วัน 122

พระเจ้าประสงค์จะทำให้คุณอัศจรรย์ใจ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 54:1-7
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 2:1-25
พันธสัญญาเดิม โยชูวา 19:1-21:19

เกริ่นนำ

ตอนอายุสิบแปดผมมีความตั้งใจอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ทั้งเล่มเพื่อหักล้างความเชื่อของพวกคริสต์เตียน แต่เมื่อผมอ่านไปเรื่อยๆ ผมกลับรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าตัวเองกลับเชื่อว่านั่นเป็นเรื่องจริง สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำคือ ‘การเป็นคริสเตียน’ ผมเคยคิดว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิตของผมและหยุดยั้งชีวิตที่สนุกสนานลง กระนั้นแม้รู้อยู่ในใจว่ามันต้องเกิดขึ้น แต่ผมรู้สึกไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบว่า ‘ใช่' กับพระเยซู

ทันทีที่ผมทำเช่นนั้น โดยหยิบถ้อยคำที่ ซี.เอส. ลูอิส ได้ใช้ในการบรรยายประสบการณ์ของเขาเองในการเผชิญหน้ากับพระเยซูที่ว่า ผม ‘อัศจรรย์ใจด้วยความปิติยินดีอย่างที่สุด’ ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูไม่เคยหยุดทำให้ผมอัศจรรย์ใจได้เลย

พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความอัศจรรย์ใจ พระเยซูทำให้ผู้ติดตามของพระองค์อัศจรรย์ใจอย่างต่อเนื่องและทรงมีพระประสงค์ทำให้คุณอัศจรรย์ใจตลอดไป

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 54:1-7

คำอธิษฐานขอความเป็นธรรม

ถึงหัวหน้านักร้อง ใช้เครื่องสาย มัสคิลบทหนึ่งของดาวิด เมื่อชาวศิฟไปทูล
ซาอูลว่า “ดาวิดซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเราไม่ใช่หรือ?”

1ข้าแต่พระเจ้า โดยพระนามของพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
 และโดยพระอานุภาพของพระองค์ ขอประทานความเป็นธรรมแก่ข้าพระองค์
2ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
 ขอเงี่ยพระกรรณฟังถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์
3เพราะคนแปลกหน้าได้ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์
 คนไร้ความปรานีมุ่งเอาชีวิตข้าพระองค์
 พวกเขาไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา
4ดูเถิด พระเจ้าทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ข้าพเจ้า
 องค์เจ้านายทรงอยู่กับบรรดาผู้ค้ำจุนชีวิตของข้าพเจ้า
5ขอให้ความชั่วร้ายย้อนกลับไปสนองพวกศัตรูของข้าพเจ้า
 ขอทรงทำลายเขาโดยความซื่อสัตย์ของพระองค์
6ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ด้วยความสมัครใจ
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระนามของพระองค์ เพราะ พระนามนั้นประเสริฐ
7เพราะพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากความทุกข์ยากทั้งสิ้น
 และดวงตาของข้าพระองค์มองเห็นพวกศัตรูแพ้

อรรถาธิบาย

อัศจรรย์ใจกับการช่วยกู้จากพระเจ้า

แม้ว่าการต่อสู้จะมีเหตุผลหรือไม่ แต่ก็น่าประหลาดใจเสมอเมื่อเราถูกโจมตีจากคนที่เราไม่รู้จัก ดาวิดกล่าวว่า ‘คนแปลกหน้าได้ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์’ (ข้อ 3ก) ผมจำได้ว่ารู้สึกประหลาดใจเพียงใดเมื่อเริ่มอ่านบทความเกี่ยวกับการโจมตี หลักสูตรอัลฟ่า โจมตีคริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมตัน และบางครั้งก็ตัวผมเองก็โดนโจมตีจากคนที่ผมไม่รู้จักมาก่อนเช่นกัน การโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวนี้อาจมาจากเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือจากแหล่งอื่น ๆ

สิ่งที่ผมพบว่าน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือวิธีที่พระเจ้าเข้ามาเพื่อช่วยเรา ‘โอ จงดูเถิด พระเจ้าอยู่ที่นี่เพื่อช่วยข้าพระองค์’ (ข้อ 4ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยและสหายของข้าพระองค์’ (ข้อ 4ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) พระองค์ทรงค้ำจุนเรา (ข้อ 4ข) และทรงช่วยเราให้รอดจากปัญหาทั้งปวง (ข้อ 7)

เมื่อผมมองย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ของตัวเอง การช่วยกู้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเสมอไป บางครั้งต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี กระนั้นผมถูกท้าทายผ่านท่าทีของดาวิด ท่ามกลางการต่อสู้ เขากล่าวว่า ‘ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ด้วยความสมัครใจ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระนามของพระองค์ เพราะพระนามนั้นประเสริฐ’ (ข้อ 6)

จุดประสงค์ของการ ‘ถวายสัตวบูชา’ คือการถวายโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ดาวิดไม่ได้บอกว่าเขาจะถวายเครื่องบูชาก็ต่อเมื่อพระเจ้าช่วยเขาไว้เท่านั้น ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เขาก็ตั้งใจสรรเสริญพระเจ้าสำหรับความดีของพระองค์

หากคุณกำลังเผชิญกับการต่อสู้ในตอนนี้ จงวางใจในพระเจ้า ให้เราเชื่อว่าพระองค์มีพระประสงค์ที่จะช่วยคุณ และเพื่อให้เราสรรเสริญพระองค์ไว้ก่อนแล้ว

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ ที่วันหนึ่งข้าพระองค์จะสามารถมองย้อนกลับไป และเห็นว่าพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากปัญหาทั้งหมดทั้งปวง

พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 2:1-25

งานสมรสที่หมู่บ้านคานา

 1วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี มารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น 2พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น 3เมื่อเหล้าองุ่นเครื่องดื่มที่ชาวปาเลสไตน์ดื่มกันเป็นประจำ แม้พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่มีบทบัญญัติห้ามดื่มเหล้าองุ่น แต่ก็มีคำเตือน ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นจนเกิดความเสียหายหมดแล้ว มารดาของพระเยซูพูดกับพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่น” 4พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ไม่ใช่ธุระของท่าน เวลาของเรายังมาไม่ถึง” 5มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “จงทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด” 6มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบ เพื่อชำระตามธรรมเนียมของพวกยิว จุน้ำโอ่งละประมาณหนึ่งร้อยลิตร 7พระเยซูตรัสสั่งพวกคนใช้ว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” แล้วพวกเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก 8แล้วพระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” เขาก็เอาไปให้ 9เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา 10และพูดกับเขาว่า “ใครๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่ค่อยดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงเดี๋ยวนี้” 11หมายสำคัญครั้งแรกนี้พระเยซูทรงทำที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี และทรงแสดงพระสิริของพระองค์ พวกสาวกของพระองค์ก็วางใจพระองค์
 12ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระองค์เสด็จต่อไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับมารดาและบรรดาน้องชายและพวกสาวกของพระองค์ และพักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน

การทรงชำระพระวิหาร

 13เทศกาลปัสกาเทศกาลของพวกยิวเพื่อระลึกถึง การที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาติของตน ให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ของพวกยิวใกล้เข้ามาแล้ว พระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 14พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ และคนรับแลกเงินนั่งอยู่ตามบริเวณพระวิหาร 15พระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้นพร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงเทเงินและทรงคว่ำโต๊ะของบรรดาคนรับแลกเงิน 16และพระองค์ตรัสกับพวกคนขายนกพิราบว่า “เอาของพวกนี้ออกไป อย่าทำให้พระนิเวศของพระบิดาเรากลายเป็นตลาด” 17พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า “ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์จะท่วมท้นข้าพระองค์” 18พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านจะแสดงหมายสำคัญอะไรให้เราเห็นว่า ท่านมีสิทธิ์ทำการเช่นนี้ได้?” 19พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน” 20พวกยิวจึงทูลว่า “วิหารนี้เขาได้ใช้เวลาก่อสร้างถึงสี่สิบหกปีแล้ว และท่านจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวันหรือ?” 21แต่วิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์ 22เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสอย่างนี้ และพวกเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่พระเยซูตรัสนั้น พระเยซูทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน
 23ขณะพระองค์ประทับที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกานั้น มีคนจำนวนมากวางใจในพระนามของพระองค์ เพราะพวกเขาเห็นหมายสำคัญที่พระองค์ทรงทำ 24แต่ส่วนพระเยซูเองไม่ได้วางพระทัยคนเหล่านั้น 25เพราะพระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน และพระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครมาเป็นพยานเรื่องมนุษย์ เพราะพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรอยู่ในตัวมนุษย์

อรรถาธิบาย

อัศจรรย์ใจในพระเยซู

พระราชกิจของพระเยซูเต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์ใจ พระเยซูทรงเรียกคุณให้ลงลึกในชีวิตพร้อมกับพระองค์ตลอดเวลา พระองค์ต้องการทำให้คุณอัศจรรย์ใจในรูปแบบใหม่ อันได้แก่

1. ความบริบูรณ์ที่น่าอัศจรรย์ใจ
บางคนอาจแปลกใจที่ไม่เพียงแต่พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยง (เช่นงานเลี้ยงแต่งงานนี้) พวกเขากลับได้รับเชิญและไปร่วมงานด้วยเช่นกันในเวลานั้น งานแต่งงานกินเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ เป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงและน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ซึ่งผู้คนสวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุด ชื่นชมยินดี ร้องเพลง เต้นรำ พูดคุยเล่นกัน หัวเราะสนุกสนาน บางทีสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือ แทนที่จะโดนประณามเพราะเหล้าองุ่นไม่เพียงพอ แต่พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำกว่า 120 แกลลอนให้เป็นเหล้าองุ่นชั้นเลิศ (ข้อ 10) พระเยซูทรงกระทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมากมาย พระองค์ต้องการให้ชีวิตและความสุขแก่คุณมากขึ้นเรื่อย ๆ

เพียงแค่ทูลต่อพระเยซูว่าปัญหาคืออะไร (‘เขาไม่มีเหล้าองุ่น’, ข้อ 3) แล้วทำตามการทรงนำของพระองค์ (‘จงทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด’, ข้อ 5) นั่นเองจะนำไปสู่การอัศจรรย์ที่น่าประหลาดใจ พระเยซูไม่เพียงตอบสนองความต้องการเท่านั้น แต่พระองค์ทรงตอบเหนือความคาดคิดหรือจินตนาการได้ เจ้าของงานเลี้ยงประหลาดใจเมื่อได้ ‘ชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่น' (ข้อ 9)

และสิ่งนี้เป็นจริงในชีวิตของเราเอง พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำแห่งชีวิตที่ไร้พระองค์ให้เป็นเหล้าองุ่นแห่งชีวิตที่มีพระองค์ ผมเคยคิดว่าการติดตามพระเยซูนั้นหมายถึงชีวิตที่ได้รับการ ‘รดน้ำ’ ในความเป็นจริงมันเป็นอะไรที่ตรงข้ามมาก พระเยซูทำให้เราประหลาดใจตลอดเวลาผ่านวิธีที่พระองค์ทรงให้ชีวิตของเราจำเริญขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดังที่เราเห็นว่าพระองค์ทรงเสริมสร้างงานแต่งงานและชีวิตสมรสอย่างไร โดยการเปลี่ยนน้ำธรรมดา ๆ ในงานแต่งงานให้กลายเป็นเหล้าองุ่นราคาแพง

พระเยซูทรงเปลี่ยนงานที่กร่อยและเศร้าหมองให้เป็นความชื่นชมยินดี

โดยการอัศจรรย์นี้ พระเยซูทรง ‘แสดงพระสิริของพระองค์ พวกสาวกของพระองค์ก็วางใจพระองค์’ (ข้อ 11) สำหรับหลาย ๆ คน นี่คงเป็นการเปิดเผยที่น่าอัศจรรย์ใจมาก

2. ความปรารถนาที่น่าอัศจรรย์ใจ
พระเยซูทำให้ทุกคนอัศจรรย์ใจเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในลานพระวิหาร และพบว่ามีคนขายวัว ควาย แกะ และนกพิราบ และคนอื่น ๆ ที่โต๊ะแลกเงิน ‘คนรับแลกเงินนั่งอยู่ตามบริเวณพระวิหารเต็มไปหมด’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้นออกไปบริเวณพระวิหาร และตรัสว่า ‘เอาของพวกเจ้าออกไปจากที่นี่! หยุดเปลี่ยนบ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า ‘ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์จะท่วมท้นข้าพระองค์’ (ข้อ 17)

ตอนนี้พวกเราถูกรายล้อมไปด้วยการค้าขายและภาพที่เย้ายวน ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่กำลังเข้ามาแทนที่คริสตจักร หายนะล้วนเกิดขึ้นจากการบูชาเงินและการค้าขาย

การหารายได้กลายเป็นเรื่องที่เข้ามาแทรกแทรงการนมัสการพระเจ้า แน่นอนว่าในทุกวันนี้ ในคริสตจักรหรือในพระวิหารย่อมมีแง่มุมที่เป็นเรื่องของแผนการเชิงพาณิชย์อยู่บ้างในการนมัสการ อย่างไรก็ตามเมื่อเป้าหมายของเรากลายเป็นเงิน เราก็กำลังประสบกับปัญหาร้ายแรง พระเยซูทำให้ผู้คนอัศจรรย์ใจด้วยความหลงใหลในเรื่องนี้

3. ที่ประทับอันน่าอัศจรรย์
พระเยซูทรงนิยามพระวิหารใหม่ พระกายขององค์คือพระวิหารที่แท้จริง พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ‘ทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน' (ข้อ 19) พระวิหารที่แท้จริงจะถูกทำลาย แต่พระเจ้าจะทรงสร้างใหม่อีกครั้งในสามวันผ่านการฟื้นคืนพระชนม์ พวกเขาประหลาดใจและไม่เข้าใจสิ่งนี้ พวกเขาถามพระเยซูว่า พระองค์คิดว่าจะสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นใหม่ได้อย่างไรภายในเวลาเพียงสามวัน แต่ยอห์นกล่าวเสริมว่า ‘วิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์’ (ข้อ 21)

พระวิหารมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นที่ประทับเชิงสัญลักษณ์ของพระเจ้า เป็นที่ที่พระเจ้าและมนุษย์มาพบกัน ถ้อยคำที่น่าอัศจรรย์ใจของพระเยซูเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่าพระองค์เองเป็นพระวิหารใหม่ พระองค์ทรงเป็นที่ประทับของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

โดยทางพระเยซู เวลานี้คุณถูกเรียกเป็นดั่งบ้าน อันเป็นที่ประทับของพระเจ้า ร่างกายของคุณเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 โครินธ์ 6:19)

4. อัศจรรย์ในสติปัญญา
เมื่อผู้คนเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงสำแดงและสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์กระทำมา หลายคน ‘วางใจในพระนามของพระองค์’ (ยอห์น 2:23) ‘แต่’ ยอห์นบอกเราว่า ‘แต่ส่วนพระเยซูเองไม่ได้วางพระทัยคนเหล่านั้น’ (ข้อ 24–25)

เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่พบว่าพระเยซูไม่วางพระทัยในคนเหล่านี้ในทันที โดยเฉพาะเมื่อเราเคยอ่านว่า ความรักนั้นเชื่ออยู่เสมอ (1 โครินธ์ 13:7) พระเยซูทรงสำแดงความเป็นจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ เรามักจะมองหาคู่ครองที่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ ลูกที่สมบูรณ์แบบ ผู้นำที่สมบูรณ์แบบ และ คริสตจักรที่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง พวกเราทุกคนต่างเป็นมนุษย์ที่มีข้อบกพร่อง

การยอมรับในสิ่งนี้จะช่วยให้เราตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งเป็นจริงและผิดหวังน้อยลง และให้อภัยในความสัมพันธ์ของเรามากขึ้น

เราต้องการสติปัญญาของพระเยซูในการจัดการสิ่งต่างๆและในความสัมพันธ์ของเรา เราต้องสร้างสมดุลระหว่างการเปิดใจและความไว้วางใจด้วยความเชื่อควบคู่ไปกับกับสติปัญญา และความเข้าใจในจิตใจของมนุษย์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับพระเยซูคริสต์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เพ่งมองไปที่พระเยซูในวันนี้ เพื่อที่จะทรงทำให้ข้าพระองค์อัศจรรย์ใจด้วยสติปัญญา ความปรารถนา ความรัก และความบริบูรณ์ของพระองค์

พันธสัญญาเดิม

โยชูวา 19:1-21:19

ดินแดนของสิเมโอน

 1ฉลากที่สองออกมาเป็นของสิเมโอน เพื่อเผ่าคนสิเมโอนตามตระกูลของเขา มรดกของเขาอยู่ท่ามกลางมรดกของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ 2มีเมืองเหล่านี้เป็นมรดก คือ เบเออร์เชบา หรือเชบา โมลาดาห์ 3ฮาซารชูอาล บาลาห์ เอเซม 4เอลโทลัด เบธูล โฮรมาห์ 5ศิกลาก เบธมารคาโบท ฮาซารสูสาห์ 6เบธเลบาโอท และชารุเฮน รวมเป็น 13 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 7เอน ริมโมน เอเธอร์ อาชาน รวมเป็น 4 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 8รวมทั้งหมู่บ้านทั้งหมดรอบเมืองเหล่านี้ไกลออกไปจนถึงเมืองบาอาลัทเบเออร์ เมืองรามาห์ที่เนเกบ เหล่านี้เป็นมรดกของเผ่าสิเมโอน ตามตระกูลของเขา 9มรดกของพงศ์พันธุ์สิเมโอนเป็นดินแดนในส่วนแบ่งของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เพราะว่าส่วนของพงศ์พันธุ์ยูดาห์นั้นใหญ่เกินไป พงศ์พันธุ์สิเมโอนจึงได้รับมรดกอยู่ท่ามกลางพวกเขา

ดินแดนของเผ่าเศบูลุน

 10ฉลากที่สามขึ้นมาเป็นของพงศ์พันธุ์เศบูลุนตามตระกูลของเขา และดินแดนที่เป็นมรดกของเขาก็ยื่นออกไปถึงสาริด 11แล้วพรมแดนของพวกเขายื่นออกไปทางด้านตะวันตก เรื่อยไปจนถึงมาเรอัล และมาถึงดับเบเชท แล้วมาถึงลำธารที่อยู่ทิศตะวันออกของโยกเนอัม 12จากสาริดพรมแดนหันไปทางด้านตะวันออกที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ถึงพรมแดนคิสโลททาโบร์ แล้วยื่นไปถึงดาเบรัท แล้วขึ้นไปถึงยาเฟีย 13จากที่นั่นพรมแดนผ่านไปทางตะวันออกที่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงกัธเฮเฟอร์และถึงเอทคาซิน เรื่อยไปจนถึงริมโมน พรมแดนก็โค้งเข้าหาเนอาห์ 14และทางทิศเหนือพรมแดนโค้งเข้ามาถึงฮันนาโธน และสิ้นสุดลงที่หุบเขาอิฟทาห์เอล 15รวมทั้งขัทตาท นาหะลาล ชิมโรน อิดาลาห์ และเบธเลเฮม รวมเป็น 12 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 16นี่เป็นมรดกของพงศ์พันธุ์เศบูลุนตามตระกูลของเขา คือเมืองต่างๆ กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย

ดินแดนของเผ่าอิสสาคาร์

 17ฉลากที่สี่ออกมาเป็นของอิสสาคาร์ เพื่อพงศ์พันธุ์อิสสาคาร์ตามตระกูลของเขา 18ดินแดนของพวกเขารวมยิสเรเอล เคสุลโลท ชูเนม 19ฮาฟาราอิม ชิโยน อานาหะราท 20รับบีท คีชิโอน เอเบส 21เรเมท เอนกันนิม เอนหัดดาห์ เบธปัสเซส 22และพรมแดนยังจดทาโบร์ ชาหะซุมาห์ เบธเชเมช และพรมแดนนี้ไปสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน รวมเป็น 16 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 23นี่เป็นมรดกของเผ่าคนอิสสาคาร์ตามตระกูลของเขา คือทั้งเมืองต่างๆ และหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย

ดินแดนของเผ่าอาเชอร์

 24ฉลากที่ห้าออกมาเป็นของเผ่าคนอาเชอร์ตามตระกูลของเขา 25ดินแดนของเขารวมเมืองเฮลขัท ฮาลี เบเทน อัคชาฟ 26อาลัมเมเลค อามาด มิชอาล ทางทิศตะวันออกจดภูเขาคารเมล และลำธารชิโหร์ลิบนาท 27แล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออกไปยังเบธดาโกนจดเขตเศบูลุนและหุบเขาอิฟทาห์เอลไปทางด้านเหนือ ถึงเบธเอเมคและเนอีเอลเรื่อยไปทางเหนือถึงคาบูล 28เอโบรน เรโหบ ฮัมโมน คานาห์ ไกลไปถึงมหานครไซดอน 29แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปถึงรามาห์ ไปถึงเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบชื่อไทระ แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปถึงโฮสาห์ไปสิ้นสุดลง ที่ทะเล บริเวณอัคซีบ 30อุมมาห์ อาเฟก และเรโหบ รวมเป็น 22 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 31นี่เป็นมรดกของเผ่าอาเชอร์ตามตระกูลของเขา ทั้งเมืองต่างๆ กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย

ดินแดนของเผ่านัฟทาลี

 32ฉลากที่หกออกมาเป็นของพงศ์พันธุ์นัฟทาลี เพื่อพงศ์พันธุ์นัฟทาลีตามตระกูลของเขา 33พรมแดนของพวกเขาเริ่มจากเฮเลฟ จากต้นโอ๊กคือ ต้นก่อซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ในศานันนิม และอาดามีเนเขบ และยับเนเอลไกลไปจนถึงเมืองลัคคูม และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน 34แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปทางด้านตะวันตกถึงเมืองอัสโนททาโบร์ จากที่นั่นไปถึงหุกกอกจดเขตเศบูลุนทางทิศใต้ และเขตอาเชอร์ทางทิศตะวันตก และเขตยูดาห์ทางทิศตะวันออกที่แม่น้ำจอร์แดน 35เมืองที่มีกำแพงล้อมคือเมืองศิดดิม เศอร์ ฮัมมัท รัคคัท คินเนเรท 36อาดามาห์ รามาห์ ฮาโซร์ 37เคเดช เอเดรอี เอนฮาโซร์ 38ยิโรน มิกดัลเอล โฮเรม เบธานาท และเบธเชเมช รวมเป็น 19 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย 39นี่เป็นมรดกของเผ่านัฟทาลีตามตระกูลของเขา ทั้งเมืองต่างๆ กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย

ดินแดนของเผ่าดาน

 40ฉลากที่เจ็ดออกมาเป็นของเผ่าดานตามตระกูลของเขา 41และดินแดนที่เป็นมรดกของพวกเขามีเมืองโศราห์ เอชทาโอล อิรเชเมช 42ชาอาลับบิน อัยยาโลน ยิทลาห์ 43เอโลน ทิมนาห์ เอโครน 44เอลเทเคห์ กิบเบโธน บาอาลัท 45เยฮุด เบเนเบราค กัทริมโมน 46เมยารโคน และรัคโคน กับดินแดนตรงเมืองยัฟฟา 47เมื่อดินแดนของพงศ์พันธุ์ดานหลุดมือเขาไป พงศ์พันธุ์ดานก็ขึ้นไปสู้รบกับเมืองเลเชมมีอีกชื่อหนึ่งว่า ลาอิช เมื่อยึดได้ก็ประหารเสียด้วยดาบ จึงยึดครองเมืองและตั้งอยู่ที่นั่น เรียกเมืองเลเชมว่าดาน ตามชื่อของดานบรรพบุรุษของตน 48นี่เป็นมรดกของเผ่าดานตามตระกูลของเขา ทั้งเมืองต่างๆ กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย

มรดกของโยชูวา

 49เมื่อได้แบ่งดินแดนส่วนต่างๆ ของแผ่นดินนั้นเป็นมรดกเสร็จสิ้นแล้ว คนอิสราเอลก็ได้มอบส่วนมรดกในหมู่พวกเขาให้แก่โยชูวาบุตรนูน 50ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกเขาก็ได้ยกเมืองที่ท่านขอไว้ให้แก่ท่าน คือเมืองทิมนาทเสราห์ ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ท่านก็สร้างเมืองนั้นเสียใหม่และเข้าอยู่ที่นั่น
 51นี่เป็นมรดกที่เอเลอาซาร์ปุโรหิตกับโยชูวาบุตรนูน และหัวหน้าสกุลต่างๆ แห่งเผ่าประชาชนอิสราเอลจับฉลากแบ่งให้เป็นมรดกที่ชิโลห์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ณ ประตูเต็นท์นัดพบ ดังนั้นพวกเขาจึงเสร็จสิ้นการแบ่งปันแผ่นดิน

โยชูวา 20

เมืองลี้ภัย

 1แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า 2“จงกล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า ‘จงกำหนดเมืองลี้ภัยไว้ ซึ่งเราได้พูดกับพวกเจ้าทางโมเสสแล้วนั้น 3เพื่อให้ผู้ฆ่าคนที่ได้ฆ่าคนโดยไม่เจตนาหรือไม่จงใจจะได้หนีไปอยู่ที่นั่น เมืองเหล่านี้จะได้เป็นที่ลี้ภัยของเจ้าเพื่อให้พ้นจากผู้แก้แค้นแทนโลหิต 4ให้ผู้ที่หนีไปยังเมืองเหล่านี้เมืองใดเมืองหนึ่ง ยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมืองนั้น และอธิบายเรื่องของตนให้พวกผู้ใหญ่ในเมืองนั้นทราบ แล้วพวกเขาจะนำผู้นั้นเข้าไปในเมือง กำหนดที่ให้อยู่ แล้วผู้นั้นจะอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา 5และถ้าผู้แก้แค้นแทนโลหิตไล่ตามเขาไป ผู้ใหญ่จะไม่มอบผู้ฆ่าคนนั้นไว้ในมือของเขา เพราะว่าผู้นั้นได้ฆ่าเพื่อนบ้านของตนโดยไม่เจตนาและไม่ได้เป็นอริกันมาก่อน 6และผู้นั้นจะอาศัยอยู่ในเมืองนั้นจนกว่าเขาจะยืนต่อหน้าชุมนุมชนเพื่อรับการพิพากษา จนกว่ามหาปุโรหิตในเวลานั้นสิ้นชีวิต ผู้ฆ่าคนนั้นจึงจะกลับไปยังเมืองของตน ไปบ้านของตน ไปยังเมืองที่เขาจากมานั้นได้’ ”
7ดังนั้นพวกเขาจึงกำหนดเมืองเคเดชในกาลิลีในแดนเทือกเขานัฟทาลี และเชเคมในแดนเทือกเขาเอฟราอิม และคีริยาทอารบา (คือเฮโบรน) ในแดนเทือกเขายูดาห์ 8และทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนตรงเมืองเยรีโคนั้น พวกเขาได้กำหนดเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบจากเผ่ารูเบน และเมืองราโมทในกิเลอาดจากเผ่ากาด และเมืองโกลานในบาชานจากเผ่ามนัสเสห์ 9เมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่กำหนดไว้สำหรับคนอิสราเอลทั้งหมด และคนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา เพื่อว่าถ้าใครได้ฆ่าคนโดยไม่เจตนา จะหนีไปที่นั่นได้ เพื่อเขาจะไม่ต้องตายด้วยมือของผู้แก้แค้นแทนโลหิต จนกว่าเขาจะได้ยืนต่อหน้าชุมนุมชน

โยชูวา 21

เมืองต่างๆ ที่แบ่งให้คนเลวี

 1ขณะนั้นพวกหัวหน้าสกุลของคนเลวีมาหาเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรนูน และหัวหน้าสกุลต่างๆ ของเผ่าคนอิสราเอล 2และพวกเขาได้กล่าวแก่ท่านเหล่านั้นที่เมืองชิโลห์ในแผ่นดินคานาอันว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโดยทางโมเสสว่า ให้มอบเมืองต่างๆ แก่เราเพื่อจะได้อาศัยอยู่ พร้อมทั้งทุ่งหญ้าสำหรับฝูงสัตว์เลี้ยงของเราด้วย” 3ดังนั้นตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พงศ์พันธุ์อิสราเอลจึงได้มอบเมืองและทุ่งหญ้าต่อไปนี้จากมรดกของพวกเขาให้แก่คนเลวี
 4ฉลากออกมาเป็นของตระกูลโคฮาท ดังนั้น คนเลวีซึ่งเป็นพงศ์พันธุ์ของอาโรนปุโรหิต ได้รับเมืองต่างๆ โดยจับฉลาก 13 เมือง จากเผ่ายูดาห์ สิเมโอน และเบนยามิน
 5ส่วนคนโคฮาทที่เหลืออยู่ ได้รับเมืองต่างๆ โดยจับฉลาก 10 เมือง จากตระกูลต่างๆ ของเผ่าเอฟราอิม จากเผ่าดาน และจากครึ่งเผ่ามนัสเสห์
 6คนเกอร์โชนได้รับเมืองต่างๆ โดยจับฉลาก 13 เมือง จากตระกูลต่างๆ ของเผ่าอิสสาคาร์ จากเผ่าอาเชอร์ จากเผ่านัฟทาลี และจากครึ่งเผ่ามนัสเสห์ในบาชาน  7คนเมรารีตามตระกูลของเขาได้รับเมืองต่างๆ 12 เมือง จากเผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่าเศบูลุน
 8เมืองต่างๆ และทุ่งหญ้าเหล่านี้ พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้จับฉลากให้แก่คนเลวี ดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโดยทางโมเสส
 9พวกเขาให้เมืองตามชื่อต่อไปนี้จากเผ่ายูดาห์ และเผ่าสิเมโอน 10เมืองเหล่านี้ตกเป็นของพงศ์พันธุ์อาโรน คือตระกูลโคฮาทตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นคนเลวี เพราะฉลากตกเป็นของเขาก่อน 11พวกเขาให้เมืองคีริยาทอารบาแก่เขา (อารบาเป็นบิดาของอานาค) คือเมืองเฮโบรน อยู่ในแดนเทือกเขาของยูดาห์ รวมทั้งทุ่งหญ้ารอบเมืองนั้นด้วย 12แต่ทุ่งนาและหมู่บ้านโดยรอบเมืองนี้ได้ยกให้แก่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์เป็นกรรมสิทธิ์
 13พวกเขาได้ให้เมืองเฮโบรนแก่พงศ์พันธุ์อาโรนปุโรหิต ซึ่งเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ฆ่าคนพร้อมทั้งทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองลิบนาห์พร้อมทุ่งหญ้า 14เมืองยาททีร์พร้อมทุ่งหญ้า เมืองเอชเทโมอาพร้อมทุ่งหญ้า 15เมืองโฮโลนพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเดบีร์พร้อมทุ่งหญ้า 16เมืองอายินพร้อมทุ่งหญ้า เมืองยุทธาห์พร้อมทุ่งหญ้า เมืองเบธเชเมชพร้อมทุ่งหญ้า รวมเป็น 9 เมืองจากสองเผ่านี้ 17จากเผ่าเบนยามินมีเมืองกิเบโอนพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเกบาพร้อมทุ่งหญ้า 18เมืองอานาโธทพร้อมทุ่งหญ้า เมืองอัลโมนพร้อมทุ่งหญ้า รวม 4 เมือง 19เมืองที่เป็นของพงศ์พันธุ์อาโรนปุโรหิต รวมกัน 13 เมือง พร้อมกับทุ่งหญ้าโดยรอบทุกเมือง

อรรถาธิบาย

อัศจรรย์ใจในความมีมนุษยธรรม

ขณะที่ผมกับพิพพาได้เดินทางไปทั่วโลก เรามักจะไปเยี่ยมเยียนเรือนจำท้องถิ่นอยู่บ่อย ๆ ในบางประเทศ กระบวนการยุติธรรมค่อนข้างดูจะมีมนุษยธรรม แต่ในบางสถานที่ สภาพเรือนจำและบทลงโทษที่บังคับใช้กับนักโทษดูเหมือนจะไร้ซึ่งมนุษยธรรม

เรามักจะแปลกใจหรือบางครั้งก็ถึงขนาดตกใจไปเลย ในหลาย ๆ ตัวบทกฎหมายที่ปรากฎในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ชาวอิสราเอลอาจต้องประหลาดใจเช่นกัน แม้ว่าจะแตกต่างกันไป เพราะกฎหมายเหล่านี้กลับมีมนุษยธรรมอย่างน่าประหลาดใจตามมาตรฐานของยุคนั้น

หากเกิดเหตุการณ์ที่เป็นเหตุฆาตกรรมโดยไม่เจตนา บุคคลนั้นสามารถหลบเข้าไปอยู่ในเมืองลี้ภัยได้ พวกเขาสามารถอยู่ที่นั้นต่อไปเรื่อย ๆ หากหลังจากการพิจารณาคดี ผู้กล่าวหาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการฆาตกรรม เมืองแห่งนี้มีหน้าที่ปกป้องพวกเขาจนกว่าจะถึงเวลาที่พวกเขาจะกลับมา (โยชูวา 20)

กฎหมายเหล่านี้รักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ ชีวิตทุกชีวิตมีค่าสำหรับพระเจ้าอย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อชีวิตของคนถูกพรากไปแม้จะไม่เจตนาก็ตาม แต่มันก็ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก ในทางกลับกัน ก็ปรากฎให้เห็นว่ามีมนุษยธรรมในตัวกฎหมายเหล่านี้ที่ปกป้องบุคคลที่ฆ่าคนโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยเช่นกัน โดยความมีมนุษยธรรมนี้แหละอาจทำให้ผู้คนประหลาดใจในยุคนั้น

ในฐานะที่ทุกวันนี้เราเป็นประชาชนของพระเจ้า แน่นอนว่าเราควรแสวงหาความยุติธรรม กฎหมาย การยับยั้ง และลดการก่ออาชญากรรม แต่เราควรกระตือรือร้นที่จะทำให้แน่ใจว่า กระบวนการยุติธรรมของเรานั้นมีมนุษยธรรม

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ทั้งในชีวิต และในสังคม ที่จะกระทำทุกสิ่งตามกฎหมายที่ยุติธรรม และมีมนุษยธรรม ขอบคุณสำหรับความรัก และพระเมตตากรุณาที่มาจากพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ยอห์น 2:1–11

ฉันรักงานแต่งงาน เมื่อลูก ๆ ของเราแต่ละคนแต่งงาน มีการเตรียมการมากมายที่เพื่อจัดระเบียบงานในวันนั้น พระธรรมตอนนี้เตือนเราว่าสิ่งเดียวที่สำคัญจริง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งงาน คือ พระเยซูต้องอยู่ที่นั่น... (และพระองค์ยังใส่ใจแม้กระทั่งสิ่งที่ใช้ได้จริง เช่น เหล้าองุ่น (ไวน์)

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับมารดาของพระองค์น่าประทับใจมาก เราเห็นความเชื่อของนางมารีย์ในบุตรชายของเธอแล้ว

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม