วัน 15

พระเจ้าทรงเที่ยงธรรมและเปี่ยมด้วยเมตตา

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 9:13-20
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 12:1-21
พันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 31:1-55

เกริ่นนำ

พาดหัวข่าวของสื่อต่าง ๆ มักแสดงความไม่พอใจต่อผู้พิพากษาที่ ‘อ่อนข้อให้อาชญากรรม’ และไม่ได้กำหนดบทลงโทษที่เหมาะสมสำหรับความผิด

ตอนที่ฉันทำงานเป็นทนายความ ฉันสังเกตเห็นว่านักกฎหมายมักจะไม่เคารพผู้พิพากษาที่ผ่อนปรนมากเกินไป พวกเราคาดหวังให้ผู้พิพากษาตัดสินอย่างยุติธรรม เราไม่ได้อยากให้พวกเขาเพียงแค่เมตตา

ในทางกลับกัน เราคาดหวังความเมตตาในเรื่องความสัมพันธ์ เราคาดหวังว่าพ่อแม่จะรักและเมตตาต่อลูก ๆ เราคาดหวังว่าเพื่อน ๆ จะเมตตาต่อกัน ซึ่งปกติแล้วเรามักจะมองว่าความยุติธรรม และความเมตตาเป็นคนละเรื่องกัน เราคาดหวังทั้งความยุติธรรมหรือไม่ก็ความเมตตา แต่ไม่ใช่ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาด้วยความยุติธรรมและยังเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตาในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงรวมสองลักษณะที่ขัดแย้งกันได้อย่างไร? คำตอบก็คือเพราะการเสียสละของพระเยซูทำให้พระเจ้าสามารถรวมความยุติธรรมและความเมตตาเข้าด้วยกัน

ตัวอย่างต่อไปนี้จะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อฉันและคุณบนไม้กางเขนมากขึ้น มีชายสองคนเรียนโรงเรียนเดียวกัน และต่อมาก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันอีก พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แต่หลังเรียนจบพวกเขาก็แยกย้ายกันไปและขาดการติดต่อกัน ชายคนหนึ่งกลายเป็นผู้พิพากษา ในขณะที่ชายอีกคนชีวิตหักเหไปเป็นอาชญากร วันหนึ่งชายคนที่เป็นอาชญากรปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ผู้พิพากษา เขาได้สารภาพผิดว่าเขาได้ก่ออาชญากรรม ผู้พิพากษาจำเพื่อนเก่าของเขาได้ และต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกับที่พระเจ้าเผชิญอยู่

เมื่อเขาเป็นผู้พิพากษา เขาต้องดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม เขาไม่สามารถปล่อยชายคนนั้นไปได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องการแสดงความเมตตาเพราะเขารักเพื่อนของเขา ดังนั้นผู้พิพากษาจึงสั่งปรับชายคนนั้นตามโทษที่เขาควรได้รับ นั่นคือความยุติธรรม จากนั้นเขาก็ลงจากแท่นผู้พิพากษาและเขียนเช็คจ่ายค่าปรับให้เพื่อนของเขา บอกว่าเขาจะชดใช้ความผิดให้เอง นั่นเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยความเมตตา ความรัก และความเสียสละ

แต่ตัวอย่างไม่ได้มีแค่นั้น เพราะเมื่อความผิดของเราหนักหนาสาหัสมากขึ้น โทษที่เราได้รับคือความตาย แต่เพราะความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงรักเรามากกว่าพ่อแม่ทางโลกที่รักลูกของตน พระองค์จึงยอมจ่ายราคาในสิ่งที่มากกว่าเงิน พระองค์จึงเสด็จลงมาบนโลกมนุษย์เองในฐานะของพระเยซูเพื่อรับโทษบาป

พระเจ้าไม่ได้อ่อนข้อต่อความผิดที่เราทำ พระองค์ทรงพิพากษาเราเมื่อเรามีความผิดอย่างยุติธรรม แต่ด้วยความเมตตาและความรักของพระองค์ พระองค์จึงทรงลงมาในฐานะพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า เพื่อชดใช้โทษแทนเรา ผ่านการเสียสละของพระเยซูบนไม้กางเขน พระเจ้าทรงยุติธรรมและเมตตา

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 9:13-20

13ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงพระกรุณาและทอดพระเนตรความทุกข์
  ซึ่งข้าพระองค์ได้รับจากคนที่เกลียดชัง
 พระองค์คือผู้ฉุดข้าพระองค์ขึ้นจากประตูเมืองแห่งความตาย
14เพื่อข้าพระองค์จะกล่าวคำสรรเสริญทั้งสิ้นแด่พระองค์ที่ประตูเมืองแห่งธิดาศิโยน
 และจะเปรมปรีดิ์ในการช่วยกู้ของพระองค์
15บรรดาประชาชาติได้จมลงในหลุมที่ตนขุดไว้
 และเท้าของเขาติดตาข่ายซึ่งเขาเองซ่อนดักไว้
16พระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระองค์ให้เป็นที่รู้จัก เมื่อทรงพิพากษา
 คนอธรรมติดกับดักด้วยการงานจากน้ำมือของเขาเอง

17คนอธรรมจะหันไปสู่แดนคนตาย
 คือ ประชาชาติทั้งสิ้นที่ลืมพระเจ้า
18เพราะพระองค์จะไม่ทรงละลืมคนขัดสนเสมอไป
 และความหวังของคนยากจนจะไม่สูญสิ้นไปเป็นนิตย์
19ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงลุกขึ้น อย่าให้มนุษย์มีชัยได้
 แต่ให้บรรดาประชาชาติถูกพิพากษาเฉพาะพระพักตร์พระองค์
20ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงทำให้พวกเขาเกรงกลัว
 และให้บรรดาประชาชาติทราบว่า พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์

อรรถาธิบาย

พึ่งพาความยุติธรรมของพระเจ้า

ดาวิดรู้ดีว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ‘พระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระองค์ให้เป็นที่รู้จัก เมื่อทรงพิพากษา’ (ข้อ 16) นอกจากนี้เขายังร้องขอความเมตตาจากพระเจ้า ‘ขอทรงพระกรุณา...เพื่อข้าพระองค์จะกล่าวคำสรรเสริญ’ (ข้อ 13–14)

ในบทสดุดีนี้ดาวิดปรารถนาทั้งความยุติธรรมและความเมตตา เขาอธิษฐานให้พระเจ้าทรงเมตตาเขา โดยการพิพากษาลงโทษศัตรูของเขา ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงลุกขึ้นอย่าให้มนุษย์มีชัยได้ แต่ให้บรรดาประชาชาติถูกพิพากษาเฉพาะพระพักตร์พระองค์’ (ข้อ 19)

บางครั้งเรานึกถึงความยุติธรรมในแง่ลบ เพราะมองที่การลงโทษเป็นหลัก แต่ความยุติธรรมก็มีแง่บวกอย่างลึกซึ้งเช่นกัน ในภาษาฮีบรูคำว่าเพื่อความยุติธรรม (มิชปัต) มีความหมายถึงการวางสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเพราะความยุติธรรมของพระเจ้าที่ทำให้ดาวิดมั่นใจได้ว่า ‘เพราะพระองค์จะไม่ทรงละลืมคนขัดสนเสมอไปและความหวังของคนยากจนจะไม่สูญสิ้นไปเป็นนิตย์’ (ข้อ 18)

คำอธิษฐาน

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ขอบคุณที่พระองค์ทรงมอบความยุติธรรมให้กับ ทุกคนที่เผชิญกับความอยุติธรรมในโลกของเราวันนี้

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 12:1-21

สาวกเด็ดรวงข้าวในวันสะบาโต

 1ในเวลานั้น พระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโตเป็นวันหยุดพักและนมัสการพระเจ้า ตั้งขึ้นตามธรรมบัญญัติ และบรรดาสาวกของพระองค์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว 2เมื่อพวกฟาริสีเห็นเข้า จึงทูลพระองค์ว่า “ดูซิ พวกสาวกของท่านทำสิ่งที่ต้องห้ามในวันสะบาโต” 3พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านเรื่องที่ดาวิดได้ทำเมื่อท่านและพรรคพวกหิวหรือ? 4ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า รับประทานขนมปังเฉพาะพระพักตร์ ซึ่งท่านหรือพรรคพวกไม่มีสิทธิ์จะรับประทาน เป็นสิทธิ์ของพวกปุโรหิตเท่านั้น 5พวกท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือ? ที่ว่าพวกปุโรหิตในพระวิหารย่อมละเมิดกฎวันสะบาโตแต่ไม่มีความผิด 6แต่เราบอกท่านว่าที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ 7ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด 8เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต”

ชายที่มือข้างหนึ่งลีบ

 9แล้วพระองค์เสด็จไปจากที่นั่น และทรงเข้าไปในธรรมศาลาของพวกเขา 10ที่นั่นมีคนหนึ่งที่มือข้างหนึ่งลีบ คนทั้งหลายถามพระองค์ว่า “การรักษาโรคในวันสะบาโตนั้นต้องห้ามหรือไม่?” เพื่อเขาทั้งหลายจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้ 11พระองค์จึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “ถ้าใครในพวกท่านมีแกะตัวหนึ่ง และแกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต คนนั้นก็จะฉุดลากแกะตัวนั้นขึ้นมาไม่ใช่หรือ? 12มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงอนุญาตให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต” 13แล้วพระองค์ตรัสกับคนมือลีบนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือนั้นก็หายเป็นปกติเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง 14พวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้

ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก

 15แต่พระเยซูทรงทราบ จึงเสด็จออกไปจากที่นั่น และมหาชนเดินตามพระองค์ไป พระองค์ก็ทรงรักษาเขาทั้งหลายให้หายโรคทุกคน 16แล้วพระองค์ทรงกำชับพวกเขาไม่ให้แพร่งพรายว่า พระองค์คือใคร 17ทั้งนี้เพื่อจะให้เป็นไปตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ ว่า

18 “นี่แน่ะ ผู้รับใช้ของเราซึ่งเราเลือกสรรไว้
 ที่รักของเรา ผู้ซึ่งเราโปรดปราน
เราจะให้วิญญาณของเราอยู่กับท่าน
 ท่านจะประกาศความยุติธรรมกับบรรดาประชาชาติ
19 ท่านจะไม่ทะเลาะวิวาทและไม่ร้องเสียงดัง
 ไม่มีใครจะได้ยินเสียงของท่านตามถนน
20 ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก
 ไส้ตะเกียงเป็นควันจวนดับแล้วท่านจะไม่ดับ
 จนกว่าท่านจะนำความยุติธรรมสู่ชัยชนะ
21 และบรรดาประชาชาติจะฝากความหวังไว้กับท่าน”

อรรถาธิบาย

รับความเมตตาจากพระเยซู

บางครั้งเราส่งพัสดุที่มีคำว่า ‘สินค้าแตกหักง่าย ขนย้ายด้วยความระมัดระวัง’ แปะอยู่ คุณเคยรู้สึกว่าอยากมีสติ๊กเกอร์แบบนี้ติดบนตัวคุณหรือไม่? พระเยซูอยู่ที่นั่นเพื่อคุณเมื่อคุณรู้สึกแบบนั้น

พระเยซูทรงปฏิเสธกฎของพวกฟาริสีอย่างสิ้นเชิง (ข้อ 1–12) โดยอ้างถึงและปฏิบัติตามคำพยากรณ์ของโฮเชยาที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ (มัทธิว 12:7 โฮเชยา 6:6) ความยุติธรรมและกฎหมายนั้นไม่เหมือนกัน อันที่จริงแล้วมันอาจจะเป็นสิ่งตรงกันข้ามกันได้ พระเยซูทรงทำลายกฎของฟาริสีโดยการรักษาชายคนหนึ่งในวันสะบาโตด้วยความเมตตาและความรักอย่างยิ่ง (มัทธิว 12:13–14)

พระเยซูทรงรวมเอาความยุติธรรมและความเมตตาเข้าไว้ด้วยกัน พระองค์ทำตามสัญญาทั้งหมดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับพระเจ้าที่ทรงนำความยุติธรรมมาสู่ประชาชาติ มัทธิวอ้างถึงคำพยากรณ์ของอิสยาห์ (อิสยาห์ 42:1–4) ที่พระเยซูทรงทำให้สำเร็จ (มัทธิว 12:18–21) ‘ท่านจะประกาศความยุติธรรมกับบรรดาประชาชาติ’ (ข้อ 18ค) และนำ ‘ความยุติธรรมสู่ชัยชนะ’ (ข้อ 20ค)

แต่พระองค์ยังเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและความรัก ‘ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก ไส้ตะเกียงเป็นควันจวนดับแล้วท่านจะไม่ดับ’ (ข้อ 20) มีหลายครั้งในชีวิตที่เรามีความเปราะบาง ทั้งทางร่างกายอารมณ์หรือจิตวิญญาณเช่น ‘ต้นอ้อช้ำ’ หรือ ‘ไส้ตะเกียงที่ใกล้ดับ’

พระเยซูยังคงแสดงความรักและความเมตตาต่อเราเมื่อเราอ่อนแอและเปราะบาง เมื่อคุณเปราะบางพระเยซูจะทรงดูแลคุณด้วยความระมัดระวัง

พระเยซูกำลังอ้างถึง ‘เพลงผู้รับใช้’ เพลงหนึ่งจากอิสยาห์ 40–55 เพลงเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ซึ่งจะสละชีวิตเพื่อนำมาซึ่งการอภัยบาป (อิสยาห์ 52:13–53:12)

ในเพลง ‘ผู้รับใช้’ ความเมตตาและความยุติธรรมของพระเจ้ามารวมกัน ความอยุติธรรมและการกดขี่ก็สิ้นสุดลง ผู้ที่ขัดสนและแตกสลายจะเป็นอิสระ เพราะพระเจ้าเองเป็นผู้เสียสละรับโทษและผลของบาปเพื่อเรา แทนที่จะถูกทำลายโดยความยุติธรรมของพระเจ้าคุณจะเป็นอิสระจากความผิดบาป ได้พบไม้กางเขนความยุติธรรมและความเมตตาจากพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ขอบคุณพระเยซูที่ลงมาในฐานะผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ ขอบคุณที่ทำให้ความยุติธรรมและความเมตตามารวมกันผ่านการเสียสละของพระองค์บนไม้กางเขน

พันธสัญญาเดิม

ปฐมกาล 31:1-55

ยาโคบหนีไปพร้อมครอบครัวและฝูงสัตว์

 1ยาโคบได้ยินบรรดาบุตรชายของลาบันพูดว่า “ยาโคบแย่งทุกอย่างที่เป็นของพ่อเรา เขาได้ความร่ำรวยทั้งหมดนี้จากสิ่งที่เป็นของพ่อเรา” 2ยาโคบสังเกตดูลาบัน เห็นว่าลาบันไม่ดีต่อท่านเหมือนแต่ก่อน 3พระยาห์เวห์ตรัสกับยาโคบว่า “จงกลับไปยังดินแดนบิดาและญาติพี่น้องของเจ้าเถิด เราจะอยู่กับเจ้า” 4ยาโคบก็ให้คนไปเรียกราเชลและเลอาห์ให้มาที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์ 5แล้วบอกนางทั้งสองว่า “ฉันเห็นว่าบิดาเจ้าไม่ดีต่อฉันเหมือนแต่ก่อน แต่พระเจ้าของบิดาฉันทรงอยู่กับฉัน 6เจ้าทั้งสองรู้แล้วว่า ฉันรับใช้บิดาของเจ้าด้วยเต็มกำลัง 7บิดาของเจ้ายังบิดพลิ้วต่อฉัน และเปลี่ยนค่าจ้างของฉันเสียสิบครั้งแล้ว แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงให้เขาทำร้ายฉัน 8ถ้าบิดาบอกว่า ‘สัตว์ที่ด่างเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกด่าง และถ้าเขาบอกว่า ‘สัตว์ตัวที่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า’ สัตว์ทุกตัวก็มีลูกลายหมด 9ดังนี้แหละพระเจ้าจึงทรงยกฝูงปศุสัตว์ของบิดาเจ้าประทานให้แก่ฉัน 10เมื่อมาในฤดูที่สัตว์เหล่านั้นอยากติดสัด ฉันแหงนหน้าขึ้นดู ก็เห็นในความฝันว่า พวกแพะผู้ที่ผสมพันธุ์กับฝูงสัตว์นั้นเป็นแพะลาย แพะด่าง และแพะมีจุด 11ในความฝันนั้นทูตของพระเจ้าเรียกฉันว่า ‘ยาโคบ’ ฉันตอบว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่’ 12ท่านบอกว่า ‘เงยหน้าขึ้นดู แพะผู้ทั้งหมดที่ผสมพันธุ์กับฝูงสัตว์นั้น เป็นพวกตัวลาย ตัวด่างและตัวมีจุด เพราะเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันทำกับเจ้า 13เราเป็นพระเจ้าแห่งเบธเอล ที่เจ้าเจิมเสาศักดิ์สิทธิ์ไว้และปฏิญาณต่อเราไว้ที่นั่น บัดนี้จงลุกขึ้นออกจากดินแดนนี้ และกลับไปยังดินแดนที่เจ้าเกิด’ ” 14ราเชลกับเลอาห์จึงตอบว่า “เรายังมีส่วนและมีมรดกในบ้านบิดาเราอีกหรือ? 15บิดานับเราเหมือนแขกเมืองไม่ใช่หรือ? เพราะบิดาขายเรา ทั้งยังใช้เงินของเราหมด 16ความร่ำรวยทั้งหมดที่พระเจ้าทรงนำไปจากบิดาของเรา นั่นแหละเป็นของเรากับพวกลูกของเรา บัดนี้ท่านจงทำทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับท่าน”
 17ดังนั้น ยาโคบจึงลุกขึ้นและจัดให้บุตรและภรรยาขึ้นขี่อูฐ 18แล้วต้อนฝูงปศุสัตว์ทั้งหมดของท่านไป ขนข้าวของทั้งสิ้นที่ท่านสะสมมา ฝูงปศุสัตว์ที่ท่านได้มา ที่ท่านสะสมได้ในปัดดานอารัม เพื่อเดินทางกลับไปหาอิสอัคบิดาของท่านในดินแดนคานาอัน 19เวลานั้นลาบันออกไปตัดขนแกะ ราเชลจึงขโมยรูปเคารพที่อยู่ในบ้านของบิดาไปด้วย 20ส่วนยาโคบก็ลักลอบทำต่อลาบันคนอารัม โดยการไม่บอกให้รู้ว่าท่านตั้งใจจะหนี 21ยาโคบเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดหนีข้ามแม่น้ำบ่ายหน้าไปทางเทือกเขากิเลอาด

ลาบันตามทันยาโคบ

 22เมื่อถึงวันที่สาม มีคนไปบอกลาบันว่ายาโคบหนีไปแล้ว 23ลาบันก็พาญาติพี่น้องไปกับเขาไล่ตามยาโคบเป็นระยะทางเจ็ดวันจึงทันยาโคบในถิ่นเทือกเขากิเลอาด 24แต่ในเวลากลางคืนพระเจ้าเสด็จมาหาลาบันคนอารัมในความฝัน ตรัสแก่เขาว่า “ระวัง อย่าพูดกับยาโคบเลย ไม่ว่าดีหรือร้าย”
 25ลาบันตามมาทันยาโคบ ยาโคบตั้งเต็นท์อยู่ที่ถิ่นเทือกเขา ส่วนลาบันกับญาติพี่น้อง ตั้งอยู่ถิ่นเทือกเขากิเลอาด 26ลาบันกล่าวกับยาโคบว่า “เจ้าทำอะไร? เจ้าหลอกเรา และพาลูกสาวของเราหนีมาเหมือนเชลย 27ทำไมเจ้าจึงหนีเรามาอย่างลับๆ? แอบมาโดยไม่บอกให้เรารู้ ถ้าเรารู้ เราก็จะจัดส่งเจ้าไปด้วยความร่าเริงยินดี โดยให้มีการขับร้องด้วยรำมะนาและพิณเขาคู่ 28ทำไมเจ้าไม่ยอมให้เราจูบลาหลาน และลูกสาวของเราเล่า? นี่เจ้าทำอย่างโง่เขลา 29เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว เราจะทำร้ายเจ้าก็ได้ แต่เมื่อคืนนี้พระเจ้าของบิดาเจ้าตรัสว่า ‘ระวัง อย่าพูดดีหรือร้ายกับยาโคบเลย’ 30คราวนี้เจ้าต้องออกมาให้ได้เพราะคิดถึงบ้านบิดาเจ้าจริงๆ แต่ทำไมเจ้าถึงขโมยพระของเรามา?” 31ยาโคบจึงตอบลาบันว่า “เพราะว่าฉันกลัว ฉันคิดว่าท่านจะยึดลูกสาวของท่านคืนจากฉันเสีย 32ส่วนพระของท่านนั้น ถ้าพบที่คนไหน ก็อย่าไว้ชีวิตผู้นั้นเลย ค้นดูต่อหน้าญาติพี่น้องของเรา ท่านพบสิ่งใดที่เป็นของท่าน ก็เอาไปเถอะ” ยาโคบไม่รู้ว่าราเชลขโมยพระเหล่านั้นมา
 33ลาบันจึงเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ เต็นท์ของเลอาห์ และเต็นท์สาวใช้ทั้งสองคนนั้น แต่หาไม่พบ จึงออกจากเต็นท์ของเลอาห์ แล้วเข้าไปในเต็นท์ของราเชล 34ส่วนราเชลเอารูปเคารพเหล่านั้นใส่ไว้ในกูบอูฐและนั่งทับไว้ ลาบันได้คลำดูทั่วเต็นท์ ก็หาไม่พบ 35ราเชลก็พูดกับบิดาว่า “ขอนายท่านอย่าโกรธเลย ที่ดิฉันลุกขึ้นต่อหน้าท่านไม่ได้ เพราะว่าดิฉันกำลังลำบากตามธรรมดาของผู้หญิง” ดังนั้นลาบันก็ค้นแล้ว แต่ไม่พบรูปเคารพเลย
 36ส่วนยาโคบก็โกรธและต่อว่าลาบัน ยาโคบกล่าวกับลาบันว่า “ฉันทำผิดอะไร? ฉันทำบาปอะไร? ท่านจึงไล่ตามฉันมาอย่างนี้ 37ท่านคลำดูสิ่งของของฉันทั้งหมดแล้ว ท่านพบอะไรที่เป็นของมาจากบ้านของท่าน ก็เอามาตั้งไว้ที่นี่ ตรงหน้าญาติพี่น้องของเราและของท่าน และให้พวกเขาตัดสินระหว่างเราทั้งสอง 38ฉันอยู่กับท่านมายี่สิบปีนี้ แกะและแพะไม่ได้แท้งลูก และแกะตัวผู้ในฝูงของท่าน ฉันก็ไม่ได้กิน 39ที่สัตว์ร้ายกัดฉีกกินเสีย ฉันก็ไม่ได้นำมาให้ท่าน ฉันเองใช้ให้แล้ว ที่ถูกขโมยไปในเวลากลางวันหรือกลางคืน ท่านก็เอาคืนจากฉัน 40เวลากลางวันแดดก็เผาฉัน เวลากลางคืนก็หนาวเหน็บ ฉันนอนไม่หลับ 41ฉันอาศัยอยู่ในเรือนของท่านยี่สิบปีแล้ว ฉันรับใช้ท่านสิบสี่ปีเพื่อจะได้บุตรีสองคนของท่าน และรับใช้ท่านหกปีเพื่อจะได้ฝูงสัตว์ของท่าน ท่านยังเปลี่ยนค่าจ้างสิบครั้ง 42ถ้าพระเจ้าของบิดาฉัน พระเจ้าของอับราฮัมและผู้ซึ่งอิสอัคยำเกรง ไม่ทรงอยู่กับฉันแล้ว ครั้งนี้ท่านคงให้ฉันไปตัวเปล่า พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของฉัน และการงานตรากตรำที่มือฉันทำ จึงทรงห้ามท่านเมื่อคืนนี้”

ลาบันและยาโคบทำพันธสัญญาต่อกัน

 43แล้วลาบันตอบยาโคบว่า “บุตรหญิงเหล่านี้ก็เป็นลูกของเรา บุตรชายเหล่านี้ก็เป็นหลานของเรา ฝูงสัตว์นี้ก็เป็นของเรา ของทั้งสิ้นที่เจ้าเห็นก็เป็นของเรา วันนี้เราจะทำอะไรแก่บุตรหญิงของเราหรือแก่เด็กๆ ที่เกิดมาจากพวกนาง? 44มาเถิด ให้เราทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า ให้พันธสัญญานั้นเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” 45ฝ่ายยาโคบก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้เป็นเสา 46แล้วยาโคบจึงพูดกับญาติพี่น้องว่า “เก็บก้อนหินมา” พวกเขาเก็บก้อนหินมากองสุมไว้ แล้วก็กินเลี้ยงกันที่กองหินนั้น 47ลาบันจึงตั้งชื่อกองหินนั้นว่า เยการ์สหดูธา แต่ยาโคบตั้งชื่อว่า กาเลเอด 48ลาบันกล่าวว่า “วันนี้กองหินนี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า” ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อว่า กาเลเอด 49และมิสปาห์ เพราะเขากล่าวว่า “พระยาห์เวห์ทรงเฝ้าอยู่ระหว่างเรากับเจ้า เมื่อเราจากกันไป 50ถ้าเจ้าข่มเหงบุตรหญิงของเรา หรือเจ้าได้ภรรยาอื่นนอกจากบุตรหญิงของเรา แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่กับเราก็จริง จำไว้ว่า พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า”
 51ลาบันบอกยาโคบว่า “ดูกองหินและเสาหินนี้ ที่เราตั้งไว้ระหว่างเรากับเจ้า 52หินกองนี้เป็นพยาน และเสานั้นก็เป็นพยานว่า เราจะไม่ข้ามกองหินนี้ไปหาเจ้า และเจ้าจะไม่ข้ามกองหินและเสานี้มาหาเรา เพื่อทำร้ายกัน 53ให้พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของนาโฮร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบิดาของเราทั้งสองทรงตัดสินความระหว่างเรา” ยาโคบก็สาบานโดยอ้างถึงพระองค์ที่อิสอัคบิดาของเขายำเกรง 54ยาโคบถวายเครื่องบูชาบนภูเขา และเรียกญาติพี่น้องของเขามารับประทานขนมปัง พวกเขารับประทานขนมปังและอยู่บนภูเขาคืนวันนั้น
 55ลาบันตื่นขึ้นแต่เช้ามืด จูบหลานและบุตรหญิง อวยพรพวกเขา แล้วก็ออกเดินทางกลับบ้าน

อรรถาธิบาย

ชื่นชมยินดีในการเสียสละของพระเจ้า

คุณเคยมีประสบการณ์กับคำสัญญาว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งแต่มันไม่เคยเกิดขึ้นจริงบ้างไหม? หรือเสียเวลาเป็นชั่วโมงกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ เพื่อทำงานที่ไม่รับคำขอบคุณใดๆให้สำเร็จ? คุณเคยตกเป็นเหยื่อของความอิจฉา ถูกใส่ร้าย และหลอกหลวงอย่างหมดจดบ้างไหม?

พระคัมภีร์บทนี้สะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราเจอกับความคับข้องใจและความเจ็บปวด เพื่อทำให้เรามั่นใจได้ว่าพระเจ้าทรงมีพระวจนะสุดท้ายเสมอ

เราเห็นรายละเอียดในสิ่งที่เป็นธุรกิจของครอบครัว ลาบันก็เอาเปรียบลูกเขยของเขา แน่นอนว่ายาโคบรู้สึกถึงความหวังดีของเขาถูกหลอกใช้ เขารู้สึกว่า ‘ลาบันไม่ดีต่อท่านเหมือนแต่ก่อน’ (ข้อ 2) เขาทุ่มเทกับการทำงานอย่างสุดกำลัง ‘เรารับใช้บิดาของเจ้าด้วยเต็มกำลัง’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

เงื่อนไขในการจ้างงานของยาโคบนั้นทรหดมาก พ่อตาของเขาเป็นเจ้านายที่ค่อนข้างเข้มงวด เขาได้ให้ยาโคบชดใช้ฝูงสัตว์ที่โดนขโมย (ข้อ 39) สภาพการทำงานของยาโคบก็ไม่ดีเอาเสียเลย (ข้อ 40)

แถมยาโคบยังรู้สึกว่าถูกโกง แทนที่ลาบันจะเพิ่มเงินเดือนแต่กลับลดเงินเดือนลงสิบเท่า (ข้อ 7) ราเชลและเลอาห์ยังรู้สึกว่าพวกเขาถูกกระทำ พวกเธอถูกขายให้กับยาโคบ แถมพ่อของพวกเธอก็อิจฉาความสำเร็จของสามีพวกเธอด้วย (ข้อ 14–16)

ทั้งสามคนขุ่นเคืองต่อลาบัน แต่วิธีการตอบสนองของพวกเขาก็ไม่ได้ดีนัก ทั้งสามตัดสินใจหนีเมื่อลาบันออกไปทำงาน และไม่เปิดโอกาสให้ลาบันได้กล่าวคำอำลากับลูก ๆ หลาน ๆ (ข้อ 26, 28) เหนือสิ่งอื่นใดด้วยเหตุผลที่ไม่อาจเข้าใจได้ ราเชลขโมยของจากพ่อของเธอโดยไม่บอกสามี

แม้จะเกิดเรื่องเหล่านี้แต่พระเจ้าก็อวยพรยาโคบ ‘แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงให้เขาทำร้ายฉัน’ (ข้อ 7 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เขามั่งคั่งกว่าลาบัน พระเจ้าทรงเรียกยาโคบให้กลับบ้านอิสอัคและสัญญากับเขาว่า ‘เราจะอยู่กับเจ้า’ (ข้อ 3) แม้ว่ายาโคบจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่วิธีที่ทำนั้นไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงแทรกแซงโดยพูดกับลาบันในความฝัน (ข้อ 24) แต่ด้วยเหตุนี้ยาโคบอาจออกไปด้วยมือเปล่า (ข้อ 42)

ในที่สุดพวกเขาก็เจรจาหาข้อยุติที่น่าพอใจ ในพระธรรมตอนนี้เราเห็นแนวทางของการคาดเดาสิ่งที่กำลังจะมาถึง ทั้งยาโคบและลาบันต่างมองหาพระเจ้าเพื่อขอความยุติธรรม (ข้อ 53) จากนั้นก็มีการเสียสละ (ข้อ 54)

เมื่อพวกเขาแสวงหาความยุติธรรมของพระเจ้าและถวายเครื่องบูชานี้ เราได้รับการเตือนอีกครั้งถึงไม้กางเขน ที่ซึ่งความยุติธรรมและความเมตตาของพระเจ้ามารวมกัน

คำอธิษฐาน

พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงยุติธรรมและเมตตา ขอบพระคุณสำหรับการเสียสละของพระเยซู ขอบพระคุณที่ในช่วงเวลาแห่งความอยุติธรรม ข้าพระองค์สามารถขอความคุ้มครองและความเมตตาจากพระองค์ได้ ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เปี่ยมด้วยความเมตตา เหมือนที่พระองค์เมตตาต่อข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ปฐมกาล 31:32

ราเชลขโมยพระประจำบ้านของพ่อไปทำอะไร? แล้วลาบันกำลังทำอะไรกับรูปเคารพเหล่านั้น?

ราเชลเคยโกหก ขโมย และทำให้พ่อของเธอเสื่อมเสีย ไม่น่าแปลกใจที่พระเจ้าจำเป็นต้องประทานบัญญัติสิบประการแก่เรา

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม