วัน 27

จะดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้องได้อย่างไร

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 17:1-5
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 19:1-15
พันธสัญญาเดิม โยบ 4:1-7-21

เกริ่นนำ

พิพพา และผมชอบไปเดินเล่นกันมาก เมื่อไม่นานมานี้เราไปเดินเล่นที่เซาท์ดาวน์ค่อนข้างนานเลยทีเดียว เราทั้งคู่เดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ทิศทางและลืมที่จะใช้แผนที่ ด้วยเหตุนี้เราจึงเดินออกนอกเส้นทาง และไปลงเอยที่ฟาร์มของใครบางคน

มันเป็นอีกหนึ่งวันที่สั้นที่สุดของปี ไม่นานดวงตะวันก็เริ่มลับขอบฟ้า ดูเหมือนว่าวิธีเดียวที่จะกลับไปลานจอดรถได้ คือต้องข้ามทุ่งหญ้าที่มีวัวฝูงใหญ่มากมายอยู่โดยรอบ ขณะที่เรากำลังมุ่งไปหาฝูงวัวเหล่านั้น จู่ ๆ เราก็ค่อย ๆ ถูกล้อมด้วยวัวบางตัวที่ดูท่าทางเป็นมิตรมากเกินไป เราโดนปิดกั้นทางเดิน ในขณะที่ตัวอื่น ๆ พากันตกใจและเริ่มยืนตั้งท่ารอบ ๆ ทุ่งหญ้านี้

พวกเราเกรงว่าจะถูกวัวเหล่านี้พุ่งเข้าใส่ด้วยความกลัว จึงจำเป็นต้องรีบเดินออกมาจากอีกฝากหนึ่งที่ทั้งสูงชันและลื่นมาก ๆ พิพพาเดินได้เกินระยะที่เธอต้องการแล้ว และความมืดกำลังคลืบคลานเข้ามา ดูเหมือนว่าเราจะไม่อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง สิ่งต่าง ๆ ดูไม่ดีเอาเสียเลย

ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดเราเจอเส้นทางที่นำเรากลับมาได้ มันช่างโล่งใจเหลือเกิน ในการเดินเล่นครั้งต่อ ๆ ไปเราจึงตัดสินใจว่าจะใช้แผนที่ และยึดตามเส้นทางหลักอย่างแน่นอน การอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ดีมาก เพื่อที่เราจะไม่ต้องกังวล เพื่อการสนทนาและเพื่อความสัมพันธ์ของเรา!

ในพระคัมภีร์มักใช้ภาพของทางของพระเจ้า ซึ่งเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ชีวิต

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 17:1-5

คำอธิษฐานขอให้พ้นจากการกดขี่

คำอธิษฐานของดาวิด

1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงสดับคำร้องขอความยุติธรรม
 ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์
 ขอเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ซึ่งมาจากริมฝีปากที่ไม่หลอกลวง
2ขอให้การชนะความของข้าพระองค์มาจากพระองค์
 ขอทอดพระเนตรสิ่งที่เที่ยงธรรม
3เมื่อพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์ และเสด็จเยี่ยมเยียนข้าพระองค์ในเวลากลางคืน
 เมื่อทรงทดสอบข้าพระองค์แล้ว
 พระองค์จะไม่ทรงพบความอธรรมในข้าพระองค์เลย
 ปากของข้าพระองค์ก็มิได้ละเมิด
4ในเรื่องกิจการของมนุษย์ โดยอาศัยพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์
 ข้าพระองค์ได้เลี่ยงพ้นทางของคนโหดร้าย
5ย่างเท้าของข้าพระองค์แนบสนิทกับวิถีของพระองค์
 เท้าของข้าพระองค์มิได้พลาด

อรรถาธิบาย

มุ่งมั่นที่จะอยู่ในทางของพระเจ้า

ดาวิดกล่าวว่า 'ย่างเท้าของข้าพระองค์ได้ยึดมั่นอยู่บนวิถีของพระองค์ (ไปยังเส้นทางของผู้ที่ทรงเคยไปมาก่อน)’ (ข้อ 5ก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) คำว่า เส้นทาง (paths) ในภาษาฮีบรูจริง ๆ แล้วหมายถึง ‘ล้อ’ ดาวิดตั้งใจแน่วแน่ที่จะอยู่บนวิถีทางของพระเจ้า และเพื่อที่จะอยู่บนเส้นทางของพระองค์คุณต้องสำรวจสิ่งเหล่านี้:

1.\tหัวใจของคุณ (สิ่งที่คุณนึกคิด)

‘เมื่อพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์และเสด็จเยี่ยมเยียนข้าพระองค์ในเวลากลางคืน เมื่อทรงทดสอบข้าพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทรงพบความอธรรมในข้าพระองค์เลย’ (ข้อ 3 ก)

2. คำพูดของคุณ (สิ่งที่คุณพูด)

ปากของข้าพระองค์ก็มิได้ละเมิด’ (ข้อ 3ค)

3. เท้าของคุณ (สถานที่ที่คุณไป)

เท้าของข้าพระองค์มิได้พลาด’ (ข้อ 5ข)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เดินในทางของพระองค์ ขอให้เท้าของข้าพระองค์ไม่พลาดไป ขอปกป้องข้าพระองค์จากความคิดชั่วร้ายทั้งกลางวันและกลางคืน และช่วยข้าพระองค์ให้ไม่ละเมิดสิ่งใด ๆ ผ่านทางคำพูดและการกระทำ

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 19:1-15

การตรัสสอนเรื่องการหย่าร้าง

 1เมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ก็เสด็จจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในเขตแดนแคว้นยูเดียที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน 2มหาชนติดตามพระองค์ไป และพระองค์ทรงรักษาโรคของเขาทั้งหลายที่นั่น
 3พวกฟาริสีมาทดลองพระองค์โดยทูลถามว่า “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่?” 4พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิมนั้นทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง 5และตรัสว่า ‘เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’ 6ด้วยเหตุนี้เขาทั้งสองจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” 7พวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมโมเสสสั่งให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าได้?” 8พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “โมเสสยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยา เพราะใจของท่านแข็งกระด้าง แต่เมื่อเดิมไม่ได้เป็นอย่างนั้น 9เราขอบอกท่านทั้งหลายว่า ใครก็ตามที่หย่าภรรยาของตน แล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี เว้นแต่ว่านางเป็นชู้กับชายอื่น
 10พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “ถ้าลักษณะสามีภรรยาเป็นอย่างนั้น ไม่แต่งงานยังจะดีกว่า” 11พระองค์ทรงตอบว่า “ไม่ใช่ทุกคนจะรับคำสอนนี้ได้ ยกเว้นคนที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น 12เพราะคนที่เป็นขันทีตั้งแต่เกิดก็มี คนที่มนุษย์ทำให้เป็นขันทีก็มี คนที่ทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่แผ่นดินสวรรค์ก็มี ใครรับได้ก็ให้รับเอาเถิด”

การทรงอวยพรเด็กเล็กๆ

 13เวลานั้นมีคนพาเด็กเล็กๆ มาเฝ้าพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์วางพระหัตถ์และทรงอธิษฐาน แต่พวกสาวกต่อว่าคนที่พาพวกเขามา 14พระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาเฝ้าเรา อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น” 15เมื่อพระองค์วางพระหัตถ์บนเด็กเหล่านั้นแล้ว ก็เสด็จไปจากที่นั่น

อรรถาธิบาย

ให้ความสัมพันธ์ของคุณอยู่ในทางของพระเจ้า

คำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับความสัมพันธ์ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของคุณเองและต่อสังคม เนื้อหาในวันนี้พระองค์ทรงกำหนดเส้นทางของพระเจ้าสำหรับชีวิตครอบครัว

1. ความสำคัญของการแต่งงาน

พวกฟาริสีถามพระเยซูเกี่ยวกับการหย่าร้าง แต่พระองค์ทรงตอบโดยใช้เรื่องของการแต่งงาน โดยย้อนกลับไปที่การทรงสร้างของพระเจ้า พระเยซูอ้างถึงพระคำจากปฐมกาล 2:24 โดยกล่าวว่า ‘เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’ (มัทธิว 19:5) พระคำตอนนี้จากปฐมกาลถูกยกให้เป็นเป็นข้อพระคัมภีร์แม่แบบสำหรับชีวิตสมรส ไม่เพียงแต่ในพันธสัญญาเดิมและโดยเปาโล (เอเฟซัส 5:31) แต่ยังรวมถึงพระเยซูเองด้วย

การแต่งงานคือการก้าวออกจากการเป็นคนของสาธารณะ คือการให้คำมั่นสัญญากับคู่ของคุณไปตลอดชีวิต ซึ่งมีสำคัญเหนือกว่าความสัมพันธ์ของพ่อแม่ด้วยซ้ำ รวมถึงการ ‘ผูกพัน’ ตัวกับคู่ของตน คำว่า ‘ติดแน่น’ (glued) ในภาษาฮีบรูแท้จริงแล้วหมายถึงร่วมกัน ไม่ใช่แค่ทางร่างกายและทางชีวภาพ แต่เป็นทางด้านอารมณ์จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ นี่คือบริบทของคริสเตียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ‘เป็นเนื้อเดียว’ หลักคำสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการแต่งงาน เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและเป็นบวกที่สุดเท่าที่เคยมีอยู่ ทั้งยังเป็นภาพที่สุดแสนจะงดงาม ที่ถูกกำหนดไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วโดยองค์พระเจ้า

2. กฏแห่งการหย่าร้าง

พวกฟาริสียังคงมีคำถามเกี่ยวกับการหย่าร้าง พวกเขาพูดถึงคำสั่งของโมเสส (มัทธิว 19:7) พระเยซูทรงตอบโดยตรัสว่าโมเสสอนุญาตให้ทำเช่นนั้น ‘เพราะใจของท่านแข็งกระด้าง’ (ข้อ 8) และเพื่อตอกกลับไปถึงพวกผู้ชายที่ (ในสังคมที่ผู้หญิงมีสิทธิน้อยกว่ามาก) ตั้งใจใช้บทบัญญัติของธรรมบัญญัตินี้เพื่อเดินออกจากภรรยาของตน (ข้อ 9)

บทบัญญัติเกี่ยวกับการหย่าร้างของโมเสสทำให้เรานึกถึงพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้าในสถานการณ์ที่เรากำลังหลงลืมน้ำพระทัยของพระองค์ไป แต่พระเยซูกำลังบอกว่าการหย่าร้างไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย

หลายคนที่เผชิญกับความเจ็บปวดจากชีวิตคู่ที่พังทลายจะพรรณาเช่นเดียวกับโยบเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของเขาในข้อพระคัมภีร์เดิมในวันนี้ เราจำเป็นต้องทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อปกป้องชีวิตคู่ (ของเราและของคนอื่น ๆ ผมสนับสนุนให้ทุกคู่ในคริสตจักรของเราเข้าร่วมหลักสูตรคู่สมรส) และเพื่อปลอบโยนผู้ที่ผ่านการหย่าร้างมา (ไม่ใช่ด้วยการตำหนิเช่นเอลีฟัส)

3. ถูกเรียกให้เป็นโสด

พระเยซูตรัสถึงความเป็นโสดสามประเภท ประเภทแรกคือบางคน ‘เป็นขันทีตั้งแต่เกิด’ (ข้อ 12ก) และ ‘ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลย’ (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ประเภทที่สองคือมีความเป็นโสดโดยไม่สมัครใจ (ข้อ12ค) ผู้ที่ ‘ไม่เคยถูกถาม หรือยอมรับ’ (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ประเภทที่สามคือมีความเป็นโสดโดยสมัครใจ คือผู้ที่ ‘คนที่ทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่แผ่นดินสวรรค์’ (ข้อ 12ค , พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความเป็นโสดอาจเป็นเพียงชั่วคราวหรือถาวร แต่ในพันธสัญญาใหม่ไม่เคยถือว่าเป็นสิ่งดีที่สุดรองลงมา ทั้งการแต่งงานและการเป็นโสดเป็นการทรงเรียกที่สูงส่งและตามพันธสัญญาใหม่มีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับทั้งคู่

4. ความสำคัญของเด็ก ๆ

พระวจนะของพระเยซูท้าทายทัศนคติของคนยุคนั้นที่มีต่อเด็ก ๆ ในสังคมโบราณเด็กเล็ก ๆ มักจะถูกควบคุมตัวอยู่รอบนอกของสังคม ในคำสอนโบราณของอังกฤษบอกว่าพวกเขาจะต้อง ‘ถูกมองเห็น แต่ไม่ได้ยิน’

แต่วิถีของพระเจ้านั้นแตกต่างออกไป พระเยซูวางมือบนเด็กเล็ก ๆ และอธิษฐานเพื่อพวกเขา (ข้อ 13 ก) เมื่อเหล่าสาวกรู้สึกว่าเด็กเหล่านั้นไม่ควรเข้าไปรบกวนพระองค์ พระเยซูจึงตรัสว่า ‘จงยอมให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาเฝ้าเรา อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น’ (ข้อ 14) พระองค์แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเด็ก ๆ ที่ควรมีในชีวิตของเรา

ในฐานะพ่อแม่ เป็นเรื่องสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับลูกๆ และอย่ามองว่าพวกเขาทำให้เราเสียสมาธิจากงานหรืองานรับใช้ ในฐานะคริสตจักรเราต้องให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนในด้านทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของพวกเขาเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นอนาคตของคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรเราด้วย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัวและในสังคม ไม่ให้เดินออกนอกทางของพระองค์เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว ขอพระพรมาสู่ทุกคนที่ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเสริมสร้างชีวิตครอบครัว

พันธสัญญาเดิม

โยบ 4:1-7-21

เอลีฟัสว่าโยบทำบาป

1แล้วเอลีฟัสชาวเทมานตอบว่า
2“ถ้าจะลองพูดกับท่านสักคำ ท่านจะทนไหวหรือ?
 ถึงกระนั้น ผู้ใดจะอดพูดได้?
3ดูเถิด ท่านได้สั่งสอนคนจำนวนมาก
 และท่านได้ทำให้มือที่อ่อนแรงมีกำลัง
4ถ้อยคำของท่านหนุนใจคนที่กำลังสะดุด
 และท่านได้ทำให้เข่าที่อ่อนล้านั้นมั่นคง
5แต่บัดนี้ความทุกข์มาถึงท่านแล้ว และท่านก็ทนไม่ไหว
 มันแตะต้องท่านเข้า และท่านก็หวาดผวา
6ความยำเกรงพระเจ้าคือความไว้วางใจของท่านมิใช่หรือ?
 และการดำเนินชีวิตที่ซื่อสัตย์คือความหวังของท่านมิใช่หรือ?
7“ขอคิดหน่อยซิว่า ผู้ที่ไร้ความผิดเคยพินาศหรือ?
 หรือคนเที่ยงธรรมถูกทำลายที่ไหน?
8ตามที่ข้าได้เห็น บรรดาผู้ไถความบาปผิด
 และผู้หว่านความลำบากก็จะได้เกี่ยวสิ่งนั้น 9เขาพินาศด้วยลมหายใจของพระเจ้า
 และเขาต้องสิ้นไปด้วยลมแห่งพระพิโรธของพระองค์
10แม้สิงห์จะคำราม และราชสีห์จะแผดเสียง
 แต่ฟันของสิงห์หนุ่มก็หักเสียแล้ว
11สิงห์แข็งแรงพินาศเพราะขาดเหยื่อ
 และลูกของแม่สิงห์ก็กระจัดกระจายไป
12“มีคำหนึ่งมาถึงข้าอย่างเงียบๆ
 หูของข้าได้ยินเสียงกระซิบคำนั้น
13ท่ามกลางความคิดจากนิมิตกลางคืน
 เมื่อคนหลับสนิท
14ความกลัวและการตัวสั่นมาเหนือข้า
 ซึ่งทำให้กระดูกทั้งสิ้นของข้าสั่นสะเทือน
15มีวิญญาณผ่านหน้าข้าไป
 ขนที่เนื้อของข้าลุกชัน
16สิ่งนั้นนิ่งอยู่
 แต่ข้าไม่อาจบอกรูปร่างของสิ่งนั้นได้
มีสัณฐานอย่างหนึ่งอยู่ต่อตาของข้า
 แล้วข้าได้ยินเสียงหนึ่งจากความสงัดว่า
17‘มนุษย์จะชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือ?
 คนเราจะบริสุทธิ์ต่อหน้าผู้สร้างเขาได้หรือ?
18ดูเถิด แม้ผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ก็ไม่วางพระทัย
 และแม้ทูตสวรรค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงกล่าวโทษ
19ผู้อาศัยในเรือนดินจะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
 ผู้ที่รากฐานของเขาอยู่ในผงคลีดิน
 ผู้ถูกขยี้อย่างแมลงเม่า
20เขาถูกทำลายระหว่างเวลาเช้าและเย็น
 เขาพินาศไปเป็นนิตย์โดยไม่มีผู้ใดสนใจ
21เมื่อสายโยงเต็นท์ภายในเขาถูกถอดเสีย
 เขาจะตายด้วยปราศจากปัญญา มิใช่หรือ?’

โยบ 5

เอลีฟัสว่าโยบถูกพระเจ้าตีสอน

1“ร้องเรียกเดี๋ยวนี้ซิ มีผู้ใดจะตอบท่านเล่า?
 ท่านจะหันไปหาทูตสวรรค์องค์ใด?
2แน่ละ ความขุ่นเคืองใจฆ่าคนโง่
 และความริษยาฆ่าคนรู้น้อย
3ข้าเคยเห็นคนโง่หยั่งราก
 แต่ทันใดนั้น ข้าก็แช่งที่อาศัยของเขา
4บุตรของเขาห่างไกลจากความปลอดภัย
 พวกเขาถูกบีบคั้นที่ประตูเมือง
 และไม่มีผู้ใดช่วยกู้ได้
5ผลที่เขาเกี่ยว คนหิวก็กินเสีย
 แม้ส่วนที่เอาหนามสะไว้ เขาก็เอาไป
 และคนกระหายก็กระเหี้ยนกระหือรือไล่ตามความมั่งคั่งของเขา
6เพราะความทุกข์มิได้มาจากผงคลี
 และความยากลำบากมิได้งอกมาจากดิน
7แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อความยากลำบาก
 อย่างประกายไฟย่อมปลิวขึ้นไป
8“ส่วนข้าเอง ข้าจะแสวงหาพระเจ้า
 และข้าจะมอบเรื่องของข้าไว้กับพระเจ้า
9ผู้ทรงทำการใหญ่เหลือที่จะหยั่งรู้ได้
 และการอัศจรรย์นับไม่ถ้วน
10พระองค์ประทานฝนบนพื้นแผ่นดิน
 และทรงส่งน้ำมาบนพื้นนา
11พระองค์ทรงตั้งคนต่ำต้อยไว้บนที่สูง
 และคนที่ไว้ทุกข์ ก็ทรงยกขึ้นให้ปลอดภัย
12พระองค์ทรงขัดขวางอุบายของคนเจ้าเล่ห์
 เพื่อมือของเขาจะทำไม่สำเร็จ
13พระองค์ทรงจับคนมีปัญญาด้วยเล่ห์กลของเขาเอง
 และแผนการของคนหลอกลวงก็ทรงให้ยุติลงฉับพลัน
14เขาพบความมืดในเวลากลางวัน
 และคลำทางในตอนเที่ยงวันเหมือนอย่างเวลากลางคืน
15แต่พระองค์ทรงช่วยคนขัดสนให้พ้นดาบที่ออกมาจากปากของพวกเขา
 และช่วยไว้จากมือของคนมีกำลัง
16คนจนจึงมีความหวัง
 และความอยุติธรรมก็ปิดปากของตน
17“ดูเถิด มนุษย์คนใดที่พระเจ้าทรงตักเตือนก็เป็นสุข
 เพราะฉะนั้น อย่าดูหมิ่นการตีสอนขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
18เพราะพระองค์ทรงให้บาดเจ็บ แต่พระองค์ทรงพันแผลให้
 พระองค์ทรงโบยตี แต่พระหัตถ์ของพระองค์ก็รักษา
19พระองค์จะทรงช่วยกู้ท่านจากความทุกข์ยากหกประการ
 เออ เจ็ดประการ จะไม่มีเหตุร้ายมาแตะต้องท่าน
20ในคราวกันดารอาหาร พระองค์จะทรงไถ่ท่านออกจากความตาย
 และในการสงคราม จากอานุภาพของดาบ
21จะทรงซ่อนท่านไว้จากการใส่ร้ายของลิ้น
 และท่านจะไม่กลัวการทำลายเมื่อมันมาถึง
22ท่านจะหัวเราะเยาะการทำลายและการกันดารอาหาร
 และจะไม่กลัวสัตว์ป่าแห่งแผ่นดิน
23เพราะท่านจะทำพันธสัญญากับหินแห่งท้องทุ่ง
 และสัตว์ป่าแห่งท้องทุ่งจะอยู่อย่างสงบกับท่าน
24ท่านจะทราบว่าเต็นท์ของท่านปลอดภัย
 ท่านจะตรวจดูคอกแกะของท่านและไม่มีตัวใดหายไป
25ท่านจะทราบด้วยว่าพงศ์พันธุ์ของท่านจะมากมาย
 และลูกหลานของท่านจะเป็นเหมือนหญ้าแห่งแผ่นดิน
26ท่านจะมาถึงหลุมศพของท่านเมื่อแก่หง่อม
 อย่างฟ่อนข้าวที่นำมาสู่ลานตามฤดู
27นี่แหละเรื่องที่เราพิเคราะห์แล้ว และมันเป็นความจริง
 ท่านจงฟังและรับทราบเถิด”

โยบ 6

โยบตอบว่าคำบ่นของตนเหมาะสมแล้ว

1แล้วโยบตอบว่า
2“โอ ข้าอยากให้ชั่งดูความทุกข์ใจของข้า
 และเอาภัยพิบัติของข้าใส่ในตราชูด้วย
3ก็จะหนักกว่าทรายในทะเล
 เพราะเหตุนี้ ข้าจึงพูดไม่ยั้งคิด
4เพราะธนูขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็อยู่ในตัวข้า
 จิตวิญญาณข้าดื่มพิษของมัน
 บรรดาสิ่งน่ากลัวจากพระเจ้าเรียงแถวเข้าหาข้า
5ลาป่าร้องเมื่อมันมีหญ้าหรือ?
 วัวผู้ร้องเมื่อมันมีฟางหรือ?
6จะกินของจืดโดยไม่ใส่เกลือได้หรือ?
 หรือไข่ขาวจะมีรสชาติอะไร?
7ข้าไม่ยอมแตะต้องของเหล่านั้น
 มันเป็นเหมือนอาหารที่ข้ารังเกียจ
8“โอ ข้าอยากจะได้ตามที่ทูลขอ
 ขอพระเจ้าประทานตามที่ข้าปรารถนา
9คือพระเจ้าพอพระทัยที่จะขยี้ข้า
 คือพระองค์จะเหยียดพระหัตถ์และตัดข้าออกเสีย
10นี่จะเป็นการปลอบโยนใจข้า
 ข้าจะเต้นโลด แม้เจ็บปวดแสนสาหัส
 เพราะข้ามิได้ปฏิเสธพระวจนะขององค์บริสุทธิ์นั้น
11ข้ามีกำลังอะไรที่ข้าจะคอย?
 และอะไรเป็นปลายทางของข้าที่ข้าจะต้องอดทน?
12กำลังของข้าเป็นกำลังของหินหรือ?
 เนื้อของข้าเป็นเนื้อทองสัมฤทธิ์หรือ?
13ที่จริงข้าไม่มีความช่วยเหลือในตัวข้าเลย
 สติปัญญาก็พรากไปจากข้า
14“ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวความเมตตาไว้จากเพื่อน
 ก็ทอดทิ้งความยำเกรงองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
15พี่น้องของข้าก็เชื่อถือไม่ได้อย่างห้วย
 อย่างลำห้วยที่น้ำไหลล้น
16ซึ่งมืดทึบไปด้วยน้ำแข็ง
 และหิมะซ่อนตัวอยู่ในนั้น
17ในฤดูร้อน มันก็หายไป
 เมื่อร้อน มันก็อันตรธานไปจากที่ของมัน
18กองคาราวานหันออกจากทางของตน
 พวกเขาขึ้นไปยังที่ร้างเปล่า และพินาศ
19กองคาราวานแห่งเทมามองหาน้ำ
 กลุ่มคนเดินทางแห่งเชบารอคอย
20เพราะพวกเขามั่นใจ จึงต้องอับอาย
 เขามาถึงที่นั่นและตกตะลึง
21บัดนี้ ท่านทั้งหลายเป็นอย่างนั้นสำหรับข้า
 พวกท่านเห็นสิ่งที่สยองขวัญก็กลัว
22ข้าพูดหรือว่า ‘ขอของกำนัลข้าหน่อย’?
 หรือพูดว่า ‘ขอสินบนจากทรัพย์ของท่านให้ข้า’?
23หรือว่า ‘ขอช่วยกู้ข้าจากมือของปฏิปักษ์’?
 หรือว่า ‘ขอไถ่ข้าจากมือของผู้บีบบังคับ’?
24“สอนข้าซี แล้วข้าจะเงียบ
 ขอทำให้ข้าเข้าใจว่าข้าผิดตรงไหน
25คำซื่อตรงมีอำนาจมากจริงๆ
 แต่คำตำหนิของท่านตำหนิอะไร?
26ท่านคิดว่าท่านตำหนิถ้อยคำได้หรือ
 เมื่อคำกล่าวของคนสิ้นหวังเป็นเพียงลม?
27เออ ท่านทั้งหลายคงจะได้จับฉลากเอาลูกกำพร้าพ่อ
 และต่อรองเอาเพื่อนของท่านเหมือนเป็นสินค้า
28“แต่บัดนี้ ขอมองดูข้า
 เพราะข้าจะไม่โกหกต่อหน้าท่าน
29โปรดหันมาคิดใหม่ อย่าทำผิดเลย
 เออ หันมาคิดใหม่เถอะ ข้ายังถูกอยู่
30ลิ้นข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ?
 ข้าไม่รู้ซึ้งถึงภัยพิบัติหรือ?

โยบ 7

โยบว่าความทุกข์ของท่านไม่มีสิ้นสุด

1“มนุษย์มีงานเหนื่อยยากบนแผ่นดินมิใช่หรือ?
 และชีวิตเขาเหมือนชีวิตลูกจ้างมิใช่หรือ?
2เหมือนทาสผู้โหยหาร่มเงา
 และเหมือนลูกจ้างผู้เฝ้าคอยค่าแรง
3เช่นเดียวกัน ข้าได้ส่วนแบ่งเป็นเดือนแห่งความอนิจจัง
 และคืนแห่งความทุกข์ถูกจัดสรรแก่ข้า
4เมื่อข้านอนลง ข้าว่า ‘เมื่อไรหนอข้าจะลุกขึ้น?’
 แต่กลางคืนก็ยาว
 และข้าก็พลิกไปพลิกมาจนรุ่งเช้า
5เนื้อของข้าห่มด้วยหนอนและฝุ่น
 หนังของข้าด้านแข็งและปริออก 6วันคืนของข้าเร็วกว่ากระสวยของช่างทอ
 และจบลงอย่างสิ้นหวัง
7“ขอทรงระลึกว่า ชีวิตข้าพระองค์เป็นเพียงลมหายใจ
 ดวงตาข้าพระองค์จะไม่เห็นสิ่งดีอีกเลย
8ดวงตาที่เคยเห็นข้าพระองค์จะไม่เห็นข้าพระองค์อีกต่อไป
 ฝ่ายพระเนตรของพระองค์มองหาข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็ไม่อยู่เสียแล้ว
9เมฆจางและหายไปฉันใด
 ผู้ที่ลงไปยังแดนคนตายก็มิได้ขึ้นมาฉันนั้น
10เขาไม่กลับไปเรือนของเขาอีก
 และที่อยู่ของเขาก็ไม่รู้จักเขาอีกเลย
11“เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ยั้งปาก
 ข้าพระองค์จะพูดด้วยใจระทม
ข้าพระองค์จะบ่นด้วยใจขมขื่น
12ข้าพระองค์เป็นทะเล หรือเป็นมังกรหรือ
 พระองค์จึงทรงวางยามเฝ้าข้าพระองค์?
13เมื่อข้าพระองค์พูดว่า ‘เตียงของข้าจะปลอบโยนข้า
 ที่นอนของข้าจะผ่อนคลายทุกข์ของข้า’
14พระองค์ก็ทรงทำให้ข้าพระองค์กลัวด้วยความฝัน
 และทำให้ข้าพระองค์หวาดเสียวด้วยนิมิต
15ข้าพระองค์จึงเลือกที่จะถูกรัดคอตาย
ดีกว่าจะเหลือแต่กระดูกอย่างนี้
16ข้าพระองค์เบื่อชีวิต ข้าพระองค์จะไม่อยู่ค้ำฟ้า
 ปล่อยข้าพระองค์ตามลำพังเถิด เพราะวันเวลาของข้าพระองค์เป็นแต่เพียงลมหายใจ
17มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า พระองค์จึงทรงถือว่าเขาสำคัญนัก
 และเป็นผู้ที่พระองค์ใส่พระทัย
18ทรงเยี่ยมเขาทุกเช้า
 ทรงทดสอบเขาทุกขณะ?
19พระองค์จะไม่ละพระเนตรจากข้าพระองค์สักครู่
 หรือปล่อยข้าพระองค์ตามลำพัง เพื่อข้าพระองค์จะกลืนน้ำลายได้บ้างเชียวหรือ?
20ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเฝ้าดูมนุษย์ ถ้าข้าพระองค์ทำบาป
ข้าพระองค์ทำอะไรแก่พระองค์เล่า?
 ทำไมพระองค์จึงทรงทำให้ข้าพระองค์เป็นเป้าหมายของพระองค์?
 ทำไมข้าพระองค์จึงเป็นภาระแก่พระองค์?
21ทำไมพระองค์ไม่ทรงอภัยการละเมิดของข้าพระองค์
 และนำเอาความผิดของข้าพระองค์ไปเสีย?
 เพราะบัดนี้ข้าพระองค์จะนอนลงในผงคลีดิน
 พระองค์จะทรงเสาะหาข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็ไม่อยู่เสียแล้ว”

อรรถาธิบาย

ช่วยผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า

ผมรู้สึกซาบซึ้งในเพื่อนๆของผมที่คอยช่วยเหลือให้ผมดำเนินชีวิตให้อยู่ในทางที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามความเข้าใจแบบผิดๆบางทีก็เกิดขึ้นได้กับเพื่อนๆของเรา ในข้อพระคำนี้เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างโยบที่ช่วยให้ผู้อื่นอยู่ในทางของพระเจ้า (4:3–4) กับเอลีฟัสที่ ‘ไม่ได้ช่วยอะไร’ โยบเลย (6:21)

บางครั้งมีคนถามว่า ‘ทุกคำในพระคัมภีร์เป็นความจริงหรือไม่?’ ผมตอบว่า 'ใช่ แต่ก็เหมือนกับหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่ต้องตีความ' กฎข้อหนึ่งของการตีความคือเราต้องตีความตามบริบทของมัน

เราต้องอ่านถ้อยคำของเอลีฟัสในแง่ของความจริงที่ว่าในท้ายที่สุดพระเจ้าตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า ‘เราโกรธเจ้าและสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด’ (42:7) เพราะถ้อยคของเพื่อนโยบที่เราอ่านนี้ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด พวกเขาให้คำตอบที่ผิวเผินเกินไปสำหรับปัญหาความทุกข์ยาก รวมถึงการวินิจฉัยของพวกเขามักจะขาดประสบการณ์ เคร่งหลักการและไม่สมจริง

ในทางกลับกัน โยบอยู่กับความเป็นจริงและสัตย์ซื่อ ในขณะที่เขาต่อสู้กับความเจ็บปวด นอนไม่หลับทุกคืน เศร้าโศกและทุกข์ทรมาน ความทุกข์ทรมานของเขาไม่ได้เป็นผลมาจากความบาปของเขาเองอย่างที่เอลีฟัสและเพื่อนของเขาตำหนิ โยบถามอย่างถูกต้องว่า ‘ขอทำให้ข้าเข้าใจว่าข้าผิดตรงไหน’ (6:24) พระวิญญาณของพระเจ้าจะฟ้องบาปผิดของเราเองในขณะที่เอลีฟัซและเพื่อนของเขาพูดกับโยบว่า ‘คุณต้องทำอะไรผิดถึงจะต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้’ คนที่มีความทุกข์ไม่จำเป็นต้องเกิดความทุกข์เพราะบาปของตัวเอง แต่ถ้าเรามีบาปใด ๆ พระเจ้าจะทรงสำแดงบาปเฉพาะให้เราเห็นอย่างเฉพาะเจาะจงเอง

เอลีฟัสและเพื่อนของเขาให้คำแนะนำที่ผสมผสานกันระหว่างความจริงและความเท็จ ในคำพูดของพวกเขาจำเป็นต้องตีความเช่นนั้น สิ่งหนึ่งที่เอลีฟัสกล่าวเป็นความจริงคือโยบเป็นผู้ที่คอยช่วยให้ผู้คนอยู่ในทางของพระเจ้าเสมอ ‘ดูเถิด ท่านได้สั่งสอนคนจำนวนมาก และท่านได้ทำให้มือที่อ่อนแรงมีกำลังถ้อยคำของท่านหนุนใจคนที่กำลังสะดุด และท่านได้ทำให้เข่าที่อ่อนล้านั้นมั่นคง’ (4:3–4)

หน้าที่ของคุณไม่ใช่แค่ดำเนินชีวิตตามเส้นทางโดยลำพัง คุณต้องช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการกระทำและคำพูดเช่นเดียวกับโยบ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงประทานเพื่อนที่คอยช่วยให้ข้าพระองค์ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เป็นคนคอยปลอบใจผู้ที่มีความทุกข์ ช่วยหนุนใจผู้ที่สะดุดและเสริมสร้างผู้ที่อ่อนกำลัง โปรดช่วยให้เราทุกคนช่วยเหลือกันและกันให้ดำเนินชีวิตในทางของพระองค์ต่อไป

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 17:1–5

ฉันประทับใจผู้ประพันธ์พระธรรมสดุดีที่กล่าวว่า ‘...ปากของข้าพระองค์ก็มิได้ละเมิด’ (17:3ค) มันหมายถึงการระมัดระวังทุกคำพูดของคุณทุกขณะหรือแม้แต่ช่วงเวลาที่คุณ ‘เว้นว่างจากการงาน’ ก็สำคัญมากจริง ๆ

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม