5 วิธีในการเติมเต็มศักยภาพของคุณ
เกริ่นนำ
ในชีวิตที่หลายคนเข้าไม่ถึงศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ เราจมอยู่กับกิจวัตรประจำวันจนเป็นเรื่องปกติ ดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิม ๆ แทนที่จะเปลี่ยนแปลง แต่เราทุกคนมีความปรารถนาที่พระเจ้าประทานให้ดำเนินชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ บางทีคุณอาจจำชีวประวัติที่โด่งดังนี้ได้
‘ซาโลมอน กรันดี้…เกิดในวันจันทร์…
รับเชื่อวันอังคาร…แต่งงานวันพุธ…
ล้มป่วยในวันพฤหัสบดี...แย่ลงในวันศุกร์...
เสียชีวิตเมื่อวันเสาร์...ฝังเมื่อวันอาทิตย์...
และนั่นคือจุดจบของซาโลมอน กรันดี้’
สำหรับบางคนนี่เป็นเพียงผลรวมชีวิตของพวกเขา แต่ถึงกระนั้นพวกเราทุกคนต่างรู้สึกลึก ๆ ว่า ‘ชีวิตต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ’ พระเยซูตรัสว่า ‘ใช่’ มีศักยภาพมากมายสำหรับเราทุกคน
พระเยซูต้องการให้คุณมีชีวิตที่เกิดผลมาก พระองค์ต้องการให้คุณเกิดผล ‘เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง’ (มัทธิว 13:8) ซึ่งขั้นต่ำคือ 30 เท่า กุญแจสู่ศักยภาพนั้นอยู่ที่ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเยซู ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเหมือนพี่น้องหรือแม่ (12:50) คุณสามารถใช้ชีวิตตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงซึ่งสร้างความแตกต่างให้กับโลกนี้ด้วยสิ่งที่คุณได้รับจากพระองค์ (13:11,12,16)
ศักยภาพของคุณไม่ได้เกี่ยวกับการขับเคลื่อนด้วยความทะเยอทะยานหรือความสำเร็จ มันเกี่ยวกับการรับรู้ว่าคุณเป็นใครในพระเจ้า เมื่อคุณแสวงหาพระองค์ และดำเนินชีวิตตามวัตถุประสงค์ของพระองค์ คุณจะเกิดผลมากมาย ยิ่งคุณเริ่มเติมเต็มศักยภาพที่พระเจ้ามอบให้มากเท่าไหร่ พระองค์จะยิ่งมอบความไว้วางใจให้คุณมากขึ้นเท่านั้น พระองค์ต้องการให้คุณมีชีวิตที่สมบูรณ์ (ข้อ 12)
ศักยภาพของอิสราเอลดีมาก (ปฐมกาล 35:11) พระเจ้าทรงประสงค์ให้อิสราเอลไม่เพียงแต่ได้รับพระพรเท่านั้น แต่ยังเป็นพระพรแก่ชนชาติอื่น ๆ ด้วย คุณมีศักยภาพแห่งชีวิตที่ได้รับพรที่ยิ่งใหญ่กว่าบุคคลในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระเยซูตรัสว่า ‘แต่นัยน์ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็นและหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมจำนวนมาก ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่ก็ไม่เคยได้เห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่เคยได้ยิน’ (มัทธิว 13:16–17)
พระเยซูเตือนว่า แม้ว่าเราแต่ละคนจะมีศักยภาพมาก แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดรออยู่ข้างหน้า คุณจะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและเติมเต็มศักยภาพของคุณได้อย่างไร?
สดุดี 10:1-11
คำอธิษฐานขอทรงช่วยให้พ้นจากศัตรู
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ไฉนทรงยืนอยู่ห่างไกล?
ไฉนจึงซ่อนพระองค์เสียในยามลำบาก?
2คนอธรรมข่มเหงคนยากจนอย่างลำพองใจ
ขอให้เขาติดบ่วงแร้วอุบายที่เขาคิดขึ้นนั้น
3เพราะคนอธรรมอวดสิ่งที่จิตใจเขาปรารถนา
และคนโลภแช่งด่าประณามพระยาห์เวห์
4ด้วยความหยิ่งยโส คนอธรรมมิได้แสวงหาพระองค์
ความคิดทั้งสิ้นของเขาคือ “ไม่มีพระเจ้า”
5ทางของคนอธรรมเจริญขึ้นทุกเวลา
การพิพากษาของพระองค์อยู่สูงพ้นสายตาของเขา
เขาเย้ยหยันบรรดาคู่อริ
6เขาพูดในใจว่า “ข้าจะไม่หวั่นไหว
ทุกชั่วชาติพันธุ์ ข้าจะไม่พบความลำบากเลย”
7ปากของเขาเต็มไปด้วยการแช่งด่า การล่อลวง และการขู่เข็ญ
ใต้ลิ้นของเขามีความชั่วช้าและความเลวทราม
8เขานั่งซุ่มคอยดักทำร้ายอยู่ตามชนบท
และฆ่าคนบริสุทธิ์เสียในที่เร้นลับ
ดวงตาเขาสอดส่ายหาคนอนาถา
9เขาซุ่มอยู่ในที่ลับเหมือนสิงห์อยู่ในพงทึบ
เขาซุ่มอยู่เพื่อจับคนยากจน
เขาจับคนยากจน แล้วฉุดลากมาเข้าตาข่าย
10คนอนาถาถูกกดให้จม
และล้มลงด้วยกำลังของคนอธรรมนั้น
11คนอธรรมพูดกับตัวเองว่า “พระเจ้าทรงลืมแล้ว
พระองค์ซ่อนพระพักตร์และจะไม่ทรงเห็นเลย”
อรรถาธิบาย
1. อ่อนน้อมถ่อมตน
ในหนังสือชื่อ การค้นหาความสุข ขั้นตอนความสันโดษเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เจ้าอาวาสคริสโตเฟอร์ เจมิสัน ให้คำจำกัดความของความเย่อหยิ่งว่าเป็น ‘ความสำคัญในตนเอง’ เขาเขียนว่า ‘ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นแนวทางที่ซื่อสัตย์ต่อความเป็นจริงในชีวิตของเราเองและยอมรับว่าเราไม่สำคัญไปกว่าคนอื่น’
ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้เดินทางจากความรู้สึกว่าพระเจ้าทรง ‘ห่างไกล...ในยามลำบาก’ (ตั้งแต่ข้อ 1) ไปสู่การตระหนักรู้ (ตามที่เราจะอ่านในวันพรุ่งนี้) ว่าพระเจ้าทรง ‘พิเคราะห์ดูความลำบาก’ อย่างแน่นอน พระองค์ ‘เงี่ยพระกรรณฟัง’ ‘เสียงร้อง’ ของ ‘คนอนาถา’ และทรงอุปถัมภ์ ‘แก่ลูกกำพร้าและคนที่ถูกบีบบังคับ’ (ตั้งแต่ข้อ 14 เป็นต้นไป)
ในความเป็นจริงคือ ‘คนอธรรม’ (ข้อ 2) ที่พยายามทำตัวห่างเหิน ‘การพิพากษาของพระองค์อยู่สูงพ้นสายตาของเขา’ (ข้อ 5) พวกเขาคิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น ๆ โดยเฉพาะคนยากจนซึ่งพวกเขา ‘ดึงเข้าไปในตาข่ายและบดขยี้’ (ข้อ 9–10 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ข้อพระคำเหล่านี้บอกเราเกี่ยวกับหลุมพรางของ ‘ความหยิ่งยโส’ (ข้อ 4)
เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี มันอาจดึงดูดให้เราพูดว่า ‘ข้าจะไม่หวั่นไหว ทุกชั่วชาติพันธุ์ ข้าจะไม่พบความลำบากเลย’ (ข้อ 6) เราอาจถูกล่อลวงให้รู้สึกว่าเราไม่ต้องการพระเจ้า ‘ด้วยความหยิ่งยโส คนอธรรมมิได้แสวงหาพระองค์ ความคิดทั้งสิ้นของเขาคือ “ไม่มีพระเจ้า”’ (ข้อ 4) เป็นเรื่องง่ายที่จะหยิ่งยโส (ข้อ 2) และโอ้อวด (ข้อ 3) พระธรรมสดุดีตักเตือนเราไม่ให้ทำเช่นนั้น และย้ำถึงความจำเป็นที่เราต้องมีพระเจ้า
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าให้ข้าพระองค์เย่อหยิ่งจองหองและให้ความสำคัญกับตนเอง ข้าพระองค์ขอทูลต่อพระองค์อย่างสุดหัวใจว่า ข้าพระองค์ต้องการพระองค์และพระองค์ไม่มีวันทอดทิ้งข้าพระองค์
มัทธิว 12:46-13:17
มารดาและบรรดาน้องชายของพระเยซู
46ขณะที่พระองค์ยังตรัสกับฝูงชนอยู่นั้น มารดาและบรรดาน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอก หาโอกาสจะพูดกับพระองค์ [ 47มีคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “นี่แน่ะท่าน มารดาและบรรดาน้องชายของท่านยืนอยู่ข้างนอก หาโอกาสที่จะสนทนากับท่าน”] 48พระองค์จึงตรัสกับผู้ที่มาทูลนั้นว่า “ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?” 49พระองค์ทรงชี้ไปทางสาวกทั้งหลายของพระองค์และตรัสว่า “นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา 50เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”
มัทธิว 13
อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช
1ในวันนั้นพระเยซูเสด็จจากบ้านไปประทับที่ชายทะเลสาบ 2มีมหาชนมาหาพระองค์ พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และฝูงชนทั้งหมดก็ยืนอยู่บนฝั่ง 3แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมาหลายเรื่อง เป็นต้นว่า “นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช 4และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย 5บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นอย่างเร็วเพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมันก็ถูกแผดเผา จึงเหี่ยวไปเพราะรากไม่มี 7บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย 8บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง 9ใครมีหูจงฟังเถิด”
จุดมุ่งหมายของอุปมา
10ส่วนสาวกทั้งหลายจึงมาทูลพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นอุปมา?” 11พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ โปรดให้พวกท่านรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้ 12เพราะว่าใครมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา 13เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ 14สภาพของพวกเขาก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า
‘พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ
จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น
15 เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา
หูก็ตึง
และตาของพวกเขาก็ปิด
เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตา
จะได้ยินด้วยหู
และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา
และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’
16“แต่นัยน์ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน 17เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมจำนวนมาก ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่ก็ไม่เคยได้เห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่เคยได้ยิน
อรรถาธิบาย
2. ติดตามอย่างใกล้ชิด
ลัทธิเทียมเท็จบางกลุ่มได้บิดเบือนพระวจนะของพระเยซู (12:50) สอนว่าการเป็นคริสเตียนหมายถึงการตัดสัมพันธ์กับครอบครัวของคุณ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นอันตราย แต่ยังไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ด้วย บัญญัติประการที่ห้าคือ ‘จงให้เกียรติบิดาและมารดาของเจ้า’ (อพยพ 20:12) ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เราได้รับคำบอกเล่าว่า ‘ใครก็ตามที่ไม่เลี้ยงดูญาติพี่น้อง และโดยเฉพาะคนในครอบครัวแล้ว คนนั้นก็ปฏิเสธความเชื่อ และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก’ (1 ทิโมธี 5:8)
แต่พระเยซูแสดงให้เห็นว่ามีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่าความสัมพันธ์ของคุณกับครอบครัว การทรงเรียกสูงสุดของคุณคือ การมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเยซูโดยทำตาม ‘พระประสงค์ของพระบิดา’ (มัทธิว 12:50)
พระเยซูตรัสว่า ‘ใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’ (ข้อ 50) คำพูดของพระองค์กล่าวถึงความใกล้ชิด ความคงทนและการยอมรับซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในระดับลึกที่สุด คุณสามารถมีความใกล้ชิดที่น่าอัศจรรย์นี้กับพระเยซู อยู่ใกล้พระองค์ทุกวันแล้วศักยภาพของคุณจะได้รับการเติมเต็ม
3. ลงรากลึก
ประสบการณ์ล้ำลึกในฝ่ายวิญญาณมีความสำคัญมาก แต่หากไม่ลงลึกกับรากฝ่ายจิตวิญญาณ อันตรายจากความคิดตื้นเขินนี้อาจนำไปสู่หายนะ จงระวังข้อผิดพลาดนี้ เราทุกคนสามารถตกอยู่ในความคิดฟุ้งซ่านได้แม้ในขณะที่เรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง
พระเยซูตรัสถึงเมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นดินตื้น ๆ มันผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เหี่ยวเฉาเพราะมันไม่มีราก (13:6) พระองค์อธิบายว่าคนที่ไม่มีรากนั้นอยู่ได้ไม่นานเพราะพวกเขาล้มหายตายจากไปเมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหง (ข้อ 21)
รากฝ่ายจิตวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณที่ไม่มีใครมองเห็น นั่นคือชีวิตที่เป็นความลับของคุณกับพระเจ้าซึ่งรวมถึงคำอธิษฐาน การถวายและท่าทีภายในของคุณ หากคุณต้องการเติมเต็มศักยภาพของคุณ ขอให้แน่ใจว่าคุณได้พัฒนารากที่ลึกอย่างแข็งแรงและมีสุขภาพดีในความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า
4. ปกป้องหัวใจของคุณ
เป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะฟุ้งซ่านไปกับความวุ่นวายในชีวิต หลายสิ่งสามารถเติมเต็มชีวิตของคุณและผลักดันเวลาของคุณให้ห่างจากพระเจ้า คริสตจักร และวิธีอื่น ๆ ที่จะพัฒนารากฝ่ายจิตวิญญาณของคุณได้ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นอันตรายกับเราทุกคน
พระเยซูทรงเตือนเรื่องหนามที่ทำให้ต้นอ่อนหายใจไม่ออก (ข้อ 7) ต่อมาพระองค์อธิบายว่า หนามคือ ‘ความกังวลของโลก’ และ ‘การล่อลวงของทรัพย์สมบัติ’ (ข้อ 22)
คำอธิษฐาน
พระบิดา ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเรียกข้าพระองค์เข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเยซู ช่วยให้ข้าพระองค์หยั่งรากลึกลงไปและจับจ้องไปที่พระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ปกป้องความสัมพันธ์นี้ และอย่ายอมให้สิ่งอื่น ๆ แม้แต่สิ่งดี ๆ เข้ามาเบียดเบียนชีวิตของข้าพระองค์
ปฐมกาล 34:1-35:29
ดีนาห์ถูกข่มขืน
1ฝ่ายดีนาห์บุตรีของยาโคบกับเลอาห์นั้นออกไปหาผู้หญิงในถิ่นนั้น 2เมื่อเชเคมบุตรชายฮาโมร์คนฮีไวต์ผู้เป็นเจ้านายดินแดนนั้นเห็นดีนาห์ ก็เอาไปหลับนอนข่มขืนเธอ 3จิตใจของเชเคมก็ผูกพันอยู่กับดีนาห์บุตรียาโคบ เขารักเธอ พูดจาเอาใจเธอ 4เชเคมจึงพูดกับฮาโมร์บิดาว่า “ขอหญิงสาวนี้ให้เป็นภรรยาของลูก” 5ยาโคบได้ข่าวว่าผู้นั้นทำลายความบริสุทธิ์ของดีนาห์บุตรีของท่าน แต่พวกบุตรของท่านอยู่กับฝูงปศุสัตว์ที่ในทุ่ง ยาโคบจึงนิ่งคอยให้พวกเขากลับมาบ้าน 6ฮาโมร์บิดาของเชเคมก็ไปหายาโคบเพื่อพูดคุยกับท่าน 7เมื่อพวกบุตรของยาโคบได้ยินข่าวก็กลับมาจากทุ่ง ต่างก็ทุกข์ใจและโกรธมากที่เขาเหยียดหยามพวกอิสราเอล โดยข่มขืนบุตรีของยาโคบ ซึ่งเป็นสิ่งไม่สมควรทำ
8ฮาโมร์พูดกับพวกเขาว่า “จิตใจเชเคมลูกชายของเรานี้ผูกพันรักใคร่ลูกสาวของท่านมาก ขอให้นางเป็นภรรยาของเขาเถิด 9และเชิญพวกท่านทำการสมรสกับพวกเรา ยกบุตรีของท่านให้พวกเรา และรับบุตรีของเราให้พวกท่าน 10พวกท่านจะได้อยู่กับพวกเรา และดินแดนนี้ก็อยู่ตรงหน้าท่าน เชิญอาศัยและค้าขาย และครอบครองสมบัติในดินแดนนี้” 11เชเคมบอกบิดาและพวกพี่ชายของหญิงนั้นว่า “ขอท่านกรุณาข้าพเจ้าเถิด ท่านจะเรียกเท่าไรข้าพเจ้าก็จะให้ 12ท่านจะเอาเงินสินสอดและของขวัญมากสักเท่าไร ข้าพเจ้าจะให้ตามที่พวกท่านบอก แต่ขอยกหญิงนั้นเป็นภรรยาข้าพเจ้า”
13เพราะเหตุที่เชเคมทำลายความบริสุทธิ์ของดีนาห์น้องสาว บุตรชายของยาโคบจึงหลอกเชเคม และฮาโมร์บิดาของเชเคม 14โดยตอบว่า “เราไม่สามารถทำอย่างนี้ คือที่จะยกน้องสาวของเราให้แก่คนที่ยังไม่ได้เข้าสุหนัต จะเป็นที่อับอายขายหน้าแก่เรา 15เราจะยอมก็ต่อเมื่อท่านถือตามเรา คือยอมเหมือนพวกเรา โดยให้ผู้ชายทุกคนเข้าสุหนัต 16เราจึงจะยอมยกบุตรีของเราให้แก่พวกท่าน และจะรับบุตรีของพวกท่านเป็นภรรยาของพวกเรา และเราจะอยู่กับท่านเป็นชนชาติเดียวกัน 17แต่หากว่าท่านทั้งหลายไม่ฟังคำเรา ไม่เข้าสุหนัต เราจะเอาบุตรีของเราไปเสีย”
18ถ้อยคำของพวกเขาเป็นที่พอใจฮาโมร์และเชเคมบุตรชายของฮาโมร์ 19หนุ่มคนนั้นไม่รีรอที่จะทำตามเพราะเขาชอบบุตรีของยาโคบ เขาเป็นคนมีเกียรติมากกว่าใครๆ ในครอบครัวของบิดา 20ฮาโมร์กับเชเคมบุตรชายจึงออกไปที่ประตูเมืองบอกชาวเมืองว่า 21“คนเหล่านี้เป็นมิตรกับพวกเรา ให้เขาอาศัยและค้าขายในดินแดนนี้ เพราะดินแดนนี้กว้างขวางพอให้เขาอยู่ได้ ให้เรารับบุตรีของเขาเป็นภรรยาพวกเรา และยกบุตรีของเราให้เขา 22พวกเขาจะยอมอยู่เป็นชนชาติเดียวกับเราได้ตามข้อตกลงนี้เท่านั้น คือพวกเราที่เป็นชายทุกคนจะเข้าสุหนัตเหมือนเขา 23ฝูงปศุสัตว์และทรัพย์สมบัติของพวกเขา กับสัตว์ใช้งานอื่นๆ ทั้งสิ้นของพวกเขาก็จะเป็นของเราด้วยไม่ใช่หรือ? ขอแต่ให้เรายอมทำตามพวกเขา พวกเขาก็จะอยู่กับเรา” 24ทุกคนที่ออกไปที่ประตูเมืองก็เห็นชอบกับฮาโมร์และเชเคม ชายทุกคนก็เข้าสุหนัตคือทุกคนที่ออกไปที่ประตูเมือง
พี่ชายของดีนาห์แก้แค้น
25เมื่ออยู่มาถึงวันที่สาม คนเหล่านั้นกำลังเจ็บอยู่ บุตรชายสองคนของยาโคบชื่อ สิเมโอนและเลวี เป็นพี่ชายของดีนาห์ ก็ถือดาบเข้าไปในเมืองที่ไม่มีการป้องกัน ฆ่าผู้ชายในเมืองทุกคน 26พวกเขาฆ่าฮาโมร์และเชเคมบุตรชายเสียด้วยดาบ และพาดีนาห์ออกจากบ้านเชเคมไป 27บรรดาบุตรคนอื่นของยาโคบเข้าไปที่คนตาย และปล้นเมืองนั้น เพราะคนเมืองนั้นทำลายความบริสุทธิ์ของน้องสาว 28พวกเขาเอาฝูงแพะแกะ ฝูงโค ฝูงลา และข้าวของในเมืองและในนาไป 29เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดไป และจับบุตรภรรยาของคนเหล่านั้นทั้งหมดไปเป็นเชลย และริบของในบ้านไปเสียทั้งสิ้น 30ฝ่ายยาโคบจึงพูดกับสิเมโอนและเลวีว่า “เจ้าทำให้พ่อเดือดร้อน โดยทำให้พ่อเป็นที่เกลียดชังของคนดินแดนนี้ คือคนคานาอันกับคนเปริสซี พ่อมีผู้คนน้อยนัก ถ้าพวกนั้นรุมโจมตีพ่อ ก็จะทำให้พ่อและครอบครัวถูกทำลาย” 31แต่พวกเขาตอบว่า “มันจะทำกับน้องสาวเราเหมือนหญิงโสเภณีได้หรือ?”
ปฐมกาล 35
ยาโคบกลับไปเบธเอล
1พระเจ้าตรัสแก่ยาโคบว่า “ลุกขึ้นไปเบธเอล และอาศัยอยู่ที่นั่น ทำแท่นบูชาที่นั่นแด่พระเจ้าผู้สำแดงพระองค์แก่เจ้าเมื่อเจ้าหนีไปจากเอซาวพี่ชายของเจ้า” 2ดังนั้นยาโคบจึงบอกครอบครัว และคนทั้งปวงที่อยู่กับท่านว่า “จงทิ้งพวกพระต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าเสีย ชำระตัว และเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม 3ให้พวกเราลุกขึ้นไปเบธเอล ที่นั่นข้าจะทำแท่นบูชาแด่พระเจ้าผู้ทรงตอบข้าในวันที่ข้ามีความทุกข์ใจ และทรงอยู่กับข้าในทางที่ข้าไปนั้น” 4คนทั้งหลายเอาพระต่างด้าวทั้งหมดที่มีอยู่ กับตุ้มหูที่หูของพวกเขามาให้ยาโคบ ยาโคบก็ฝังไว้ใต้ต้นโอ๊กที่อยู่ใกล้เมืองเชเคม
5เมื่อพวกเขาออกเดินทาง เมืองต่างๆ ที่อยู่รอบข้างมีความเกรงกลัวพระเจ้า ชาวเมืองจึงไม่ได้ไล่ตามบรรดาบุตรชายของยาโคบ 6ยาโคบมาถึงลูส (คือเบธเอล) ซึ่งอยู่ในดินแดนคานาอัน ทั้งท่านและทุกคนที่อยู่กับท่าน 7ที่นั่นยาโคบสร้างแท่นบูชาไว้ และเรียกสถานที่นั้นว่าเอลเบธเอลเพราะว่าที่นั่น พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ยาโคบเมื่อท่านหนีพี่ชายไป 8ฝ่ายเดโบราห์พี่เลี้ยงของนางเรเบคาห์ก็ถึงแก่ความตาย เขาฝังศพไว้ใต้ต้นโอ๊ก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเบธเอล เขาเรียกต้นไม้นั้นว่าอัลโลนบาคูท
9เมื่อยาโคบออกจากปัดดานอารัม พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ยาโคบอีก และทรงอวยพรท่าน 10พระเจ้าตรัสแก่ท่านว่า “เจ้ามีชื่อว่ายาโคบ เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป เพราะชื่อของเจ้าจะเป็นอิสราเอล” ดังนั้นพระองค์ทรงเรียกท่านว่าอิสราเอล 11พระเจ้าตรัสแก่ท่านว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เจ้าจงเกิดผู้คนทวีมากขึ้น ประชาชาติหนึ่งและหลายประชาชาติจะเกิดมาจากเจ้า กษัตริย์หลายองค์จะออกมาจากเจ้า 12ดินแดนนี้ที่เราให้แก่อับราฮัมและอิสอัค เราจะให้แก่เจ้า และเราจะให้ดินแดนนี้แก่เชื้อสายของเจ้าที่จะมาภายหลังเจ้า” 13พระเจ้าเสด็จขึ้นไปจากยาโคบ ณ ที่ที่พระเจ้าตรัสแก่เขา 14ยาโคบก็ปักเสาไว้ที่ซึ่งพระองค์ตรัสแก่เขา เสานี้เป็นเสาหิน เขาก็เอาเครื่องดื่มบูชาเทลงบนเสา และเทน้ำมันบนนั้น 15ยาโคบเรียกสถานที่ที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านว่า เบธเอล
กำเนิดของเบนยามินและมรณกรรมของราเชล
16พวกเขาเดินทางจากเบธเอลเกือบถึงเอฟราธาห์ ราเชลก็เจ็บครรภ์มาก จะคลอดบุตร 17ขณะที่นางเจ็บครรภ์มาก นางผดุงครรภ์บอกว่า “อย่ากลัว ท่านจะได้บุตรชายอีกคนหนึ่ง” 18เมื่อชีวิตใกล้ดับ (เพราะนางถึงแก่ความตาย) นางเรียกบุตรนั้นว่า เบนโอนี แต่บิดาเรียกว่า เบนยามิน 19ราเชลก็สิ้นชีวิต เขาฝังศพไว้ริมทางที่จะไปเอฟราธาห์ (คือเบธเลเฮม) 20ยาโคบเอาเสาหินปักไว้ตรงที่ฝังศพ ซึ่งเป็นเสาหิน ณ ที่ฝังศพราเชลจนทุกวันนี้ 21อิสราเอลก็เดินทางต่อไปอีก ไปตั้งเต็นท์อยู่เลยหอคอยชื่อเอเดอร์
22อยู่มาเมื่ออิสราเอลอาศัยอยู่ที่ดินแดนนั้น รูเบนไปนอนกับบิลฮาห์ภรรยาน้อยของบิดา อิสราเอลก็รู้เรื่องนี้
ฝ่ายบุตรชายของยาโคบมีสิบสองคน 23บุตรชายเลอาห์ชื่อรูเบน(เป็นบุตรหัวปีของยาโคบ) สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน 24บุตรชายราเชลชื่อโยเซฟ และเบนยามิน 25บุตรชายบิลฮาห์ สาวใช้ของราเชลชื่อดาน และนัฟทาลี 26บุตรชายของศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ชื่อกาดและอาเชอร์ คนเหล่านี้เป็นบุตรของยาโคบ ซึ่งเกิดที่ปัดดานอารัม
มรณกรรมของอิสอัค
27ฝ่ายยาโคบกลับมาหาอิสอัคบิดาของท่านที่มัมเร คือที่คีริยาทอารบา(คือเฮโบรน) ที่อับราฮัมและอิสอัคเคยอาศัยมาก่อน 28อิสอัคมีอายุ 180 ปี 29ก็ถึงวันสุดท้ายของชีวิต ท่านสิ้นชีวิตเมื่อชราและแก่หง่อมมาก และถูกรวมไปอยู่กับบรรพบุรุษของท่าน ส่วนบุตรชายของท่านคือ เอซาวและยาโคบก็นำท่านไปฝัง
อรรถาธิบาย
5. ชำระตนให้บริสุทธิ์
พระคำที่เราได้อ่านนี้เป็นคำเตือนถึงอันตรายของการแก้แค้นที่ทวีความรุนแรงขึ้น (ดู 1 โครินธ์ 10:11) อาชญากรรมที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง (การข่มขืนดีนาห์ ปฐมกาล 34:2) นำไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง การแก้แค้นเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควร คนของพระเจ้า ‘ก็ถือดาบเข้าไปในเมืองที่ไม่มีการป้องกัน ฆ่าผู้ชายในเมืองทุกคน...พวกเขาฆ่า...จับบุตรภรรยาของคนเหล่านั้นทั้งหมดไปเป็นเชลย’ (ข้อ 25–29)
ผลที่ตามมาคือหายนะ ยาโคบพูดว่า ‘เจ้าทำให้พ่อเดือดร้อน โดยทำให้พ่อเป็นที่เกลียดชังของคนดินแดนนี้ พ่อมีผู้คนน้อยนัก ถ้าพวกนั้นรุมโจมตีพ่อ ก็จะทำให้พ่อและครอบครัวถูกทำลาย’ (ข้อ 30) การกระทำของสิเมโอนและเลวีถูกประณามโดยรอบเนื่องจากความรุนแรงความดุร้ายและความโหดร้าย (ดู 49:5–7)
การแก้แค้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของสิเมโอนและเลวีเท่านั้น มันเป็นการทดลองใจสำหรับเราทุกคน เมื่อผมขุ่นเคือง ผมต้องการแก้แค้น ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมการแก้แค้นถูกกำหนดอย่างชัดเจน ‘ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน’ เป็นต้น (อพยพ 21:23–24) พระเยซูทรงกำหนด (โดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ทำให้เป็นไปได้) มาตรฐานที่สูงขึ้นในความสัมพันธ์ของคุณในวันนี้ด้วยการให้อภัยและรักศัตรูของคุณ
จอยซ์ ไมเออร์ ซึ่งมักพูดถึงการทารุณกรรมอันเลวร้ายที่เธอต้องทนทุกข์เมื่อตอนเป็นเด็กเขียนว่า ‘คุณเคยตกเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์เหมือนกับดีนาห์ไหม? ฉันมั่นใจได้ว่าแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดพระเจ้าก็ประทานพระคุณที่จะให้อภัยเราเพื่อให้เราดำเนินชีวิตต่อไปได้’
ยาโคบพูดกับครอบครัวของเขาว่า ‘จงทิ้งพวกพระต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าเสีย ชำระตัว และเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม’ (ปฐมกาล 35:2) พระเจ้าทรงปรากฏต่อยาโคบ (เปลี่ยนชื่อเป็นอิสราเอลข้อ 10) และกล่าวว่า ‘เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เจ้าจงเกิดผู้คนทวีมากขึ้น ประชาชาติหนึ่งและหลายประชาชาติจะเกิดมาจากเจ้า’ (ข้อ 11)
ศักยภาพเป็นสิ่งทิ่ยิ่งใหญ่มาก ดังที่ ริค วอร์เรน กล่าวว่า ‘ในการทำพันธกิจ ความบริสุทธิ์ในชีวิตส่วนตัวเป็นแหล่งพลังของส่วนรวม’ สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับเราทุกคนไม่ว่าเราจะปฏิบัติงานในครอบครัวที่ทำงานชุมชน หรือคริสตจักร หากเราต้องการสร้างผลกระทบอันทรงพลังเพื่อพระคริสต์ในโลกเราต้องเป็นคนที่บริสุทธิ์
คำอธิษฐาน
พระเจ้าขอบคุณที่ศักยภาพสำหรับชีวิตของข้าพระองค์มีมากมาย ขอให้ข้าพระองค์เกิดผล 30 เท่า 60 เท่า หรือ 100 เท่าของที่หว่าน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
‘ไฉนจึงซ่อนพระองค์เสียในยามลำบาก’ (สดุดี 10:1) พระเจ้ามักจะดูเหมือนห่างไกลและห่างไกลในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในปฐมกาล 35:3 ยาโคบกล่าวว่า ‘พระเจ้าผู้ทรงตอบข้าในวันที่ข้ามีความทุกข์ใจ และทรงอยู่กับข้าในทางที่ข้าไปนั้น’ แม้ว่าบางครั้งเรารู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่พระองค์ก็อยู่ และอยู่กับเราทุกที่ที่เราไป
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)