วัน 29

คุณเป็นที่รัก

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 17:6-12
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 20:1-19
พันธสัญญาเดิม โยบ 11:1-14:22

เกริ่นนำ

เชน เทย์เลอร์ ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่อันตรายที่สุดในเรือนจำของสหราชอาณาจักร เดิมทีเขาถูกจำคุกในข้อหาพยายามฆ่า และได้รับโทษจำคุกเพิ่มขึ้นสี่ปีเมื่อเขาก่อจลาจล และทำร้ายเจ้าหน้าที่เรือนจำด้วยเศษกระจก

เขาถูกขังเดี่ยวภายในเรือนจำที่มีความปลอดภัยสูงสุด เขาได้รับอาหารจากช่องประตูเล็ก ๆ ประตูของเขาจะไม่มีวันเปิดออกเว้นแต่จะมีเจ้าหน้าที่หกคนพร้อมโล่ปราบจลาจลรออยู่ข้างนอก

ต่อมาเขาถูกย้ายไปยังเรือนจำ ลอง ลาร์ติน ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงสุด ที่ซึ่งเขาได้รับเชิญเข้าร่วมหลักสูตรอัลฟ่า และในระหว่างหลักสูตรนี้เขาได้อธิษฐานว่า ‘พระเยซูคริสต์ ผมรู้ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อผม ผมเกลียดตัวเอง เกลียดที่กลายเป็นคนแบบนี้ โปรดยกโทษให้ผมและเข้ามาในชีวิตของผมด้วยเถิด’ ขณะนั้นเองเขาได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจึงวิ่งออกไปที่ปีกอาคารและบอกทุกคนที่เขาพบว่า ‘พระเยซูมีจริง!’

พฤติกรรมของเขาเปลี่ยนไปมาก จากคนที่มีชีวิตในห้องขังเดี่ยวมาตลอด จนได้ทำงานที่น่าเชื่อถืองานหนึ่งในพันธกิจเรือนจำ เขาได้อธิษฐานเผื่อเจ้าหน้าในเรือนจำและศัตรูของเขา เมื่อเขาออกมาจากเรือนจำเขาก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในคริสตจักร กระทั่งได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อแซม ซึ่งเคยมีชีวิตที่ยากลำบาก เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และอาชญากรรม แต่ต่อมาเธอก็ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่แต่งงานและมีลูกด้วยกันห้าคน

เมื่อได้พูดคุยกับเชน มันเป็นการยากที่จะจินตนาการว่าเขาคือคนเดียวกับที่เคยทำร้ายคนอื่นมามากมายในอดีต เขามีประสบการณ์ ‘ความรักมั่นคงของ(พระเจ้า)อย่างอัศจรรย์’ (สดุดี 17:7) และได้กล่าวว่า ‘พระเยซูทรงสำแดงให้ผมเห็นว่าความรักและการให้อภัยเป็นอย่างไร พระองค์ช่วยชีวิตผมไว้ ทรงอภัยบาปทุกสิ่งที่ผมเคยทำ พระองค์เปลี่ยนแปลงชีวิตผม’

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 17:6-12

6ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงตอบข้าพระองค์
 ขอเอียงพระกรรณฟังถ้อยคำของข้าพระองค์เถิด
7ขอทรงสำแดงความรักมั่นคงของพระองค์อย่างอัศจรรย์เถิด
 ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงช่วยบรรดาผู้ลี้ภัย
 ให้พ้นจากผู้ที่ลุกขึ้นสู้พวกเขาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
8ขอทรงรักษาข้าพระองค์ดังแก้วตา
 ขอทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์
9ให้พ้นจากคนอธรรมผู้ล้างผลาญข้าพระองค์
 และจากศัตรูอำมหิตที่ล้อมข้าพระองค์ไว้
10ใจของเขาไร้ความสงสาร
 ปากของเขาพูดจายโส
11เขาสะกดรอยข้าพระองค์ เดี๋ยวนี้ได้ล้อมข้าพระองค์ไว้
 เขาจ้องจะเหวี่ยงข้าพระองค์ลงดิน
12เขาเป็นดุจสิงห์ที่กระหายอยากจะกัดฉีก
 เหมือนดังสิงห์หนุ่มซึ่งซุ่มดักทำร้ายอยู่ในที่ซ่อน

อรรถาธิบาย

รู้ไว้ว่าคุณเป็นที่รักและของล้ำค่าของพระเจ้า

ความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณนั้นยิ่งใหญ่เพราะนั่นคือความใกล้ชิดอย่างมาก ดาวิดร้องทูลต่อพระเจ้าและถามพระองค์ว่า ‘ขอทรงสำแดงความรักมั่นคงของพระองค์อย่างอัศจรรย์เถิด’ (ข้อ 7) เขาอธิษฐานว่า ‘ขอทรงรักษาข้าพระองค์ดังแก้วตา’ (ข้อ 8ก) แก้วตาของดวงตาก็คือ รูม่านตา (ทำหน้าที่ให้แสงผ่านไปจนถึงจอประสาทตา) ดังนั้นจึงหมายถึงสิ่งที่มีค่าที่สุด วันนี้ให้เราใคร่ครวญว่าคุณเป็นของล้ำค่าของพระเจ้ามากเพียงใด
จากนั้นเขาได้อธิษฐานว่า ‘ขอทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์’ (ข้อ 8ข) อีกครั้งที่สิ่งนี้บ่งบอกถึงความรักความใกล้ชิดและการปกป้องที่มาจากพระเจ้า พระเยซูทรงยกภาพนี้ขึ้นมาขณะมองดูผู้คนในเยรูซาเล็มในช่วงที่นำพระองค์ไปสู่การตรึงกางเขนและพระองค์ปรารถนาให้พวกเขามาซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์ (มัทธิว 23:37)

ดาวิดถูกรายล้อมไปด้วย ‘ศัตรู’ (สดุดี 17:9) ผู้คนที่ ‘ไร้ความสงสาร’ ที่พูดจาเหยียดหยามเขา (ข้อ 10) อาจมีหลายครั้งในชีวิตของคุณที่คุณต้องเผชิญกับ ‘ศัตรู’ อย่างแท้จริง แต่ ไม่ว่าคุณจะต้องเผชิญกับความดิ้นรนหรือความยากลำบากเพียงใดก็ตาม คุณสามารถพึ่งพาความรักที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่มาจากพระเจ้าได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ร้องทูลต่อพระองค์ในวันนี้ โปรดให้ข้าพระองค์เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ โปรดซ่อนข้าพระองค์ไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 20:1-19

คนทำงานในสวนองุ่น

 1“เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเจ้าของสวนคนหนึ่ง ที่ออกไปจ้างคนงานเพื่อสวนองุ่นของตนตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ 2เมื่อตกลงกับคนงานวันละเดนาริอันแล้ว ก็ใช้ให้ไปทำงานในสวนองุ่น 3พอเวลาประมาณเก้าโมง เจ้าของสวนก็ออกไปอีก เห็นบางคนยืนอยู่ว่างๆ กลางตลาด 4จึงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พวกท่านก็ไปทำงานในสวนองุ่นด้วยเถิด เราจะให้ค่าจ้างแก่ท่านตามสมควร’ แล้วพวกเขาก็พากันไป 5พอเวลาเที่ยงและเวลาบ่ายสามโมง เจ้าของสวนก็ออกไปอีก และทำเหมือนเดิม 6ประมาณห้าโมงเย็นก็ออกไปอีกครั้งหนึ่งและพบอีกพวกหนึ่งยืนอยู่ จึงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พวกท่านยืนอยู่ว่างๆ ที่นี่ทั้งวันทำไม?’ 7เขาทั้งหลายตอบว่า ‘เพราะว่าไม่มีใครจ้างเรา’ เจ้าของสวนบอกว่า ‘ท่านก็จงไปทำงานในสวนองุ่นด้วยเถิด’ 8เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เจ้าของสวนสั่งผู้จัดการว่า ‘ไปเรียกพวกคนงานมา แล้วให้ค่าจ้างแก่พวกเขา เริ่มจากพวกสุดท้ายจนถึงพวกแรก’ 9พวกที่มาทำงานเวลาประมาณห้าโมงเย็นนั้นได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริอัน 10พวกแรกจึงคิดว่าเขาจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน 11เมื่อพวกเขารับเงินแล้วก็บ่นต่อว่าเจ้าของสวน 12ว่า ‘พวกสุดท้ายทำงานแค่ชั่วโมงเดียว แต่ท่านกลับให้ค่าจ้างพวกเขาเท่ากับเราที่ทำงานตรากตรำกลางแดดตลอดวัน’ 13เจ้าของสวนก็ตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงท่านเลย ท่านตกลงกับเราวันละหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? 14รับค่าจ้างของท่านไปเถิด เราต้องการจะให้กับคนสุดท้ายนี้เท่ากับท่าน 15เราจะใช้เงินทองของเราตามใจตัวเองไม่ได้หรือ? ทำไมท่านอิจฉาเมื่อเห็นเราใจดี?’ 16อย่างนั้นแหละ คนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก และคนที่เป็นคนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย”

การทรงพยากรณ์เป็นครั้งที่สาม ถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระองค์

 17ขณะพระเยซูกำลังเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนไปกันตามลำพังและตรัสกับเขาทั้งหลายตามทางว่า 18“ฟังนะ พวกเราจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ และพวกเขาจะลงโทษท่านถึงตาย 19ทั้งจะมอบตัวท่านไว้กับพวกต่างชาติเพื่อให้เยาะเย้ย เฆี่ยนตีและตรึงไว้ที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”

อรรถาธิบาย

สัมผัสกับความรักความเอื้ออาทรและพระคุณของพระเจ้า

พระเยซูตรัสคำอุปมาที่แสดงให้เห็นอีกครั้งถึงความอัศจรรย์แห่งรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ คำอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่นแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ และพระคุณอันพิเศษของพระเจ้า ผู้ทรงประทานพรให้กับคนที่เข้ามาในแผ่นดินสวรรค์เป็นคนสุดท้ายเช่นเดียวกับที่คนอื่น ๆ ได้รับ บางครั้งสิ่งนี้อาจทำให้เรารู้สึก ‘อิจฉา’ (ข้อ 15ข) เรากำลังมีความสุขอยู่ดี ๆ จนกระทั่งมีคนอื่นทำได้ดีกว่า จากนั้นเราถูกล่อลวงให้อิจฉาพวกเขา เจ้าของสวนองุ่นในอุปมานี้คว่ำทำเนียมทางการค้าตามปกติทั้งหมด เขาทำสิ่งนี้ไม่ใช่เพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง แต่ด้วยเหตุผลที่ตรงกันข้าม เขาเป็นคนที่มีใจกว้างขวางและยอมจ่ายราคามากกว่าที่จะเรียกหาความยุติธรรม พระเจ้าเป็นเหมือนเจ้าของสวนองุ่นคนนั้น พระพรและการให้อภัยของพระองค์มีมากกว่าที่เราสมควรได้รับเสมอ

บางครั้งเราได้ยินคำพยานจากคนอย่างเชน เทย์เลอร์ ที่มีชีวิตที่เลวร้ายมาก่อน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้กลับใจ และเชื่อในพระเยซู แม้จะเข้ามา ‘เวลาประมาณห้าโมงเย็น’ ก็ตามที (ข้อ 9) พวกเขาได้รับการอภัยโดยสมบูรณ์และได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดจากการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู (ข้อ 19) บางคนบ่นว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมที่คนอย่างเชนได้รับค่าจ้างสูงเกินไป แต่พระเจ้ากลับทรงใช้คำพยานที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา ดูเหมือนมากกว่าคนที่ทำงานตรากตรำ ‘กลางแดดตลอดวัน’ (ข้อ 12ข) เสียอีก

อย่างที่เราเห็นเมื่อวานนี้เรื่องแผ่นดินพระเจ้า เป็นอาณาจักรที่กลับหัวกลับหาง ‘คนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก และคนที่เป็นคนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย’ (ข้อ 16) พระเยซูตรัสว่า นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะอิจฉา แต่เป็นเหตุผลให้อัศจรรย์ใจกับความเห็นอกเห็นใจของพระเจ้า ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของเพระองค์ ทรงมีพระกรุณาให้กับเราทุกคน เป็นพระคุณทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่เราไม่สมควรได้รับ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเยซูพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว (ข้อ 17–20)

ความจริงก็คือไม่ใช่แค่คนอื่น ๆ เช่นเชนเท่านั้นที่พระเจ้าทรงกรุณา แต่พระองค์ทรงกรุณาต่อทั้งคุณและผมด้วยเช่นกัน ถ้าพระเจ้าประทานเฉพาะสิ่งที่เราตรากตรำ นั่นจะทำให้แย่ลงไปอีกมาก แต่ถ้าคุณยอมรับพระกรุณาที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่คุณ ผลที่ตามมาก็น่าประหลาดใจมาก ๆ เช่นกัน

โดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ (ข้อ 18–19) พระเยซูทรงทำให้คุณและผมได้รับการอภัยและมีความสุขกับความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ชั่วนิจนิรันดร์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับพระกรุณาที่มีต่อข้าพระองค์เป็นพิเศษ ข้าพระองค์ไม่เคยอิจฉาคนที่ดูเหมือนจะได้รับการอวยพรมากกว่า ขอบคุณที่ข้าพระองค์สามารถรู้ได้ว่าข้าพระองค์เป็นที่รักทั้งในขณะนี้และชั่วนิรันดร์

พันธสัญญาเดิม

โยบ 11:1-14:22

โศฟาร์ว่าโยบสมควรรับโทษเพราะทำผิด

1แล้วโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ตอบว่า
2“ควรจะฟังถ้อยคำมากมายโดยไม่ตอบหรือ?
 และคนช่างพูดควรจะนับว่าชอบธรรมหรือ?
3ควรหรือที่คำพูดไร้สาระของท่านทำให้คนอึ้ง?
 และเมื่อท่านเยาะเย้ย ไม่ควรมีผู้ใดทำให้ท่านอายหรือ?
4เพราะท่านว่า ‘คำสอนของข้าบริสุทธิ์
 และข้าก็สะอาดในสายพระเนตรพระเจ้า’
5แต่ โอ อยากให้พระเจ้าตรัส
 และเปิดไพรพระโอษฐ์ตรัสกับท่าน
6ขอพระองค์บอกเคล็ดลับแห่งปัญญาแก่ท่าน
 เพราะสติปัญญามีสองด้าน
 พึงทราบเถิดว่า พระเจ้าทรงเอาโทษท่านน้อยกว่าที่ท่านควรได้รับ
7“ท่านจะหยั่งรู้ความลี้ลับของพระเจ้าได้หรือ?
 ท่านจะหยั่งรู้ความไพบูลย์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้หมดสิ้นหรือ?
8มันสูงกว่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะทำอะไรได้?
 ลึกกว่าแดนคนตาย ท่านจะทราบอะไรได้?
9วัดดูก็ยาวกว่าโลก
 และกว้างกว่าทะเล
10ถ้าพระองค์ทรงผ่านไป และทรงคุมขัง
 และทรงเรียกมาพิพากษา ผู้ใดจะห้ามพระองค์ได้?
11เพราะพระองค์ทรงรู้จักคนหลอกลวง
 เมื่อทรงเห็นความชั่ว พระองค์จะไม่ทรงพิจารณาหรือ?
12แต่คนโง่จะได้ความเข้าใจ
 ก็ต่อเมื่อลาป่าเกิดมาเป็นคน
13“ถ้าท่านเตรียมใจอย่างถูกต้อง
 ท่านจะชูมือออกไปยังพระองค์
14ถ้าความชั่วอยู่ในมือท่าน จงทิ้งเสียให้ไกล
 และอย่าให้ความอธรรมอาศัยอยู่ในเต็นท์ของท่าน
15แล้วแน่นอน ท่านจะเงยหน้าขึ้นโดยปราศจากตำหนิ
 ท่านจะปลอดภัย และไม่ต้องกลัว
16ท่านเองจะลืมความทุกข์ยาก
 ท่านจะจดจำมิได้ เหมือนน้ำที่ไหลผ่านไป
17แล้วชีวิตของท่านจะสุกใสยิ่งกว่าเวลาเที่ยงวัน
 ความมืดก็จะเป็นเหมือนเวลาเช้า
18และท่านจะปลอดภัย เพราะมีความหวัง
 เออ พระองค์จะทรงปกป้องท่าน และท่านจะนอนพักอย่างปลอดภัย
19ท่านจะนอนลง และไม่มีผู้ใดทำให้ท่านกลัว
 เออ คนจำนวนมากจะมาวอนขอความช่วยเหลือจากท่าน
20แต่ดวงตาคนอธรรมจะมืดมัว
 หนทางหลุดพ้นจะอันตรธานไปจากเขา
 และความหวังของเขาก็คือการสิ้นลมนั่นเอง”

โยบ 12

โยบตอบว่า ข้าเป็นที่หัวเราะเยาะของคน

1แล้วโยบตอบว่า
2“แน่ทีเดียว ท่านทั้งหลายเป็นเสียงของประชาชน
 และปัญญาจะตายไปกับพวกท่าน
3แต่ข้าก็มีความเข้าใจอย่างท่าน
 ข้ามิได้ด้อยกว่าท่าน
 เออ เรื่องอย่างนี้ผู้ใดจะไม่ทราบ
4ข้าเป็นที่หัวเราะเยาะของเพื่อนๆ
 แม้ข้าได้ร้องทูลพระเจ้าและพระองค์ทรงตอบข้า
 คนชอบธรรมและดีพร้อมก็ยังเป็นที่หัวเราะเยาะ
5ฝ่ายผู้อยู่สบายก็เยาะหยันเคราะห์ร้าย
 ซึ่งพร้อมเกิดแก่ผู้ที่ซวนเซจะล้ม 6เต็นท์ของโจรก็สงบสุข
 และผู้ที่ยั่วเย้าพระเจ้าก็ปลอดภัย
 คือผู้ที่นำพระของเขาติดมือมา
7“แต่ จงถามสัตว์ทั้งหลาย และมันจะสอนท่าน
 จงถามนกบนฟ้า และมันจะบอกท่าน
8จงพูดกับแผ่นดินโลก และมันจะสอนท่าน
 และถามปลาในทะเล มันจะแจ้งแก่ท่าน
9มีสิ่งใดในทั้งหมดนี้ที่ไม่ทราบว่า
 พระหัตถ์พระยาห์เวห์ได้ทำสิ่งนี้ขึ้น?
10ชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์พระองค์
 รวมทั้งลมหายใจของมนุษย์ทั้งปวง
11หูตรวจสอบถ้อยคำ
 อย่างลิ้นลิ้มรสอาหารมิใช่หรือ?
12ปัญญาอยู่ในผู้สูงวัย
 และอายุยืนยาวทำให้เกิดความเข้าใจ
13“ปัญญาและพลังอยู่กับพระองค์
 คำปรึกษาและความเข้าใจเป็นของพระองค์
14ถ้าพระองค์ทรงรื้อถอน ก็ไม่มีผู้ใดสร้างใหม่ได้
 ถ้าพระองค์ทรงคุมขังคน ก็ไม่มีผู้ใดปล่อยเขาได้
15ถ้าพระองค์ทรงกักน้ำไว้ แผ่นดินก็แห้งไป
 ถ้าทรงปล่อยน้ำออกไป มันก็ท่วมแผ่นดิน
16กำลังและสติปัญญาอยู่กับพระองค์
 ผู้ถูกหลอกลวงและผู้หลอกลวงเป็นของพระองค์
17พระองค์ทรงให้ที่ปรึกษาไปเปลือยเปล่า
 และทรงทำให้ผู้พิพากษาเป็นคนโง่
18พระองค์ทรงปลดโซ่ตรวนของบรรดาพระราชา
 และทรงคาดผ้ารอบเอวพวกเขา
19พระองค์ทรงให้ปุโรหิตไปเปลือยเปล่า
 และทรงคว่ำผู้มีกำลังเสีย
20พระองค์ทรงเอาคำพูดไปจากผู้ที่เขาวางใจ
 และทรงนำวิจารณญาณไปจากพวกผู้อาวุโส
21พระองค์ทรงเทความเหยียดหยามลงบนเจ้านาย
 และปลดเข็มขัดของผู้แข็งแรง
22พระองค์ทรงเผยสิ่งล้ำลึกจากความมืด
 และทรงนำความมืดทึบมาสู่ความสว่าง
23พระองค์ทรงทำให้ประชาชาติทั้งหลายใหญ่โต และทรงทำลายเสีย
 พระองค์ทรงขยายบรรดาประชาชาติ และทรงนำเขาทั้งหลายไปเป็นเชลย
24พระองค์ทรงเอาความเข้าใจไปจากผู้นำประชาชน
 และทรงทำให้พวกเขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารซึ่งไร้หนทาง
25เขาทั้งหลายคลำอยู่ในความมืด ปราศจากความสว่าง
 และพระองค์ทรงทำให้เขาโซเซอย่างคนเมา

โยบ 13

1“นี่แน่ะ ดวงตาข้าเห็นสิ่งทั้งหมดนี้แล้ว
 หูข้าได้ยินและเข้าใจเรื่องนี้แล้ว
2อะไรที่ท่านทั้งหลายรู้ ข้าก็รู้ด้วย
 ข้ามิได้ด้อยกว่าท่าน
3แต่ข้าจะทูลองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
 และข้าปรารถนาจะสู้ความกับพระเจ้า
4ส่วนท่านนั้น ท่านฉาบไปด้วยการโกหก
 ท่านทุกคนเป็นแพทย์ที่ใช้ไม่ได้
5โอ ท่านน่าจะนิ่งเสีย
 และความนิ่งนั้นจะเป็นปัญญาของท่าน
6บัดนี้ขอฟังเหตุผลของข้า
 และขอสดับคำวิงวอนแห่งริมฝีปากของข้า
7พวกท่านจะพูดเท็จเพื่อพระเจ้าหรือ?
 และพูดล่อลวงเพื่อพระองค์หรือ?
8พวกท่านจะลำเอียงเข้าข้างพระองค์หรือ?
 ท่านจะว่าความฝ่ายพระเจ้าหรือ?
9เมื่อพระองค์ทรงตรวจสอบท่าน มันจะดีแก่ท่านหรือ?
 ท่านจะหลอกลวงพระองค์ได้ อย่างผู้หนึ่งผู้ใดหลอกลวงมนุษย์หรือ?
10พระองค์จะทรงตำหนิท่านทั้งหลายแน่
 หากท่านลำเอียงอย่างลับๆ
11ความโอ่อ่าตระการของพระองค์จะไม่ทำให้ท่านคร้ามกลัวหรือ?
 ความกลัวพระองค์จะไม่ตกเหนือท่านหรือ?
12คติของท่านไร้ค่าดังขี้เถ้า
 คำแก้ต่างของท่านก็เปราะอย่างโล่ดินเหนียว
13“เงียบหน่อย และข้าจะพูด
 และอะไรจะเกิดกับข้า ก็ให้เกิดเถิด
14ทำไมข้าเสี่ยงชีวิต
 และวางชีวิตข้าเป็นเดิมพัน?
15ดูเถิด พระองค์จะทรงประหารข้าเสีย ข้าไม่มีความหวัง
 แต่ข้ายังจะสู้ความเฉพาะพระพักตร์พระองค์
16นี่จะเป็นความรอดของข้า
 คือคนที่ไม่นับถือพระเจ้าจะไม่ได้เข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
17ขอฟังถ้อยคำของข้าให้ดี
 และให้คำกล่าวของข้าอยู่ในหูของท่าน
18ดูเถิด ข้าเตรียมคดีของข้าแล้ว
 ข้าทราบว่า ข้าเองจะเป็นฝ่ายถูก
19มีผู้ใดจะสู้คดีกับข้า?
 ถ้ามี ข้าจะนิ่งและตาย

โยบอธิษฐานอย่างสิ้นหวัง

20ขอทรงทำสองสิ่งแก่ข้าพระองค์
 แล้วข้าพระองค์จะไม่ซ่อนตัวจากพระองค์
21ขอหดพระหัตถ์ให้ห่างจากข้าพระองค์
 และขออย่าให้ความน่าครั่นคร้ามจากพระองค์ทำให้ข้าพระองค์กลัว
22ขอทรงเรียกเถิด แล้วข้าพระองค์จะทูลตอบ
 หรือให้ข้าพระองค์ร้องทูล และขอพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์เถิด
23ความผิดและบาปของข้าพระองค์มีมากเท่าใด?
 ขอทรงให้ข้าพระองค์ทราบถึงการละเมิดและบาปของข้าพระองค์
24ไฉนพระองค์ซ่อนพระพักตร์
 และทรงถือว่าข้าพระองค์เป็นศัตรู?
25พระองค์จะทรงให้ใบไม้ที่ปลิวคว้างตกใจหรือ?
 และจะทรงไล่ติดตามฟางแห้งหรือ?
26เพราะพระองค์ทรงจารึกสิ่งขมขื่นต่อสู้ข้าพระองค์
 และทรงทำให้ข้าพระองค์รับโทษความผิดที่ทำเมื่อเยาว์วัย
27พระองค์ทรงใส่เท้าของข้าพระองค์ไว้ในขื่อ
 และทรงเฝ้าดูทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์
 พระองค์ทรงจำกัดเขตแก่ฝ่าเท้าของข้าพระองค์
28ข้าพระองค์ก็โทรมไปเหมือนไม้ผุ
 เหมือนเครื่องแต่งกายที่ตัวแมลงกิน

โยบ 14

1“มนุษย์ที่เกิดมาโดยผู้หญิงก็อยู่แต่น้อยวัน
 และเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ
2เขาออกมาเหมือนดอกไม้ แล้วก็เหี่ยวแห้งไป
 เขาหายไปอย่างเงา และไม่ยืนยงคงอยู่
3แล้วพระองค์ทอดพระเนตรมองคนอย่างนี้หรือ?
 และทรงนำข้าพระองค์เข้าสู่การพิพากษาโดยพระองค์หรือ?
4ผู้ใดจะเอาสิ่งสะอาดออกมาจากสิ่งมลทินได้?
 ไม่มีสักคน
5วันเวลาของเขาถูกกำหนดไว้เสียแล้ว
 และจำนวนเดือนของเขาก็อยู่กับพระองค์
 พระองค์ทรงจำกัดขอบเขตของเขา ไม่ให้เขาผ่านไปได้
6ฉะนั้น ขอหันพระพักตร์ไปจากเขา เพื่อเขาจะได้พัก
 เพื่อเขาจะชื่นบานในวันของเขาอย่างลูกจ้าง
7“เพราะสำหรับต้นไม้ก็มีความหวัง
 ถ้ามันถูกตัดลง มันก็แตกหน่ออีก
 และหน่ออ่อนของมันจะมีไม่หยุด
8ถึงรากของมันจะแก่อยู่ในดิน
 และตอของมันจะตายอยู่ในผงคลีดิน
9แต่พอได้กลิ่นอายของน้ำ มันจะแตกตา
 และแตกกิ่งออกเหมือนต้นไม้อ่อน
10แต่มนุษย์ตายและสิ้นแรง
 มนุษย์สิ้นลม แล้วเขาอยู่ที่ไหน?
11น้ำขาดไปจากทะเลสาบ
 แม่น้ำก็เหือดและแห้งไปฉันใด
12มนุษย์ก็นอนลงและไม่ลุกขึ้นอีกฉันนั้น
 จนท้องฟ้าไม่มีอีก เขาก็ไม่ตื่นขึ้น
 และปลุกเขาจากหลับก็ไม่ได้
13โอ อยากให้พระองค์ซ่อนข้าพระองค์ไว้ในแดนคนตาย
 และปกปิดข้าพระองค์ไว้จนพระพิโรธของพระองค์พ้นไป
 อยากให้พระองค์กำหนดเวลาให้ข้าพระองค์ และระลึกถึงข้าพระองค์
14ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกได้หรือ?
 ข้าพระองค์จะคอยอยู่ตลอดวันประจำการของข้าพระองค์
 จนกว่าการปลดปล่อยข้าพระองค์จะมาถึง
15พระองค์จะทรงเรียก และข้าพระองค์จะทูลตอบพระองค์
 พระองค์จะทรงอาลัยอาวรณ์พระหัตถกิจของพระองค์
16เพราะบัดนี้พระองค์จะทรงนับย่างก้าวของข้าพระองค์
 แต่มิได้จ้องจับผิดข้าพระองค์
17การละเมิดของข้าพระองค์นั้นจะทรงใส่ไว้ในถุงที่ผนึกตรา
 และจะทรงฉาบทับความผิดของข้าพระองค์
18“แต่ภูเขาก็ทลายลงและผุพังไป
 ก้อนหินก็ถูกย้ายไปจากที่ของมัน
19น้ำเซาะหินไปเสีย
 กระแสน้ำพัดพาผงคลีดินไป
 พระองค์ทรงทำลายความหวังของมนุษย์เช่นกัน
20พระองค์ทรงชนะเขาเสมอ และเขาก็ล่วงลับไป
 พระองค์ทรงเปลี่ยนสีหน้าของเขา และทรงส่งเขาไปเสีย
21บรรดาบุตรของเขาได้รับเกียรติ เขาก็ไม่ทราบ
 เขาทั้งหลายตกต่ำลง เขาก็หาหยั่งรู้ไม่
22เขารู้สึกเพียงความเจ็บในร่างกายของตน
 และเขาคร่ำครวญเพื่อตัวเขาเอง”

อรรถาธิบาย

ยึดมั่นในความรักที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ในวันที่ยากลำบาก

ท่ามกลางความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสเป็นเวลานานของโยบ เขายังคงยึดมั่นในความรักของพระเจ้า เขากล่าวว่า ‘แม้พระองค์ประหารข้า ข้าพระองค์จะยังรอคอยพระองค์’ (13:15)

แม้ว่าโยบจะมีชีวิตที่ดีพร้อมและชอบธรรม ทั้งยังยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย (1:1) แต่เขาก็ไม่สมบูรณ์แบบ เขาได้กล่าวถึง ‘ความผิดที่ทำเมื่อเยาว์วัย’ (13:26) และกล่าวว่า ‘การละเมิดของข้าพระองค์นั้นจะทรงใส่ไว้ในถุงที่ผนึกตรา และจะทรงฉาบทับความผิดของข้าพระองค์’ (14:17)

ความผิดพลาดที่เพื่อนของโยบทำ คือคิดว่าความทุกข์ของโยบมาจากบาปของเขาเอง ในข้อนี้เราเห็นว่าโยบมีความรู้สึกขุ่นมัวกับเพื่อน ๆ มากขึ้น พวกเขาเอ่ยถึงเรื่อง ‘บาป’ (11:6,14) และเพิ่มการกล่าวโทษโยบมากขึ้น (ข้อ 5) ถึงแม้พวกเขาจะสนทนากันด้วยท่าทีที่เรียบง่าย แต่ก็สร้างบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจไม่น้อย

ในที่สุดโยบก็หันกลับมาและตอบว่า ‘แต่ข้าก็มีความเข้าใจอย่างท่าน ข้ามิได้ด้อยกว่าท่าน เออเรื่องอย่างนี้ผู้ใดจะไม่ทราบ’ (12:3) ‘อะไรที่ท่านทั้งหลายรู้ ข้าก็รู้ด้วย ข้ามิได้ด้อยกว่าท่าน’ (13:2) โยบชี้ให้เพื่อนของเขาเห็นว่าข้อปฏิบัติที่ดีที่สุดของพวกเขาคือการไม่พูดอะไรเลย ‘โอ ท่านน่าจะนิ่งเสีย และความนิ่งนั้นจะเป็นปัญญาของท่าน’ (ข้อ 5)

เราต้องการสติปัญญาเช่นนี้ เมื่อกำลังพบผู้คนที่กำลังทุกข์ทรมานไม่ใช่พูดซ้ำเติม แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้แสดงความรักอันยอดเยี่ยมของพระเจ้าผ่านกระทำของเรา และระมัดระวังในสิ่งที่เราพูด

โยบมีทัศนคติที่ดีกว่าเพื่อนของเขามาก ในความทุกข์ยากแสนสาหัสเขาต้องเผชิญกับความรู้สึกโดดเดี่ยวและได้ร้องทูลพระเจ้าว่า ‘ไฉนพระองค์ซ่อนพระพักตร์’ (ข้อ 24) หลังจากที่ภรรยาของ ซี.เอส.ลูอิส เสียชีวิต เขาได้เขียนคำว่า ความเศร้าที่สังเกตได้ (A Grief Observed) ซึ่งเปรียบประสบการณ์แบบนี้กับการ ‘โดนประตูปิดใส่หน้า’

ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ โยบยังสามารถพูดกับพระเจ้าได้ว่า ‘แม้ว่าพระองค์ประหารข้า ข้าก็ยังจะหวังในพระองค์’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในห้วงลึกของความสิ้นหวังนี้ โยบรู้จักพระเจ้าและไว้วางใจในพระองค์มากพอ

วางใจและรู้ไว้เถิดว่าเวลาชีวิตของคุณถูกกำหนดไว้แล้วโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า ‘จำนวนเดือน (ของท่าน) อยู่ในการควบคุมของ(พระเจ้า)’ และไม่มีใครสามารถ ‘ก้าวผ่านขอบเขตที่ทรงกำหนดไว้ได้’ (14:5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

ในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าโยบตระหนักได้ว่า ไม่มีอะไรสามารถแยกคุณออกจากความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้แม้แต่ความตาย 'ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกหรือ ข้าพระองค์จะคอยอยู่ตลอดวันประจำการของข้าพระองค์ จนกว่าการปลดปล่อยของข้าพระองค์จะมาถึง' (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล; ดู 19:25 เป็นต้นไป)

คุณและผมอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าโยบมาก เพราะเรารู้จักกับไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูและเรามีความหวังที่แน่นอนว่าจะมีชีวิตนิรันดร์ ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและได้เดินอยู่ในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ตลอดไป

ในขณะที่เรื่องราวของโยบถูกเผยแพร่ออกไป เราจะเห็นว่าเขามีสิทธิ์ที่จะวางใจในพระเจ้าต่อไป พระเจ้าไม่เคยอธิบายให้โยบเข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงยอมให้เขาผ่านอะไรมามากขนาดนี้ แต่ความเชื่อมั่นของโยบในความรักของพระเจ้านั้นพิสูจน์ได้ ท่ามกลางความทุกข์ทรมานเราจำเป็นต้องยึดมั่นใน ‘ความรักมั่นคงของ(พระองค์)อย่างอัศจรรย์’ (สดุดี 17:7)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ แต่ข้าพระองค์ก็สามารถวางใจในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ โปรดเมตตาข้าพระองค์ในวันนี้และทุก ๆ วันเพื่อให้ชีวิตยังคงดำเนินอยู่ในความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มัทธิว 20:16

‘อย่างนั้นแหละ คนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก และคนที่เป็นคนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย’

ฉันได้นำพระคำตอนนี้ออกมาใช้ในชีวิตหลายครั้ง เมื่อตอนที่ลูก ๆ ของเรายังเด็กและแพ้การแข่งวิ่งหรือทำข้อสอบหรือการแข่งขันได้ไม่ดีฉันจะท่องเอาว่า ‘คนที่เป็นคนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย’ มันเป็นเรื่องตลก แต่ก็เป็นการเตือนความจำถึงสิ่งที่เราให้คุณค่าในชีวิตไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย การอยู่จุดสูงสุด สิ่งเหล่านี้จะไม่ได้รับการประเมินค่าในลักษณะเดียวกับในแผ่นดินสวรรค์

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม