พระเจ้าเปลี่ยนความอ่อนแอของคุณให้เป็นกำลังที่เข้มแข็ง
เกริ่นนำ
จอห์น สตอตต์ ผู้นำคริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่กำลังเทศนาในพันธกิจของมหาวิทยาลัยในซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เนื่องในโอกาสพิเศษ และในคืนสุดท้ายของพันธกิจเขาแทบจะสูญเสียเสียงของเขาไปอันเป็นผลมาจากการติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม เขาถูกเกลี้ยกล่อมให้เทศนาต่อ ขณะรออยู่ที่ห้องด้านข้าง เขากระซิบขอให้ช่วยอ่านข้อพระคำ จาก 2 โครินธ์ 12 เรื่องของ ‘หนามในเนื้อ’ ให้เขาฟัง และการสนทนาระหว่างพระเยซูกับอัครทูตเปาโลก็เริ่มขึ้น
สตอตต์ (เปาโล): ‘ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า...เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า’
พระเยซู: ‘การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น’
สตอตต์ (เปาโล): ‘เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ…เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น’
เมื่อถึงเวลาต้องขึ้นเทศนา เขาก็ได้บรรยายถึงพระกิตติคุณผ่านไมโครโฟนด้วยเสียงโมโนโทน โดยไม่สามารถใช้เสียงที่แสดงออกถึงตัวตนของตนเองได้อย่างเต็มที่ แต่ตลอดเวลาเขาได้ร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงประทานฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ให้ทำงานผ่านความอ่อนแอของเขา
เขาได้กลับไปออสเตรเลียหลายครั้งหลังจากนั้น และทุก ๆ โอกาสจะมีบางคนเดินมาหาเขาแล้วพูดว่า ‘คุณจำการรับใช้ครั้งสุดท้ายในห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยเมื่อเสียงคุณหายไปได้ไหม? ฉันไ้ด้ต้อนรับพระคริสต์ในคืนนั้น’
ในฐานะที่เป็นคนที่รู้ดีถึงจุดอ่อนของตัวเอง ผมพบว่าเป็นที่หนุนใจมากเมื่อผมรู้สึกอ่อนแอ ผมไม่ได้อยู่คนเดียว เมื่อคุณเชื่อในพระเจ้า พระองค์ทรงเปลี่ยนความอ่อนแอของคุณให้เป็นกำลังที่เข้มแข็งขึ้น
สดุดี 59:1-8
คำอธิษฐานขอทรงช่วยให้พ้นจากศัตรู
ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองอย่าทำลาย มิคทามบทหนึ่งของดาวิด เมื่อซาอูลทรงใช้คนให้ไปเฝ้าบ้านของท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน
1ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากศัตรู
ขอทรงพิทักษ์รักษาข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์
2ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากผู้ทำความชั่ว
และขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากคนกระหายเลือด
3เพราะนี่แน่ะ พวกเขาซุ่มคอยเอาชีวิตข้าพระองค์
คนดุร้ายรวมหัวกันต่อสู้ข้าพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ มิใช่เพราะการละเมิดหรือบาปของข้าพระองค์เอง
4พวกเขาวิ่งมาและเตรียมพร้อมจะจู่โจมข้าพระองค์ มิใช่เพราะความชั่วของข้าพระองค์
ขอทรงลุกขึ้นมาช่วยข้าพระองค์และขอทอดพระเนตร
5ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมทัพ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล
ขอทรงตื่นขึ้นลงโทษประชาชาติทั้งสิ้น
ขออย่าทรงเมตตาผู้ที่ทรยศคิดร้ายแม้สักคนเดียว
6พวกเขากลับมาทุกเย็น
ขู่คำรามอย่างสุนัข
และตระเวนไปทั่วนคร
7ดูสิ ปากของพวกเขาพูดโพล่ง
และคำเสียดแทงอยู่ที่ริมฝีปากของเขา
เพราะเขาคิดว่า “ใครจะได้ยินเรา?”
8ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่พระองค์ทรงหัวเราะเยาะเขา
พระองค์ทรงเยาะเย้ยประชาชาติทั้งปวง
อรรถาธิบาย
ความเชื่อและการต่อสู้
พระเจ้าเป็นกำลังของคุณในยามยากลำบาก ความเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับชีวิตที่เรียบง่าย ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่กลับกัน คุณมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการต่อสู้ทุกประเภท
ชีวิตของดาวิดอยู่ภายใต้การคุกคาม ซาอูลส่งคนไปยังที่พักของดาวิดเพื่อจะสังหารเขา และพบว่าตัวเองรายล้อมไปด้วย ‘ศัตรู... ผู้ก่อการจลาจล... อุบายสกปรก... ลอบสังหาร... คนกดขี่ข่มเหง... พวกเขากำลังไล่ตามข้าพระองค์ ตั้งใจแน่วแน่ที่จะจับข้าพระองค์’ (ข้อ 1–4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
กระนั้น ท่ามกลางสิ่งนี้ ดาวิดอธิษฐานว่า ‘ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์...’ (ข้อ 1–2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำและปลดปล่อยเขาได้ (ข้อ 8) ต่อมาในพระธรรมสดุดี ดาวิดร้องทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสองครั้งว่า ‘ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์’ (ข้อ 9,17)
เขาสามารถกล่าวได้ว่า ‘ข้าพระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดเลยเพื่อให้ได้รับสิ่งนี้ มิใช่เพราะการละเมิดหรือบาปของข้าพระองค์เอง’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ดาวิดไม่ได้สมบูรณ์แบบ (2 ซามูเอล 11) แต่อย่างไรก็ตาม บางครั้งที่คุณเผชิญปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ใช่เพราะคุณกำลังทำอะไรผิด แต่เพราะคุณกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง
ให้เราร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในยามยากลำบาก ‘ขอทรงลุกขึ้นมาช่วยข้าพระองค์และขอทอดพระเนตร’ (สดุดี 59:4ข) นอกจากนั้น คุณยังสามารถร้องทูลขอการช่วยกู้จากองค์พระผู้เป็นเจ้าในยามวิกฤตระดับชาติได้ พระวจนะข้อถัดไปคือคำอธิษฐานเผื่อประเทศชาติ (ข้อ 5ก) ไม่ว่าการคุกคามจะอยู่ในระดับใดก็ตาม ให้เราทูลขอการช่วยกู้ ความช่วยเหลือ และการแทรกแซงที่มาจากพระองค์
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เชื่อมั่นในพระองค์ยามยากลำบาก และเผชิญการต่อสู้ ปลดปล่อยเราจากผู้ที่ทำการต่อต้านแผนของพระองค์
ยอห์น 6:25-59
25เมื่อพวกเขาพบพระองค์ที่ฝั่งทะเลสาบข้างโน้นแล้ว เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไหร่?” 26พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม 27อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะมอบให้กับพวกท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว” 28พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “เราจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะทำงานของพระเจ้าได้?” 29พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” 30พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อที่เราจะเห็นและวางใจท่าน? ท่านจะทำอะไร? 31บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘ท่านให้พวกเขากินอาหารจากสวรรค์’” 32พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราเป็นผู้ประทานอาหารแท้ที่มาจากสวรรค์ให้กับพวกท่าน 33เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้กับโลก” 34พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า ขอโปรดให้อาหารนั้นแก่เราตลอดไปเถิด”
35พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย 36แต่เราก็บอกพวกท่านแล้วว่าท่านเห็นเราแล้วแต่ไม่วางใจ 37สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย 38เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา 39และพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามานั้นก็คือ ให้เรารักษาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับเรา ไม่ให้หายไปสักสิ่งเดียว แต่ทำให้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย 40เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”
41พวกยิวจึงซุบซิบกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์” 42พวกเขาพูดกันว่า “คนนี้คือเยซูลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก แล้วเดี๋ยวนี้เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?” 43พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “อย่าซุบซิบกันเลย 44ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย 45มีคำเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘พระเจ้าจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน’ ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา 46ไม่มีใครได้เห็นพระบิดานอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว 47เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจก็มีชีวิตนิรันดร์ 48เราเป็นอาหารแห่งชีวิต 49บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ยังเสียชีวิต 50แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย 51เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา”
52แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า “คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” 53พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน 54คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย 55เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ 56คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา 57พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น 58นี่แหละเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่พวกบรรพบุรุษกินและเสียชีวิต คนที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์” 59คำเหล่านี้พระองค์ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม
อรรถาธิบาย
ความเชื่อและความว่างเปล่า
พระเยซูทรงสอนเรื่องศูนย์กลางของความเชื่อ เมื่อถูกถามว่า ‘“เราจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะทำงานของพระเจ้าได้? พระเยซูตรัสตอบว่า “งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา”’ (ข้อ 28–29)
เราถูกเรียกโดยหลักแล้วว่าเป็น ‘ผู้เชื่อ’ ไม่ใช่ ‘ผู้ประสบความสำเร็จ’ วิธีที่เราสำเร็จลุล่วงได้คือต้องเชื่อเสียก่อน
พระเยซูตรัสว่า ‘เราเป็นอาหารแห่งชีวิต’ (ข้อ 35) เมื่อร่างกายของเราหิวเราก็ต้องการอาหาร เช่นเดียวกับความต้องการทางร่างกาย คุณก็มีความต้องการทางวิญญาณ และความหิวกระหายทางวิญญาณด้วยเช่นกัน อาหารที่พระเยซูกำลังพูดถึงคือพระวจนะแห่งชีวิต ที่ทรงสำแดงแก่พวกเขาเป็นดั่งสหาย พระเยซูกำลังเสนอความสัมพันธ์ส่วนตัว ความใกล้ชิดสนิมสนม และความสัมพันธ์จริงใจกับพระองค์ อันเป็นบำเหน็จของพระองค์ที่ทรงประทานให้กับเราแต่ละคน
ความเชื่อในพระคริสต์เติมเต็มความว่างเปล่าที่คุณประสบพบเจอและสนองความหิวกระหายทางวิญญาณของคุณ โดยมีวัตถุประสงค์ ความมั่นคง และการให้อภัย
- วัตถุประสงค์ ดำรงชีวิตด้วยอาหารทางกายภาพอย่างเดียวไม่พอ ปัจจัยทางวัตถุเพียงอย่างเดียวไม่อาจสนองความต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็น เงิน บ้าน รถยนต์ ความสำเร็จ และแม้แต่ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ก็ไม่สนองความต้องการของเราต่อวัตถุประสงค์สูงสุดในชีวิตได้
อาหารที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของเราคือ ‘อาหารแห่งชีวิต' นี่ไม่ใช่สินค้าที่พระเยซูทรงเป็นผู้จัดหาให้ แต่พระองค์คือของขวัญและผู้ให้ คำว่า ‘เรา’ ปรากฏ 35 ครั้งในบทสนทนานี้ ‘เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย’ (ข้อ 35)
เป็นเรื่องง่ายที่จะจมอยู่กับสิ่งของหรือติดกับทางความเชื่อแม้ว่าเมื่อคุณได้เชื่อในพระเยซูแล้ว แต่แท้จริงแล้วมีเพียงความสัมพันธ์กับพระเยซูเท่านั้นที่สนองความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณของเราได้
จากพระคำที่ว่า ‘วางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา’ (ข้อ 29), ‘มาหาเรา’ (ข้อ 35), ‘เห็นพระบุตร’ (ข้อ 40), ‘กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา’ (ข้อ 53 เป็นต้นไป) บรรยายการใช้ชีวิตในความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเยซู
- มั่นคงถาวร เราทุกคนล้วนต้องตาย ความตายเป็นความจริงที่ไม่มีใครอยากพูดถึง พระเยซูตรัสว่าชีวิตนี้ไม่ใช่จุดจบ ‘เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์... เราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย’ (ข้อ 51,54)
พระเยซูทรงสัญญาจะให้คุณเป็นขึ้นมาใหม่ในวันสุดท้ายและคุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป คุณสามารถมั่นใจได้เลยว่าความสัมพันธ์ของคุณกับพระเยซูจะอยู่ได้ยาวนานคงทนกว่าความตาย
ชีวิตนิรันดร์นี้มีทั้งมิติในปัจจุบันและอนาคต พวกเขากล่าวว่า ‘ขอโปรดให้อาหารนั้นแก่เราตลอดไปเถิด’ (ข้อ 34) พระเยซูตรัสว่าทรงสามารถรับประทานอาหารนั้นได้ทันที (ข้อ 35 เป็นต้นไป) ทว่าพระองค์ยังสำแดงเด่นชัดด้วยว่าสิ่งนี้จะคงอยู่เป็นนิตย์ (ข้อ 50–51)
- ให้อภัย การให้อภัยเป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราทุกคน นักปรัชญาที่ไม่เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่ง มาร์การิต้า ลาสกี กล่าวว่า ‘สิ่งที่ฉันอิจฉามากที่สุดเกี่ยวกับพวกคุณที่เป็นคริสเตียนคือการให้อภัย เพราะฉันไม่มีใครให้อภัยฉัน' เราทุกคนต้องการรู้ว่าเราได้รับการอภัยสำหรับทุกสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป
พระเยซูตรัสว่า ‘อาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา’ (ข้อ 51) พระโลหิตของพระองค์หลั่งมาเพื่อการอภัยบาป ทุกครั้งที่คุณได้รับศีลมหาสนิท คุณจะได้รับการย้ำเตือนให้ระลึกไว้เสมอว่าพระเยซูทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อคุณจะได้รับการอภัยที่สมบูรณ์
เราจะรับอาหารนี้ได้อย่างไร? พระเยซูตรัสว่า ‘เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต’ (ข้อ 47–48) ในขณะที่หนังสือพระกิตติคุณยอห์นไม่ได้มีการกล่าวถึงอย่างเจาะจงเกี่ยวกับการจัดตั้งพิธีศีลมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู แต่ในจุดนี้ เราจะได้พบว่าพระเยซูคริสต์ทรงสอนเรื่องการได้มีพิธีศีลมหาสนิทในแง่มุมของความเชื่อ
เหนือสิ่งอื่นใด ศีลมหาสนิทเป็นสัญลักษณ์ที่มองเห็นได้ที่ช่วยให้เรารับเอาพระคริสต์โดยความเชื่อ (ข้อ 53–58) เป็นการสำแดงและหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ที่พระเยซูต้องการมีกับคุณ อันเป็นบำเหน็จแห่งความรัก และสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาที่จะอยู่ในตัวคุณตลอดเวลา
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่โดยความเชื่อ ข้าพระองค์ได้พบวัตถุประสงค์ที่ยั่งยืนในชีวิต การให้อภัยบาป และพระสัญญาเรื่องชีวิตนิรันดร์ โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้เพื่อเดินในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และสนิทสนมกับพระองค์
ผู้วินิจฉัย 10:1-11:40
โทลาและยาอีร์
1หลังสมัยอาบีเมเลค มีคนขึ้นมาช่วยกู้อิสราเอลชื่อโทลา บุตรของปูวาห์ ผู้เป็นบุตรของโดโด คนอิสสาคาร์ และท่านอยู่ที่เมืองชามีร์ในแดนเทือกเขาเอฟราอิม 2ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 23 ปี แล้วท่านก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เมืองชามีร์
3หลังจากนั้น ยาอีร์คนกิเลอาดได้ขึ้นมาวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 22 ปี 4ท่านมีบุตร 30 คนผู้ขี่ลาหนุ่ม 30 ตัว และพวกเขามีเมือง 30 เมืองในแผ่นดินกิเลอาดซึ่งพวกเขาเรียกว่า ฮาวโวทยาอีร์แปลว่า ชนบทของยาอีร์ จนถึงทุกวันนี้ 5ยาอีร์ก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เมืองคาโมน
คนอัมโมนบีบบังคับคนอิสราเอล
6คนอิสราเอลก็ทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์อีก เขาทั้งหลายไปปรนนิบัติบรรดาพระบาอัลและพระอัชทาโรทพระของคนอารัม พระของไซดอน พระของโมอับ พระของคนอัมโมน พระของคนฟีลิสเตีย และเขาทั้งหลายละทิ้งพระยาห์เวห์เสีย ไม่ได้ปรนนิบัติพระองค์ 7และพระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และในมือของคนอัมโมน 8เขาทั้งหลายได้ข่มเหงและบีบบังคับคนอิสราเอลในปีนั้น พวกเขาได้บีบบังคับคนอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนในกิเลอาดในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ เป็นเวลา 18 ปี 9ทั้งคนอัมโมนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน ไปต่อสู้กับยูดาห์ เบนยามิน และพงศ์พันธุ์เอฟราอิม ดังนั้น อิสราเอลจึงทุกข์ร้อนยิ่งนัก
10และคนอิสราเอลร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ เพราะได้ทอดทิ้งพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ไปปรนนิบัติบรรดาพระบาอัล” 11แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับคนอิสราเอลว่า “เราได้ช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากคนอียิปต์ จากคนอาโมไรต์ จากคนอัมโมน และจากคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ? 12ทั้งคนไซดอน คนอามาเลข และคนมาโอนฉบับกรีกว่า คนมีเดียนได้บีบบังคับพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายได้ร้องทุกข์ถึงเรา และเราก็ได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นมือเขาทั้งหลาย 13แต่เจ้าทั้งหลายยังได้ละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระอื่นๆ ดังนั้นเราจะไม่ช่วยกู้เจ้าทั้งหลายอีกต่อไป 14จงไปร้องทูลต่อพระต่างๆ ซึ่งเจ้าทั้งหลายได้เลือกปรนนิบัตินั้นเถิด ให้พระเหล่านั้นช่วยกู้พวกเจ้าในยามทุกข์ยาก” 15และคนอิสราเอลทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปแล้ว ขอพระองค์ทรงทำแก่ข้าพระองค์ตามที่ทรงเห็นชอบ ข้าพระองค์ขอวิงวอนเพียงว่า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นภัยในวันนี้เถิด” 16ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเลิกถือพระต่างด้าวและมาปรนนิบัติพระยาห์เวห์ ส่วนพระองค์ร้อนพระทัยด้วยความทุกข์เข็ญของอิสราเอล
17คนอัมโมนถูกเรียกให้รบ พวกเขาตั้งค่ายในกิเลอาด ส่วนคนอิสราเอลก็มาชุมนุมกันตั้งค่ายอยู่ที่มิสปาห์ 18และประชาชน พวกผู้นำของคนกิเลอาดพูดกันว่า “ใครเป็นคนแรกที่เข้าต่อสู้กับคนอัมโมน? คนนั้นจะเป็นหัวหน้าของชาวกิเลอาดทั้งหมด”
ผู้วินิจฉัย 11
เยฟธาห์
1เยฟธาห์คนกิเลอาดเป็นนักรบผู้กล้าหาญ แต่ท่านเป็นบุตรของหญิงโสเภณี กิเลอาดเป็นบิดาของเยฟธาห์ 2ภรรยาของกิเลอาดมีบุตรชายหลายคน และเมื่อบุตรเหล่านั้นโตขึ้นแล้ว จึงขับไล่เยฟธาห์ออกไปโดยกล่าวว่า “เจ้าจะไม่มีส่วนในมรดกของพ่อเรา เพราะตัวเจ้าเป็นลูกของหญิงอื่น” 3เยฟธาห์จึงหนีจากพี่น้องของตนไปอยู่ในแผ่นดินโทบ พวกนักเลงก็สมทบกับเยฟธาห์ และไปกับท่าน
4ต่อมาภายหลังคนอัมโมนได้ทำสงครามกับคนอิสราเอล 5และเมื่อคนอัมโมนทำสงครามกับอิสราเอลนั้น พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดก็ไปรับเยฟธาห์จากแผ่นดินโทบ 6พวกเขากล่าวกับเยฟธาห์ว่า “จงมาเป็นหัวหน้าของเรา เพื่อเราจะต่อสู้กับคนอัมโมนได้” 7แต่เยฟธาห์กล่าวกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “พวกท่านเองไม่ใช่หรือที่เกลียดข้าพเจ้า และไล่ข้าพเจ้าออกจากบ้านบิดา? ทำไมตอนนี้ท่านจึงมาหาข้าพเจ้าเมื่อท่านตกยากเล่า?” 8พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดจึงกล่าวกับเยฟธาห์ว่า “เหตุที่เรากลับมาหาท่านเวลานี้ ก็เพื่อท่านจะไปกับเราและต่อสู้กับคนอัมโมน แล้วมาเป็นประมุขของเราชาวกิเลอาดทั้งหมด” 9เยฟธาห์จึงกล่าวกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “ถ้าพวกท่านให้ข้าพเจ้ากลับไปเพื่อต่อสู้กับคนอัมโมน และพระยาห์เวห์ทรงมอบพวกเขาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองจะเป็นประมุขของท่าน” 10พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดจึงกล่าวกับเยฟธาห์ว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานระหว่างเรา เราจะทำตามคำของท่านแน่” 11เยฟธาห์จึงไปกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาด และประชาชนก็ตั้งท่านให้เป็นประมุขและเป็นหัวหน้าเหนือพวกเขา แล้วเยฟธาห์ก็กล่าวคำที่ตกลงกันทั้งสิ้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ในเมืองมิสปาห์
12เยฟธาห์จึงส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์ของคนอัมโมนถามว่า “ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าพเจ้า ท่านจึงยกมารุกรานแผ่นดินของข้าพเจ้า” 13กษัตริย์ของคนอัมโมนตอบผู้สื่อสารของเยฟธาห์ว่า “เพราะเมื่ออิสราเอลออกมาจากอียิปต์ ได้ยึดดินแดนของเราไป ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงแม่น้ำยับบอก และแม่น้ำจอร์แดน บัดนี้ขอคืนดินแดนเหล่านั้นเสียโดยดี” 14และเยฟธาห์ก็ส่งผู้สื่อสารไปหากษัตริย์ของคนอัมโมนอีก 15ให้กล่าวว่า “เยฟธาห์กล่าวดังนี้ว่า อิสราเอลไม่ได้ยึดดินแดนของโมอับ หรือดินแดนของคนอัมโมน 16แต่เมื่อออกจากอียิปต์ อิสราเอลได้เดินไปทางถิ่นทุรกันดารถึงทะเลแดงแปลจากฉบับกรีก และมาถึงคาเดช 17อิสราเอลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์เอโดมกล่าวว่า ‘ขอให้พวกเรายกผ่านแผ่นดินของท่านไป’ แต่กษัตริย์เอโดมไม่ฟัง และพวกเขาได้ส่งคำขออย่างเดียวกันไปยังกษัตริย์โมอับด้วย แต่ท่านก็ไม่ยอม ดังนั้นอิสราเอลจึงอยู่ที่คาเดช 18แล้วพวกเขาก็เดินไปในถิ่นทุรกันดารอ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ และมาทางด้านตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำอารโนน แต่ไม่ได้เข้าไปในพรมแดนของโมอับ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ 19อิสราเอลจึงส่งผู้สื่อสารไปหาสิโหนกษัตริย์อาโมไรต์ กษัตริย์กรุงเฮชโบน อิสราเอลเรียนท่านว่า ‘ขอให้พวกเรายกผ่านแผ่นดินของท่านไปยังที่ของเรา’ 20แต่สิโหนไม่ไว้ใจอิสราเอลจึงไม่ให้พวกเขายกผ่านเขตแดนของตน ฉะนั้นสิโหนจึงได้ระดมพลทั้งสิ้นของท่าน ตั้งค่ายอยู่ที่ยาฮาส และสู้รบกับอิสราเอล 21แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลทรงมอบสิโหน และประชาชนทั้งหมดของท่านไว้ในมืออิสราเอล พวกเขาก็พ่ายแพ้ไป ดังนั้นอิสราเอลจึงยึดครองดินแดนทั้งสิ้นของคนอาโมไรต์ชาวแผ่นดินนั้น 22และพวกเขายึดเขตแดนทั้งหมดของคนอาโมไรต์ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงแม่น้ำยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารถึงแม่น้ำจอร์แดน 23บัดนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้ขับไล่คนอาโมไรต์ออกเสียต่อหน้าอิสราเอลประชากรของพระองค์ ส่วนท่านจะมาถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์อย่างนั้นหรือ? 24ท่านไม่ถือกรรมสิทธิ์สิ่งซึ่งพระเคโมชพระเจ้าของท่านมอบให้ท่านยึดครองหรือ? เช่นเดียวกัน ที่ใดที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรามอบให้เรา เราก็จะยึดครองที่นั้นด้วย 25และบัดนี้ท่านจะดีกว่าบาลาคบุตรสิปโปร์กษัตริย์โมอับหรือ? เขาเคยบาดหมางหรือเคยต่อสู้กับอิสราเอลหรือ? 26เมื่ออิสราเอลอาศัยในเมืองเฮชโบน เมืองอาโรเออร์และชนบทของเมืองนั้นๆ ตลอดจนอาศัยในเมืองทั้งสิ้นที่อยู่ตามฝั่งแม่น้ำอารโนนถึง 300 ปี ทำไมท่านไม่เอาคืนเสียในเวลานั้นเล่า? 27ฉะนั้นไม่ใช่ข้าพเจ้าเองที่ทำผิดต่อท่าน แต่ท่านกำลังทำผิดต่อข้าพเจ้าโดยทำสงครามกับข้าพเจ้า ขอพระยาห์เวห์ผู้ทรงเป็นตุลาการได้ตัดสินคดีระหว่างคนอิสราเอลกับคนอัมโมนในวันนี้” 28แต่กษัตริย์ของคนอัมโมนไม่ได้เชื่อฟังคำของเยฟธาห์ซึ่งท่านส่งไปให้
คำบนของเยฟธาห์
29แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็สถิตกับเยฟธาห์ ท่านจึงเดินผ่านกิเลอาดและมนัสเสห์และผ่านมิสปาห์แห่งกิเลอาด และจากมิสปาห์แห่งกิเลอาดท่านเดินผ่านไปยังคนอัมโมน 30และเยฟธาห์บนต่อพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าพระองค์ทรงมอบคนอัมโมนไว้ในมือของข้าพระองค์จริงๆ แล้ว 31คนใดที่ออกมาจากประตูบ้านของข้าพระองค์เพื่อต้อนรับข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์มีชัยกลับมาภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า เมื่อข้าพระองค์กลับมาโดยสวัสดิภาพจากคนอัมโมนนั้น คนนั้นจะเป็นของของพระยาห์เวห์ และข้าพระองค์จะถวายคนนั้นเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว” 32แล้วเยฟธาห์จึงยกข้ามไปต่อสู้กับคนอัมโมน และพระยาห์เวห์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่าน 33และท่านได้ประหารพวกเขาจากเมืองอาโรเออร์จนถึงที่ใกล้ๆ เมืองมินนิทรวม 20 เมือง และไกลไปจนถึงอาเบลเค-รามิม ผู้คนล้มตายมาก คนอัมโมนถูกปราบจนราบคาบต่อหน้าคนอิสราเอล
บุตรหญิงของเยฟธาห์
34แล้วเยฟธาห์ก็กลับมาบ้านที่มิสปาห์ นี่แน่ะ บุตรหญิงของท่านถือรำมะนาเต้นโลดออกมาต้อนรับท่าน เธอเป็นบุตรหญิงคนเดียว นอกจากบุตรหญิงคนนี้ท่านไม่มีบุตรชายและบุตรหญิงเลย 35และเมื่อท่านเห็นเธอแล้ว ท่านก็ฉีกเสื้อผ้าของท่าน กล่าวว่า “โอ ลูกเอ๋ย เจ้าทำให้พ่อแย่แล้ว เพราะเจ้าเป็นเหตุให้พ่อทุกข์มาก เพราะพ่อได้อ้าปากบนต่อพระยาห์เวห์ไว้ และจะคืนคำก็ไม่ได้” 36เธอจึงพูดกับบิดาว่า “คุณพ่อ เมื่อท่านอ้าปากบนต่อพระยาห์เวห์ไว้อย่างไร ขอให้ท่านทำกับลูกอย่างนั้นเถิด เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงแก้แค้นคนอัมโมนผู้เป็นศัตรูเพื่อท่านแล้ว” 37และเธอพูดกับบิดาของเธอว่า “ลูกขอสิ่งหนึ่งคือ ขอให้ลูกอยู่ตามลำพังสักสองเดือน ลูกจะได้ไปยังภูเขา ร้องไห้คร่ำครวญถึงความเป็นพรหมจารีของลูกร่วมกับเพื่อนๆ ของลูก” 38ท่านจึงตอบว่า “ไปเถิด” และท่านก็ปล่อยเธอไปสองเดือน เธอก็ออกไปกับเพื่อนๆ ของเธอแล้วร้องไห้คร่ำครวญถึงความเป็นพรหมจารีของเธอ 39อยู่มาเมื่อครบสองเดือนแล้ว เธอก็กลับมาหาบิดาของเธอ และท่านก็ทำกับเธอตามที่ได้บนไว้ เธอยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายใดเลย 40และก็เป็นธรรมเนียมในอิสราเอลที่บุตรหญิงของอิสราเอลจะไปร้องไห้ไว้ทุกข์ให้บุตรหญิงของเยฟธาห์คนกิเลอาดปีละสี่วัน
อรรถาธิบาย
ความเชื่อและความผิดพลาด
ขณะที่เราอ่านเรื่องราวที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องของผู้คนของพระเจ้าที่ทำบาป ได้ร้องทูลต่อพระเจ้าและได้รับการช่วยเหลือจากผู้วินิจฉัย เราได้พบเรื่องราวที่ปั่นป่วนที่สุดเรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์
เยฟธาห์ถูกพรรณนาว่าเป็น ‘นักรบผู้กล้าหาญ’ (11:1) มารดาของเขาเป็นโสเภณี (ข้อ 1) พี่น้องต่างมารดาขับไล่เขาออกไป (ข้อ 2) เขารวบรวมพวกนักเลงไปกับเขา (ข้อ 3) เขากลายเป็นผู้นำที่โดดเด่น พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา (ข้อ 29) และพระเจ้าใช้เขาเพื่อชัยชนะเหนือชาวอัมโมน ‘พระยาห์เวห์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่าน’ (ข้อ 32)
อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตของเขาที่เราแทบจะทนอ่านต่อไม่ไหว เขามอบคำปฏิญาณกับพระเจ้าว่าหากพระเจ้าประทานชัยชนะแก่เขา เขาจะถวายคนใดก็ตามที่ออกมาจากประตูบ้านเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขาเป็นเครื่องเผาบูชาทั้งตัว และนั้นก็คือลูกสาวของเขา อันเป็นบุตรสาวคนเดียวที่เขามี และดูเหมือนว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องทำ (ข้อ 29–40)
สิ่งสำคัญคือต้องบันทึกไว้เลยว่าพระเจ้าไม่เคยขอให้เขาทำตามคำปฏิญาณนี้ พระองค์ไม่ได้ขอให้เขาถวายเครื่องเผาบูชา อันที่จริง มันขัดกับคำสอนทั้งหมดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ซึ่งห้ามไม่ให้มีการถวายบุตรเป็นเครื่องเผาบูชา เยฟธาห์ไม่เคยแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าในสถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่าความเย่อหยิ่งของเขาเองที่ผลักดันให้เขาทำให้ชื่อเสียงของเขาอยู่เหนือชีวิตของลูกสาวตนเอง นี่แสดงให้เห็นความผิดพลาดของผู้เชื่อที่ยิ่งใหญ่
แม้ว่าเขาจะอ่อนแอ แต่ก็มีชื่ออยู่ในหนังสือฮีบรูว่าเป็นหนึ่งในนักรบแห่งความเชื่อซึ่งความอ่อนแอกลายเป็นกำลังที่เข้มแข็ง (ฮีบรู 11:32–34)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับวิธีที่พระองค์ใช้คนที่มีความเชื่อและเปลี่ยนความอ่อนแอของเราให้เป็นกำลังที่เข้มแข็ง โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ วางใจ และเชื่อมั่นว่าพระเยซูผู้ทรงเป็น ‘อาหารแห่งชีวิต’ (ยอห์น 6:35)
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ยอห์น 6:42
‘คนนี้คือเยซูลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก?’
ไม่สำคัญหรอกว่าภูมิหลังของเราเป็นอย่างไร หรือความคาดหวังของคนอื่นที่มีต่อเรา หรือแม้แต่การรับรู้ของตัวเราเองเป็นอย่างไร สิ่งที่สำคัญคือพระเจ้ามองเราเช่นไรต่างหาก ทุกคนมีความสวยงาม เป็นที่รัก และมีค่ามากกว่าที่เราเคยรู้
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)