วัน 127

อธิษฐานตามความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 57:1-6
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 4:43-5:15
พันธสัญญาเดิม ผู้วินิจฉัย 4:1-5:31

เกริ่นนำ

ผมจำได้แม่นเมื่อครั้งได้อธิษฐานเผื่อทารกน้อยที่ชื่อเครก ผมถูกขอให้ไปเยี่ยมผู้หญิงคนหนึ่งในโรงพยาบาลบรอมตัน เธอชื่อวิเวียนมีลูกสามคน และกำลังตั้งท้องลูกคนที่สี่ ลูกคนที่สามของเธอซึ่งอายุสิบแปดเดือนเป็นดาวน์ซินโดรม เขามีรูที่หัวใจอันเนื่องมาจากการผ่าตัดที่ไม่ประสบผลสำเร็จ และไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หมดหวังและอยากถอดเครื่องช่วยหายใจ และหลายครั้งที่พวกเขาถามวิเวียนว่าพวกเขาสามารถถอดเครื่องช่วยหายใจ และปล่อยให้ทารกเสียชีวิตได้หรือไม่ แต่เธอตอบว่าไม่ เพราะเธออยากลองทำสิ่งสุดท้ายก่อน นั่นคือ การให้ใครสักคนอธิษฐานเผื่อลูกน้อยของเธอ และผมก็รีบไปทันที

เครกมีท่อต่ออยู่ทั่วทั้งร่าง ร่างกายของเด็กน้อยบอบช้ำและปูดบวม วิเวียนบอกกับผมว่า หมอบอกว่าถึงแม้เขาจะหายดีแล้ว แต่สมองของเขาก็เสียหายอยู่ดีเพราะหัวใจของเขาหยุดเต้นเป็นเวลานาน ถึงแม้เธอบอกกับผมว่าเธอไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เธอก็พูดว่า ‘คุณช่วยอธิษฐานเผื่อได้ไหม?'

ผมได้อธิษฐานในพระนามของพระเยซูขอการรักษามาสู่เด็กน้อยคนนี้ จากนั้นผมก็อธิบายให้เธอฟังว่าเธอสามารถมอบชีวิตของเธอให้พระเยซูคริสต์ได้อย่างไรและเธอก็ทำเช่นนั้น ผมจากไปและกลับมาอีกสองวันต่อมา ทันทีที่วิเวียนเห็นผมเธอรีบวิ่งมาหาทันทีและพูดว่า ‘ฉันกำลังจะโทรหาคุณพอดีเลยค่ะ มีบางอย่างที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้น คืนนั้นหลังจากที่คุณอธิษฐานเผื่อ อาการของเครกก็ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ เขาหายดีแล้ว’ ไม่กี่วันต่อมาเครกก็กลับบ้าน

วิเวียนเดินไปหาญาติและเพื่อน ๆ ที่อยู่รอบ ๆ และพูดว่า ‘ฉันเคยไม่เชื่อนะ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว’

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมา 30 กว่าปีแล้ว ผมยังคงติดต่อกับครอบครัวนั้น เครกยังคงเป็นดาวน์ซินโดรม และเหลือร่องรอยแห่งการรักษาที่น่าทึ่งเอาไว้ เขากลายเป็นกาวใจของครอบครัว นี่ไม่ได้เป็นการรักษาที่เกิดจากจิตบำบัด เพราะเขายังเป็นทารกในเวลานั้น แน่นอนมันไม่ใช่การคิดบวก หรือผลข้างเคียงของยา แต่นั่นคือคำตอบอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อคำอธิษฐานตามความยิ่งใหญ่ของพระองค์

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 57:1-6

วางใจพระเจ้าเมื่อถูกข่มเหง

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองอย่าทำลาย มิคทามบทหนึ่งของดาวิด
เมื่อท่านหนีซาอูลเข้าถ้ำ

1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาข้าพระองค์ ขอทรงพระกรุณาข้าพระองค์
 เพราะจิตใจของข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์
ข้าพระองค์จะลี้ภัยใต้ร่มปีกของพระองค์
 จนกว่าภัยอันตรายจะผ่านพ้นไป
2ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระเจ้าผู้สูงสุด
 ต่อพระเจ้าผู้ทรงทำการให้สำเร็จเพื่อข้าพเจ้า
3พระองค์จะทรงส่งความช่วยเหลือมาจากฟ้าสวรรค์
  และช่วยข้าพเจ้าให้รอด
 พระองค์จะทรงให้ผู้เหยียบย่ำข้าพเจ้าอับอาย
 พระเจ้าจะทรงส่งความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ลงมา
4ข้าพเจ้านอนท่ามกลางเหล่าสิงห์
 ผู้ที่ผลาญชีวิตมนุษย์
ฟันของมันคือหอกและลูกธนู
 ลิ้นของมันคือดาบคม
5ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์
 ขอพระสิริของพระองค์อยู่ทั่วทั้งแผ่นดินโลก
6เขาทั้งหลายวางตาข่ายดักเท้าข้าพเจ้า
 จิตใจของข้าพเจ้าก็เป็นทุกข์
เขาขุดหลุมพรางไว้ในทางของข้าพเจ้า
 แต่เขาตกลงไปเสียเอง

อรรถาธิบาย

อธิษฐานขอพระเมตตา

คุณเคยร้องทูลขอความเมตตาจากพระเจ้าไหม? แน่นอนผมเคยอยู่หลายครั้ง ดาวิดเองก็ ‘ร้องทูลต่อพระเจ้าผู้สูงสุด’ (ข้อ 2) ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาข้าพระองค์ ขอทรงพระกรุณาข้าพระองค์’ (ข้อ 1ก)

การอธิษฐานตามความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงตอบเสมอ นั่นคือคำอธิษฐานเพื่อขอการให้อภัยโดยทางพระเยซู โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูทำให้เป็นจริงได้ที่ ‘ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด’ (โรม 10:13)

บริบทของการอธิษฐานขอพระเมตตาของดาวิดน่าจะเป็นตอนที่เขาหนีจากซาอูลเข้าไปในถ้ำ (ดู 1 ซามูเอล 22; 24) เขาได้ร้องทูลพระเจ้า และพระเจ้าทรงสดับฟังและตอบคำอธิษฐานของเขา ดาวิดกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระเจ้าผู้สูงสุด ต่อพระเจ้าผู้ทรงทำการให้สำเร็จเพื่อข้าพเจ้า’ (สดุดี 57:2)

ดาวิดรู้ว่าพระเจ้ามีวัตถุประสงค์สำหรับชีวิตของเขาและพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ พระเจ้ามีแผนการตามความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในชีวิตของคุณ ให้เราตอบสนองเช่นเดียวกับดาวิด ต่อการทรงเรียกของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์

พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานตามความยิ่งใหญ่พระเจ้าในแบบเดียวกันกับแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์: ‘พระองค์จะทรงส่งความช่วยเหลือมาจากฟ้าสวรรค์และช่วยข้าพเจ้าให้รอด... พระเจ้าจะทรงส่งความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ลงมา’ (ข้อ 3)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับความรักและความสัตย์ซื่อของพระองค์ (ข้อ 3) จิตวิญญาณของข้าพระองค์จะลี้ภัยภายใต้ปีกร่มเงาของพระองค์

พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 4:43-5:15

การทรงรักษาบุตรชายของข้าราชการ

 43เมื่อผ่านไปสองวัน พระเยซูก็เสด็จออกจากที่นั่นไปที่แคว้นกาลิลี 44(พระองค์ทรงเป็นพยานว่า ผู้เผยพระวจนะจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเกิดของตน) 45ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จไปถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีก็ต้อนรับพระองค์ เพราะพวกเขาเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำในเทศกาลที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะพวกเขาก็ไปในเทศกาลนั้นด้วย
 46ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีก ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ทรงทำให้น้ำกลายเป็นเหล้าองุ่น และที่เมืองคาเปอรนาอุมมีข้าราชการคนหนึ่งที่มีบุตรป่วยหนัก 47เมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเยซูเสด็จออกจากแคว้นยูเดียไปแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจึงไปอ้อนวอนพระองค์ขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของตนเพราะว่าเขาใกล้จะตายแล้ว 48พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ” 49ข้าราชการคนนั้นทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอเสด็จไปก่อนที่ลูกน้อยของข้าพเจ้าจะตาย” 50พระเยซูตรัสกับเขาว่า “กลับไปเถิด ลูกของท่านจะไม่ตาย” ชายคนนั้นเชื่อพระดำรัสที่พระเยซูตรัสกับเขาจึงกลับไป 51ขณะที่กลับไปนั้น พวกทาสของเขามาพบและเรียนว่า “ลูกของท่านหายแล้ว” 52เขาจึงถามถึงเวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้นนั้น และพวกทาสก็เรียนว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง” 53บิดาจึงรู้ว่าเป็นเวลาที่พระเยซูตรัสกับตนว่า “ลูกของท่านจะไม่ตาย” เขาเองก็เชื่อพร้อมทั้งครอบครัวด้วย 54นี่เป็นหมายสำคัญครั้งที่สองที่พระเยซูทรงทำเมื่อพระองค์เสด็จออกจากแคว้นยูเดียไปแคว้นกาลิลี

ยอห์น 5

การทรงรักษาโรคที่สระน้ำ

 1หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลของพวกยิว และพระเยซูก็เสด็จขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็ม
 2ที่ริมประตูแกะในกรุงเยรูซาเล็มมีสระน้ำ ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา ที่นั่นมีศาลาห้าหลัง 3ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยจำนวนมาก มีทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่สำเนาโบราณบางฉบับเพิ่มข้อความ คอยน้ำกระเพื่อม และมีข้อ 4เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าลงมากวนน้ำในสระเป็นครั้งคราว และเมื่อน้ำกระเพื่อมอยู่ ใครก้าวลงไปในน้ำก่อนก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น 5ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว 6เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นคนนั้นนอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า?” 7คนป่วยคนนั้นทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีใครเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ แล้วพอจะลงไปเอง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” 8พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ลุกขึ้นเถิด จงยกแคร่ของท่านเดินไป” 9ทันใดนั้นเขาก็หายเป็นปกติและยกแคร่ของเขาเดินไป แต่วันนั้นเป็นวันสะบาโต 10พวกยิวจึงพูดกับชายที่พระองค์ทรงรักษานั้นว่า “วันนี้เป็นวันสะบาโต การที่เจ้าแบกแคร่ไปนั้นผิดบัญญัติ” 11คนนั้นจึงตอบพวกเขาว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายสั่งว่า ‘จงยกแคร่ของท่านและเดินไป’ ” 12พวกยิวถามเขาว่า “คนที่สั่งเจ้าว่า ‘จงยกแคร่และเดินไป’ นั้นเป็นใคร?” 13คนที่ได้รับการรักษานั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูทรงหายไปท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ที่นั่น 14ภายหลังพระเยซูทรงพบคนนั้นในบริเวณพระวิหารจึงตรัสกับเขาว่า “นี่แน่ะ ท่านหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายกว่านั้นเกิดกับท่าน” 15ชายคนนั้นก็ออกไปบอกพวกยิวว่าคนที่ทำให้เขาหายนั้นคือพระเยซู

อรรถาธิบาย

อธิษฐานขอการรักษา

มีหลายครั้งในชีวิตที่เราหมดหนทางการรักษา ไม่ว่าจะเพื่อคนอื่นหรือเพื่อตัวเราเอง ในชีวิตนี้คำอธิษฐานขอการรักษาของเราอาจไม่ได้รับคำตอบเสมอไป การร้องทูลโดยไม่ได้รับคำตอบอาจเป็นเรื่องยากและเจ็บปวดที่ต้องเผชิญ แต่บางครั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเข้ามาแทรกแซงอย่างน่าอัศจรรย์เพื่อประทานการรักษาให้ เราจะได้เห็นสองตัวอย่างนี้ ซึ่งทั้งสองอย่างเกิดขึ้นจากการอธิษฐานตามความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า:

  1. เยียวยารักษาเพื่อผู้อื่น
    ข้าราชการนายหนึ่งทูลร้องต่อพระเยซูให้รักษาบุตรชายของเขา (4:47) ซึ่งใกล้จะถึงแก่ความตายแล้ว

‘พระเยซูทรงไล่เขาออก: “ถ้าพวกท่านไม่ได้ตื่นตากับการอัศจรรย์ พวกท่านก็ปฏิเสธที่จะเชื่อ”’ (ข้อ 48, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่ข้าราชการจะไม่ถูกไล่ออก: ‘ขอเสด็จไปเถิด! บุตรของข้าจะเป็นจะตายขึ้นอยู่กับพระองค์’ (ข้อ 49, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเยซูทรงตอบรับความเชื่อของชายคนนั้น เขาเชื่อว่าถ้าพระเยซูเสด็จมา พระองค์สามารถรักษาบุตรชายของเขาได้ พระเยซูกำลังให้เขาก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งของความเชื่อและเชื่อว่าคำตรัสที่อยู่ห่างไกลของพระองค์สามารถรักษาบุตรชายของเขาได้ ชายคนนั้นก็เชื่อและพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ พระองค์สดับฟังคำอธิษฐานตามความยิ่งใหญ่ของพระองค์และทรงรักษาบุตรชายของเขาให้หาย ด้วยเหตุนี้ ทั้งครอบครัวของเขาจึงเชื่อในพระองค์ (ข้อ 53)

  1. เยียวยารักษาเพื่อตนเอง พระเยซูเสด็จไปยังสถานที่ที่มีคนพิการ คนง่อย คนตาบอด และคนเป็นอัมพาตจำนวนมาก (5:3) นี่เป็นค่านิยมที่เชื่อกันว่าความพิกลพิการเป็นการลงโทษจากพระเจ้า คนเหล่านี้เลยถูกซ่อนเอาไว้ แต่พระเจ้าได้เลือกคนอ่อนแอและโง่เขลาของโลกเพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย (1 โครินธ์ 1:27–28)

พระเยซูทรงรักษาชายคนหนึ่งที่ป่วยมาสามสิบแปดปี (ยอห์น 5:5) ชายคนนั้นคงหมดหวัง และเขาได้ตั้งความหวังไว้กับพลังการรักษาของสระน้ำแห่งเบธซาธา ที่น้ำจะกระเพื่อมขึ้นมาอยู่เรื่อย ๆ และเชื่อกันว่าใครที่วิ่งเข้าคนแรกเมื่อน้ำกระเพื่อมก็จะหายเป็นปกติ แต่ไม่มีใครช่วยเขาให้เข้าไปก่อน (ข้อ 7)

เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัวที่ใกล้ชิด ไม่มีใครดูแลเขา เขาอยู่คนเดียวและถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครรักเขา แต่พระเยซูทรงรักเขา

พระเยซูตรัสกับเขาดั่งที่พระองค์ตรัสกับพวกเราทุกคนว่า ‘ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า?’ (ข้อ 6) เป็นเวลาสามสิบแปดปีแล้วที่ชายผู้นี้เรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดอย่างที่เขาเป็น แต่ตอนนี้เขาต้องลุกขึ้น ตัดสินใจ หาเพื่อนใหม่ หางานทำ และรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง

จอยส์ ไมเยอร์ เขียนถึงเหตุการณ์นี้ว่าตามจริงแล้วพระเยซูตรัสกับชายคนนั้นว่า ‘อย่านอนเฉย ๆ ทำอะไรสักอย่างสิ’ เธอกล่าวต่อ ‘การถูกล่วงละเมิดทางเพศมาประมาณสิบห้าปีและเติบโตขึ้นมาในบ้านที่ไม่สมบูรณ์ทำให้ฉันขาดความมั่นใจและเต็มไปด้วยความละอาย ฉันอยากมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต แต่ฉันติดอยู่กับความทุกข์ทรมานทางความรู้สึกและความสิ้นหวัง

‘เช่นเดียวกับชายที่ป่วยในพระธรรมยอห์นบทที่ 5 พระเยซูก็ไม่ได้ตามใจฉันเช่นกัน ที่จริงแล้วพระเยซูทรงมั่นคงกับฉันมากและพระองค์ทรงเทความรักที่หนักแน่นมากให้ แต่การที่พระองค์ไม่ทรงยอมให้ฉันหมกมุ่นอยู่กับการสมเพชตัวเองได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตฉัน ฉันไม่ได้อยู่ในหลุมอีกต่อไป ตอนนี้ฉันมีชีวิตที่ดี หากคุณจะปฏิเสธความสงสารตัวเอง มองหาพระเจ้าอย่างกระตือรือร้นและทำในสิ่งที่พระองค์สั่งให้คุณทำ คุณก็จะมีชีวิตที่ดีได้เช่นกัน’

1พีท เกรก เพื่อนของผมได้เขียนหนังสือที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเรื่องนี้ชื่อว่า God on Mute

คำอธิษฐาน

ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ทรงสดับฟังอธิษฐานของเราเพื่อทำการเยียวยารักษาตัวเราเองและผู้อื่น ข้าพระองค์ร้องทูลขอการรักษาในวันนี้...

พันธสัญญาเดิม

ผู้วินิจฉัย 4:1-5:31

เดโบราห์และบาราค

 1หลังจากเอฮูดสิ้นชีวิตแล้ว คนอิสราเอลก็ทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์อีก 2พระยาห์เวห์จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์คานาอัน ผู้ทรงครองราชย์อยู่ ณ กรุงฮาโซร์ แม่ทัพของท่านชื่อสิเสรา เป็นชาวเมืองฮาโรเชทฮาโกยิม 3แล้วคนอิสราเอลก็ร้องทุกข์ต่อพระยาห์เวห์ เพราะว่ากษัตริย์ยาบินมีรถรบเหล็ก 900 คัน และได้ข่มเหงคนอิสราเอลอย่างหนักถึง 20 ปี
 4ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยคนอิสราเอลในเวลานั้น ชื่อเดโบราห์ ภรรยาของลัปปิโดท 5นางเคยนั่งอยู่ใต้ต้นอินทผลัมแห่งเดโบราห์ที่อยู่ระหว่างรามาห์และเบธเอลในแดนเทือกเขาเอฟราอิม และคนอิสราเอลก็ขึ้นมาหานางที่นั่น เพื่อให้ตัดสินคดี 6นางใช้คนไปเรียกบาราคบุตรอาบีโนอัม ให้มาจากเคเดชในนัฟทาลีและกล่าวแก่เขาว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลทรงบัญชาท่านว่า ‘จงไปรวบรวมพล 10,000 คน จากเผ่านัฟทาลีและเผ่าเศบูลุนไว้ที่ภูเขาทาโบร์ 7และเราจะชักนำสิเสราแม่ทัพของยาบินให้มาพบกับเจ้าที่แม่น้ำคีโชน พร้อมกับรถรบและกองทหารของเขา และเราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า’ ” 8บาราคจึงตอบนางว่า “ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไป ถ้าท่านไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ไป” 9นางจึงตอบว่า “ฉันจะไปกับท่านแน่ แต่ว่าทางที่ท่านไปจะทำให้ท่านไม่ได้รับเกียรติ เพราะว่าพระยาห์เวห์จะขายสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง” แล้วนางเดโบราห์ก็ลุกขึ้นไปกับบาราคถึงเมืองเคเดช 10บาราคจึงเรียกเศบูลุนกับนัฟทาลีให้ไปที่เคเดช มีคน 10,000 คนเดินตามขึ้นไปและนางเดโบราห์ก็ไปด้วย
 11เฮเบอร์คนเคไนต์ได้แยกตัวออกจากคนเคไนต์ทั้งหลาย คือจากพงศ์พันธุ์ของโฮบับพ่อตาของโมเสส มาตั้งเต็นท์อยู่ไกลออกไปถึงต้นโอ๊กคือ ต้นก่อซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ในศานันนิม ซึ่งอยู่ใกล้เมืองเคเดช
 12เมื่อมีคนไปแจ้งแก่สิเสราว่า บาราคบุตรอาบีโนอัมขึ้นไปที่ภูเขาทาโบร์แล้ว 13สิเสราก็เรียกรถรบทั้งหมดของท่านออกมา เป็นรถรบเหล็ก 900 คัน รวมกับกองทหารทั้งหมดที่ไปด้วย ยกไปจากเมืองฮาโรเชทฮาโกยิมไปถึงแม่น้ำคีโชน 14นางเดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า “ลุกขึ้นเถิด เพราะว่านี่เป็นวันที่พระยาห์เวห์ทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่าน พระยาห์เวห์เสด็จนำหน้าท่านไปมิใช่หรือ?” บาราคจึงลงไปจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับทหาร 10,000 คนติดตามท่านไป 15พระยาห์เวห์ทรงทำให้สิเสราและรถรบทั้งสิ้น อีกทั้งกองทัพทั้งหมดของท่านแตกพ่ายด้วยคมดาบต่อหน้าบาราค แล้วสิเสราก็ลงจากรถรบวิ่งหนีไป 16และบาราคได้ไล่ติดตามรถรบทั้งหลายและกองทัพไปจนถึงฮาโรเชทฮาโกยิม และกองทัพของสิเสราก็ล้มตายสิ้นด้วยคมดาบ ไม่เหลือสักคนเดียว
 17สิเสราวิ่งหนีไปถึงเต็นท์ของยาเอลภรรยาของเฮเบอร์คนเคไนต์ เพราะว่ายาบินกษัตริย์เมืองฮาโซร์เป็นไมตรีกันกับพงศ์พันธุ์เฮเบอร์คนเคไนต์ 18ยาเอลจึงออกไปต้อนรับสิเสราเรียนว่า “เจ้านายของดิฉัน เชิญแวะเข้ามา เชิญแวะเข้ามาหาดิฉัน อย่ากลัวเลย” สิเสราจึงแวะหานางในเต็นท์ และนางก็คลุมตัวท่านด้วยผ้าห่ม 19ท่านจึงพูดกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มสักหน่อยเพราะเรากระหาย” นางก็เปิดถุงหนังเอานมให้ท่านดื่ม และเอาผ้าคลุมท่านไว้ 20สิเสราบอกนางว่า “ขอยืนเฝ้าที่ประตูเต็นท์ ถ้ามีใครมาถามว่า ‘มีใครมาพักที่นี่บ้าง?’ จงบอกว่า ‘ไม่มี’ ” 21แต่ยาเอลภรรยาของเฮเบอร์หยิบหลักขึงเต็นท์ ถือค้อนเดินย่องเข้ามา ตอกหลักเข้าที่ขมับของสิเสราทะลุติดดิน ขณะเมื่อสิเสรากำลังหลับสนิทอยู่เพราะความเหน็ดเหนื่อย แล้วสิเสราก็สิ้นชีวิต 22และดูสิ ขณะที่บาราคไล่ติดตามสิเสรา ยาเอลก็ออกไปต้อนรับและเรียนท่านว่า “เชิญเข้ามาเถิด ดิฉันจะชี้ให้ท่านเห็นคนที่ท่านค้นหาอยู่นั้น” บาราคก็เข้าไปเห็นสิเสรานอนสิ้นชีวิตอยู่ มีหลักเต็นท์ในขมับ
 23ในวันนั้น พระเจ้าทรงทำให้ยาบินกษัตริย์คานาอันนอบน้อมต่อคนอิสราเอล 24และมือของคนอิสราเอลก็ทำต่อยาบินหนักขึ้นทุกที จนเขาทั้งหลายได้กำจัดภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ตัดออกยาบินกษัตริย์คานาอันเสีย

ผู้วินิจฉัย 5

บทเพลงของนางเดโบราห์

1ในวันนั้น นางเดโบราห์กับบาราคบุตรอาบีโนอัมร้องเพลงว่า
2“จงถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์
 เมื่อพวกผู้นำได้นำคนอิสราเอล
 เมื่อประชาชนอาสาสมัคร
3“กษัตริย์ทั้งหลายขอทรงสดับ เจ้านายทั้งหลายขอจงเงี่ยหูฟัง
 ข้าพเจ้าเองจะร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์
 ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล
4“ข้าแต่พระยาห์เวห์ เมื่อพระองค์เสด็จออกจากเสอีร์
 เมื่อพระองค์ทรงดำเนินจากถิ่นเอโดม
 แผ่นดินก็สั่นไหว ท้องฟ้าก็หลั่งริน เออ เมฆก็หลั่งรินฝนลงมา
5ภูเขาทั้งหลายก็ไหวสะท้านเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งภูเขาซีนาย
 เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
6“ในสมัยชัมการ์บุตรอานาท
 สมัยยาเอล ทางหลวงก็ว่างเปล่า
 ผู้สัญจรไปมาก็หลบไปเดินตามทางคดเคี้ยว
7ชาวไร่ชาวนาในอิสราเอลก็หยุด
 เขาหยุดจนกระทั่งข้าพเจ้าเดโบราห์ขึ้นมา
 จนข้าพเจ้าขึ้นมาเป็นอย่างมารดาในอิสราเอล
8เมื่อเลือกนับถือพระใหม่
 สงครามก็ประชิดเข้ามาถึงประตูเมือง
 ไม่มีโล่หรือหอกสักอันให้เห็นในพลอิสราเอล 40,000 คน
9ใจข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายบรรดาเจ้านายแห่งอิสราเอล
 ผู้อาสาสมัครท่ามกลางประชาชน
 จงถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์
10“บรรดาท่านผู้ขี่ลาขาว
 ผู้นั่งบนผ้าที่ใช้เป็นอาน
 และผู้สัญจรไปมา จงเล่าขานเถิด
11มีเสียงนักดนตรี ณ ที่ตักน้ำ
 เขากล่าวถึงชัยชนะของพระยาห์เวห์
คือชัยชนะของชาวไร่ชาวนาในอิสราเอล
 “แล้วประชากรของพระยาห์เวห์ก็เดินไปที่ประตูเมือง
12“เดโบราห์เอ๋ย ตื่นเถิด ตื่นเถิด
 ตื่นเถิด ตื่นมาร้องเพลง
ลุกขึ้นเถิด บาราค บุตรอาบีโนอัมเอ๋ย
 พาพวกเชลยของท่านไป
13ครั้งนั้นพวกที่เหลืออยู่ลงมาหาผู้สูงศักดิ์
 ประชากรของพระยาห์เวห์ลงมาเพื่อข้าพเจ้าดั่งนักรบ
14จากเอฟราอิม ผู้ถอนรากถอนโคนอามาเลขได้ลงมา
 พวกเขาเดินตามท่านนะ เบนยามิน ท่ามกลางประชาชนของท่าน
จากมาคีร์ ผู้บัญชาการเดินลงมา
 และจากเศบูลุน ผู้ถือไม้อาญาสิทธิ์ออกมา
15พวกเจ้านายแห่งอิสสาคาร์มากับเดโบราห์
 และบาราคทำอย่างไร อิสสาคาร์ก็ทำด้วย
พวกเขาเร่งติดตามท่านไปในหุบเขา
 มีการคิดตัดสินใจครั้งใหญ่
 ในตระกูลต่างๆ ของรูเบน
16ทำไมท่านจึงนั่งอยู่ที่คอกแกะ
 เพื่อฟังเสียงปี่ที่เป่าให้แกะฟัง
ในตระกูลต่างๆ ของรูเบน
 มีการชั่งใจ
17กิเลอาดอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
 แล้วทำไมดานยังอยู่กับเรือ?
อาเชอร์นั่งอยู่ที่ฝั่งทะเล
 ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามท่าเรือของเขา
18เศบูลุนเป็นเผ่าที่เสี่ยงตาย
 ฝ่ายนัฟทาลีก็เช่นกัน ณ ที่สูงของสนามรบ
19“พอบรรดากษัตริย์มาถึง ก็รบกัน
 บรรดากษัตริย์คานาอันก็รบ
ที่ทาอานาค ริมห้วงน้ำเมกิดโด
 โดยมิได้ริบเงินเลย
20ดวงดาวก็สู้รบจากสวรรค์
 จากวิถีของมัน พวกมันรบกับสิเสรา
21แม่น้ำคีโชนพัดกวาดพวกเขาไป
 คือแม่น้ำคีโชน แม่น้ำโบราณนั้น
 จิตใจของข้าเอ๋ย จงเดินต่อไปด้วยความเข้มแข็ง
22“แล้วเสียงกีบม้าก็กระทบแรง
 โดยม้าของเขาวิ่งควบไป ควบไป
23“ทูตพระยาห์เวห์กล่าวว่า จงสาปแช่งเมโรสเถิด
 จงสาปแช่งชาวเมืองให้หนัก
เพราะพวกเขาไม่ได้ออกมาช่วยพระยาห์เวห์
 คือช่วยพระยาห์เวห์สู้ผู้มีกำลังมาก
24“หญิงที่น่าสรรเสริญที่สุดก็คือยาเอล
 ภรรยาของเฮเบอร์คนเคไนต์
 ในพวกผู้หญิงที่อยู่ในเต็นท์ นางน่าสรรเสริญที่สุด
25เขาขอน้ำ เธอก็ให้น้ำนม
 เธอเอานมข้นใส่ชามอย่างดีมายื่นให้
26เธอเอื้อมมือหยิบหลักเต็นท์
 มือขวาของเธอฉวยค้อนใหญ่
เธอตอกสิเสราเข้าทีหนึ่ง
 เธอบี้ศีรษะของเขา
 เธอตอกทะลุขมับ
27เขาทรุดตัวล้มลง
 แน่นิ่งแทบเท้าของนาง
แทบเท้าของนาง เขาทรุดตัวล้มลง
 เขาทรุดตัวลงที่ไหน ที่นั่นเขาล้มลงตาย
28“มารดาของสิเสรามองออกไปทางหน้าต่าง
 นางจ้องมองแปลได้อีกว่า ร้องร่ำรำพันผ่านช่องตารางหน้าต่าง ร้องว่า
‘ทำไมหนอ รถรบของเขาจึงมาช้าเหลือเกิน?
 ทำไมล้อรถของเขาจึงเนิ่นช้าอยู่?’
29บรรดาสตรีสูงศักดิ์และปราดเปรื่องของนางจึงตอบนาง
 อันที่จริง นางรำพึงตอบตัวเองว่า
30‘พวกเขาคงกำลังแบ่งของริบที่ได้มากัน
 หญิงหนึ่งหรือสองคนตกเป็นของชายหนึ่งคน
ผ้าย้อมสีที่ริบมาเป็นของสิเสรา
 ผ้าย้อมสีที่ปักลวดลาย
 ผ้าย้อมสีที่ปักลวดลายสองหน้าสำหรับพันคอของข้าเป็นของที่ริบมา’
31“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้ศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์พินาศดังนี้
 แต่ขอให้ผู้ที่รักพระองค์เป็นดั่งดวงตะวันเมื่อโผล่ขึ้นด้วยอานุภาพ”
 และแผ่นดินก็สงบสุขอยู่ 40 ปี

อรรถาธิบาย

อธิษฐานเผื่อผู้นำ

ทุกอย่างทั้งขึ้นและลงก็อยู่ที่ความเป็นผู้นำ หากธุรกิจมีผู้นำที่ดีก็มีแนวโน้มที่จะไปได้ดี ถ้าคริสตจักรมีผู้นำที่ดี คริสตจักรก็มักจะเจริญรุ่งเรือง หากชาติใดมีผู้นำที่ดี ชาตินั้นก็จะเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด

‘คนอิสราเอลก็ร้องทุกข์ต่อพระยาห์เวห์’ หลังจากสิเสรา ‘ข่มเหงคนอิสราเอลอย่างหนักถึง 20 ปี’ (4:3) มารดาของสิเสรามองออกไปทางหน้าต่าง เพื่อรอการกลับมาของเขา นางกล่าวว่า ‘พวกเขาคงกำลังแบ่งของริบที่ได้มากัน หญิงหนึ่งหรือสองคนตกเป็นของชายหนึ่งคน...’ (5:30) เราคงเดาได้เลยว่าสิเสราปฏิบัติต่อผู้คนของพระเจ้าอย่างไร

ในคำตอบที่พวกเขาได้อธิษฐานตามความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าคือพระองค์ได้ทรงชูผู้นำที่โดดเด่นขึ้นมา นั่นคือเดโบราห์ที่เป็นทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณ (‘ผู้เผยพระวจนะ’) และเป็นผู้นำทางการเมืองด้วย เธอเป็น ‘ผู้วินิจฉัยคนอิสราเอลในเวลานั้น’ (4:4) เธอเป็นผู้นำที่มีเสน่ห์และมีค่ามากจนบาราคกล่าวกับเธอว่า ‘ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไป ถ้าท่านไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ไป’ (ข้อ 8)

ยาเอลคือสตรีอีกผู้หนึ่งที่น่าสนใจ เธอเป็นผู้สังหารชายผู้กดขี่ชาวอิสราเอลคนนั้น (ข้อ 21)

ทั้งหญิงและชายสามารถถูกสร้างเป็นผู้นำที่โดดเด่นได้ สิ่งสำคัญไม่ใช่เพศแต่เป็นภาวะผู้นำที่นำอย่างเข้มแข็ง: ‘เมื่อพวกผู้นำได้นำคนอิสราเอล เมื่อประชาชนอาสาสมัคร– จงถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์!’ (5:2,9)

อีกครั้งที่เดโบราห์และบาราคถวายสาธุการแด่พระเจ้า (ข้อ 1–5) จอยซ์ ไมเยอร์ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้า ‘เลือกที่จะใช้และส่งเสริมผู้ที่รู้ตัวว่าตนเองไม่มีค่าอะไรหากปราศจากพระองค์และผู้ที่ถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าสำหรับความสำเร็จทั้งหมดที่ทรงประทานให้ ทุกครั้งที่คุณประสบความสำเร็จในชีวิต อย่าลืมถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า’

วิธีที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของประชากรของพระองค์คือทรงเลี้ยงดูผู้นำที่มีสติปัญญาและถ่อมตน ผลก็คือ ‘แผ่นดินก็สงบสุขอยู่ 40 ปี’ (ข้อ 31ค)

เดโบราห์อธิษฐานว่าบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าจะเป็น ‘ดั่งดวงตะวันเมื่อโผล่ขึ้นด้วยอานุภาพ’ (ข้อ 31ข) มาพร้อมกับความอบอุ่น และพลังงาน ความแข็งแกร่ง กล้าหาญและไม่หวาดหวั่น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานในวันนี้ว่าจะเป็นดั่ง ‘ดั่งดวงตะวันเมื่อโผล่ขึ้นด้วยอานุภาพ’ (ข้อ 31ข) โปรดให้ข้าพระองค์นำความสว่างมาสู่โลกที่มืดมิดนี้และชี้นำทางให้ผู้คนเห็น

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ผู้วินิจฉัย 4:1–5:31

ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ ผู้วินิจฉัย ผู้เผยพระวจนะ นักอธิษฐาน นักแต่งเพลง ผู้นำนมัสการ ภรรยาและแม่ เดโบราห์ถือเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยม! ใครบอกกันว่าพระคัมภีร์ต่อต้านผู้นำที่เป็นสตรี?

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม