คุณสามารถไว้วางใจในพระเจ้าได้
เกริ่นนำ
ในวันที่โหดร้ายระหว่างที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง บลิทซ์ ผู้ซึ่งเป็นพ่อ อุ้มบุตรชายตัวน้อยของเขาวิ่งหนีจากอาคารที่ถูกระเบิดโจมตี เขามุ่งตรงไปยังสนามหญ้าหน้าบ้านซึ่งเป็นหลุมหลบภัยและพยายามมองหาหลุมหลบภัยอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พ่อกระโดดลงไปในหลุมนั้น อ้าแขน พร้อมกับบอกให้ลูกชายกระโดดตามลงมา แต่ทว่า เด็กน้อยตื่นกลัวอย่างมาก “หนูมองไม่เห็นพ่อเลย” เด็กน้อยตอบ ฝ่ายพ่อมองขึ้นมาที่เงาตะคุ่มของลูกซึ่งอยู่ที่ปากหลุม ตอบว่า “แต่พ่อเห็นลูกนะ กระโดดลงมาเลย” เด็กน้อยกระโดดทันที เพราะเขาเชื่อใจพ่อ กล่าวได้ว่า เด็กน้อยรักและศรัทธาในตัวพ่อ เขาวางใจและมั่นใจในตัวพ่อของเขา
คำว่า “ความเชื่อ” ในพระคัมภีร์ โดยหลักคือการมอบความเชื่อมั่นให้บุคคลผู้หนึ่ง ในแง่ที่คล้ายคลึงกับความรัก ในความรักความสัมพันธ์ต่าง ๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของความไว้วางใจ ความเชื่อคือการไว้วางใจในพระเจ้าซึ่งเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์อื่น ๆ ทั้งหมดของคุณ
สุภาษิต 3:21-35
ความมั่นคงที่แท้จริง
21ลูกเอ๋ย อย่าให้สิ่งต่อไปนี้คลาดสายตาของเจ้า
แต่จงเฝ้ารักษาไว้ คือสติปัญญาและความเฉลียวฉลาด
22ทั้งสองสิ่งจะเป็นชีวิตแก่เจ้า
เป็นเครื่องประดับที่คอของเจ้า
23แล้วเจ้าจะดำเนินในทางของเจ้าอย่างปลอดภัย
และเท้าของเจ้าจะไม่สะดุด
24เมื่อเจ้านอน เจ้าจะไม่หวาดผวา
เมื่อเจ้านอน ก็จะหลับสบาย
25อย่ากลัวความสยดสยองที่มาถึงอย่างฉับพลัน
หรือกลัวความย่อยยับที่มาถึงคนอธรรม
26เพราะพระยาห์เวห์จะเป็นความไว้วางใจของเจ้า
และจะทรงปกป้องเท้าของเจ้าจากการถูกจับ
27อย่ากีดกันสิ่งดีไว้จากผู้สมควรจะได้รับ
ในเมื่อสิ่งนี้อยู่ในอำนาจของเจ้าที่จะทำได้
28อย่าพูดกับเพื่อนบ้านของเจ้าว่า “ไปเถอะ แล้วค่อยมาใหม่
พรุ่งนี้ฉันจะให้” ในเมื่อเจ้ามีให้อยู่แล้ว
29อย่าวางแผนปองร้ายเพื่อนบ้านของเจ้า
ผู้อาศัยอยู่ข้างๆ เจ้าอย่างไว้วางใจ
30อย่าโต้แย้งกับใครอย่างไร้เหตุผล
ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอันตรายอะไรเจ้า
31อย่าอิจฉาคนโหดร้าย
อย่าเลือกทางใดๆ ของเขาเลย
32เพราะพระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังคนคดโกง
แต่ไว้พระทัยคนเที่ยงธรรม
33คำสาปของพระยาห์เวห์อยู่บนบ้านของคนอธรรม
แต่พระองค์ทรงอวยพรที่อาศัยของคนชอบธรรม
34พระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่ชอบเยาะเย้ย
แต่พระองค์ประทานพระคุณแก่คนถ่อมตัว
35คนมีปัญญาจะได้เกียรติเป็นมรดก
แต่คนโง่จะได้ความอัปยศ
อรรถาธิบาย
จงมั่นใจในพระเจ้าองค์เจ้านาย
คุณเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองไหม ถ้าเช่นนั้น ความเชื่อมั่นมาจากไหนกันนะ มาจากการศึกษา รูปร่างหน้าตา ความสามารถทางกีฬา หรือทักษะอื่น ๆ ที่คุณมี หรือมาจากความคิดที่ผู้อื่นมีเกี่ยวกับตัวคุณ
สิ่งเหล่านี้ไม่ผิดอะไร ขอให้มั่นใจเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดแล้วความมั่นใจของคุณควรมาจาก “พระเจ้าจอมเจ้านาย” การยังคงมีความเชื่อมั่นถึงแม้จะไม่มีสิ่งอื่นใดเลยนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้\t
ผู้ประพันธ์พระธรรมสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “พระเจ้าจะทรงเป็นความไว้วางใจของเจ้า” (ข้อ 26 วรรคแรกของพระคัมภีร์ฉบับ Amplified Bible โดยผู้แปล) สิ่งที่คุณเชื่อนั้นเป็นบุคคล นั่นคือ “พระเจ้าองค์เจ้านาย” พระองค์เป็นบุคคลที่คุณสามารถไว้วางใจได้ในทุกอย่าง ความไว้วางใจที่เชื่อมั่นได้นี้ (ข้อ 23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เปลี่ยนแปลงแนวทางที่คุณในชีวิต และมอบสิ่งเหล่านี้
1. ปัญญา
คนโง่เขลา “เชื่อมั่นในตนเอง” (ข้อ 35, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) แต่ผู้เชื่อมั่นในพระเจ้านั้นเป็นคนฉลาด “รักษาวิจารณญาณและความเฉลียวฉลาดไว้ และสิ่งทั้งสองจะเป็นชีวิตแก่เจ้า” (ข้อ 21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ปัญญา วิจารณญาณ และความเฉลียวฉลาดมาจากการติดตามพระเจ้าอย่างใกล้ชิด
2. สันติสุข
ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความมั่งมี และชื่อเสียงมีค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากคุณไม่มีสันติสุข เพราะสันติสุขนั้นมาจากการมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ไม่มีหมอนใบไหนที่จะนุ่มเท่ากับการมีมโนธรรมที่ชัดเจน “เมื่อเจ้านอน เจ้าจะไม่หวาดผวา เมื่อเจ้านอน ก็จะหลับสบาย อย่ากลัวความสยดสยองที่มาถึงอย่างฉับพลัน” (ข้อ 24-25ก) ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด คุณสามารถเชื่อใจได้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณและพระองค์ทรงควบคุมสถานการณ์ได้
3. ความดี
“อย่าเดินหนีจากผู้สมควรจะได้รับความช่วยเหลือ เพราะมือของท่านคือพระหัตถ์ของพระเจ้าสำหรับบุคคลนั้น” (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) จงฉวยทุกโอกาสในการทำดี จงอย่าชักช้าหากว่าคุณสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ (ข้อ 28)
4. ความรัก
“อย่าวางแผนปองร้ายเพื่อนบ้านของเจ้าผู้อาศัยอยู่ข้างๆ เจ้าอย่างไว้วางใจ” (ข้อ 29, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) การไว้วางใจในพระเจ้านำไปสู่ความรักต่อเพื่อนบ้านของคุณ
5. ความใกล้ชิด
“พระเจ้า ทรงไว้พระทัยคนเที่ยงธรรม” (ข้อ 32) เมื่อพระเจ้าเป็นความมั่นใจของเรา พระองค์ทรงไว้พระทัยในเราเช่นกัน สิ่งนี้เป็นภาพสะท้อนอันแสนมหัศจรรย์ที่แสดงให้เห็นว่าความใกล้ชิดในพระเจ้าเป็นอย่างไร “การมีสามัคคีธรรมส่วนตัวกับเรา และทรงเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้แก่เรา” (ข้อ 32ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
6. ความถ่อมใจ
“พระเจ้าประทานพระคุณแก่คนถ่อมตัว” (ข้อ 34ข) หากความมั่นใจของคุณ มาจากความไว้วางใจในพระเจ้าจอมเจ้านาย คุณจะไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะหยิ่งทะนง องค์พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานพระคุณ พระพร และเกียรติแก่คุณ (ข้อ 33-35)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ และใกล้ชิดติดสนิทพระองค์ ขอที่ข้าพระองค์จะไว้วางใจและเชื่อมั่นในพระองค์อย่างสุดใจ
มัทธิว 21:18-32
การทรงสาปต้นมะเดื่อ
18พอรุ่งเช้า ขณะเสด็จกลับไปยังกรุง พระองค์ทรงหิว 19และเมื่อทอดพระเนตรเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งอยู่ริมทาง ก็ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ และไม่ทรงพบสิ่งใดบนต้นนั้นนอกจากใบ จึงตรัสกับมะเดื่อต้นนั้นว่า “จงอย่าเกิดผลอีกต่อไป” ทันใดนั้นต้นมะเดื่อก็เหี่ยวแห้งไป 20เมื่อบรรดาสาวกเห็นก็ประหลาดใจ พูดกันว่า “ต้นมะเดื่อเหี่ยวแห้งไปทันทีได้อย่างไรนะ?” 21พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าเพียงพวกท่านมีความเชื่อและไม่ได้สงสัย ท่านไม่เพียงจะสามารถทำแบบเดียวกับที่เราทำกับต้นมะเดื่อ แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงลอยขึ้นและเคลื่อนไปลงทะเล’ ก็จะเป็นไปตามนั้น 22ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อก็จะได้”
ปัญหาเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู
23พระองค์เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหาร และระหว่างที่ทรงสั่งสอนอยู่นั้น พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนมาหาพระองค์ ทูลถามว่า “ท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิอำนาจอะไร? ใครให้สิทธิอำนาจแก่ท่าน?” 24พระเยซูตรัสตอบว่า “เราก็จะถามพวกท่านสักข้อหนึ่งเหมือนกัน ถ้าพวกท่านตอบเรา เราก็จะบอกท่านว่าเราทำสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิอำนาจอะไร 25คือบัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากไหน? มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์?” เขาทั้งหลายปรึกษากันว่า “ถ้าเราว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาจะถามเราว่า ‘ทำไมถึงไม่เชื่อยอห์น?’ 26แต่ถ้าเราบอกว่า ‘มาจากมนุษย์’ ก็กลัวฝูงชน เพราะทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ” 27เขาทั้งหลายจึงทูลตอบพระเยซูว่า “เราไม่รู้” พระองค์จึงตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกท่านเหมือนกันว่า เรามีสิทธิอำนาจอะไรถึงได้ทำสิ่งเหล่านี้”
อุปมาเรื่องบุตรชายสองคน
28“ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร? ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน บิดาไปหาบุตรคนแรกบอกว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด’ 29บุตรคนนั้นตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ภายหลังกลับใจแล้วก็ไป 30บิดาไปหาบุตรคนที่สองพูดอย่างเดียวกัน บุตรคนนั้นกล่าวว่า ‘ไป’ แต่ไม่ได้ไป 31คนไหนในบุตรสองคนนี้ที่ทำตามใจของบิดา?” พวกเขาทูลตอบว่า “บุตรคนแรก” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า บรรดาคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก่อนพวกท่าน 32เพราะยอห์นมาหาพวกท่านและแสดงวิถีทางของความชอบธรรม และท่านไม่ได้เชื่อ แต่พวกคนเก็บภาษีและพวกหญิงโสเภณีเชื่อ และแม้เมื่อท่านทั้งหลายเห็นแล้วก็ยังไม่กลับใจและเชื่อยอห์น
อรรถาธิบาย
เชื่อในพระเยซู
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเพียงพวกท่านมีความเชื่อและไม่ได้สงสัย ก็จะเป็นไปตามนั้น” (ข้อ 21) คำตอบคือ เชื่อ... เชื่อ... เชื่อ... (ข้อ 22, 25-32) คำนี่เป็นคำเดียวที่ยึดโยงทั้งสามข้อความที่ดูเหมือนจะแตกต่างกัน
1. ป้อนตัวคุณด้วยความเชื่อ แล้วความสงสัยจะอดตาย
พระเยซูตรัสว่า”ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อก็จะได้” (ข้อ22)”ถ้าท่านรับชีวิตของอาณาจักรนี้ และไม่สงสัยในพระเจ้า ท่านจะไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในการทำแบบเดียวกับที่เราทำกับต้นมะเดื่อได้เท่านั้น แต่จะมีชัยชนะเหนืออุปสรรคใหญ่หลวง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เมื่อสิ่งเหล่านั้นอยู่ในคำอธิษฐานซึ่งคุณทูลขอด้วยความเชื่อและมอบไว้กับพระเจ้า”(ข้อ 21-22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ในวันนี้ อยากให้คุณลองทูลขอต่อพระเจ้า เชื่อในพระองค์ และไว้วางใจในพระองค์
2. สำแดงความเชื่อด้วยการกระทำ
ต้นมะเดื่อไม่ได้ทำในสิ่งที่มันควรจะทำ คือ การเกิดผล (ข้อ 18-20) บุตรชายคนที่สองในคำอุปมาไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาควรจะทำ คือ การเชื่อฟังคำแนะนำของบิดา (ข้อ 28-31) เช่นเดียวกัน บรรดาผู้นำทางศาสนาก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ คือ การเชื่อในพระเยซู (ข้อ 23-27)
พวกเขาสงสัยในสิทธิอำนาจขององค์พระเยซูแทนที่จะมีความศรัทธาในพระองค์ และได้ถามพระองค์ว่า “ท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิอำนาจอะไร” (ข้อ 23) พระเยซูตรัสตอบด้วยคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้นำทางศาสนาก็ล้มเหลวในการไว้วางใจในยอห์นผู้ให้บัพติศมา เขาทั้งหลายปรึกษากันว่า “ถ้าเราว่า “มาจากสวรรค์” เขาจะถามเราว่า “ทำไมถึงไม่เชื่อยอห์น?” (ข้อ 25)
ความศรัทธาของเหล่าผู้นำทางศาสนาล้วนเกี่ยวกับแนวความคิดและการอภิปราย และพวกเขาไม่เห็นว่ามีบุคคลผู้หนึ่งผู้ซึ่งเป็นทุกสิ่งนั้นขาดหายไป นั่นคือ องค์พระเยซู
3. เข้าอาณาจักรของพระเจ้าด้วยความเชื่อ
พระเยซูเปรียบผู้นำศาสนาซึ่งไม่ได้เชื่อบรรดาคนเก็บภาษีและพวกหญิงโสเภณี ผู้ซึ่ง “กลับใจและเชื่อยอห์น” (ข้อ 32)
บรรดาคนเก็บภาษีและพวกหญิงโสเภณีถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ต่ำต้อยไร้ค่าที่สุด (คดโกงและแพศยา ข้อ 32, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ถึงอย่างนั้น พระเยซูก็ยังตรัสว่าเพราะพวกเขาได้เชื่อวางใจในพระองค์ พวกเขาจึงได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ก่อน
คุณสังเกตไหมว่า บ่อยครั้งที่พระเยซูดูจะไม่ได้สนใจในบรรดา “คนเที่ยงธรรม” เอาเสียเลย พวกเขาเพียงไม่เห็นความจำเป็นใด ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า ผมประหลาดใจบ่อย ๆ กับความเปิดเผยและหิวกระหายในฝ่ายวิญญาณของผู้ที่อยู่ในคุกและผู้ที่เคยต่อต้านพระเยซูมาก่อน โดยผ่านการเข้าไปในคุกหลายแห่ง ทำให้ผมตระหนักว่าทำไมพระเยซูทรงรักการใช้เวลากับบรรดาคนชายขอบของสังคม เพราะพวกเขามักจะเป็นผู้ที่ตอบสนองต่อพระองค์
ไม่มีใครที่เลวร้ายจนไม่มีโอกาสกลับตัวกลับใจ แม้แต่ในอดีตจะเต็มไปด้วยการกระทำผิด แต่ไม่มีสิ่งไหนที่คุณเคยคิดหรือพูดหรือกระทำใด ๆ ที่จะทำให้การเข้าแผ่นดินสวรรค์เป็นสิ่งไกลเกินเอื้อมสำหรับคุณ ดังเช่นบุตรคนแรกในคำอุปมา สิ่งทั้งหมดที่จำเป็นคือการเปลี่ยนใจและความคิด และทำในสิ่งที่บิดาบอกให้ทำ (ข้อ 29) ขอเพียงกลับใจและเชื่อวางใจในพระเยซู
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ทรงตรัสว่า “ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อก็จะได้” (ข้อ 22) ในวันนี้ข้าพระองค์ทูลขอว่า...
โยบ 22:1-24:25
เอลีฟัสว่า โยบมีความชั่วมหันต์
1แล้วเอลีฟัสชาวเทมานตอบว่า
2“มนุษย์จะเป็นประโยชน์อะไรแก่พระเจ้าได้เล่า?
คนฉลาดจะเป็นประโยชน์อะไรแก่พระองค์ได้เล่า?
3ถ้าท่านเป็นคนชอบธรรม จะเป็นที่พอพระทัยอะไรแก่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เล่า?
หรือถ้าท่านเป็นคนดีพร้อม จะเป็นประโยชน์อะไรแก่พระองค์เล่า?
4เป็นเพราะท่านยำเกรงพระองค์ พระองค์จึงทรงกล่าวโทษท่าน
และเป็นความกับท่านหรือ?
5ความชั่วของท่านก็ใหญ่โตมิใช่หรือ?
ความผิดของท่านไม่มีที่สิ้นสุด
6เพราะท่านยึดของประกันจากพี่น้องโดยไม่ถูกต้อง
และริบเสื้อผ้าของคนที่เปลือยกาย
7ท่านมิได้ให้น้ำคนอิดโรยดื่ม
และท่านหน่วงเหนี่ยวมิให้อาหารแก่คนหิว
8คนมีอิทธิพลได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์
และคนมีอภิสิทธิ์ได้เข้าอาศัย
9ท่านไล่แม่ม่ายออกไปมือเปล่า
และหักแขนของลูกกำพร้า
10เพราะฉะนั้นกับดักอยู่รอบท่าน
และความกลัวอย่างฉับพลันก็ท่วมทับท่าน
11มีความมืดทึบจนท่านไม่เห็นอะไร
และน้ำที่ท่วมก็คลุมท่านมิด
12“พระเจ้ามิได้สถิต ณ ที่สูงในฟ้าสวรรค์หรือ?
จงดูดาวที่สูงที่สุดเถิด มันช่างสูงจริงๆ
13เพราะฉะนั้นท่านว่า ‘พระเจ้าทรงรู้อะไร?
พระองค์จะทรงพิพากษาผ่านความมืดทึบได้หรือ?
14เมฆทึบคลุมพระองค์ไว้ พระองค์ทรงมองอะไรไม่เห็น
และพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนพื้นฟ้า’
15ท่านจะเดินทางเก่า
ซึ่งคนชั่วเคยดำเนินนั้นหรือ?
16พวกเขาถูกฉวยเอาไปก่อนเวลากำหนด
รากฐานของเขาถูกกวาดล้างไปในสายน้ำ
17พวกเขาทูลพระเจ้าว่า ‘ขอไปเสียจากเรา’
และ ‘องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทำอะไรแก่เราได้?’
18แต่พระองค์ทรงให้เรือนของเขาเต็มด้วยของดี
แต่คำปรึกษาของคนอธรรมอยู่ห่างไกลจากข้า
19คนชอบธรรมเห็นและยินดี
คนไร้ผิดหัวเราะเยาะ
20กล่าวว่า ‘ปฏิปักษ์ของเราถูกทำลายแน่ทีเดียว
อะไรที่เขามีเหลือ ไฟก็เผาเสีย’
21“จงปรองดองกับพระเจ้าและอยู่อย่างสันติ
แล้วสิ่งดีจะมาถึงท่าน
22ขอจงรับคำสั่งสอนจากพระโอษฐ์ของพระองค์
และเก็บพระวจนะของพระองค์ไว้ในใจของท่าน
23ถ้าท่านกลับมาหาองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ท่านจะได้รับการซ่อมแซม
ถ้าท่านทิ้งความอธรรมให้ไกลจากเต็นท์ของท่าน
24ถ้าท่านถือว่าแร่ทองคำเป็นเหมือนผงคลีดิน
และทองคำเมืองโอฟีร์เหมือนหินในลำห้วย
25และถ้าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นทองคำของท่าน
และเป็นเงินที่ประเสริฐของท่าน
26แล้วท่านจะปีติยินดีในองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
และเงยหน้าของท่านหาพระเจ้า
27ท่านจะอธิษฐานต่อพระองค์ และพระองค์จะทรงฟังท่าน
และท่านจะแก้บนของท่าน
28ท่านตัดสินใจจะทำสิ่งใด สิ่งนั้นจะสำเร็จสมประสงค์
และจะมีแสงสว่างส่องทางให้ท่าน
29เพราะพระเจ้าทรงกดผู้เย่อหยิ่งลงต่ำ
แต่พระองค์ทรงช่วยคนถ่อมใจให้รอด
30พระองค์จะทรงช่วยกู้ผู้ไร้ความผิด
เออ ท่านจะได้รับการช่วยกู้โดยความสะอาดแห่งมือของท่าน”
โยบ 23
โยบตอบว่า คำร้องทุกข์ของข้าก็ขมขื่น
1แล้วโยบตอบว่า
2“คำร้องทุกข์ของข้าก็ขมขื่นแปลได้อีกว่า ก็เอาเรื่องกับพระเจ้าในวันนี้ด้วย
มือของข้าก็หนักเพราะการร้องครวญครางของข้า
3โอ ข้าอยากทราบว่าจะพบพระองค์ได้ที่ไหน
เพื่อข้าจะมาถึงที่ประทับของพระองค์
4ข้าจะยื่นคดีของข้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์
และบรรจุข้อโต้แย้งให้เต็มปากข้า
5ข้าจะทราบว่า พระองค์จะทรงตอบข้าอย่างไร
และเข้าใจสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับข้า
6พระองค์จะทรงสู้คดีกับข้าด้วยพลานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์หรือ?
เปล่าเลย พระองค์จะทรงฟังข้า
7ณ ที่นั้นคนเที่ยงธรรมจะสู้ความกับพระองค์ได้
และข้าจะรับการช่วยกู้ให้พ้นจากผู้พิพากษาของข้าเป็นนิตย์
8“ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น
และไปข้างหลัง แต่ก็ไม่สังเกตเห็นพระองค์
9ข้างซ้ายที่พระองค์ทรงทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์
ข้างขวาที่พระองค์ทรงซ่อนอยู่ ข้าก็ไม่พบพระองค์
10แต่พระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป
เมื่อทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าก็จะเป็นอย่างทองคำ
11เท้าของข้าเดินตามติดรอยพระบาทของพระองค์
ข้าถือรักษาพระมรรคา และมิได้หันเห
12ข้ามิได้พรากจากพระบัญญัติแห่งไพรพระโอษฐ์
ข้าสะสมพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์ไว้มากกว่ากฎเกณฑ์ของข้า
13แต่พระองค์มีพระทัยแน่วแน่ แล้วผู้ใดจะห้ามพระองค์ได้?
พระองค์มีพระประสงค์สิ่งใด พระองค์ก็ทรงทำสิ่งนั้น
14เพราะพระองค์จะทรงทำสิ่งที่ทรงกำหนดให้ข้านั้นครบถ้วน
และสิ่งอย่างนั้นมากมายอยู่ในพระดำริของพระองค์
15เพราะฉะนั้นข้าจึงหวาดผวาเฉพาะพระพักตร์พระองค์
เมื่อข้าตรึกตรอง ข้าก็ครั่นคร้ามต่อพระองค์
16พระเจ้าทรงทำให้ใจข้าอ่อนเปลี้ย
องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงทำให้ข้าสะทกสะท้าน
17ถึงกระนั้น ข้าจะไม่ถูกตัดขาดโดยความมืด
แม้ความมืดจะปกคลุมหน้าข้าไว้
โยบ 24
โยบอุทธรณ์เรื่องความรุนแรงในโลก
1“ไฉนวาระพิพากษาไม่ได้ถูกกำหนดโดยองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?
ไฉนผู้ที่รู้จักพระองค์ไม่เห็นวันกำหนดของพระองค์?
2คนอธรรมย้ายหลักเขต
เขายึดฝูงแพะแกะไปเลี้ยง
3เขาไล่ต้อนลาของลูกกำพร้าไป
เขาเอาวัวของหญิงม่ายเป็นประกัน
4เขาผลักคนขัดสนออกนอกถนน
คนยากจนแห่งแผ่นดินต่างก็ซ่อนตัวหมด
5นี่แน่ะ ดังลาป่าอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
คนยากจนนั้นออกไปทำงาน
เสาะหาของกิน
ถิ่นแห้งแล้งให้อาหารแก่บุตรของเขา
6เขาเก็บหญ้าแห้งที่ในทุ่ง
และเขาเก็บองุ่นที่เหลือในสวนองุ่นของคนอธรรม
7เขานอนเปลือยกายไม่มีเสื้อผ้าตลอดคืน
และไม่มีผ้าห่มกันหนาว
8เขาเปียกฝนแห่งภูเขา
และเกาะหินอยู่เพราะขาดที่กำบัง
9มีผู้ฉวยเด็กกำพร้าไปจากอก
และเอาทารกของคนยากจนไปเป็นประกัน
10คนยากจนจึงเดินเปลือยกายไป ไม่มีเสื้อผ้า
ทั้งๆ ที่หิว เขาก็แบกฟ่อนข้าวไป
11เขาหีบมะกอกเอาน้ำมันท่ามกลางแนวหมู่ไม้
เขาย่ำองุ่นที่บ่อย่ำ แต่ต้องทนกระหาย
12คนกำลังจะตายคร่ำครวญออกมาจากเมือง
และคนบาดเจ็บร้องขอความช่วยเหลือ
แต่พระเจ้ามิได้สนพระทัยคำอธิษฐานของเขา
13“มีผู้กบฏต่อความสว่าง
ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับทางของความสว่างนั้น
และมิได้อยู่ในวิถีของความสว่างนั้น
14ฆาตกรลุกขึ้นแต่เช้าตรู่
เขาฆ่าคนยากจนและคนขัดสน
และในยามค่ำคืน เขาเป็นเหมือนขโมย
15ดวงตาของผู้ล่วงประเวณีคอยเวลาพลบค่ำ
กล่าวว่า ‘ไม่มีตาใดจะเห็นข้า’
และเขาก็คลุมหน้า
16ในยามมืดเขาขุดเข้าไปในเรือน
กลางวันเขาก็เก็บตัว
เขาไม่รู้จักความสว่าง
17เพราะความมืดทึบเป็นเหมือนเวลาเช้าแก่เขาทุกคน
เพราะเขาคุ้นเคยกับความสยดสยองของความมืดทึบ
18“เขาลอยละลิ่วไปบนผิวน้ำ
ส่วนแบ่งของเขาถูกสาปในแผ่นดิน
ไม่มีผู้ใดหันหน้าไปสู่สวนองุ่นของเขา
19ความแห้งแล้งและความร้อนฉวยเอาน้ำที่ละลายจากหิมะไปฉันใด
แดนคนตายก็ฉวยเอาผู้ทำบาปไปฉันนั้น
20ครรภ์จะลืมเขา
ตัวหนอนจะกินเขาอย่างอร่อย
ไม่มีผู้ใดจำชื่อเขาได้ต่อไป
ความอธรรมจึงหักลงเหมือนต้นไม้
21“เขาข่มเหงหญิงหมันที่ไม่มีลูก
และไม่ได้ทำดีอะไรแก่หญิงม่าย
22แต่พระเจ้ายังทรงยืดชีวิตของคนมีกำลังด้วยพลานุภาพของพระองค์
แม้เขาสิ้นหวังในชีวิต เขาก็ลุกขึ้นได้
23พระองค์ประทานความปลอดภัยแก่เขา และเขาก็พึ่งพิงอยู่
และพระเนตรพระองค์จับอยู่บนหนทางของเขา
24เขาทั้งหลายถูกยกย่องขึ้นครู่หนึ่งแล้วก็สิ้นไป
เขาเหี่ยวแห้งและสิ้นไปเหมือนคนอื่นๆ
เขาถูกตัดออกเหมือนยอดรวงข้าว
25ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ผู้ใดจะพิสูจน์ได้ว่าข้าโกหก
และสำแดงว่าสิ่งที่ข้ากล่าวนั้นไร้สาระ?”
อรรถาธิบาย
ยังคงไว้วางใจแม้ในยามถูกทดสอบ
โยบเรียนรู้ที่จะเชื่อวางใจในพระเจ้าถึงแม้เขาไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา ความเชื่อมีความเกี่ยวข้องกับการไว้วางใจในพระเจ้าถึงแม้ว่าคุณไม่ได้ทราบคำตอบทั้งหมดก็ตาม
ความเชื่อมักจะถูกทดสอบเมื่อผ่านช่วงเวลายากลำบาก อีกครั้งที่มีการเปรียบเทียบความแตกต่างสุดขั้ว ระหว่างโยบและเพื่อนของเขา เอลีฟัสกล่าวหาอย่างผิด ๆ ว่า โยบกระทำผิดต่อบรรดาผู้ขัดสน ผู้หิวโหย และแม่ม่าย เขากล่าวว่า “นั่นคือเหตุผลว่าทำไม” (22:10) โยบกำลังเป็นทุกข์อยู่ และคงหงุดหงิดใจมากที่ถูกเพื่อนกล่าวหาอย่างผิดๆ แบบนี้ เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่เป็นความจริง
ทฤษฎีของเอลีฟัสนั้นง่ายเกินไปและมีจุดบกพร่อง “จงปรองดองกับพระเจ้าและอยู่อย่างสันติ แล้วสิ่งดีจะมาถึงท่าน” (ข้อ 21) แต่แท้จริงแล้ว ชีวิตมีความซับซ้อนมากกว่านั้น
ตรงกันข้าม โยบต่อสู้ดิ้นรนกับโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งมักจะหาคำอธิบายไม่ได้ ผู้บริสุทธิ์ต้องทนทุกข์ แต่โยบยังศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมท่ามกลาง “เสียงคร่ำครวญ” (23:2) ในชีวิตของโยบ ทุกอย่างดูผิดพลาดไปหมด ดูเหมือนพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกลออกไปหลายไมล์ (ข้อ 3ก “โอ ข้าอยากทราบว่าจะพบพระองค์ได้ที่ไหน”)
บางครั้งดูเหมือนไม่มีอะไรที่สมเหตุสมผลในชีวิตของเรา พระเจ้าอาจใช้สถานการณ์ของเราเพื่อทดสอบเรา จงเลือกที่จะเชื่อใจพระองค์ต่อไป
โยบกล่าวว่า “เมื่อทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าก็จะเป็นอย่างทองคำ” (ข้อ 10ข) ทองคำผ่านการทำให้บริสุทธิ์และทดสอบโดยถลุงด้วยความร้อนและแยกเอาขี้แร่ออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งสามารถเห็นภาพสะท้อนของช่างทองในนั้นได้ ท่ามกลางความทุกข์ที่แสนสาหัส โยบวางใจว่าพระเจ้าจะใช้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์และเขาจะบริสุทธิ์และบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม เขาควบคุมใจให้ยึดมั่นในพระเจ้าไว้ได้
'เท้าของข้าเดินตามติดรอยพระบาทของพระองค์
ข้าถือรักษาพระมรรคาและมิได้หันเห
ข้ามิได้พรากจากพระบัญญัติแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์
ข้าสะสมพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์ไว้มากกว่ากฎเกณฑ์ของข้า' (ข้อ 11-12)
เมื่อดูชีวิตของโยบ เราจะเห็นว่าความแข็งแกร่งจะเติบโตผ่านการต่อสู้ดิ้นรน ความกล้าหาญพัฒนามาจากความท้าทายในชีวิต และสติปัญญาก็สุกงอมจากบาดแผลที่ได้รับ เมื่อพระเจ้าทดสอบโยบ ความเชื่อของเขาก็กลายเป็นดังทองคำบริสุทธิ์
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้น ที่ข้าเหมือนตกอยู่ในเพลิงของเตาถลุงแร่ โปรดช่วยข้าที่จะมอบความไว้วางใจและศรัทธาในพระองค์ และที่ข้าจะเป็นเหมือนอย่างทองคำ (ข้อ 10ข)
เพิ่มเติมโดยพิพพา
เมื่อฉันอ่านพระคัมภีร์ฉันมักจะมองหาข้อพระคัมภีร์ที่ให้กำลังใจ ฉันมักจะอ่านข้ามข้ออื่น ๆ เช่น “มีผู้ฉวยเด็กกำพร้าไปจากอกและเอาทารกของคนยากจนไปเป็นประกัน” (โยบ 24:9) แต่มันเป็นโศกนาฏกรรมที่ยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน เด็ก ๆ ถูก “ฉวย” และถูกขายเข้าซ่อง ทั้งเด็ก ผู้หญิง และผู้ชายต้องลงเอยด้วยการเป็นทาส ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันต้องยืนหยัดต่อสู้กับความอยุติธรรมที่เลวร้ายนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)