วิธีพบสันติสุขในความทุกข์ยาก
เกริ่นนำ
เป็นเวลา 2,000 ปีที่สาวกของพระเยซูต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก การต่อต้าน และการข่มเหง ผมกับพิพพาเคยไปหลายแห่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คริสเตียนต้องเผชิญกับการกดขี่ข่มเหงทางร่างกาย ที่จริง…การข่มเหงคริสเตียนทั่วโลกในทุกวันนี้อาจเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์
ปัจจุบันเราไม่ได้เผชิญการกดขี่ข่มเหงทางกายแล้วในชาติตะวันตก อย่างไรก็ตาม ดังที่เราเห็นข้อความบางส่วนที่โผล่ออกมาจากผู้ที่มีเจตนาที่จะ ‘กำจัดความเชื่อ’ ชัดเจนว่าการรุกรานและความรุนแรงของการโจมตีอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ต่อต้านจะต้องมาแน่นอน บรรดาผู้ที่ปรารถนา ‘ดำเนินชีวิตตามทางพระเจ้าในพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหง’ (2 ทิโมธี 3:12) การต่อต้านมาจากผู้ที่อยู่ห่างไกลจากเรา (ชาวฟิลิสเตียในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมสำหรับวันนี้) และบางครั้งก็มาจากผู้ที่ใกล้ชิด (พวกฟาริสีในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่) คุณจะพบความสันติสุขในความทุกข์ยากได้อย่างไร?
สุภาษิต 12:18-27
18คำพูดพล่อยๆ เหมือนดาบแทง
แต่ลิ้นของคนมีปัญญานำการรักษามาให้
19ปากที่พูดจริงทนอยู่ได้เป็นนิตย์
แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว
20ความหลอกลวงอยู่ในใจของคนที่คิดการชั่ว
แต่คนที่แนะให้มีสันติภาพก็มีความยินดี
21ไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนชอบธรรม
แต่คนอธรรมเต็มไปด้วยความลำบาก
22พระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังปากที่พูดมุสา
แต่ทรงปีติยินดีในคนที่ประพฤติอย่างซื่อสัตย์
23คนสุขุมย่อมเก็บงำความรู้ไว้
แต่คนโง่ป่าวร้องความโง่ของตน
24มือของคนขยันจะครอบครอง
แต่คนเกียจคร้านจะถูกบังคับให้ทำงานหนัก
25ความกระวนกระวายในใจคนถ่วงเขาลง
แต่ถ้อยคำที่ดีทำให้เขายินดี
26คนชอบธรรมอยู่ในสภาพดีกว่าเพื่อนบ้านของตน
แต่ทางของคนอธรรมนำตัวเขาให้หลงเจิ่นไป
27คนเกียจคร้านจะไม่ได้ปิ้งอาหาร
แต่คนขยันจะได้ทรัพย์สมบัติล้ำค่า
อรรถาธิบาย
แนะให้มีสันติภาพ
ยาถอนพิษต่อการต่อต้านและความชั่วร้ายคือการดำเนินชีวิตในวิญญาณในตรงกันข้าม คือ เป็นผู้ที่ ‘แนะให้มีสันติภาพ’ ผู้เขียนเปรียบเทียบ ‘ความหลอกลวงอยู่ในใจของคนที่คิดการชั่ว’ (ข้อ 20ก) ‘คนที่แนะให้มีสันติภาพก็มีความยินดี’ (ข้อ 20ข) คุณสามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างไร?
1. นำการรักษา
แนะให้มีสันติภาพด้วยคำพูดของคุณ ‘คำพูดที่รุนแรงทำให้บาดเจ็บและพิการ แต่มีการรักษาในคำพูดของปราชญ์’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คำพูดมีพลังมาก คำพูดสามารถทำให้เจ็บลึกได้ แต่คำพูดก็สามารถรักษาได้เช่นกัน
2. จริงใจ
‘ปากที่พูดจริงทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว’ (ข้อ 19) คำพูดที่สัตย์จริงไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกความรู้สึกเท่านั้น แต่ยังเป็นคำพูดที่ส่งผลกระทบที่ยั่งยืนอีกด้วย คือ ‘ทนอยู่ได้เป็นนิตย์’ (ข้อ 19)
3. ยับยั้งชั่งใจ
'คนโง่อวดความโง่' (ข้อ 23ข) แต่ ‘คนหยั่งรู้ไม่สะดวกใจที่จะแสดงความรู้ของเขา’ (ข้อ 23ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ความรู้ก็เหมือนชุดชั้นใน การมีไว้มีประโยชน์ แต่ไม่จำเป็นต้องอวด! ความจริงที่ว่าคุณรู้คำตอบไม่ได้หมายความว่าคุณต้องตอบ ผมประทับใจเสมอกับการยับยั้งชั่งใจของเจ้าภาพ และผู้ช่วยของอัลฟ่าที่ทำสิ่งนี้ได้ดี
4. มีเมตตา
‘ความกระวนกระวายในใจคนถ่วงเขาลง’ (ข้อ 25ก) พระเจ้าต้องการให้คุณสนุกกับชีวิต ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่วิตกกังวล แต่พูดถ้อยคำที่ดีให้กำลังใจคนอื่น (ข้อ 25ข) ด้วยคำพูดที่ให้กำลังใจ คุณสามารถเปลี่ยนวันของคน ๆหนึ่งหรือแม้แต่ชีวิตของพวกเขาก็ได้
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เป็นผู้ที่แนะให้มีสันติภาพ และผู้ที่พูดคำแห่งการรักษา พูดด้วยความจริง มีความยับยั้งชั่งใจ และมีความเมตตา
ยอห์น 11:45-12:11
แผนการประหารพระเยซู
45ดังนั้นเมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระเยซูก็วางใจในพระองค์ 46แต่บางคนไปหาพวกฟาริสีเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงทำให้เขาฟัง 47ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า “เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? 48ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา” 49แต่คนหนึ่งในพวกเขาที่ชื่อคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น กล่าวกับพวกเขาว่า “พวกท่านช่างไม่เข้าใจอะไรเลย 50ไม่รู้หรือว่าเป็นการดีสำหรับพวกท่านที่จะมีคนหนึ่งตายเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” 51เขาไม่ได้กล่าวอย่างนั้นตามความคิดของเขาเอง แต่เพราะเหตุที่เขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น เขาจึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น 52และไม่ใช่แทนชาติยิวเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมลูกพระเจ้าที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว 53นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์
54เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จไปมาท่ามกลางพวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่เสด็จออกจากที่นั่นไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และประทับอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก
55ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว มีชาวชนบทจำนวนมากขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อชำระตัว 56เมื่อพวกเขาชุมนุมกันอยู่ในบริเวณพระวิหาร พวกเขาก็มองหาพระเยซูพูดกันว่า “คิดอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ?” 57พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็ออกคำสั่งว่า หากใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์
ยอห์น 12
การชโลมที่เบธานี
1ก่อนปัสกาหกวัน พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นจากตาย 2พวกเขาจัดงานเลี้ยงพระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 3มารีย์เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทพระเยซู และเอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น 4แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท (คนที่จะทรยศพระองค์) พูดว่า 5“ทำไมไม่เอาน้ำมันนั้นไปขายได้เงินสักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้กับคนจน?” 6เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย เขาถือกระเป๋าเก็บเงินและยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป 7พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามนางเลย ให้นางเก็บน้ำมันนี้ไว้จนถึงวันฝังศพของเรา 8เพราะว่ามีคนจนอยู่กับพวกท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ”
แผนการปองร้ายลาซารัส
9พวกยิวจำนวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่มาเพราะพระเยซูเท่านั้น แต่เพื่อจะเห็นลาซารัสคนที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นมาจากตายด้วย 10ดังนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงคิดจะฆ่าลาซารัสด้วย 11เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนแยกตัวไปและวางใจในพระเยซู
อรรถาธิบาย
ดำเนินชีวิตในสันติภาพ
พระเจ้าทรงเป็นองค์เจ้านาย พระองค์ใช้แม้กระทั่งสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเพื่อความดีที่สุดแล้ว เราเห็นสิ่งนี้บนไม้กางเขนคือแผนการที่เลวร้ายที่สุด เป็นการทรมาน และการสังหารพระบุตรผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นถูกใช้โดยพระเจ้า เพื่อนำความรอดมาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด
ในกรณีนี้ คุณสามารถดำเนินชีวิตในสันติภาพ โดยวางใจว่าพระเจ้าจะทรงใช้สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่คุณเผชิญในชีวิตเพื่อการดี (โรม 8:28)
พระเยซูทรงเผชิญแผนการชั่วร้าย แรงจูงใจดูเหมือนเป็นความอิจฉา (เป็นบาปที่ผู้เชื่อมักจะกระทำ) ผู้คนต่างอิจฉาพระเยซูเพราะว่าพระองค์มีผู้ติดตามจำนวนมากและดูเหมือนจะ ‘ประสบความสำเร็จ’ มากกว่าบรรดาผู้นำทางความเชื่อ ด้วยความอิจฉา พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมสภาแซนเฮดริน (ยอห์น 11:47ก)
สภาแซนเฮดรินเป็นศาลสูงสุดของชนชาติ ประกอบด้วยสมาชิกเจ็ดสิบเอ็ดคนรวมทั้งมหาปุโรหิต พวกหัวหน้าปุโรหิตเป็นส่วนใหญ่ และพวกฟาริสีเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีอิทธิพล พวกเขาถามว่า ‘เราจะทำอย่างไรกันดี’ (ข้อ 47ข) เป็นคำถามที่ดีมาก! พวกเขาอิจฉาความนิยมของพระเยซู และวางแผนที่จะฆ่าพระองค์ (ข้อ 53)
พวกเขาต้องการให้เกิดการร้าย แต่พระเจ้าทรงทำให้เป็นการดี คายาฟาส (ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตตั้งแต่ ค.ศ. 18–36) พยากรณ์ว่า ‘ไม่รู้หรือว่าเป็นการดีสำหรับพวกท่านที่จะมีคนหนึ่งตายเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ’ (ข้อ 50) พระเจ้าสามารถตรัสผ่านผู้ที่ไม่รู้ได้
ยอห์นให้ความเห็นว่า ‘คายาฟาสไม่ได้พูดสิ่งนี้ตามความยินยอมของเขาเอง แต่ในฐานะหัวหน้าปุโรหิตในปีนั้น เขาพยากรณ์โดยไม่รู้ตัวว่าพระเยซูกำลังจะสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาเพื่อประชาชาติ ไม่เพียงเพื่อประชาตินี้เท่านั้น แต่เพื่อบุตรที่กระจัดกระจายทั้งหมดของพระเจ้า ที่จะรวมเป็นหนึ่ง’ (ข้อ 51–52, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
บางทีอาจเป็นเพราะพระองค์รู้ถึงแผนการที่ต่อต้านพระองค์ ‘เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จไปมาท่ามกลางพวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่เสด็จออกจากที่นั่น....ประทับอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก’ (ข้อ 54) แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของการต่อต้านที่พระเยซูต้องเผชิญ
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการต่อต้านจากยูดาส เมื่อมารีย์เทน้ำมันลงที่พระบาทของพระเยซู ยูดาสคัดค้านว่า ‘ทำไมไม่เอาน้ำมันนั้นไปขายและมอบเงินให้คนยากจน? (มูลค่าเท่ากับค่าจ้างหนึ่งปี)’ (12:5) ดูเผิน ๆ นี่เป็นการคัดค้านที่ดี แต่เราได้อ่านต่อว่า ‘เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน’ (ข้อ 6)
พระเยซูต้องลำบากใจมากจนยูดาสที่เป็นดั่งสหายและสาวกของพระองค์ขโมยเงินการถวายให้พระเยซูและสาวกของพระองค์โดยผู้ให้ที่ใจกว้างขวาง (ลูกา 8:2–3)
พระเยซูเพียงตอบสนองต่อคำคัดค้านของยูดาสว่า ‘เพราะว่ามีคนจนอยู่กับพวกท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ’ (ยอห์น 12:8)
พระเยซูไม่ทรงสนับสนุนให้คนยากจนพอใจอย่างแน่นอน ความจริงที่ว่าเราจะไม่มีวันขจัดความยากจนในโลกนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรพยายาม ท้ายที่สุด ความเห็นอกเห็นใจต่อคนยากจนเป็นหัวใจสำคัญของพันธกิจของพระเยซู พระเยซูทรงหันความสนใจของเหล่าสาวกให้สนใจความสำคัญของสิ่งที่มารีย์ทำ
ขณะที่ทั้งหมดนี้กำลังดำเนินอยู่ แผนการต่อต้านพระเยซูกำลังก่อตัวขึ้น (ข้อ 9–11) ความอิจฉาอาจนำไปสู่การฆาตกรรม พวกเขาไม่เพียงแต่วางแผนที่จะฆ่าพระเยซูเท่านั้น (ข้อ 11:53) พวกเขายังวางแผนจะฆ่าลาซารัสด้วย เพราะเขากำลังนำผู้คนจำนวนมากไปสู่ความเชื่อ (ข้อ 12:10-11)
เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ที่เราเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าทำงานผ่านทุกสิ่ง แม้จะมีการต่อต้านและการกระทำผิด แผนการสุดท้ายของพระเจ้าก็ยังสำเร็จ สิ่งที่ฝ่ายต่อต้านของพระเยซูตั้งใจให้มีการร้าย แต่พระเจ้าใช้สิ่งนั้นให้เป็นการดี
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีเสีภาพ โดยรู้ว่าในทุกสิ่งที่พระองค์ทำก็เพื่อประโยชน์ของคนที่รักพระองค์
1 ซามูเอล 5:1-7:17
คนฟีลิสเตียกับหีบพันธสัญญา
1เมื่อพวกฟีลิสเตียยึดหีบของพระเจ้าไปนั้น พวกเขานำไปจากเอเบนเอเซอร์ถึงเมืองอัชโดด 2และพวกฟีลิสเตียก็นำหีบของพระเจ้าเข้าไปไว้ในโบสถ์ของพระดาโกน และวางไว้ข้างพระดาโกน 3และเมื่อชาวอัชโดดตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนได้ล้มหน้าคว่ำมายังพื้นดินตรงหน้าหีบของพระยาห์เวห์ พวกเขาจึงยกพระดาโกนขึ้นตั้งไว้ในที่เดิม 4แต่เมื่อพวกเขาตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น ดูสิ พระดาโกนก็ล้มหน้าคว่ำมายังพื้นดินตรงหน้าหีบของพระยาห์เวห์ เศียรของพระดาโกนและมือทั้งสองก็หักออกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่แต่ลำตัวพระดาโกน 5เพราะฉะนั้น พวกปุโรหิตของพระดาโกนและทุกคนที่เข้าไปในโบสถ์ของพระดาโกน จึงไม่เหยียบธรณีประตูโบสถ์พระดาโกนที่เมืองอัชโดด จนถึงทุกวันนี้
6พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์อยู่เหนือประชาชนอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทรงทำให้พวกเขาคร้ามกลัวและทรงเฆี่ยนพวกเขาด้วยฝี ทั้งที่เมืองอัชโดดและเขตชายแดนของเมืองนั้น 7และเมื่อชาวเมืองอัชโดดเห็นอย่างนั้น พวกเขากล่าวว่า “อย่าให้หีบของพระเจ้าของอิสราเอลอยู่กับเราเลย เพราะว่าพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือเราและเหนือพระดาโกนพระของเราอย่างหนัก” 8พวกเขาจึงใช้คนไปเรียกประชุมเจ้านายทั้งสิ้นของฟีลิสเตีย และกล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรดีกับหีบของพระเจ้าของอิสราเอล?” พวกเขาตอบว่า “ให้เรานำหีบของพระเจ้าของอิสราเอลย้ายไปที่เมืองกัท” เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงย้ายหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไป 9แต่เมื่อพวกเขาย้ายหีบไปเมืองนั้นแล้ว พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ต่อสู้เมืองนั้นทำให้เกิดความวุ่นวายยิ่งใหญ่นัก และทรงเฆี่ยนชาวเมืองนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือให้เกิดฝีขึ้นที่ตัวพวกเขา 10พวกเขาจึงส่งหีบของพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน และต่อมาเมื่อหีบของพระเจ้ามาถึงเมืองเอโครน ชาวเมืองเอโครนร้องว่า “พวกเขาย้ายหีบของพระเจ้าของอิสราเอลมาให้เรา เพื่อจะฆ่าเราและประชาชนของเราเสีย” 11พวกเขาจึงส่งคนไปเรียกประชุมเจ้านายทั้งหมดของพวกฟีลิสเตีย และกล่าวว่า “จงส่งหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปเสียให้หีบนั้นกลับไปยังที่เดิม เพื่อหีบนั้นจะไม่ได้ฆ่าเราหรือประชาชนของเราเสีย” เพราะว่ามีความวุ่นวายกลัวตายอยู่ทั้งเมือง พระหัตถ์ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่นอย่างหนักยิ่งนัก 12ชาวเมืองที่ไม่ตายก็เป็นฝี และเสียงร้องขอความช่วยเหลือของชาวเมืองนั้นก็ขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์
1 ซามูเอล 6
คนฟีลิสเตียคืนหีบพันธสัญญา
1หีบของพระยาห์เวห์อยู่ในดินแดนของพวกฟีลิสเตียเจ็ดเดือน 2พวกฟีลิสเตียก็เชิญพวกปุโรหิตและพวกโหรมา กล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรกับหีบของพระยาห์เวห์ดี? ขอบอกเราว่าจะส่งหีบไปยังที่เดิมกับอะไรดี” 3พวกเขาตอบว่า “ถ้าพวกท่านจะส่งหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไป ก็อย่าส่งไปเปล่า แต่พวกท่านต้องส่งกลับพร้อมด้วยเครื่องบูชาชดใช้บาป แล้วพวกท่านจะหายโรคและพวกท่านจะทราบว่าเหตุใดพระหัตถ์ของพระองค์จึงไม่หันไปเสียจากพวกท่าน” 4พวกเขากล่าวว่า “จัดอะไรเป็นเครื่องบูชาชดใช้บาปเล่า ที่เราต้องถวายให้พระองค์?” พวกเขาตอบว่า “ลูกฝีทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัวตามจำนวนเจ้านายของพวกฟีลิสเตีย เพราะว่าพวกท่านและพวกเจ้านายด้วยเป็นโรคอย่างเดียวกัน 5พวกท่านต้องทำรูปฝีและรูปหนูของพวกท่านซึ่งทำลายแผ่นดิน และพวกท่านจงถวายพระสิริแด่พระเจ้าของอิสราเอล บางทีพระองค์จะเบาพระหัตถ์ของพระองค์จากพวกท่าน ทั้งจากบรรดาพระและแผ่นดินของพวกท่าน 6ทำไมพวกท่านทำใจของพวกท่านให้แข็งกระด้าง อย่างเช่นชาวอียิปต์และฟาโรห์ได้ทำใจของพวกเขาให้แข็งกระด้าง? พระองค์จึงทรงต่อสู้พวกเขา พวกเขาต้องปล่อยประชาชนไปไม่ใช่หรือ? แล้วพวกเขาก็จากไป 7บัดนี้จงไปเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียมเข้ากับแม่โคคู่หนึ่งซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงเอาแม่โคคู่นี้มาเทียมเกวียนแล้วจงนำลูกๆ ของมันกลับไปบ้านเสียให้พ้นจากแม่โคคู่นี้ 8จงนำหีบของพระยาห์เวห์มาวางไว้บนเกวียน และวางเครื่องทองคำซึ่งพวกท่านส่งกลับถวายพระองค์เป็นเครื่องบูชาชดใช้บาปไว้ในกล่องข้างหีบ แล้วก็ปล่อยให้มันไป 9และคอยดู ถ้าไปตามทางถึงเขตแดนของมันเอง คือขึ้นไปทางเมืองเบธเชเมช พระองค์ก็เป็นผู้ทรงให้เกิดความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงนี้แก่พวกเรา ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พวกเราจะได้ทราบว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงเฆี่ยนตีพวกเรา เป็นสิ่งที่บังเอิญเกิดขึ้นแก่พวกเราเอง”
10คนเหล่านั้นก็ทำตาม นำเอาแม่โคคู่หนึ่งเทียมเข้ากับเกวียน แล้วขังลูกๆ ของมันไว้ที่บ้าน 11และพวกเขาก็วางหีบแห่งพระยาห์เวห์ไว้บนเกวียนพร้อมกับกล่องหนูทองคำและรูปฝีของพวกเขา 12แม่โคทั้งสองก็เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และบรรดาเจ้านายของพวกฟีลิสเตียก็ตามมันไปจนถึงเขตแดนเมืองเบธเชเมช 13ส่วนชาวเมืองเบธเชเมชกำลังเกี่ยวข้าวสาลีอยู่ที่หุบเขา และเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นหีบ พวกเขาก็ชื่นชมยินดีที่ได้เห็น 14เกวียนนั้นได้เข้ามาในนาของโยชูวาชาวเบธเชเมชและหยุดอยู่ที่นั่น มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาจึงผ่าไม้เกวียน และเอาแม่โคเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวถวายแด่พระยาห์เวห์ 15และคนเลวีก็เชิญหีบพระยาห์เวห์ลง พร้อมกับกล่องที่มีเครื่องทองคำวางไว้บนก้อนหินใหญ่นั้น และชาวเบธเชเมชก็ขึ้นมาถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ในวันนั้น 16และเมื่อเจ้านายทั้งห้าของพวกฟีลิสเตียเห็นแล้ว เขาก็กลับไปเมืองเอโครนในวันนั้น
17ต่อไปนี้ เป็นรูปฝีทองคำซึ่งพวกฟีลิสเตียส่งกลับเป็นเครื่องบูชาชดใช้บาปแด่พระยาห์เวห์ รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชโดด เมืองกาซารูปหนึ่ง เมืองอัชเคโลนรูปหนึ่ง เมืองกัทรูปหนึ่ง เมืองเอโครนรูปหนึ่ง 18รูปหนูทองคำก็เช่นเดียวกัน ตามจำนวนเมืองทั้งหมดของฟีลิสเตียที่เป็นเมืองของเจ้านายทั้งห้า คือเมืองที่มีป้อมปราการ และหมู่บ้านที่ไม่มีกำแพงเมือง หินก้อนใหญ่ซึ่งเขาวางหีบของพระยาห์เวห์ไว้นั้นก็ยังเป็นพยานอยู่จนทุกวันนี้ที่ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช
หีบของพระเจ้าที่คีริยาทเยอาริม
19พระองค์ทรงประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าพวกเขามองข้างในหีบของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงประหารเสีย 70 คนฉบับกรีกว่า พวกบุตรของเยโคนิยาห์ไม่ยินดีกับชาวเบธเชเมชเมื่อเขาเห็นหีบของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงประหารพวกเขา 70 คนและ 50,000 คนสำเนาโบราณหลายฉบับไม่มีคำว่า 50,000 คน และประชาชนก็ไว้ทุกข์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงประหารประชาชนเสียเป็นอันมาก 20แล้วชาวเบธเชเมชจึงกล่าวว่า “ใครจะสามารถยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้บริสุทธิ์องค์นี้ได้? พระองค์จะเสด็จจากเราไปหาใครดี?” 21ดังนั้นเขาจึงส่งพวกผู้สื่อสารไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริมกล่าวว่า “พวกฟีลิสเตียได้คืนหีบของพระยาห์เวห์มาแล้ว ขอลงมาเชิญหีบขึ้นไปอยู่กับพวกท่านเถิด”
1 ซามูเอล 7
1ชาวคีริยาทเยอาริมได้มาเชิญหีบของพระยาห์เวห์ขึ้นไปถึงบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และพวกเขาก็ชำระเอเลอาซาร์บุตรของเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อให้ดูแลหีบของพระยาห์เวห์
2นับแต่วันที่หีบนั้นอยู่ที่คีริยาทเยอาริมก็เป็นเวลาช้านานถึง 20 ปี และบรรดาพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นก็คร่ำครวญถึงพระยาห์เวห์
ซามูเอลวินิจฉัยคนอิสราเอล
3แล้วซามูเอลพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นว่า “ถ้าพวกท่านจะกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน จงทิ้งพวกพระต่างด้าวและพระอัชทาโรทเสียจากท่ามกลางพวกท่าน และปักใจของพวกท่านตรงต่อพระยาห์เวห์และปรนนิบัติพระองค์เท่านั้น พระองค์จะทรงช่วยกู้พวกท่านให้พ้นจากมือของพวกฟีลิสเตีย” 4คนอิสราเอลจึงทิ้งพระบาอัลและพระอัชทาโรท และเขาทั้งหลายปรนนิบัติแต่พระยาห์เวห์เท่านั้น
5แล้วซามูเอลพูดว่า “จงประชุมคนอิสราเอลทั้งสิ้นที่เมืองมิสปาห์ และข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อท่าน” 6พวกเขาจึงประชุมกันที่มิสปาห์ และตักน้ำมาเทออกเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และอดอาหารในวันนั้น และพูดที่นั่นว่า “พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์” และซามูเอลก็วินิจฉัยคนอิสราเอลที่เมืองมิสปาห์ 7เมื่อพวกฟีลิสเตียได้ยินว่าคนอิสราเอลประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ พวกเจ้านายของฟีลิสเตียก็ยกขึ้นไปต่อสู้กับอิสราเอล เมื่อคนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้นก็กลัวพวกฟีลิสเตีย 8คนอิสราเอลพูดต่อซามูเอลว่า “อย่าหยุดร้องทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราเพื่อพวกเรา เพื่อขอพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของพวกฟีลิสเตีย” 9ซามูเอลก็เอาลูกแกะอ่อนที่ยังกินนมอยู่ตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ และซามูเอลร้องทูลต่อพระยาห์เวห์เพื่ออิสราเอล และพระยาห์เวห์ทรงตอบท่าน 10ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวอยู่นั้น พวกฟีลิสเตียก็เข้ามาใกล้เพื่อสู้รบกับอิสราเอล แต่พระยาห์เวห์ทรงให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนัก ในวันนั้นพระองค์ทรงสู้กับพวกฟีลิสเตีย ทรงทำให้พวกฟีลิสเตียสับสนอลหม่าน ต่อหน้าอิสราเอล 11พวกผู้ชายของอิสราเอลก็ออกจากมิสปาห์ไล่กวดพวกฟีลิสเตียและฆ่าฟันพวกเขาไปทางใต้ถึงเมืองเบธคาร์
12แล้วซามูเอลก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้ระหว่างเมืองมิสปาห์และเมืองเชน ให้ชื่อศิลานั้นว่า เอเบนเอเซอร์แปลว่า ศิลาแห่งการอุปถัมภ์ เพราะท่านพูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้” 13ดังนั้นพวกฟีลิสเตียจึงพ่ายแพ้ไม่เข้ามาในเขตแดนของอิสราเอลอีก และพระหัตถ์แห่งพระยาห์เวห์ต่อสู้พวกฟีลิสเตียตลอดชีวิตของซามูเอล 14บรรดาเมืองที่พวกฟีลิสเตียยึดไปจากอิสราเอลนั้น ก็ได้กลับคืนสู่อิสราเอล ตั้งแต่เมืองเอโครนถึงเมืองกัท และอิสราเอลยึดแถบชายแดนคืนมาจากมือของพวกฟีลิสเตีย ครั้งนั้นมีสันติภาพระหว่างอิสราเอลและคนอาโมไรต์ด้วย
15ซามูเอลวินิจฉัยคนอิสราเอลตลอดชีวิตของท่าน 16และท่านก็วนไปรอบทุกปีเป็นประจำถึงเมืองเบธเอล กิลกาลและมิสปาห์ และท่านก็วินิจฉัยคนอิสราเอลในบรรดาเมืองเหล่านั้น 17แล้วท่านกลับมาที่เมืองรามาห์ เพราะว่าบ้านของท่านอยู่ที่นั่น ท่านวินิจฉัยอิสราเอลที่นั่นด้วย ท่านสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น
อรรถาธิบาย
อธิษฐานเพื่อเสรีภาพ
พระเจ้าไม่เคยลืมคำอธิษฐานของคุณแม้แต่คำเดียว แม้ว่าคุณอาจจะลืมก็ตาม สิ่งต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นกับคุณในวันนี้ อาจเป็นคำอธิษฐานที่คุณอธิษฐานเมื่อหลายปีก่อนและคุณอาจลืมไปหมดแล้ว แต่พระเจ้ายังคงทำงานในเวลาของพระองค์ จงเก็บสะสมคำอธิษฐาน การมุ่งมั่นอธิษฐานจะเกิดผลดี
ภายใต้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หีบพันธสัญญาของพระเจ้าเป็นที่ที่พระเจ้าประทับอยู่อย่างสูงสุด และเป็นที่ตั้งของพระสิริของพระเจ้า เมื่อวานนี้เราได้อ่าน ‘พระสิริพรากจากอิสราเอลแล้ว เพราะหีบของพระเจ้าถูกยึดไป’ (ข้อ 4:22)
บางครั้งคุณอาจต้องรอเป็นเวลานานกว่าที่พระเจ้าจะทรงกระทำและตอบคำอธิษฐานของคุณ ‘เป็นเวลาช้านานถึง 20 ปี และบรรดาพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นก็คร่ำครวญถึงพระยาห์เวห์’ (ข้อ 7:2) ผมรู้สึกว่าเราอธิษฐานมานานแล้วถ้าเราอธิษฐานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่พวกเขาอธิษฐานเป็นเวลายี่สิบปีเพื่อประเทศของพวกเขาก่อนที่พระเจ้าจะทรงตอบ
เส้นทางสู่การปลดปล่อยมักเริ่มต้นเมื่อเรากลับมาหาพระเจ้าด้วยสุดใจของเรา ซามูเอลกล่าวว่า ‘“ถ้าท่านจริงจังในการกลับมาหาพระเจ้า จงทำความสะอาดบ้าน ขจัดพระต่างด้าวและเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ จงตั้งมั่นในพระเจ้า นมัสการพระองค์และพระองค์เพียงผู้เดียว แล้วพระองค์จะช่วยท่านให้พ้นจากการกดขี่ของชาวฟิลิสเตีย” พวกเขาทำมัน พวกเขากำจัดเทพเจ้าและเทพธิดา รูปเคารพของพระบาอัลและอัชโทเรธ และให้ความสนใจและรับใช้พระเจ้าเป็นพิเศษ’ (ข้อ 7:3–4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
สิ่งแรกที่คุณต้องทำในชีวิตของคุณเมื่อคุณกำลังแสวงหาการทรงสถิตและความช่วยเหลือจากพระเจ้าคือ นำทุกสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจของคุณออกไปจากพระเจ้า
หลังจากการกลับมาหาพระเจ้า มีความจำเป็นต้องสารภาพผิดและการกลับใจเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นโดยการ ‘อดอาหารในวันนั้น และพูดที่นั่นว่า “พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์”’ (ข้อ 6)
ในที่สุด ซามูเอลก็อธิษฐานวิงวอนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายี่สิบปีซึ่งทำให้คนของพระเจ้าได้รับชัยชนะ ซามูเอลกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อท่าน’ (ข้อ 5) พวกเขากล่าวว่า 'จงอธิษฐานด้วยสุดกำลังของท่าน! และอย่ายอมแพ้! อธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าของเรา ว่าพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากรองเท้าของชาวฟีลิสเตีย (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ซามูเอลร้องทูลต่อพระยาห์เวห์เพื่ออิสราเอล และพระยาห์เวห์ทรงตอบท่าน’ (ข้อ 9)
พวกเขารู้ว่านี่เป็นคำตอบที่น่าอัศจรรย์ของการอธิษฐาน ‘พระยาห์เวห์ทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้’ (ข้อ 12) พวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากอำนาจของชาวฟีลิสเตียและมีเสรีภาพในแผ่นดิน (ข้อ 13)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอสัญญากับพระองค์อีกครั้งเพื่อรับใช้พระองค์เท่านั้น ยกโทษบาปของข้าพระองค์และบาปของประชากรของพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลขอความรอดและสันติสุขจากพระองค์ ขอให้พวกข้าพระองค์เห็นผู้คนมากมายในแผ่นดินนี้เชื่อในพระเยซู พบสันติสุขในความทุกข์ยาก
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 ซามูเอล 5:4
‘แต่เมื่อพวกเขาตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น ดูสิ พระดาโกนก็ล้มหน้าคว่ำมายังพื้นดินตรงหน้าหีบของพระยาห์เวห์ เศียรของพระดาโกนและมือทั้งสองก็หักออกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่แต่ลำตัวพระดาโกน’
เมื่อมีการทรงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใด ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็ถูกปลดปล่อย และรูปเคารพปลอมก็ถูกทุบลงบนพื้น
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)