สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของคุณ
เกริ่นนำ
ราช เกิดมาท่ามกลางพี่น้อง 6 คน ในครอบครัวพราหมณ์ที่ร่ำรวย ซึ่งเป็นวรรณะสูงสุดในระบบวรรณะของอินเดีย
ตอนอายุยี่สิบสามเขาได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต แต่กลับถูกตัดขาดจากครอบครัว พวกเขาทำเหมือกับราชตายไปแล้ว แถมยังจัดงานศพให้ด้วยซ้ำ พ่อแม่ พี่น้องไม่เคยพูดกับราชอีกเลย
เขาเดินเตร่ไปตามถนนในบังกาลอร์เป็นเวลาหลายสัปดาห์ แทบไม่มีอาหารกิน เขาเดินอยู่อย่างนั้นทั้งวันและนอนในสวนสาธารณะยามค่ำคืน
ราชได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยเริ่มพูดถึงความเชื่อใหม่ที่เขาเพิ่งค้นพบ ราชทำให้คนมากมายได้พบกับพระเยซู หลายปีผ่านไป ราช ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการอัลฟ่าแห่งชาติในอินเดีย เขากล่าวว่าชีวิตเขามีความสุขและพระเจ้าได้ชดเชยมากกว่าสิ่งที่ต้องสูญเสียไป แม้ว่าเขาจะละทิ้ง ‘ทุกสิ่ง’ ไปแล้ว แต่เขาพบว่าพระเยซูคริสต์คือ ‘ไข่มุก…มีค่ามาก’ (มัทธิว 13:45–46)
ความสัมพันธ์คือสมบัติล้ำค่าที่สุดของเราทุกคน แต่มีความสัมพันธ์พิเศษอย่างหนึ่งในขณะที่คุณถูกสร้างขึ้น เป็นความสัมพันธ์นี้มีค่าที่สุดในบรรดาความสัมพันธ์ทั้งหมด ซึ่งคุ้มค่าที่จะขาย ‘ทุกสิ่ง’ เพื่อที่จะได้ครอบครองมันมา
สดุดี 11:1-7
บทเพลงแห่งความวางใจในพระเจ้า
ถึงหัวหน้านักร้อง ของดาวิด
1ข้าพเจ้าลี้ภัยอยู่ในพระยาห์เวห์ แล้วไฉนพวกท่านจะกล่าวกับข้าพเจ้าว่า
“จงหนีไปที่ภูเขาอย่างนก
2เพราะนี่แน่ะ คนอธรรมโก่งธนู
และเอาลูกธนูพาดสายไว้แล้ว
เพื่อจะยิงในความมืดให้ถูกคนใจเที่ยงธรรม
3ถ้ารากฐานถูกทำลายเสียแล้ว
คนชอบธรรมจะทำอะไรได้?”
4พระยาห์เวห์สถิตในพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
พระที่นั่งของพระยาห์เวห์อยู่บนฟ้าสวรรค์
พระเนตรของพระองค์มองและทดสอบมนุษย์ทั้งหลาย
5พระยาห์เวห์ทรงทดสอบทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรม
และพระองค์ทรงเกลียดชังผู้ที่รักความรุนแรง
6พระองค์จะทรงเทถ่านเพลิงและไฟกำมะถันใส่คนอธรรม
ลมที่แผดเผาจะเป็นส่วนที่เขาได้รับ
7เพราะพระยาห์เวห์ทรงชอบธรรมจึงทรงรักกิจการที่ชอบธรรม
คนเที่ยงตรงจะเห็นพระพักตร์ของพระองค์
อรรถาธิบาย
การทรงสถิตของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด
แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตคุณสามารถสัมผัสกับการทรงสถิตย์ของพระเจ้าได้อย่างใกล้ชิด เมื่อชีวิตของดาวิดเผชิญในช่วงวิกฤต เขาได้รับคำแนะนำให้หนีไปซ่อนตัวบนภูเขา แต่คำตอบของเขาคือ 'ข้าพเจ้าได้วิ่งเพื่อชีวิตที่ข้ารัก ตรงไปยังอ้อมแขนของพระเจ้า แล้วทำไมข้าพระเจ้าจะหนีตอนนี้ล่ะ’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ดาวิดเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าลี้ภัยอยู่ในพระยาห์เวห์' (ข้อ 1) นอกจากนี้เขายังจบด้วยการมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยคำสัญญาที่ว่า ‘จะเห็นพระพักตร์ของพระองค์’ (ข้อ 7) ดาวิดใช้ภาษาเชิงอุปมาเพื่อวาดภาพการทรงสถิตของพระเจ้า
ประสบการณ์และความปรารถนาของดาวิดที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของบทเพลงสดุดี การได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้านั้นไม่มีสถานที่ใดที่ปลอดภัย มีคุณค่า ไปกว่านี้อีกแล้ว และในชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดที่โลกนี้มอบให้สามารถเปรียบได้กับการทรงสถิตของพระเจ้า
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ขอให้พระองค์ตอบสนองความปรารถนาที่ลึกที่สุดในหัวใจของข้าพระองค์ด้วยการให้ข้าพระองค์ได้ใกล้ชิดพระองค์
มัทธิว 13:36-58
การทรงอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน
36แล้วพระเยซูเสด็จไปจากฝูงชนเข้าไปในบ้าน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์โปรดอธิบายให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าใจอุปมาเรื่องข้าวละมานในนานั้น” 37พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ 38และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย 39ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชเลวได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ 40เพราะฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น 41บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน 42และจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 43เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด
อุปมาสามเรื่อง
44“แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่เขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น
45“อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี 46และเมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายทุกสิ่งซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น
47“อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลามาทุกชนิด 48เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย 49ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น ทูตสวรรค์ทั้งหลายจะออกมาแยกพวกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม 50แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
ทรัพย์เก่าและทรัพย์ใหม่
51“ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ?” พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า” 52พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เพราะเหตุนี้พวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”
53เมื่อพระเยซูตรัสอุปมาเหล่านี้เสร็จแล้ว ก็เสด็จไปจากที่นั่น
ชาวนาซาเร็ธไม่ยอมรับพระเยซู
54เมื่อเสด็จมาถึงตำบลบ้านของพระองค์แล้ว ก็ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา จนคนทั้งหลายประหลาดใจแล้วพูดกันว่า “คนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์เดชนี้มาจากไหน? 55คนนี้เป็นลูกช่างไม้ แม่ของเขาชื่อมารีย์ไม่ใช่หรือ? น้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาสไม่ใช่หรือ? 56และน้องสาวทั้งหมดก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ? เขาได้สิ่งทั้งหมดนี้มาจากไหน?” 57เขาทั้งหลายก็ปฏิเสธพระองค์ พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะจะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในบ้านเกิด และในวงศ์วานของตน” 58พระองค์ก็ไม่ได้ทรงทำการอัศจรรย์มากนักในเมืองนั้น เพราะความไม่เชื่อของพวกเขา
อรรถาธิบาย
รู้จักพระบุตรของพระเจ้า
คนบางคนค้นหาอย่างสิ้นหวังกว่าจะได้พบพระเยซู คนอื่น ๆ เช่นผมเกือบล้มเลิกความตั้งใจในการแสวงหาพระองค์ แต่เมื่อคุณพบขุมทรัพย์นี้แล้วมันก็คุ้มที่จะละทิ้งสิ่งอื่น ๆ ไป
ระหว่างอุปมาเรื่องข้าวละมานและอุปมาเรื่องอวนในทะเล พระเยซูทรงเล่าอุปมาสั้น ๆ สองเรื่องเกี่ยวกับการแสวงหาแผ่นดินสวรรค์ (ข้อ 44-46) ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างสองเรื่องนี้ก็คือ มีหนึ่งคนกำลังแสวงหาอย่างกระตือรือร้น (ข้อ 45) และในอีกคนหนึ่งดูเหมือนจะละทิ้งเสีย (ข้อ 44) ทั้งสองอย่างล้วนมีคุณค่ามหาศาลทั้ง ‘ขุมทรัพย์’ (ข้อ 44),และ ‘ไข่มุกอย่างดี’ (ข้อ 45) และคุ้มค่าที่จะขายทุกสิ่งเพื่อให้ได้มา (ข้อ 44,46)
นี่คือที่ที่จะพบ ‘ความยินดี' (ข้อ 44) ‘ขุมทรัพย์’ (ข้อ 44) และ ‘มีค่า’ (ข้อ 46) ที่แท้จริง แผ่นดินสวรรค์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรู้จักองค์จอมราชันย์ ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับพระเยซูและวิธีที่คุณตอบสนองต่อพระองค์ วิธีที่ทุกคนตอบสนองต่อพระเยซูมีความสำคัญทั้งต่อชีวิตนี้และภายภาคหน้า
เมื่อคุณพิจารณาความชั่วร้ายทั้งหมดบนโลกนี้ คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมพระเจ้าไม่จัดการกับมันทันทีและกำจัดมันออกไปเสีย ในอุปมาเรื่องข้าวละมาน ทาสรับใช้ต้องการถอนข้าวละมานออกมา แต่เจ้าบ้านของเขาไม่ยอม (ข้อ 28–29) เพราะการพิพากษากำลังจะมาถึง (ข้อ 36–43,47–50)
ทรงเตือนถึงชะตากรรมของผู้ที่ก่อให้เกิดความบาป (ข้อ 41,49–50) และตรัสถึงข้าวละมานว่าพระเจ้าจะ ‘ทิ้งมันลงในเตา' (ข้อ 41 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และจะ ‘แยกคนชั่วและทิ้งลงในเตาไฟ’ (ข้อ 49–50 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ทรงสัญญาในวันนั้นว่าคุณจะเป็น ‘คนชอบธรรม’ (ชอบธรรมต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าผ่านทางพระเยซู) และ “จะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดา” (ข้อ 43) ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าทำให้คุณเปล่งประกาย และหมายความว่าวันหนึ่งคุณจะส่องสว่างดั่งดวงอาทิตย์ในแผ่นดินสวรรค์
แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงทำลายความชั่วร้ายไปเสียหมดทันที เพราะทรงต้องการรวบรวมเอาข้าวสาลีทั้งหมดไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ด้วยเช่นกัน พระองค์ตั้งใจปล่อยเวลาร่วงเลยไปจนถึงเวลาแห่งการ ‘สิ้นยุค’ (ข้อ 39) เพื่อให้ผู้คนมีเวลามากขึ้นในการตอบรับข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซู
คำอธิษฐาน
ขอบคุณพระเจ้า ที่ความสัมพันธ์กับพระองค์เป็นไข่มุกที่มีค่ายิ่ง ขอให้ลูกได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ และขอทรงช่วยลูกให้หลุดพ้นจากสิ่งที่ ดึงลูกออกไปจากการมีความสัมพันธ์กับพระองค์
ปฐมกาล 38:1-39:23
ยูดาห์และทามาร์
1ครั้งนั้นยูดาห์ลงไปจากพวกพี่น้อง ไปอาศัยอยู่กับคนอดุลลามคนหนึ่งชื่อฮีราห์ 2ยูดาห์เห็นบุตรีคนหนึ่งของคนคานาอันที่นั่น บิดาของหญิงนั้นชื่อชูวา จึงแต่งงานกับหญิงนั้นและเข้าหานาง 3หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์มีบุตรชาย บิดาจึงตั้งชื่อว่าเอร์ 4หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์อีกมีบุตรชาย และนางให้ชื่อว่าโอนัน 5นางมีบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางให้ชื่อว่าเช-ลาห์ นางอยู่ที่เคซิบเมื่อนางมีเขา 6ยูดาห์ก็ได้หาหญิงคนหนึ่งชื่อทามาร์ให้เป็นภรรยาของเอร์บุตรหัวปีของเขา 7เอร์บุตรหัวปีของยูดาห์เป็นคนชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จึงทรงประหารเขาเสีย 8ยูดาห์จึงบอกโอนันว่า “จงเข้าหาภรรยาพี่ชายของเจ้าเถิด และทำหน้าที่ของน้องสามี เพื่อจะได้สืบเชื้อสายของพี่ชายไว้” 9โอนันรู้ว่าเชื้อสายนั้นจะไม่ได้นับเป็นของเขา เมื่อเขาเข้าหาภรรยาของพี่ชายจึงทำให้น้ำกามตกดินเสีย เพราะเกรงว่าจะมีเชื้อสายให้แก่พี่ชาย 10ในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ สิ่งที่โอนันทำนั้นชั่วร้าย พระองค์จึงทรงประหารชีวิตเขาเช่นกัน 11ยูดาห์จึงบอกทามาร์บุตรสะใภ้ว่า “กลับไปอยู่อย่างหญิงม่ายที่บ้านบิดาของเจ้าจนกว่าเช-ลาห์บุตรของเราจะโต” เพราะยูดาห์คิดว่าเขาจะตายเสียเหมือนพี่ชายทั้งสองคน ทามาร์จึงไปอาศัยอยู่กับบิดาของนาง
12อยู่มานานหลังจากนั้น ภรรยาของยูดาห์ผู้เป็นบุตรีของชูวาก็ตาย เมื่อยูดาห์คลายความเศร้า จึงขึ้นไปหาคนตัดขนแกะของเขาที่บ้านทิมนาห์ กับเพื่อนชื่อฮีราห์ เป็นคนอดุลลาม 13มีคนมาบอกทามาร์ว่า “นี่แน่ะ พ่อสามีของเจ้าขึ้นไปบ้านทิมนาห์จะตัดขนแกะ” 14นางจึงผลัดเสื้อสำหรับหญิงม่ายออก เอาผ้าคลุมหน้าและห่มตัวเอง แล้วนั่งอยู่ที่ทางเข้าบ้านเอนาอิมริมทางที่จะไปบ้านทิมนาห์ เพราะนางเห็นว่าเช-ลาห์โตขึ้นแล้ว แต่นางยังไม่ได้ถูกยกให้เป็นภรรยาของเขา 15เมื่อยูดาห์เห็นนางก็คิดว่าเป็นหญิงโสเภณี เพราะนางได้เอาผ้าคลุมหน้าไว้ 16ยูดาห์จึงเข้าไปพูดกับหญิงริมทางนั้นว่า “มาเถอะ ให้เราเข้านอนด้วย” เพราะไม่ทราบว่านางเป็นบุตรสะใภ้ของเขา นางจึงว่า “ท่านจะให้อะไรสำหรับการที่จะเข้าหาฉัน?” 17ยูดาห์ตอบว่า “เราจะส่งลูกแพะจากฝูงมาให้เจ้าตัวหนึ่ง” นางก็ถามว่า “ท่านจะให้ของมัดจำไว้ก่อนจนกว่าจะส่งลูกแพะนั้นมาได้ไหม?” 18ยูดาห์ถามว่า “เจ้าจะเอาอะไรเป็นของมัดจำ?” นางจึงตอบว่า “จะขอแหวนตรากับเชือก และไม้เท้าที่มือท่านด้วย” ยูดาห์ก็ให้ และเข้าหานาง นางก็ตั้งครรภ์กับเขา 19นางจึงลุกขึ้นไปและเอาผ้าคลุมหน้าออก ใส่เสื้อผ้าสำหรับหญิงม่ายอีก 20ฝ่ายยูดาห์ฝากลูกแพะมากับเพื่อนคนอดุลลามเพื่อให้เอาของมัดจำจากมือหญิงนั้น แต่เขาหานางไม่พบ 21เขาจึงถามคนที่อยู่ที่นั่นว่า “หญิงโสเภณีที่อยู่เอนาอิมริมทางนี้ไปไหน?” พวกเขาตอบว่า “ไม่มีหญิงโสเภณีที่นี่” 22เพื่อนก็กลับไปบอกยูดาห์ว่า “ฉันหาไม่พบ ทั้งชาวตำบลนั้นก็ว่า ‘ที่นี่ไม่มีหญิงโสเภณี’ ” 23ยูดาห์จึงว่า “ให้หญิงนั้นเก็บของนั้นไว้ มิฉะนั้นคนจะหัวเราะเยาะเรา ฉันฝากลูกแพะตัวนี้ไปให้ แต่ท่านก็หาหญิงนั้นไม่พบ”
24อยู่มาอีกสามเดือน มีคนมาบอกยูดาห์ว่า “ทามาร์บุตรสะใภ้ของท่านล่วงประเวณี ยิ่งกว่านั้นอีก นางมีครรภ์เพราะการล่วงประเวณีแล้ว” ยูดาห์จึงสั่งว่า “พานางออกมานี่ เผานางเสีย” 25เมื่อนางถูกนำตัวออกมา นางก็ส่งคนไปหาพ่อสามีบอกว่า “ข้าพเจ้ามีครรภ์กับคนที่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้” และนางว่า “ขอท่านพิจารณาดูแหวนตรา เชือก และไม้เท้า เหล่านี้ว่าเป็นของใคร” 26ยูดาห์จำได้ จึงว่า “หญิงคนนี้ชอบธรรมยิ่งกว่าเรา เพราะว่าเราไม่ได้ยกนางให้แก่เช-ลาห์บุตรของเรา” ฝ่ายยูดาห์ก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับนางต่อไปอีก
27อยู่มาเมื่อถึงกำหนดคลอดบุตร ก็มีลูกแฝดอยู่ในครรภ์ 28ขณะจะคลอดนั้น บุตรคนหนึ่งยื่นมือออกมาก่อน นางผดุงครรภ์จึงเอาด้ายแดงผูกไว้ที่มือและกล่าวว่า “คนนี้คลอดก่อน” 29เมื่อบุตรนั้นหดมือเข้าไป นี่แน่ะ น้องอีกคนหนึ่งก็คลอดออกมาก่อน นางผดุงครรภ์จึงร้องว่า “อะไรกัน แหวกออกมาได้จริงๆ” จึงให้ชื่อบุตรนั้นว่า เปเรศ 30ภายหลังบุตรที่มีด้ายแดงผูกมือนั้นก็คลอด จึงให้ชื่อว่า เศ-ราห์
ปฐมกาล 39
โยเซฟและภรรยาของโปทิฟาร์
1โยเซฟถูกพาลงไปยังอียิปต์ แล้วโปทิฟาร์ขุนนางของฟาโรห์ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ซึ่งเป็นคนอียิปต์ซื้อท่านไว้จากมือพวกอิชมาเอลที่พาท่านมาที่นั่น 2พระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ ท่านจึงประสบความสำเร็จ ท่านอยู่ในบ้านคนอียิปต์นายของท่าน 3นายของท่านก็เห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับท่าน และพระยาห์เวห์ทรงให้การงานทุกอย่างที่มือท่านทำสำเร็จ 4โยเซฟเป็นที่โปรดปรานของนาย และท่านรับใช้นาย นายก็ตั้งให้เป็นผู้ดูแลบ้าน และมอบทุกสิ่งที่เขามีไว้ในมือของท่าน 5ตั้งแต่โปทิฟาร์ตั้งโยเซฟให้เป็นผู้ดูแลบ้านและทุกสิ่งที่เขามีแล้ว พระยาห์เวห์ก็ทรงอวยพรแก่ครอบครัวของคนอียิปต์นั้นเพราะเห็นแก่โยเซฟ และพระพรของพระยาห์เวห์มาเหนือทุกสิ่งซึ่งเขามี ทั้งในบ้านและในนา 6เขามอบของทุกอย่างของเขาไว้ในความดูแลของโยเซฟ เมื่อมีท่านแล้ว เขาก็ไม่ได้เอาใจใส่สิ่งใดเลย เว้นแต่อาหารที่เขารับประทาน
โยเซฟนั้นรูปร่างหน้าตาดี 7อยู่มาภายหลัง ภรรยาของนายจ้องมองโยเซฟ และชวนว่า “มานอนกับฉันเถิด” 8แต่ท่านปฏิเสธ และตอบกับภรรยาของนายว่า “คิดดูเถิด เมื่อมีข้าพเจ้า นายก็ไม่ได้ห่วงสิ่งใดซึ่งอยู่ในบ้านเรือน นายได้มอบของทุกอย่างที่มีอยู่ไว้ในมือข้าพเจ้า 9ในบ้านนี้นายก็ไม่ใหญ่กว่าข้าพเจ้า นายไม่ได้หวงสิ่งใดจากข้าพเจ้า เว้นแต่ตัวท่านเพราะเป็นภรรยาของนาย ข้าพเจ้าจะทำความชั่วร้ายใหญ่หลวงนี้ และทำบาปต่อพระเจ้าอย่างไรได้?” 10แม้นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่า ท่านก็ไม่ยอมฟังนางคือที่จะไปนอนกับนางหรืออยู่ด้วยกันกับนาง 11วันหนึ่งท่านเข้าไปในบ้านเพื่อทำงานของท่าน ไม่มีชายประจำบ้านคนใดอยู่ในนั้น 12นางก็คว้าผ้าพันตัวของท่านไว้ แล้วพูดว่า “มานอนกับฉันเถิด” แต่ท่านทิ้งผ้าพันตัวไว้ในมือนาง หนีออกไปข้างนอก 13เมื่อนางเห็นว่าท่านทิ้งผ้าพันตัวไว้ในมือของนาง หนีไปข้างนอกแล้ว 14นางก็ร้องเรียกพวกผู้ชายประจำบ้านของนางมาบอกว่า “ดูซิ นายเอาคนฮีบรูมาเพื่อเหยียดหยามพวกเรา มันเข้ามาหาจะนอนกับฉัน แต่ฉันร้องเสียงดัง 15เมื่อมันได้ยินฉันส่งเสียงร้องขึ้น มันก็ทิ้งผ้าพันตัวไว้กับฉัน หนีออกไปข้างนอก” 16แล้วนางก็เก็บผ้าพันตัวไว้ใกล้ตัวจนนายของท่านกลับมาบ้าน 17แล้วนางก็บอกกับเขาดังนี้ “ทาสฮีบรูที่ท่านนำมาไว้นั้นเข้ามาหาจะเหยียดหยามฉัน 18เมื่อฉันส่งเสียงร้องขึ้น มันก็ทิ้งผ้าพันตัวไว้กับฉัน หนีออกไปข้างนอก”
19เมื่อนายของท่านได้ฟังคำบอกเล่าของภรรยาว่า “ทาสของท่านทำกับฉันดังนั้น” ก็โกรธนัก 20จึงเอาโยเซฟไปไว้ในคุกที่ขังนักโทษหลวง ท่านก็ถูกขังอยู่ที่นั่น 21แต่ว่าพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน และทรงให้พัศดีโปรดปรานท่าน 22พัศดีก็มอบนักโทษทั้งหมดในเรือนจำไว้ในความดูแลของโยเซฟ การงานที่ทำในที่นั้นทุกอย่างโยเซฟเป็นผู้ทำ 23พัศดีไม่ต้องดูการงานทุกอย่างที่โยเซฟดูแล เพราะพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับท่าน และพระยาห์เวห์ก็ทรงทำให้สิ่งที่ท่านทำนั้นสำเร็จ
อรรถาธิบาย
ประสบการณ์การอวยพรจากพระเจ้า
สถานการณ์ของคุณห่างไกลจากคำว่าเยี่ยมยอดหรือเปล่า? หรือคุณกำลังรู้สึกเหมือนถูกกักขัง? คุณหวังว่าคุณจะได้งานอื่น คุณจะได้อยู่สถานที่อื่น ๆ หรือความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่หรือไม่? ไม่ว่าสถานการณ์ของคุณจะเป็นเช่นไร พระธรรมตอนนี้แสดงให้เห็นว่าหากคุณยังคงสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า คุณจะสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตย์ ความโปรดปรานและพระพรที่มาจากพระองค์
เราได้เห็นความย้อนแย้งกันระหว่างความไม่ซื่อสัตย์และความหน้าซื่อใจคดของยูดาห์ กับความซื่อสัตย์ของโยเซฟเมื่อเผชิญกับการล่อลวงทางเพศ
หลังจากที่ภรรยาของยูดาห์เสียชีวิต เขารู้สึกเปราะบางจนกระทั่งล้มลงในความบาป เมื่อทามาร์ลูกสะใภ้ของเขาสวมรอยเป็นโสเภณี เขาได้มอบแหวนและเชือกและไม้เท้าเป็นเครื่องมัดจำแก่นางเพื่อร่วมหลับนอน จนนางตั้งครรภ์ (38:1–18)
เมื่อยูดาห์ทราบว่าลูกสะใภ้ของเขากระทำความผิดโดยการล่วงประเวณีจนตั้งครรภ์ ยูดาห์จึงพูดว่า ‘พานางออกมานี่ เผานางเสีย!’ (ข้อ 25) จากนั้นนางก็ได้ยื่นสิ่งที่ยูดาห์เคยมัดจำไว้นั่นคือ ‘แหวนตรา เชือก และไม้เท้า’ (ข้อ 25) ในที่สุดยูดาห์ถูกจับได้ เขาได้ตระหนักถึงความหน้าซื่อใจคดและบาปของตัวเอง (ข้อ 26)
อย่างไรก็ตามพระคุณของพระเจ้าช่างแสนพิเศษ เปเรซคือบุตรชายที่เกิดจากเหตุการณ์นี้และมีรายชื่ออยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลของพระเยซู (ดูมัทธิว 1:3) โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งที่มารมุ่งหวังให้เกิดสิ่งชั่วร้ายให้กลายเป็นสิ่งดี
บาปของยูดาห์ตรงข้ามกับความชอบธรรมของโยเซฟ ‘พระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ ท่านจึงประสบความสำเร็จ’ (ปฐมกาล 39:2) โปทิฟาร์เห็นว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเขาและประทานความสำเร็จให้เขาในทุกสิ่งที่เขาทำ จึงมอบหมายให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลบ้านเรือนทั้งหมด (ข้อ 4) ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงอวยพรครอบครัวของเขามากมาย (ข้อ 5)
ข้อความที่ว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงอยู่กับ (โยเซฟ)’ ปรากฏสี่ครั้งในข้อนี้ (39:2,3,21,23) อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสถิตกับคุณ ไม่ได้หยุดคุณจากการเผชิญกับการล่อลวง โยเซฟเผชิญกับการล่อลวงครั้งใหญ่ ภรรยาของโปทิฟาร์ พยายามล่อลวงให้เขามานอนกับเธอ แต่เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เขาเห็นว่าหากเผลอล้มลงในการทดลองนี้จะเป็นการทำบาปต่อพระเจ้าและต่อโปติฟาร์นายจ้างของเขาด้วย ‘ข้าพเจ้าจะทำความชั่วร้ายใหญ่หลวงนี้ และทำบาปต่อพระเจ้าอย่างไรได้?’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะนอนกับเธอเท่านั้น แต่เขายังไม่ยอมแม้แต่จะอยู่ใกล้สิ่งล่อตาล่อใจนั้นด้วย (ข้อ 10)
โยเซฟคือตัวอย่างที่ดีในการรับมือกับการทดลอง วิธีที่ดีที่สุดคือหนีออกจากมัน (2 ทิโมธี 2:22) หากคุณกำลังเผชิญกับการล่อลวงครั้งใหญ่ให้จัดการอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับโยเซฟนั่นคือหนีไปเสียจากมัน
ภรรยาของโปทิฟาร์คว้าโยเซฟด้วยเสื้อคลุมและพูดอีกครั้งว่า ‘“มานอนกับฉันเถิด!” แต่ท่านทิ้งผ้าพันตัวไว้ในมือนาง หนีออกไปข้างนอก’ (ปฐมกาล 39:12)
ดูสิ่งที่ตรงกันข้ามกับยูดาห์ เขาได้ทิ้งแหวนตรา เชือกและไม้เท้าไว้ในมือของทามาร์ มันเป็นหลักฐานมัดตัวเขาไว้ในการกระทำความผิด แต่โยเซฟทิ้งเสื้อคลุมไว้ในมือภรรยาของโปทิฟาร์ นางใช้มันเพื่อพิสูจน์ความผิดของเขาแม้ว่าในความเป็นจริงมันเป็นหลักฐานแห่งความบริสุทธิ์ของเขาก็ตาม
เป็นความจริงที่ว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงอยู่กับโยเซฟ’ แม้โยเซฟจะเอาชนะการล่อลวงสำเร็จ แต่เขาก็ต้องทนทุกข์กับความ อยุติธรรมอย่างมหันต์ (ข้อ 19 เป็นต้นไป) และถูกคุมขังในคุก (ข้อ 20) เขาสูญเสียอิสรภาพ แต่ไม่ได้สูญเสียเสรีภาพ
เพราะแม้จะอยู่ในคุก พระเจ้าก็สถิตย์อยู่กับเขา พระองค์ ‘ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อท่าน และทรงให้พัศดีโปรดปรานท่าน’ (ข้อ 21) ‘พัศดีก็มอบนักโทษทั้งหมดในเรือนจำไว้ในความดูแลของโยเซฟ การงานที่ทำในที่นั้นทุกอย่างโยเซฟเป็นผู้ทำ' (ข้อ 22 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เพราะพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับท่าน และพระยาห์เวห์ก็ทรงทำให้สิ่งที่ท่านทำนั้นสำเร็จ (ข้อ 23)
สถานการณ์ในชีวิตคุณอาจไม่สู้ดีนัก คุณอาจรู้สึกเหมือนอยู่ในคุก หรือติดคุกจริง ๆ หรือถูกคุมขังเหมือนนักโทษในด้านการงาน ปัญหาสุขภาพ ปัญหาความสัมพันธ์ที่ยากลำบากหรือสถานการณ์อื่น ๆ ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้หากคุณยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า แน่นอนผู้อื่นจะเห็นได้ว่าคุณจะเป็นผู้ได้รับกับการทรงสถิตย์และความโปรดปรานและพระพรของพระองค์ที่มีต่อชีวิตของคุณ นี่คือ ‘ไข่มุก…มีค่ามาก’ (มัทธิว 13: 45–46) คือการครอบครองที่มีค่าที่สุดของคุณ
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะดูผิดพลาด อีกทั้งมีการทดลองและการล่อลวง แต่ลูกสามารถรู้ได้ว่าพระองค์อยู่กับลูก และลูกจะมีประสบการณ์การอวยพรจากพระองค์
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ปฐมกาล 39:1-23
คุณไม่สามารถทำให้คนดีตกต่ำได้ พระเจ้าอยู่กับโยเซฟเมื่อทุกอย่างดูผิดพลาด พระองค์ไม่ได้ช่วยเขาออกจากเหตุการณ์นั้น แต่พระองค์ใช้มันเพื่อสร้างลักษณะนิสัยของโยเซฟ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการของพระองค์
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)