไปถึงยอดภูเขา ซึ่งอยู่หน้าหุบเขาฮินโนมทางด้านตะวันตก ที่หุบเขาเรฟาอิมด้านเหนือสุด 9แล้วพรมแดนก็ยื่นไปจากยอดภูเขาถึงน้ำพุแห่งลำน้ำเนฟโทอาห์ จากที่นั่นก็มาถึงเมืองต่างๆ แห่งภูเขาเอโฟรน แล้วพรมแดนก็เลี้ยวโค้งไปหาเมืองบาอาลาห์ (คือเมืองคีริยาทเยอาริม) 10แล้วพรมแดนก็เลี้ยวโค้งจากบาอาลาห์ไปทางทิศตะวันตกถึงภูเขาเสอีร์ ผ่านไปตามไหล่เขาเยอาริมด้านเหนือ (คือเคสะโลน) ลงไปถึงเมืองเบธเชเมชผ่านเมืองทิมนาห์ไป 11แล้วพรมแดนก็ยื่นออกไปทางไหล่เนินเขาด้านเหนือของเมืองเอโครน แล้วก็โค้งไปหาเมืองชิกเคโรนผ่านไปถึงภูเขาบาอาลาห์ออกไปถึงเมืองยับเนเอล และพรมแดนก็มาสิ้นสุดลงที่ทะเล 12พรมแดนด้านตะวันตก คือทะเลใหญ่ตามฝั่งทะเล นี่เป็นพรมแดนล้อมรอบคนยูดาห์ตามตระกูลของเขา

คาเลบยึดครองส่วนของตน

 13ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ที่ตรัสแก่โยชูวา ท่านยกที่ดินส่วนหนึ่งในเขตของคนยูดาห์ให้แก่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์ คือคีริยาทอารบาที่เรียกเมืองเฮโบรน (อารบาเป็นบิดาของอานาค) 14และคาเลบได้ขับไล่บุตรทั้งสามของอานาคออกจากที่นั่น คือเชชัย อาหิมานและทัลมัย ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอานาค 15และท่านขึ้นไปจากที่นั่นจะต่อสู้กับชาวเมืองเดบีร์ เมืองเดบีร์เดิมมีชื่อว่า คีริยาทเสเฟอร์ 16และคาเลบกล่าวว่า “ใครโจมตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” 17และโอทนีเอลบุตรเคนัส น้องคาเลบตีเมืองนั้นได้ ท่านจึงยกอัคสาห์บุตรสาวของท่านให้เป็นภรรยา 18อยู่มาเมื่อแต่งงานกันแล้ว นางจึงชวนสามีให้ขอที่นาจากบิดา นางก็ลงจากหลังลา และคาเลบถามนางว่า “เจ้าต้องการอะไร?” 19นางตอบท่านว่า “ขอพรให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เพราะพ่อให้แผ่นดินทางใต้แก่ลูก ลูกขอน้ำพุด้วย” คาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง

เมืองของเผ่ายูดาห์

 20ต่อไปนี้เป็นมรดกของเผ่าคนยูดาห์ตามตระกูลของพวกเขา 21เมืองต่างๆ ที่เป็นของเผ่าคนยูดาห์ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุด ทางพรมแดนเอโดมคือเมืองขับเซเอล เอเดอร์ และยากูร 22คีนาห์ ดีโมนาห์ อาดาดาห์ 23เคเดช ฮาโซร์ อิทนาน 24ศีฟ เทเลม เบอาโลท 25ฮาโซรฮาดัททาห์ เคริโอทเฮสโรน (คือเมืองฮาโซร์) 26อามัม เชมา โมลาดาห์ 27ฮาซารกัดดาห์ เฮชโมน เบธเปเลท 28ฮาซารชูอาล เบเออร์เชบา บิซิโอธิยาห์ 29บาอาลาห์ อิยิม เอเซม 30เอลโทลัด เคสีล โฮรมาห์ 31ศิกลาก มัดมันนาห์ สันสันนาห์ 32เลบาโอท ชิลฮิม อายินและเมืองริมโมน รวมทั้งหมดเป็น 29 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 33ในที่ลุ่มมีเมืองเอชทาโอล โศราห์ อัชนาห์ 34ศาโนอาห์ เอนกันนิม ทัปปูวาห์ เอนาม 35ยารมูท อดุลลัม โสโคห์ อาเซคาห์ 36ชาอาราอิม อดีธาอิม เกเดราห์ เกเดโรธาอิม รวมเป็น 14 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 37เมืองเศนัน ฮาดัสสาห์ มิกดัลกาด 38ดิเลอัน มิสเปห์ โยกเธเอล 39ลาคีช โบสคาท เอกโลน 40คับโบน ลามัม คิทลิช 41เกเดโรท เบธดาโกน นาอามาห์และเมืองมักเคดาห์ รวมเป็น 16 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 42ลิบนาห์ เอเธอร์ อาชัน 43อิฟทาห์ อัชนาห์ เนซีบ 44เคอีลาห์ อัคซีบ มาเรชาห์ รวมเป็น 9 เมือง กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 45เอโครน กับเมืองต่างๆ และหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้น 46จากเอโครนถึงทะเล และทุกเมืองที่อยู่ริมเมืองอัชโดด กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ
 47อัชโดด กับเมืองต่างๆ และหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้น กาซา กับเมืองต่างๆ และหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้น จนถึงลำธารอียิปต์ และทะเลใหญ่พร้อมกับชายฝั่งทะเล
 48และในแดนเทือกเขา คือชามีร์ ยาททีร์ โสโคห์ 49ดานนาห์ คีริยาทสันนาห์ (คือเมืองเดบีร์) 50อานาบ เอชเทโมห์ อานิม 51โกเชน โฮโลน กิโลห์ รวมเป็น 11 เมือง กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 52อาหรับ ดูมาห์ เอชาน 53ยานิม เบธทัปปูวาห์ อาเฟคาห์ 54ฮุมทาห์ คีริยาทอารบา (คือเมืองเฮโบรน) และเมืองศิโยร์ รวมเป็น 9 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 55มาโอน คารเมล ศีฟ ยุทธาห์ 56ยิสเรเอล โยกเดอัม ศาโนอาห์ 57คาอิน กิเบอาห์ และทิมนาห์ รวมเป็น 10 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 58ฮัลฮูล เบธซูร์ เกโดร์ 59มาอาราท เบธาโนท และเมืองเอลเทโคน รวมเป็น 6 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 60คีริยาทบาอัล (คือเมืองคีริยาทเยอาริม) และรับบาห์ รวมเป็น 2 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 61เมืองที่ในถิ่นทุรกันดาร คือเบธาราบาห์ มิดดีน เสคะคาห์ 62นิบชาน เมืองเกลือและเอนเกดีรวมเป็น 6 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย
 63แต่คนเยบุสซึ่งเป็นชาวเมืองเยรูซาเล็มนั้น คนยูดาห์ไม่สามารถขับไล่ไปได้ คนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับคนยูดาห์จนถึงทุกวันนี้

โยชูวา 16

ดินแดนของเผ่าเอฟราอิม

 1ที่ดินตามฉลากของพงศ์พันธุ์โยเซฟนั้นเริ่มจากแม่น้ำจอร์แดนใกล้ๆ เมืองเยรีโค ทางทิศตะวันออกของลำน้ำเยรีโคเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ขึ้นไปจากเยรีโคเข้าไปในแดนเทือกเขาเบธเอล 2จากเมืองเบธเอลไปยังเมืองลูส ผ่านเรื่อยไปถึงเมืองอาทาโรทในเขตของคนอารคี 3แล้วลงไปทางทิศตะวันตกถึงเขตของคนยาเฟลทีที่ไกลไปจนเขตเมืองเบธโฮโรนล่าง ถึงเมืองเกเซอร์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล
 4พงศ์พันธุ์โยเซฟ คือคนมนัสเสห์ และคนเอฟราอิม ได้รับมรดกของเขา
 5เขตของคนเอฟราอิมตามตระกูลของเขาเป็นดังนี้ พรมแดนมรดกของเขาด้านตะวันออกเริ่มตั้งแต่เมืองอาทาโรทอัดดาร์ไกลไปจนถึงเบธโฮโรนบน 6และพรมแดนยื่นไปถึงทะเล ทางทิศเหนือคือเมืองมิคเมธัท และพรมแดนโค้งมาทางด้านตะวันออกสู่เมืองทาอานัทชิโลห์ แล้วผ่านพ้นเมืองนี้ไปทางตะวันออกของเมืองยาโนอาห์ 7แล้วลงไปจากยาโนอาห์ถึงเมืองอาทาโรท และเมืองนาอาราห์ไปจดเมืองเยรีโค สิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน 8จากทัปปูวาห์พรมแดนทางทิศตะวันตกถึงลำธารคานาห์ไปสิ้นสุดลงที่ทะเล นี่เป็นมรดกของเผ่าเอฟราอิมตามตระกูลของเขา 9รวมทั้งเมืองต่างๆ ซึ่งแยกไว้ให้คนเอฟราอิมท่ามกลางมรดกของคนมนัสเสห์ คือเมืองทั้งหมด กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 10อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ขับไล่คนคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ออกไป ดังนั้นคนคานาอันจึงอาศัยอยู่ท่ามกลางคนเอฟราอิมถึงทุกวันนี้ แต่ก็ถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา

อรรถาธิบาย

พระเยซูทรงเป็นพระผู้ไถ่ที่ไม่ซ้ำใคร

โยชูวาและคาเลบเป็นเพียงสองคนเท่านั้นของคนกลุ่มแรกที่ได้เข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา เพราะว่าพวกเขาเท่านั้นเป็นคนที่เชื่อฟังพระเจ้า และติดตามพระองค์ด้วยสุดใจ (ชื่อของโยชูวาหมายถึง ‘พระเจ้าแห่งการไถ่’ หรือ ‘พระเจ้าทรงช่วยกู้’ ‘โยชูวา’ เป็นคำภาษาฮีบรูของคำว่า ‘พระเยซู’) โยชูวาเป็นภาพเล็งถึงพระเยซู โยชูวาและคาเลบนั้นเป็นคนที่โดดเด่น แต่ไม่เหมือนกับพระเยซู พวกเขาไม่ได้มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

เฮโบรนซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของยูดาห์ ถูกมอบให้แก่คาเลบโดยโยชูวา (15:13) แต่เขายังคงต้องบุกเข้าไปและยึดครองมัน (ข้อ 14) เช่นเดียวกันกับความรอด พระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดก็มาถึงเราโดยพระคุณดั่งของขวัญ กระนั้นเราคงต้องรับเอา และยึดไว้ด้วยตัวเราเองโดยความเชื่อ ‘ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ ’ (ยอห์น 1:17) นี่เป็นของประทานซึ่งมอบให้แก่เรา

ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม พระเจ้าทรงมองหาการตอบสนองของคุณ พระองค์ทรงทอดพระเนตรว่าคุณ ‘แสวงหาพระเจ้า’ (สดุดี 53:2) และ ‘ร้องทูลพระเจ้า’ (ข้อ 4) คุณจำเป็นต้องยึดเอาของประทานที่มอบให้แก่คุณและเชื่อในพระเยซู เมื่อคุณทำเช่นนั้น คุณจะได้รับสิทธิ์ให้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 1:12)

พระเยซูทรงเป็นพระผู้ไถ่ที่ไม่ซ้ำใคร ไม่มีอะไรน่าทึ่งไปกว่าการยึดเอาความรอดผ่านทางความเชื่อในพระองค์ และกลายเป็นสหายของพระเยซู

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า วันนี้ข้าพระองค์อยากแสวงหาพระองค์ ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองใน พระเยซูคริสต์ บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ดำเนินชีวิตซึ่งบริบูรณ์ไปด้วยพระคุณและความจริง ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์เพื่อความช่วยเหลือในทุกงานที่ข้าพระองค์รับหน้าที่ไว้และในทุกถ้อยคำที่ข้าพระองค์พูด ขอให้ข้าพระองค์บริบูรณ์ด้วยพระคุณ และความจริง

เพิ่มเติมโดยพิพพา

โยชูวา 15:16–17

‘และคาเลบกล่าวว่า “ใครโจมตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” และโอทนีเอลบุตรเคนัส น้องคาเลบตีเมืองนั้นได้ ท่านจึงยกอัคสาห์บุตรสาวของท่านให้เป็นภรรยา'

นี่ไม่ใช่เกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการสมรส แต่คนก็แต่งงานกันด้วยเหตุผลแปลกกว่านี้ ในบท ‘พร้อมจะแต่งงานหรือยัง?’ ในหนังสือชีวิตสมรส โดยนิกกี้ และซีล่า ลี นั้นเป็นประโยชน์ แต่ฉันไม่คิดว่าคุณจะพบข้อเรียกร้องนี้ในนั้นแน่นอน ‘คุณโจมตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์ และยึดได้แล้วหรือยัง?’

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม