พลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด กำลังอันเข้มแข็งที่ไร้ขีดจำกัด
เกริ่นนำ
เรามักจะเล่าเรื่องเมื่อ จอห์น วิมเบอร์ มาที่คริสตจักรของเราครั้งแรก เราเห็นการเทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการเยียวยารักษาหลายต่อหลายครั้ง มีหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนที่สอง ที่ตราตรึงในความทรงจำของผมอย่างไม่มีวันลืมเลือน เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเรากำลังตั้งครรภ์ได้แปดเดือนในขณะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาประทับเหนือเธอด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ เธอเริ่มหมุนตัวไปรอบ ๆ อย่างเร็วมาก ในขณะที่เธอทำเช่นนั้น เธอได้อุทานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ‘ฉันรู้สึกแข็งแกร่งมาก’
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เธอให้กำเนิดบุตรชายซึ่งไม่เพียงแต่สำแดงความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณและอารมณ์เท่านั้น แต่ยังสำแดงความแข็งแกร่งทางร่างกายที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย เขาได้กลายเป็นนักรักบี้ที่โดดเด่น เป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม และตอนนี้เขาก็กลายเป็นนายแบบที่ประสบความสำเร็จ
สำหรับบางคน (เช่น แซมซัน ผู้ที่เราจะได้ใคร่ครวญร่วมกันในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมในวันนี้) พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความแข็งแกร่งทางร่างกายเป็นพิเศษให้แก่เขา แต่สำหรับเราทุกคน พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานกำลังฝ่ายวิญญาณให้กับเรา
อัครสาวกเปาโลพรรณนาว่า ‘และรู้ว่าฤทธานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่มากมายเพียงไรสำหรับเราที่เชื่อนั้น เป็นฤทธิ์เดชเดียวกับการทำกิจอันทรงอานุภาพและทรงพลังของพระองค์ ซึ่งทรงทำในพระคริสต์เมื่อทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย’ (เอเฟซัส 1:19–20)
นั้นเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ให้พระเยซูฟื้นจากความตาย (โรม 8:11ก) พระวิญญาณบริสุทธิ์คือ ‘ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์’ เป็นกำลังอันเข้มแข็งแบบเดียวกันที่อยู่ในตัวคุณและ ‘จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน’ (ข้อ 11ข)
ผมชอบผลงานแปลของ ยูจีน ปีเตอร์สัน (ในข้อพระคัมภีร์เอเฟซัส) ซึ่งเขาพูดถึงพระเจ้าผู้ทรงประทาน ‘พลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด กำลังอันเข้มแข็งที่ไร้ขีดจำกัด’!
สดุดี 59:9-17
9ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเฝ้าดูพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
10พระเจ้าของข้าพเจ้าจะพบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์
พระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้ามองเห็นพวกศัตรูของข้าพเจ้าแพ้
11ข้าแต่องค์เจ้านาย ผู้ทรงเป็นโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขออย่าทรงสังหารพวกเขาเสีย เกรงว่าชนชาติของข้าพระองค์จะลืม
ขอให้เขาระหกระเหินไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ และให้เขาล้มลง
12เพราะบาปจากปากของเขา และเพราะถ้อยคำจากริมฝีปากของเขา
ขอให้เขาติดกับโดยความเย่อหยิ่งของเขา
เพราะการแช่งสาปและการมุสาซึ่งเขาเปล่งออกมานั้น
13ขอทรงเผาผลาญเขาเสียโดยพระพิโรธ
ขอทรงเผาผลาญเขาจนสิ้น
แล้วคนจะทราบว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือยาโคบ
ถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
14พวกเขากลับมาทุกเย็น
หอนอย่างสุนัข
และตระเวนไปทั่วนคร
15เขาเที่ยวไปหาอาหาร
ถ้าไม่ได้กินอิ่มก็ขู่คำราม
16แต่ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงพระกำลังของพระองค์
ข้าพระองค์จะโห่ร้องด้วยความยินดีเรื่องความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า
เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
เป็นที่ลี้ภัยในยามที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก
17ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์
อรรถาธิบาย
ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์
คุณกำลังดิ้นรนในโลกที่เผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรน่านี้อยู่หรือไม่? คุณรู้สึกทุกทรมานมากไหม?
เฉกเช่นเดียวกับดาวิดที่ต้องเผชิญปัญหาอย่างหนักหน่วง ให้เราร้องทูลกับพระเจ้าในวันนี้ว่า ‘ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเฝ้าดูพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้าจะพบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์’ (ข้อ 9–10ก)
พระธรรมสดุดีจบลงด้วยชัยชนะ: ‘แต่ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงพระกำลังของพระองค์ ข้าพระองค์จะโห่ร้องด้วยความยินดีเรื่องความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยในยามที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์’ (ข้อ 16–17)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ทรงเป็น ‘กำลังที่เข้มแข็ง’ ของข้าพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์ โปรดประทานพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด กำลังอันเข้มแข็งที่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์
ยอห์น 6:60-7:13
ถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์
60เมื่อพวกสาวกของพระองค์หลายคนได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้?” 61และเมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ? 62ถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่พระองค์อยู่แต่ก่อนนั้น จะว่าอย่างไร? 63พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต เนื้อหนังนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต 64แต่ในพวกท่านมีบางคนไม่เชื่อ” เพราะพระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าใครไม่เชื่อและใครเป็นคนที่จะทรยศพระองค์ 65แล้วพระองค์ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกท่านว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะโปรดคนนั้น’ ”
66ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก 67พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า “พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?” 68ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ 69และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 70พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ? แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” 71พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท คนหนึ่งในสาวกสิบสองคน เพราะว่าเขาเป็นคนที่จะทรยศพระองค์
ยอห์น 7
พวกน้องๆ ของพระเยซูไม่วางใจพระองค์
1หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปตามที่ต่างๆ ในแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ต้องการเสด็จไปแคว้นยูเดียเพราะพวกยิวหาโอกาสฆ่าพระองค์ 2ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว 3พวกน้องๆ ของพระองค์จึงทูลพระองค์ว่า “จงออกจากที่นี่ไปแคว้นยูเดียเพื่อให้พวกสาวกเห็นกิจการที่กำลังทำอยู่ 4เพราะว่าไม่มีใครแอบทำอะไรเงียบๆ ในเมื่ออยากให้ตัวเองปรากฏ ถ้าจะทำสิ่งเหล่านี้ก็จงแสดงตัวให้ปรากฏต่อโลกเถิด” 5แม้แต่พวกน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่ได้วางใจในพระองค์ 6พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกน้องนั้นได้ทุกเมื่อ 7โลกเกลียดชังพวกน้องไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย 8พวกน้องจงขึ้นไปที่งานเทศกาล เราจะไม่ขึ้นไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” 9เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้วพระองค์ก็ประทับในแคว้นกาลิลีต่อไป
พระเยซูที่เทศกาลอยู่เพิง
10แต่หลังจากพวกน้องๆ ของพระองค์ขึ้นไปที่งานเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างเงียบๆ ไม่เปิดเผย 11พวกยิวมองหาพระองค์ในงานเทศกาลนั้นและถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน?” 12และฝูงชนก็ซุบซิบกันอย่างมากเรื่องพระองค์ บางคนพูดว่า “เขาเป็นคนดี” บางคนว่า “ไม่ใช่ เขาทำให้ฝูงชนหลงผิดไป” 13แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกยิว
อรรถาธิบาย
การทรงเรียกที่ยากลำบาก
คุณเคยพบว่าคำสอนของพระเยซูเป็นเรื่องยากที่จะทำตามหรือไม่? บางครั้งคุณพบว่าการเป็นคริสเตียนเป็นเรื่องยากไหม เช่น ในที่ทำงาน? บางครั้งคุณพบว่ามีคนไม่ชอบคุณโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่? คุณเคยรู้สึกอยากเลิกติดตามพระเยซูบ้างไหม?
หากคุณต้องการชีวิตที่เรียบง่าย ผมไม่แนะนำให้ติดตามพระเยซู เพราะต่อไปมันจะไม่ง่ายเลย และตอนนี้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน อลิซ คูเปอร์ นักร้องชาวร็อก กล่าวว่า ‘การดื่มเบียร์เป็นเรื่องง่าย ทิ้งขยะห้องพักในโรงแรมเป็นเรื่องง่าย แต่การเป็นคริสเตียนนั้นเป็นเรื่องยาก นั่นคือการกบฏที่แท้จริง’
การติดตามพระเยซูถือเป็นการทรงเรียกที่ยากลำบาก และในขณะเดียวกันก็เป็นหนทางสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ด้วยเช่นกัน พระเยซูทรงอธิบายว่า ความบริบูรณ์ของชีวิตเช่นนี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำสอนของพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่าสาวกกล่าวว่า ‘นี่เป็นคำสอนที่หนักและยากและแปลกประหลาดมาก... ใครจะทนฟังได้บ้าง’ (6:60, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Amplified Bible โดยผู้แปล) อันที่จริง คำสอนบางอย่างของพระเยซูนั้นหนักมาก ‘ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก’ (ข้อ 66) พระธรรมตอนนี้เริ่มต้นด้วยผู้คนมากมายที่ติดตามพระเยซู แต่จบลงด้วยหลายคนหันหลังให้พระองค์
ไม่บ่อยนักที่ผู้ฟังพบว่าคำสอนของพระเยซูนั้นยากที่จะเข้าใจ แต่พวกเขาแค่ไม่ชอบเนื้อหามากกว่า พวกเขาพบว่าคำสอนของพระองค์ทำให้พวกเขาสะดุด (ข้อ 61) ดูเหมือนว่าพวกเขาจะขุ่นเคืองใจเป็นพิเศษกับการอ้างตนของพระเยซู ที่ทรงตรัสว่าทรงเป็น ‘อาหารแห่งชีวิต’ ทรงเรียกพวกเขาให้เชื่อในพระองค์และเสนอชีวิตนิรันดร์ให้
คำสอนนี้ไม่เพียงแต่ ‘ยาก’ เท่านั้น แต่ยังได้รับ ‘ความเกลียดชัง’ พระเยซูตรัสว่า ‘...โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย’ (7:7) พระองค์ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลอกลวง (ข้อ 12) ต้องจ่ายราคาสูงมากทีเดียวในการติดตามคนที่ถูกเกลียดชังขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีหลายคนหันหลังกลับและไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป พระองค์ทรงเจ็บปวดมาก พระเยซูตรัสถามสาวกสิบสองคนว่า ‘พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?’ ซีโมนเปโตรทูลผู้เป็นดั่งโฆษกของกลุ่ม ตอบพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า’ (6:67–69)
นี่เป็นความจริงที่ทรงพลังมาก พระเยซูมีพระวจนะแห่งชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า ทรงเป็นผู้เดียวที่เราควรเสาะหา
ในข้อนี้ เราจะได้เห็นตรีเอกานุภาพ เปโตรยอมรับว่าพระเยซูเป็น ‘องค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า’ (ข้อ 69) พระเยซูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสถึงพระบิดา (ข้อ 65) และยังตรัสถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 63)
พระเยซูตรัสว่า ‘พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต’ (ข้อ 63ก) เนื้อหนังให้ชีวิตฝ่ายเนื้อหนังฉันใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณฉันนั้น พระองค์ตรัสว่า ‘ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต’ (ข้อ 63ข)
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อน ‘เทศกาลอยู่เพิง’ (7:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The International Standard Version โดยผู้แปล) ทุกครอบครัวจะออกจากบ้านและอาศัยอยู่ในเต็นท์เป็นเวลาแปดวันเพื่อเฉลิมฉลองอย่างเปรมปรีดิ์ (ค่อนข้างคล้ายกับวันหยุดฤดูร้อนของคริสตจักร!) พวกเขาจะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับน้ำที่ให้ชีวิต นี่คือเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงเลือกยกตัวอย่างเพื่อสอนพวกเขาเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ให้ชีวิต
เมื่อพระเยซูตรัสถึงชีวิตนิรันดร์ พระองค์กำลังตรัสถึงคุณภาพชีวิตที่เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้และดำเนินต่อไปเป็นนิตย์ ‘ได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์’ (10:10) นี่คือชีวิตในแบบที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานมาให้ นั่นคือเหตุผลที่ถึงแม้ต้องจ่ายราคามากเพียงใดในการติดตามพระเยซู แต่ผลดีที่ได้รับนั้นมีมากกว่าราคาที่จ่ายไป อันที่จริงไม่มีทางเลือกอื่นที่เป็นจริงแท้แน่นอนเลยด้วยซ้ำ พระเยซูเท่านั้นที่สามารถให้พระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คุณได้ พระเยซูเท่านั้นที่สามารถให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เพื่อประทานชีวิตแก่ฉัน โปรดเจิมข้าพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อว่าถ้อยคำที่ข้าพระองค์พูดในวันนี้จะเป็น ‘วิญญาณ’ และ ‘ชีวิต’ แก่ผู้ที่ได้ยิน (6:63)
ผู้วินิจฉัย 12:1-13:25
ความขัดแย้งระหว่างเผ่า
1คนเอฟราอิมถูกเรียกให้รบและยกข้ามไปทางศาโฟน พวกเขาพูดกับเยฟธาห์ว่า “ทำไมท่านยกข้ามไปรบกับคนอัมโมน แต่ไม่เรียกเราไปกับท่านด้วย? เราจะจุดไฟเผาบ้านทับท่านเสีย” 2เยฟธาห์จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “ข้าพเจ้ากับประชาชนของข้าพเจ้าติดการศึกใหญ่กับคนอัมโมน เมื่อข้าพเจ้าเรียกพวกท่านให้ช่วย พวกท่านก็ไม่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นมือเขาทั้งหลาย 3เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าท่านไม่ช่วยข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็เสี่ยงชีวิตของข้าพเจ้าข้ามไปรบกับคนอัมโมน และพระยาห์เวห์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของข้าพเจ้า วันนี้ท่านทั้งหลายขึ้นมาทำศึกกับข้าพเจ้าเพราะอะไร?” 4เยฟธาห์จึงรวบรวมคนกิเลอาดทั้งสิ้นสู้รบกับคนเอฟราอิม คนกิเลอาดก็ประหารคนเอฟราอิม เพราะคนเอฟราอิมกล่าวว่า “คนกิเลอาดเอ๋ย พวกเจ้าเป็นคนหลบหนีของเอฟราอิม ท่ามกลางเอฟราอิมและมนัสเสห์” 5คนกิเลอาดก็เข้ายึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไว้ไม่ให้คนเอฟราอิมข้าม เมื่อคนเอฟราอิมที่หลบหนีคนใดมาบอกว่า “ขอให้ข้ามไปทีเถิด” คนกิเลอาดจะถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนเอฟราอิมหรือ?” เมื่อเขาตอบว่า “ไม่ใช่” 6คนกิเลอาดจะบอกกับคนนั้นว่า “จงพูดคำว่าชิบโบเลท” แต่คนนั้นพูดว่า “สิบโบเลท” เพราะคนเอฟราอิมออกเสียงคำนี้ไม่ชัด พวกเขาจึงจับคนนั้นฆ่าเสียที่ท่าข้าม ครั้งนั้นมีคนเอฟราอิมตาย 42,000 คน
7เยฟธาห์วินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 6 ปีแล้ว เยฟธาห์คนกิเลอาดก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ในเมืองของท่านในกิเลอาด
อิบซาน เอโลนและอับโดน
8อิบซานแห่งเบธเลเฮมได้วินิจฉัยอิสราเอลต่อจากเยฟธาห์ 9ท่านมีบุตรชาย 30 คน และบุตรหญิง 30 คน สำหรับบุตรหญิงนั้น ท่านให้แต่งงานกับคนนอกเผ่าของท่าน และท่านนำบุตรหญิง 30 คนของคนนอกเผ่า มาให้แก่บุตรชายของท่าน ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 7 ปี 10แล้วอิบซานก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เบธเลเฮม
11เอโลนคนเศบูลุนได้วินิจฉัยอิสราเอล 10 ปีต่อจากอิบซาน 12แล้วเอโลนคนเศบูลุนก็สิ้นชีวิต และถูกฝังไว้ที่อัยยาโลนในเขตแดนของเผ่าเศบูลุน
13อับโดนบุตรฮิลเลลชาวปิราโธนวินิจฉัยอิสราเอลต่อจากเอโลน 14ท่านมีบุตรชาย 40 คน และหลานชาย 30 คน ขี่ลาผู้ 70 ตัว ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 8 ปี 15แล้วอับโดนบุตรฮิลเลลชาวปิราโธนก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่ปิราโธนในแผ่นดินของเอฟราอิม ในแดนเทือกเขาของคนอามาเลข
ผู้วินิจฉัย 13
กำเนิดของแซมสัน
1คนอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์อีก ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย 40 ปี
2มีชายคนหนึ่งเป็นชาวเมืองโศราห์คนเผ่าดาน ชื่อมาโนอาห์ ภรรยาของเขาเป็นหมันไม่มีบุตร 3ทูตของพระยาห์เวห์มาปรากฏแก่หญิงนั้น กล่าวแก่นางว่า “นี่แน่ะ เจ้าเป็นหมันไม่มีบุตร แต่เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย 4ฉะนั้นบัดนี้จงระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่น หรือของมึนเมา และอย่ากินของมลทินทุกอย่าง 5เพราะนี่แน่ะ เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เพราะเด็กนั้นจะเป็นนาศีร์ แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด และเขาจะเริ่มช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย” 6หญิงนั้นจึงไปบอกสามีว่า “คนของพระเจ้ามาหาฉัน ลักษณะภายนอกของท่านเหมือนทูตของพระเจ้าน่ากลัวนัก ฉันไม่ได้ถามท่านว่ามาจากไหน และท่านก็ไม่บอกชื่อของท่านแก่ฉัน 7แต่ท่านบอกฉันว่า ‘นี่แน่ะ เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย ฉะนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมา อย่ากินของมลทินทุกอย่าง เพราะเด็กนั้นจะเป็นนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิดจนตาย’ ”
8แล้วมาโนอาห์ก็วิงวอนพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย โปรดให้คนของพระเจ้าผู้ซึ่งพระองค์ทรงใช้มานั้นมาหาข้าพระองค์ทั้งสองอีก เพื่อสอนพวกข้าพระองค์ว่า ควรทำอย่างไรแก่เด็กที่จะเกิดมานั้น” 9และพระเจ้าทรงฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตของพระเจ้ามาหาหญิงนั้นอีกเมื่อนางนั่งอยู่ในทุ่งนา แต่มาโนอาห์สามีของนางไม่ได้อยู่ด้วย 10หญิงนั้นก็รีบวิ่งไปบอกสามีว่า “นี่แน่ะ บุรุษผู้มาหาฉันเมื่อวันก่อนนั้นได้มาปรากฏแก่ฉันอีก” 11มาโนอาห์ก็ลุกขึ้นตามภรรยาไป เมื่อมาถึงบุรุษนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ท่านเป็นบุรุษผู้ที่พูดกับผู้หญิงคนนี้หรือ?” ผู้นั้นตอบว่า “เราเอง” 12มาโนอาห์จึงกล่าวว่า “เมื่อถ้อยคำของท่านเป็นจริงแล้ว ชีวิตของเด็กนั้นจะเป็นอย่างไร? และเขาจะทำอะไร?” 13และทูตของพระยาห์เวห์บอกแก่มาโนอาห์ว่า “ทุกสิ่งที่เราได้บอกหญิงนั้น ก็ให้นางใส่ใจปฏิบัติ 14อย่าให้นางกินสิ่งใดๆ ที่ได้มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมา อย่ากินของมลทินทุกอย่าง ให้นางปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เราสั่งไว้”
15มาโนอาห์กล่าวกับทูตของพระยาห์เวห์ว่า “ขอท่านรออยู่ก่อน พวกเราจะไปเตรียมลูกแพะตัวหนึ่งให้ท่าน” 16ทูตของพระยาห์เวห์บอกมาโนอาห์ว่า “ถึงเจ้าจะให้เรารอ เราก็จะไม่กินอาหารของเจ้า แต่ถ้าเจ้าจะจัดเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เจ้าจงถวายแด่พระยาห์เวห์” (เพราะว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นทูตของพระยาห์เวห์) 17มาโนอาห์ถามทูตของพระยาห์เวห์ว่า “ท่านชื่ออะไร? เพื่อว่าเมื่อถ้อยคำของท่านเป็นจริงแล้ว เราจะได้ให้เกียรติท่าน” 18ทูตของพระยาห์เวห์บอกเขาว่า “ถามชื่อเราทำไม? ชื่อเราก็อัศจรรย์เกินความเข้าใจของเจ้า” 19มาโนอาห์ก็เอาลูกแพะกับธัญบูชามาถวายบนศิลาแด่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงทำการอัศจรรย์ขณะที่มาโนอาห์และภรรยาเฝ้ามองอยู่ 20และเมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นไปสวรรค์ ทูตของพระยาห์เวห์ก็ขึ้นไปตามเปลวไฟแห่งแท่นบูชาขณะเมื่อมาโนอาห์และภรรยาคอยดูอยู่ และพวกเขาก็ซบหน้าลงถึงดิน
21ทูตของพระยาห์เวห์ไม่ปรากฏแก่มาโนอาห์หรือแก่ภรรยาของเขาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าผู้นั้นเป็นทูตของพระยาห์เวห์ 22และมาโนอาห์พูดกับภรรยาของตนว่า “เราคงจะตายแน่ๆ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า” 23แต่ภรรยาบอกเขาว่า “ถ้าพระยาห์เวห์ทรงหมายจะฆ่าเราเสีย พระองค์คงจะไม่รับเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและธัญบูชาจากมือของเรา หรือทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่เราหรือประกาศเรื่องเช่นนี้แก่เราในเวลานี้” 24หญิงนั้นก็คลอดบุตรชายและเรียกชื่อเขาว่าแซมสัน เด็กนั้นก็เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเขา 25และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็ทรงเริ่มเร้าใจเขา ที่มาหะเนห์ดานระหว่างเมืองโศราห์กับเมืองเอชทาโอล
อรรถาธิบาย
ฤทธานุภาพของพระองค์
คุณเคยกระวนกระวายกับระยะเวลาที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อตอบคำอธิษฐานของคุณหรือไม่? พระเจ้าไม่ทรงรีบร้อน แต่พระองค์ทรงทันเวลาเสมอ
เราจะเห็นการจัดเตรียมแผนการของพระเจ้าอย่างละเอียดซับซ้อนต่อการกำเนิดของแซมสันได้จากข้อพระคำตอนนี้ ผู้ที่มีพลังที่พิเศษในการช่วยเหลือผู้คนในยุคของเขา แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาพจำลองของบางสิ่งที่ต้องใช้เวลานานกว่านั้นอีก เมื่อหลายร้อยปีหลังจากนั้น ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ผู้มีความคล้ายคลึงกับแซมสันในหลาย ๆ ด้าน ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อจัดเตรียมทางให้สำหรับ ผู้ช่วยกู้ให้รอดผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
บ่อยครั้งที่พระเจ้า ทรงประทานลูกให้กับผู้คนที่รอคอยการมีบุตรมาเป็นเวลานานแสนนาน และพวกเขาเคยคิดว่านั่นคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ซะแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นางซารายผู้ให้กำเนิดอิสอัค เอลีซาเบธผู้ให้กำเนิดยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา
แซมสันมีความคล้ายคลึงกับยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาในหลายด้าน:
ในทั้งสองกรณี เป็นเรื่องที่ทำให้เราคิดว่าฝ่ายผู้เป็นแม่นั้นไม่สามารถที่จะมีลูกได้ และเป็นอะไรที่ต้องพึงการอัศจรรรย์เท่านั้น (ผู้วินิจฉัย 13:3, ลูกา 1:7)
ในทั้งสองกรณี ทูตสวรรค์ของพระเจ้าทรงพูดกับบรรดาพ่อและแม่อย่างชัดเจน (ผู้วินิจฉัย 13:7, ลูกา 1:13)
เด็กทั้งสองคนถูกแยกออกเพื่อถวายแด่พระเจ้า ตั้งแต่พวกเขาเกิด (ผู้วินิจฉัย 13:7, ลูกา 1:14–17)
พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับสุราเลย (ผู้วินิจฉัย 13:7, ลูกา 1:15)
พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเสด็จมาอยู่เหนือทั้งคู่ตั้งแต่วันแรกในชีวิตของพวกเขา (ผู้วินิจฉัย 13:25, ลูกา 1:15)
และอีกครั้งที่เราได้เห็นคำบอกใบ้เกี่ยวกับเรื่องตรีเอกานุภาพในพระคำตอนนี้ เราได้ใคร่ครวญถึง ‘พระยาห์เวห์’ (ผู้วินิจฉัย 13:1) แต่ก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอีกเช่นกันเมื่อเราได้ยินว่า ‘ทูตของพระยาห์เวห์’ ทรงปรากฏต่อหน้าทั้งพ่อและแม่ของแซมสัน (ข้อ 3,6) และหลังจากนั้นก็ขึ้นสู่สวรรค์ไปในเปลวไฟ (ข้อ 19)
จากที่ได้เห็นว่า มาโนอาห์และภรรยาของเขาก็ต่างซบหน้าลงถึงดินมาโนอาห์นั้นตระหนักดีว่านั่นคือทูตของพระยาห์เวห์: ‘มาโนอาห์พูดกับภรรยาของตนว่า “เราคงจะตายแน่ๆ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า!”’ (ข้อ19-22) (ขอบคุณพระเจ้าที่เขาได้ ‘ภรรยาที่ควบคุมสติได้ดี!’, ข้อ 23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Amplified Bible โดยผู้แปล)
หรือ ‘ทูตของพระยาห์เวห์’ จะหมายถึงบุคคลที่สองในตรีเอกานุภาพ? พระเยซูทรงใช้คำว่า บุตรมนุษย์ทรงเสด็จขึ้นไป (ยอห์6:62) ก่อนหน้านี้เราก็ได้อ่านพบคำว่า ‘พวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์’ (ยอห์น1:51)
เป็นที่แน่ชัดว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้เป็นบุคคลที่สามของตรีเอกานุภาพ ทรงทำงานอยู่ในช่วงการกำเนิดของแซมสัน ‘หญิงนั้นก็คลอดบุตรชายและเรียกชื่อเขาว่าแซมสัน เด็กนั้นก็เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเขา และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็ทรงเริ่มเร้าใจเขา...’ (ผู้วินิจฉัย 13:24-25) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทานพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด กำลังอันเข้มแข็งที่ไร้ขีดจำกัดแก่แซมสัน
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณสำหรับกำลังอันพิเศษนี้ที่พระองค์ทรงประทานให้กับแซมสัน ขอทรงโปรดเติมเต็มข้าพระองค์ในวันนี้ ด้วยพระวิญญาณของพระองค์ ขอประทานความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณและฤทธิ์เดชที่จะต่อสู้กับศัตรู และกำลังในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ผู้วินิจฉัย 12:8–9ก
‘อิบซานแห่งเบธเลเฮมได้วินิจฉัยอิสราเอลต่อจากเยฟธาห์ ท่านมีบุตรชาย 30 คน และบุตรหญิง 30 คน’
ว้าว! เขาต้องยุ่งมากแน่ ๆ
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)