จะรับมือกับการเผชิญหน้าได้อย่างไร
เกริ่นนำ
การเผชิญหน้าเป็นสิ่งที่ผมพบว่าไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องอาศัยการกระทำที่ละเอียดอ่อน สิ่งสำคัญคือต้องหาวิธีที่ถูกต้อง และคำพูดที่เหมาะสมกับเรื่องนั้น ๆ หรือถ้าจะเปรียบเทียบกับการเล่นกอล์ฟก็คือ ต้องมีทักษะที่จะรู้ว่าต้องใช้ไม้ตีกอล์ฟแบบไหนให้เหมาะสม
คนที่มีทักษะในด้านการเผชิญหน้าจะมีวิธีการและคำพูดที่หลากหลาย และรู้ว่าจะใช้วิธีการ และคำพูดที่เหมาะสมนั้นเมื่อไร และอย่างไร
การเผชิญหน้าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ไม่ใช่ว่านักวิจารณ์ทุกคนจะต้องเผชิญหน้า ไม่ใช่ว่าทุกถ้อยคำที่ผิดจำเป็นจะต้องถูกโต้แย้ง
ผมชื่นชมทักษะของคนที่รู้ว่าเมื่อใดที่ต้องเผชิญหน้า และคนที่เก่งในการเผชิญหน้าด้วยความรัก พวกเขาเรียนรู้ที่วิธีที่จะพูดความจริงด้วยความรัก (เอเฟซัส 4:15)
เมื่อจำเป็นต้องเผชิญหน้า คุณควรทำอย่างไร?
สดุดี 55:1-11
คำร้องทุกข์เพราะถูกเพื่อนทรยศ
ถึงหัวหน้านักร้อง ใช้เครื่องสาย มัสคิลบทหนึ่งของดาวิด
1ข้าแต่พระเจ้า ขอเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
ขออย่าซ่อนพระองค์จากคำวิงวอนของข้าพระองค์
2ขอทรงสดับและขอทรงตอบข้าพระองค์
ข้าพระองค์ร้อนใจเมื่อร้องทุกข์ และข้าพระองค์ว้าวุ่นใจ
3เพราะเสียงของศัตรู
เพราะการกดขี่ของคนอธรรม
เหตุว่าพวกเขานำความทุกข์มาให้ข้าพระองค์
และเขาบ่มความเกลียดชังข้าพระองค์ด้วยความกริ้ว
4ใจของข้าพระองค์ตรอมตรมอยู่ภายใน
และความสยดสยองของความตายโถมทับข้าพระองค์
5ความกลัวและความสะทกสะท้านมาเหนือข้าพระองค์
และความหวาดผวาก็ครอบงำข้าพระองค์
6และข้าพระองค์กล่าวว่า “โอ ข้าอยากมีปีกอย่างนกพิราบ
จะได้บินหนีไปพักอย่างสงบ
7เออ ข้าจะได้หนีไปให้ไกล
ข้าจะได้พักในถิ่นทุรกันดาร
8“ข้าจะรีบไปยังที่กำบัง
ให้พ้นจากลมแรงกล้าและพายุ”
9ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงทำลายแผนการของพวกเขา
และขอทรงทำให้ภาษาของเขายุ่งเหยิงไป
เพราะข้าพระองค์เห็นความทารุณ และการโกลาหลในนคร
10พวกเขาเดินบนกำแพงรอบนครอยู่ทั้งวันทั้งคืน
และความชั่วร้ายกับความทุกข์ร้อนอยู่ท่ามกลางนครนั้น
11การทำลายอยู่ท่ามกลางนครนั้น
การกดขี่และการฉ้อโกง
ไม่ขาดหายไปจากลานกว้างของนครนั้น
อรรถาธิบาย
เผชิญหน้ากับความชั่วร้ายด้วยการอธิษฐาน
ทุกวันนี้มีอำนาจแห่งความชั่วร้ายทำงานอยู่ใน ‘บ้านเมือง’ ของเรา คุณเพียงแค่เปิดดูข่าวหรืออ่านหนังสือพิมพ์ ก็จะรู้ถึงการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก และข่าวของแก๊งค์ที่ก่อความรุนแรงและการฆาตกรรม และตอนนี้เราทุกคนต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มองไม่เห็นคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
ดาวิดก็เผชิญหน้ากับความรุนแรงและอำนาจการทำลายของความชั่วร้ายที่ทำงานอยู่ในนคร (ข้อ 9ข,11ก)
เมื่อดาวิดเผชิญหน้ากับ ‘ศัตรู’ ขณะที่พวกเขา ‘ด่าทอ’ ดาวิด ‘ด้วยความโกรธ’ (ข้อ 3) เขากล่าวว่า ‘โอ ข้าอยากมีปีกอย่างนกพิราบ จะได้บินหนีไปพักอย่างสงบ เออ ข้าจะได้หนีไปให้ไกล ข้าจะได้พักในถิ่นทุรกันดาร ข้าจะรีบไปยังที่กำบัง ให้พ้นจากลมแรงกล้าและพายุ’ (ข้อ 6-8)
การหลบหนีเป็นการทดลองเพื่อให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่เราต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย อย่าหลีกหนี อย่าเป็นกังวล แต่จงทำในสิ่งที่คุณสามารถทำได้ คุณสามารถทำสิ่งที่แตกต่าง ดังที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไว้ว่า ‘อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี’ (โรม 12:21)
การตอบสนองของดาวิดต่อความรุนแรงและการทำลายคือการร้องทูลให้พระเจ้ายื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วย เขาอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงลำลายแผนการของพวกเขา และขอทรงทำให้ภาษาของเขายุ่งเหยิงไป’ (สดุดี 55:9) การอธิษฐานเป็นส่วนสำคัญของการตอบสนองของเราต่อ ‘อำนาจการทำลาย' (ข้อ 11)
การอธิษฐานและการกระทำต้องเป็นไปพร้อมกัน แม้ว่าคุณจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองในทางกายภาพได้ แต่คุณสามารถอธิษฐานได้เสมอ พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเป็นการตอบสนองต่อคำอธิษฐานของคุณ
คำอธิษฐาน
‘ข้าแต่พระเจ้า ขอเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขออย่าซ่อนพระองค์จากคำวิงวอนของข้าพระองค์’ (ข้อ 1) ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ไม่ให้ความชั่วเอาชนะข้าพระองค์ได้ แต่ให้ข้าพระองค์เอาชนะความชั่วด้วยความดี
ยอห์น 3:1-21
พระเยซูกับนิโคเดมัส
1มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัส เป็นขุนนางของพวกยิว 2คนนี้มาหาพระเยซูตอนกลางคืนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราทราบว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครทำหมายสำคัญที่ท่านทำนั้นได้ นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา” 3พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า” 4นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? จะเข้าไปในท้องของแม่ครั้งที่สองแล้วเกิดใหม่ได้หรือ?” 5พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คนนั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ 6ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ 7อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่าพวกท่านต้องเกิดใหม่ 8ลมจะพัดไปที่ไหนก็พัดไปที่นั่น และท่านได้ยินเสียงลมนั้นแต่ไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน” 9นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?” 10พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านเป็นถึงอาจารย์ของคนอิสราเอล ท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลยหรือ? 11เราบอกความจริงกับท่านว่า เราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็น แต่พวกท่านไม่ยอมรับคำพยานของเรา 12ถ้าเราบอกพวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายโลกและพวกท่านไม่เชื่อ แล้วท่านจะเชื่อได้อย่างไรถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายสวรรค์ 13ไม่มีใครเคยขึ้นไปสวรรค์นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ 14โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์”
16พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น 18คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า 19หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างเข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของพวกเขาเลวทราม 20เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาหาความสว่าง เนื่องจากกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ 21แต่คนที่ประพฤติตามความจริงก็มาถึงความสว่าง เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของเขานั้นทำโดยพึ่งพระเจ้า
อรรถาธิบาย
เผชิญหน้ากับผู้คนด้วยความรัก
การเผชิญหน้ากับคนที่อยู่ในสถานะที่อ่อนแอนั้นค่อนข้างง่าย และบางครั้งก็ดูเหมือนเป็นการกระทำที่ขี้ขลาด แต่การเผชิญหน้ากับคนที่อยู่ในสถานะที่มีอำนาจเหนือเราทั้งในหน้าที่การงาน สถานะหรือความมั่งคั่ง เรานั้นเป็นสิ่งต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก
พระเยซูทรงเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในการเผชิญหน้า พระองค์ไม่เคยหลีกหนีจากมัน ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงไม่เคยกระทำไปด้วยเหตุผลอื่นใดนอกจากความรัก
นิโคเดมัสเป็นบุคคลที่มีอำนาจมาก เป็นฟาริสีที่มีคุณธรรมและเที่ยงธรรม และ ‘เป็นขุนนางของพวกยิว’ (ข้อ 1) พระเยซูทรงไม่หวั่นกลัวต่อตำแหน่งของเขา พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับนิโคเดมัสด้วยความรักในความจำเป็นต้อง ‘เกิดใหม่’ (ข้อ 3) เพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ทิ้งความเจ็บปวด นิสัยและวิถีเก่าในอดีต ข้อความที่พระเยซูตรัสนั้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
นิโคเดมัสต้องการเกิดใหม่อีกครั้งจากน้ำและพระวิญญาณ (ข้อ 5) การชำระภายนอกต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการสถิตอยู่ภายในของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ตอนนี้เรามิอาจมองไม่เห็นพระเจ้าในทางกายภาพ แต่เราได้เห็นหลักฐานของพระเจ้า เหมือนกับสายลม เราไม่สามารถมองเห็นแต่เราสามารถมองเห็นผลกระทบของมันบนต้นไม้และใบไม้ ‘สิ่งที่มองไม่เห็นเคลื่อนสิ่งที่มองเห็น’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ในทำนองเดียวกันพระเยซูตรัสว่าคุณไม่สามารถมองเห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่คุณสามารถมองเห็นผลกระทบในชีวิตของผู้คน ‘บุคคลที่มีสัณฐานภายในนั้นเกิดมาจากบางสิ่งที่ท่านไม่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ นั่นคือพระวิญญาณ และกลายเป็นพระวิญญาณที่มีชีวิต’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเยซูทรงท้าทายนิโคเดมัสเกี่ยวกับความเชื่อของเขาด้วยความรัก โดยใช้ภาพของงูในถิ่นทุรกันดาร (จากพระธรรมกันดารวิถี 21) พระเยซูทรงทำนายว่าพระองค์เองจะต้องถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน ‘เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์’ (ข้อ 15)
‘ความเชื่อ’ หมายถึง ‘ความไว้วางใจ’ ทุกครั้งที่เราเริ่มความสัมพันธ์เราจะต้องเผชิญกับความเสี่ยง ในทุกความสัมพันธ์นั้นต้องการความไว้วางใจ ความไว้วางใจในความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปนั้นจะเติบโตและยั่งยืน
พระเยซูทรงสอนเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า คำในภาษากรีกที่ใช้สำหรับคำว่า ‘รัก’ ในข้อ 16 คือ อากาเป้ (agape) ปรากฎขึ้น 44 ครั้งในพระธรรมยอห์น ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เป็นข้อสรุปพระธรรมยอห์นทั้งหมดและเป็นการสรุปพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ทั้งหมด ‘พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์’ (ข้อ 16)
มีพระเจ้า และความรักของพระองค์นั้นกว้างพอที่จะโอบกอดมนุษย์ทุกคนโดยปราศจากการแบ่งแยกหรือข้อยกเว้น ไม่ใช่ความรักที่คลุมเครือหรือความรักที่สะเทือนอารมณ์ ความรักของพระเจ้านั้นเหลือคณานับ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นจากที่พระองค์ทรงยอมสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อคุณ และผม
โลกนี้อยู่ในภาวะที่ยุ่งเหยิง ผู้คนมักจะถามว่า ‘ทำไมพระเจ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง?’ คำตอบคือพระองค์ได้ทรงกระทำแล้ว พระองค์เสด็จมาในสภาพพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูเพื่อสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและได้ฟื้นคืนพระชนม์เพื่อคุณ พระเยซูทรงเข้าใจเรื่องการทนทุกข์ พระองค์ทรงทนทุกข์เพื่อเราและพระองค์ก็ทรงทนทุกข์อยู่เคียงข้างเรา
ผู้คนมากมายเลิกเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย แต่พระเยซูทรงสัญญาว่าเราจะ ‘มีชีวิตนิรันดร์ และ (ที่แท้จริง) มีชีวิตอยู่ตลอดไป’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ชีวิตนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุด มีความหวังอยู่ในชีวิตหลังความตาย พระเยซูทรงมอบชีวิตนิรันดร์ให้กับคุณ
มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการเผชิญหน้าและการกล่าวโทษ พระเยซูทรงเผชิญหน้าผู้คน แต่พระองค์ไม่ทรงกล่าวโทษพวกเขา พระเยซูไม่ได้เสด็จมาเพื่อประณามคุณ แต่พระองค์มาเพื่อช่วยคุณจากการถูกประณาม (ข้อ 17-18) คุณและผมก็เหมือนกับพระเยซูที่จำเป็นต้องนำเรื่องราวที่ไม่ได้เกี่ยวกับการประณาม แต่เป็นเรื่องราวข่าวประเสริฐแห่งความรอด การช่วยเหลือหมายถึงการดึงบุคคลออกจากอันตราย ปลดปล่อย เปิดประตูแห่งการกักขังออก รักษา การกระทำทุกสิ่ง
ต่อจากนั้นพระเยซูตรัสถึงความสว่างได้เปิดเผยและเผชิญหน้ากับความมืดได้อย่างไร (ข้อ 19-21) ดูเหมือนว่าพระเยซูจะทรงบอกถึงสาเหตุที่บางคนปฏิเสธพระองค์เป็นเพราะ ‘กิจการของพวกเขาเลวทราม’ (ข้อ 19) เราไม่อยากเดินเข้ามาในความสว่างเพราะว่าเราไม่ต้องการที่จะเลิกทำในสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นสิ่งผิด
เราไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นด้านมืดในตัวเรา เราซ่อนความมืดทั้งสิ้นภายในตัวเราไว้เบื้องหลังความดีที่ปรากฎอยู่ภายนอก ความบาปเกลียดชังความสว่าง เมื่อเราทำบาป เราต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความสว่างของพระเยซู เราไม่ต้องการให้การกระทำชั่วของเราถูกเปิดเผย แต่พระเยซูเสด็จมาเพื่อเผชิญหน้ากับความมืด เราอาจจะกลัวหรืออับอาย อาจจะเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับเรา แต่เราเองก็ต้องเผชิญหน้ากับความมืดในชีวิตของเรา และแสวงหาที่จะดำเนินชีวิตในความสว่างของพระคริสต์ผู้ซึ่งทรงรักคุณในแบบที่คุณเป็น
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้กล่าวว่า “ความมืดไม่สามารถขับไล่ความมืดได้ ความสว่างเท่านั้นที่สามารถทำได้ ความเกลียดชังไม่สามารถขับไล่ความเกลียดชังได้ ความรักเท่านั้นที่ทำได้”
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับแบบอย่างของพระเยซู ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้ดำเนินชีวิตในความสว่าง และมีความกล้าที่จะพูดความจริงด้วยความรัก
โยชูวา 21:20-22-34
20ส่วนคนโคฮาทที่เหลืออยู่ซึ่งเป็นตระกูลคนโคฮาทของคนเลวีนั้น เมืองต่างๆ ที่เขาได้รับตามฉลากมาจากเผ่าเอฟราอิม 21เมืองที่เขาให้ คือเมืองเชเคม เป็นเมืองลี้ภัยของผู้ฆ่าคน พร้อมทุ่งหญ้าในแดนเทือกเขาของเอฟราอิม เมืองเกเซอร์พร้อมทุ่งหญ้า 22เมืองขิบซาอิมพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเบธโฮโรนพร้อมทุ่งหญ้า รวมเป็น 4 เมือง 23และจากเผ่าดานมีเมืองเอลเทเคพร้อมทุ่งหญ้า กิบเบโธนพร้อมทุ่งหญ้า 24อัยยาโลนพร้อมทุ่งหญ้า กัทริมโมนพร้อมทุ่งหญ้า รวม 4 เมือง 25และจากคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่ามีเมืองทาอานาคพร้อมทุ่งหญ้า และกัทริมโมนพร้อมทุ่งหญ้า รวมเป็น 2 เมือง 26เมืองต่างๆ ซึ่งเป็นของตระกูลโคฮาทที่เหลืออยู่นั้น มีสิบเมืองด้วยกัน พร้อมทุ่งหญ้าประจำเมือง
27พวกเขาให้เมืองจากคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าแก่คนเกอร์โชน ตระกูลหนึ่งของคนเลวี คือเมืองโกลานในบาชาน เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ฆ่าคน และเมืองเบเอชเท-ราห์พร้อมทุ่งหญ้า รวมเป็น 2 เมือง 28และจากเผ่าอิสสาคาร์มีเมืองคีชิโอนพร้อมทุ่งหญ้า ดาเบรัทพร้อมทุ่งหญ้า 29เมืองยารมูทพร้อมทุ่งหญ้า เอนกันนิมพร้อมทุ่งหญ้า รวม 4 เมือง 30และจากเผ่าอาเชอร์มีเมืองมิชอาลพร้อมทุ่งหญ้า อับโดนพร้อมทุ่งหญ้า 31เมืองเฮลขัทพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเรโหบพร้อมทุ่งหญ้า รวม 4 เมือง 32และจากเผ่านัฟทาลีมีเมืองเคเดชในกาลิลีพร้อมทุ่งหญ้า เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ฆ่าคน เมืองฮัมโมทโดร์พร้อมทุ่งหญ้า และเมืองคารทานพร้อมทุ่งหญ้า รวม 3 เมือง 33เมืองต่างๆ ที่เป็นของคนเกอร์โชนหลายตระกูลนั้น รวมกันมี 13 เมืองพร้อมทุ่งหญ้า
34พวกเขาให้เมืองต่างๆ จากเผ่าเศบูลุนแก่ตระกูลคนเมรารี คือคนเลวีที่เหลืออยู่ มีเมืองโยกเนอัมพร้อมทุ่งหญ้า เมืองคารทาห์พร้อมทุ่งหญ้า 35เมืองดิมนาห์พร้อมทุ่งหญ้า เมืองนาหะลาลพร้อมทุ่งหญ้า รวม 4 เมือง 36และจากเผ่ารูเบนมีเมืองเบเซอร์พร้อมทุ่งหญ้า เมืองยาห์ซาห์พร้อมทุ่งหญ้า 37เมืองเคเดโมทพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเมฟาอาทพร้อมทุ่งหญ้า รวม 4 เมือง 38และจากเผ่ากาดมีเมืองราโมทในกิเลอาดพร้อมทุ่งหญ้า เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ฆ่าคน เมืองมาหะนาอิมพร้อมทุ่งหญ้า 39เมืองเฮชโบนพร้อมทุ่งหญ้า เมืองยาเซอร์พร้อมทุ่งหญ้า รวมทั้งหมดเป็น 4 เมือง 40เมืองที่เป็นของคนเมรารีตามตระกูล ซึ่งเป็นตระกูลคนเลวีที่เหลืออยู่นั้น เมืองที่เป็นส่วนแบ่งของเขาทั้งหมดมี 12 เมือง
41เมืองต่างๆ ของคนเลวี ซึ่งอยู่ท่ามกลางกรรมสิทธิ์ของคนอิสราเอลนั้น รวมทั้งหมดมี 48 เมืองพร้อมทุ่งหญ้าประจำเมือง 42เมืองเหล่านี้แต่ละเมืองมีทุ่งหญ้าล้อมรอบ ทุกเมืองก็มีอย่างนี้
43ดังนั้นพระยาห์เวห์ประทานแผ่นดินทั้งสิ้นแก่คนอิสราเอล ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา เมื่อเขาทั้งหลายยึดแล้วก็เข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น 44และพระยาห์เวห์ประทานให้พวกเขามีความสงบอยู่ทุกด้าน ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาทุกประการ ไม่มีศัตรูสักคนเดียวยืนหยัดต่อสู้พวกเขาได้ พระยาห์เวห์ทรงมอบศัตรูของพวกเขาให้อยู่ในกำมือของเขาทั้งหมด 45สิ่งดีทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์ทรงสัญญาต่อประชาชนอิสราเอลนั้นก็ไม่ขาดสักสิ่งเดียว สำเร็จทั้งสิ้น
โยชูวา 22
เผ่าทางตะวันออกกลับไปยังดินแดนของตน
1คราวนั้นโยชูวาได้เรียกคนรูเบน คนกาด คนมนัสเสห์ครึ่งเผ่ามา 2และกล่าวแก่พวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายได้ทำทุกอย่างซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์บัญชาท่านไว้ และได้ฟังเสียงของข้าพเจ้าในสารพัดซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน 3นานวันแล้วจนบัดนี้ พวกท่านไม่ได้ทอดทิ้งญาติพี่น้องของท่าน แต่ได้รักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 4เดี๋ยวนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านโปรดให้พี่น้องของท่านหยุดพักแล้ว ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับพวกเขา ส่วนพวกท่านจงกลับบ้านของท่านเถิด ไปสู่แผ่นดินซึ่งท่านถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้ยกให้ท่านที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนั้น 5เพียงแต่จงระวังให้มากที่จะปฏิบัติตามพระบัญญัติ และกฎหมายซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์บัญชาท่านไว้ คือให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และดำเนินในพระมรรคาทั้งสิ้นของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และยึดมั่นอยู่กับพระองค์ และปรนนิบัติพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน” 6โยชูวาจึงได้อวยพรพวกเขาและส่งเขากลับไป พวกเขาก็กลับไปบ้านของตน
7ส่วนคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่านั้น โมเสสได้มอบบาชานให้เขาถือกรรมสิทธิ์ แต่อีกครึ่งเผ่านั้น โยชูวามอบให้พวกเขามีที่ข้างเคียงกับพี่น้องของเขาที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนด้านตะวันตก และเมื่อโยชูวาส่งพวกเขากลับไปบ้าน ท่านได้อวยพรเขา 8กล่าวแก่เขาว่า “จงกลับไปบ้านของท่านพร้อมกับทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง และฝูงปศุสัตว์มากมาย มีเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์และเหล็ก และเสื้อผ้าเป็นอันมาก จงแบ่งของที่ริบมาจากศัตรูของท่านให้แก่พี่น้องของท่าน” 9คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าได้แยกจากคนอิสราเอลที่ชิโลห์ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอัน กลับไปบ้านของตนซึ่งอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด เป็นแผ่นดินในกรรมสิทธิ์ของพวกเขา ซึ่งเขาได้เข้าตั้งอยู่ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ผ่านโมเสส
แท่นที่ระลึกข้างแม่น้ำจอร์แดน
10และเมื่อพวกเขามาถึงท้องถิ่นใกล้แม่น้ำจอร์แดนในแผ่นดินคานาอัน คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่า ได้สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งที่ใกล้แม่น้ำจอร์แดน เป็นแท่นขนาดใหญ่ 11และพงศ์พันธุ์อิสราเอลได้ยินคนพูดกันว่า “ดูสิ คนรูเบน คนกาดและคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่า ได้สร้างแท่นบูชาที่พรมแดนแผ่นดินคานาอันในท้องถิ่นใกล้แม่น้ำจอร์แดน ในด้านที่เป็นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล” 12และเมื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลได้ยินเช่นนั้น ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็ไปรวมกันที่เมืองชิโลห์ เพื่อจะขึ้นไปทำสงครามกับพวกเขา
13แล้วพงศ์พันธุ์อิสราเอลจึงใช้ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ปุโรหิตไปหาคนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าในแผ่นดินกิเลอาด 14พร้อมกับผู้นำสิบคน คนหนึ่งจากแต่ละเผ่าในอิสราเอล ทุกคนเป็นหัวหน้าสกุลในตระกูลของอิสราเอล 15เมื่อพวกเขามาถึงคนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าในแผ่นดินกิเลอาด เขาก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า 16“ชุมนุมชนทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์กล่าวดังนี้ว่า ‘พวกท่านได้ทำการทรยศเช่นนี้ต่อพระเจ้าของอิสราเอลได้อย่างไร ในการที่ท่านได้หันกลับจากการติดตามพระยาห์เวห์ โดยสร้างแท่นบูชาสำหรับตัวในวันนี้เป็นการกบฏต่อพระยาห์เวห์? 17บาปซึ่งเราทำที่เมืองเปโอร์นั้นยังไม่พอหรือ? ซึ่งจนกระทั่งวันนี้ เรายังไม่อาจชำระตัวของเราให้สะอาดได้ และยังทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ชุมนุมชนของพระยาห์เวห์ด้วย 18และพวกท่านจะหันไปเสียจากการติดตามพระยาห์เวห์ในวันนี้หรือ? ถ้าพวกท่านกบฏต่อพระยาห์เวห์ในวันนี้ พระองค์จะกริ้วชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดในวันพรุ่งนี้ 19แต่ถ้าแผ่นดินในกรรมสิทธิ์ของท่านไม่สะอาดจงข้ามไปยังแผ่นดินในกรรมสิทธิ์ของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นที่ตั้งพลับพลาของพระยาห์เวห์ และมาถือกรรมสิทธิ์อยู่ท่ามกลางพวกเราเถิด ขอแต่เพียงอย่ากบฏต่อพระยาห์เวห์หรือกบฏต่อเรา โดยการที่พวกท่านสร้างแท่นบูชาสำหรับตัวนอกจากแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา 20อาคานบุตรเศราห์ได้ประพฤติอสัตย์ในเรื่องสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้นไม่ใช่หรือ? และพระพิโรธก็ตกเหนือชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด เขาไม่ได้พินาศแต่คนเดียวในเรื่องบาปของเขา’ ”
21ขณะนั้นคนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าได้ตอบผู้นำของตระกูลอิสราเอลว่า 22“พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งพระทั้งปวง พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งพระทั้งปวง พระองค์ทรงทราบ และให้อิสราเอลทราบด้วยเถิด หากเป็นการกบฏหรือการทรยศต่อพระยาห์เวห์ ก็อย่าไว้ชีวิตพวกเราในวันนี้เลย 23ถ้าเราได้สร้างแท่นบูชานั้นเพื่อหันจากการติดตามพระยาห์เวห์ หรือเพื่อถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว หรือธัญบูชา หรือเพื่อถวายศานติบูชาบนแท่นนั้น ก็ขอพระยาห์เวห์ทรงลงโทษเถิด 24แต่เปล่าเลย พวกเราได้สร้างไว้เพราะเกรงว่าในเวลาต่อไปภายหน้า ลูกหลานของท่านอาจจะกล่าวต่อลูกหลานของเราว่า ‘พวกเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล? 25เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงกำหนดแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดนระหว่างพวกเรากับพวกเจ้านะ คนรูเบน และคนกาดเอ๋ย พวกเจ้าไม่มีส่วนในพระยาห์เวห์’ และลูกหลานของพวกท่านก็อาจจะทำให้ลูกหลานของพวกเราหยุดเกรงกลัวพระยาห์เวห์ 26ดังนั้นเราจึงว่า ‘ให้เราสร้างแท่นบัดนี้ ไม่ใช่สำหรับถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวหรือเครื่องสัตวบูชาใดๆ 27แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างเรากับพวกท่าน และระหว่างคนชั่วอายุต่อจากเราว่า เราจะทำการปรนนิบัติพระยาห์เวห์เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชา และเครื่องศานติบูชา ด้วยเกรงว่าลูกหลานของพวกท่านจะกล่าวแก่ลูกหลานของเราในเวลาต่อไปว่า “พวกเจ้าไม่มีส่วนในพระยาห์เวห์” ’ 28และเราคิดว่าถ้ามีใครพูดเช่นนี้กับเรา หรือกับชาติพันธุ์ของเราในเวลาข้างหน้า เราก็จะกล่าวว่า ‘ดูสิ นั่นเป็นแท่นจำลองของแท่นแห่งพระยาห์เวห์ ปู่ย่าตายายของเราทำไว้ ไม่ใช่เพื่อถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวหรือเครื่องสัตวบูชา แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างพวกเรากับพวกท่าน’ 29ขอให้เรื่องนี้ห่างจากเราเถิด คือที่จะกบฏต่อพระยาห์เวห์ และหันจากการติดตามพระยาห์เวห์เสียในวันนี้ โดยสร้างแท่นอื่นสำหรับเครื่องบูชาเผาทั้งตัว ธัญบูชา และเครื่องสัตวบูชา นอกจากแท่นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าพลับพลาของพระองค์”
30เมื่อฟีเนหัสปุโรหิตและพวกผู้นำของชุมนุมชนและหัวหน้าตระกูลของอิสราเอลที่อยู่ด้วยกันนั้น ได้ยินถ้อยคำที่คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์กล่าว ก็เห็นชอบ 31ฟีเนหัสบุตรของเอเลอาซาร์ปุโรหิตจึงกล่าวแก่คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ว่า “วันนี้เราทราบแล้วว่าพระยาห์เวห์สถิตท่ามกลางพวกเรา เพราะพวกท่านไม่ได้ทำการทรยศนี้ต่อพระยาห์เวห์ ท่านจึงช่วยให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลพ้นจากพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์”
32แล้วฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ปุโรหิต และพวกผู้นำก็กลับจากคนรูเบนและคนกาด จากแผ่นดินกิเลอาดไปยังแผ่นดินคานาอัน ไปหาประชาชนอิสราเอลแจ้งข่าวให้พวกเขาทราบ 33รายงานนั้นเป็นที่พอใจประชาชนอิสราเอล แล้วประชาชนอิสราเอลก็สรรเสริญพระเจ้า และไม่พูดถึงเรื่องที่จะทำสงครามกับพวกเขา เพื่อทำลายแผ่นดินซึ่งคนรูเบนและคนกาดได้อาศัยอยู่นั้น 34คนรูเบนและคนกาดเรียกแท่นนั้นว่า แท่นพยาน พวกเขากล่าวว่า แท่นนั้นเป็นพยานในระหว่างเราว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า
อรรถาธิบาย
การเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างชาญฉลาด
เราสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งมากมายได้ถ้าผู้คนหันหน้ามาพูดคุยกัน แทนที่จะพูดถึงกันลับหลัง
ผลของการเข้าใจผิดก็คือ อิสราเอลที่เหลือมองไปที่คนอีกสองเผ่าครึ่ง (คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่า) และคิดว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่ผิดและไม่เชื่อฟังพระเจ้า (22:12)
อย่างไรก็ตามแทนที่จะทำสงครามในทันที แต่พวกเขาฉลาดเพียงพอที่จะเผชิญหน้าและท้าทายพวกเขาเหล่านั้นด้วยคำพูด เมื่อพวกเขาได้ทำอย่างนั้นเสร็จแล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าความกลัวของพวกเขานั้นไร้ซึ่งเหตุผล
พวกเขาทำถูกต้องแล้วที่เข้าไปแทรกแซงมากกว่าการเพิกเฉย เพราะสิ่งที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้กระทำก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งหมด พวกเขาไม่อาจพูดง่าย ๆ ว่า ‘พวกเขาจะทำอะไรก็เรื่องของพวกเขา’
เมื่อสองเผ่าและอีกครึ่งเผ่าได้ออกมาเผชิญหน้า และพวกเขาได้ให้คำอธิบายไว้ว่า 'เรากระทำเช่นนี้เพราะเราห่วงใย’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาต้องการให้แน่ใจว่าลูก ๆ ของพวกเขาจะยึดมั่นในความเชื่อไว้
คำอธิบายนั้นเป็นที่น่าพอใจ ‘บัดนี้เราทราบแล้วว่าพระยาห์เวห์สถิตกับเรา เพราะพวกท่านไม่ได้ทำการทรยศต่อพระองค์ในเรื่องนี้’ (ข้อ 31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นเหตุผลที่ดีในการชุมนุมหารือกัน (ข้อ 32-33) หลังการประชุมเสร็จสิ้น ‘ประชาชนไม่พูดถึงเรื่องที่จะทำสงครามอีกต่อไป’ (ข้อ 33)
จงระวังอย่าด่วนสรุปในแง่ลบเกี่ยวกับคริสเตียนและคริสตจักรอื่น ๆ อย่าโจมตีพวกเขาด้วยวาจาลับหลัง ถ้ามีความจำเป็นก็ให้จัดการประชุม เผชิญหน้าและฟังคำอธิบาย หากพวกเราทุกคนทำเช่นนี้ จะสามารถหลีกเลี่ยงความแตกแยกและความรู้สึกที่ไม่ดีได้
ในกรณีนี้ เมื่อพวกเขาได้ฟังคำอธิบาย แทนที่พวกเขาจะสงสัยหรือถากถาง แต่พวกเขายอมรับและ ‘สรรเสริญพระเจ้า’ (ข้อ 33) เมื่อคุณทำความผิดพลาดเกี่ยวกับผู้คน จงมีใจกว้างที่จะยอมรับความผิดพลาดของคุณ ต้องเป็นคน ‘ใจกว้าง’ ที่จะยอมรับว่าพวกเขานั้นทำผิด
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดทรงประทานสติปัญญาให้แก่ข้าพระองค์เพื่อจะรู้ว่าการพบปะ การเผชิญหน้า และการฟังคำอธิบายเป็นสิ่งสำคัญ ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้หลีกเลี่ยงความแตกแยก และการขาดความสามัคคีกันโดยไม่จำเป็น ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้เรียนรู้ทักษะในการเผชิญหน้าด้วยความรัก
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 55:9-10
‘ข้าพระองค์เห็นความทารุณและการโกลาหลในนคร พวกเขาเดินรอบนคร... ความชั่วร้ายกับความทุกข์ร้อนอยู่ท่ามกลางนครนั้น’
ทุกวันนี้ยังคงมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมากเกินไปในโลกของเรา เราต้องอธิษฐานและทำพันธกิจเพื่อขยายแผ่นดินของพระเจ้าต่อไป
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)